วิธีเลี้ยงลูกของท่านนบี และการประยุกต์ใช้ของบรรพชนสะลัฟซอและห์และข้อคิดของอุลามาอ์ผู้ทรงธรรม [ตอนที่ 1 ]

منهج التربية النبوية للطفل مع نماذج تطبيقية من حياة السلف الصالح وأقوال العلماء العاملين

“ว่าด้วยวิธีเลี้ยงลูกของท่านนบี และการประยุกต์ใช้ของบรรพชนสะลัฟซอและห์และข้อคิดของอุลามาอ์ผู้ทรงธรรม”

หนังสือที่ซัยยิดอบุลหะซัน อัลนัดวีย์ แนะนำว่า ครอบครัวมุสลิมควรมีไว้ทุกบ้าน และควรจัดรายการเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ

อินชาอัลลอฮ์

ตอบโจทย์การแก้ปัญหาสังคมแบบยั่งยืนตามแนวทางของอัลลอฮ์ที่ให้แก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการพัฒนาคน

إِنَّ اللّهَ لاَ يُغَيِّرُ مَا بِقَوْمٍ حَتَّى يُغَيِّرُواْ مَا بِأَنْفُسِهِمْ

“แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่เปลี่ยนแปลงประชาชาติใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

มาก้าวข้าม “อิสลามวาทกรรม” สู่ “อิสลามเชิงพฤติกรรมที่ตกผลึกเป็นเลือดเป็นเนื้อ”


สรุปโดย Ghazali benmad

บาปเงียบ : มหันตภัยยุคสื่อไร้พรมแดน

           หนุ่มสาวที่แสนเรียบร้อย แสดงออกถึงบุคลิกภาพที่ควรค่าแก่การยกย่อง เป็นผู้ที่ใฝ่เรียนรู้ศาสนาในสายตาของบุคคลทั่วไป ถ้าเป็นมุสลิมีนก็จะไว้เคราพองาม พิถีพิถันในเรื่องการแต่งกาย แลดูสะอาดสะอ้าน ถ้าเป็นมุสลิมะฮ์จะสวมใส่ฮิญาบอย่างมิดชิดเรียบร้อย บางคนปิดใบหน้าและฝ่ามือ เพื่อยึดมั่นตามแบบฉบับสุนนะฮ์  คบค้าสมาคมกับผู้รู้ทางศาสนา บรรดามิตรสหายอยู่ในหมู่ผู้ที่ใฝ่ศึกษาหาความรู้ ฯลฯ…..

          ปรากฏการณ์นี้ ถือเป็นภาพที่บ่งบอกถึงการยึดมั่นในศาสนาของกลุ่มเยาวชน แต่จะเป็นสิ่งดียิ่ง หากเบื้องหลังของพวกเขาจะใสสะอาดหมดจด ยิ่งกว่าเบื้องหน้าที่ปรากฏมาให้เห็น หรือยามที่พวกเขาสงบนิ่งในขณะเข้าเฝ้าต่อหน้าพระองค์อัลลอฮ์ นั้น จะสามารถรักษาความบริสุทธิ์ใจไว้ได้ มากกว่ายามที่พวกเขาแสดงออกมาต่อหน้าผู้คน

          ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะมีข้อมูลที่ทำให้ทราบว่า หนุ่มสาวหลายคนที่ดูแสนจะเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ในที่ลับตาผู้คนแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นสาวกของชัยฎอน จมดิ่งอยู่ในห้วงทะเลแห่งตัณหาและอบายมุขชนิดโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว

          พวกเขาและพวกเธอ มักบริโภคสื่อไร้พรมแดนที่ไร้สาระ  เสพติดเว็บไซต์ที่ไร้จริยธรรมอยู่เนืองนิจ ครุ่นคิดติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตที่มักใช้นามแฝงเพื่อกลบเกลื่อนชื่อจริง ใช้กลยุทธ์ลับ ลวง พราง เพื่อสนองตัณหาอารมณ์ใฝ่ต่ำ บางครั้งก็ใส่ร้ายป้ายสีบุคคลอื่นๆ หรือองค์กรต่างๆ ให้พลอยได้รับความเสื่อม และเสียชื่อเสียงไปด้วย

          เยาวชนที่รัก …. เจ้าอย่ามองข้ามการเพ่งพินิจและการตรวจสอบของอัลลอฮ์ อย่างเด็ดขาด โดยยอมลงทุนฝ่าฝืนพระองค์ และตอบรับการเรียกร้องของชัยฏอน

          ท่านซะห์นูน (รอฮิมะฮุลลอฮ์) ได้กล่าวไว้ ความว่า

“เจ้าจงอย่าริประกาศตัวเป็นศัตรูคู่อริกับชัยฏอนในที่เปิดเผย  แต่กลับเป็นสหายรักกับมันยามลับตาผู้คน”

          เพราะแท้จริง บาป ที่คนๆ หนึ่งกระทำไว้ ณ ที่ลับตาผู้คนนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชักนำเขาสู่ความวิบัติ และบ่อนทำลายความดีงามที่สะสมไว้

 นบีมุฮัมมัด  صلى الله عليه وسلمได้กล่าวไว้ว่า

جاء  عَنِ النَّبِىِّ صلى الله عليه وسلم أَنَّهُ قَالَ   لأَعْلَمَنَّ أَقْوَامًا مِنْ أُمَّتِى يَأْتُونَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ بِحَسَنَاتٍ أَمْثَالِ جِبَالِ تِهَامَة بَيْضَاء فَيَجْعَلُهَا اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ هَبَاءً مَنْثُورًا  َقالَ ثَوْبَانُ : يَا رَسُولَ اللَّهِ صِفْهُمْ لَنَا جَلِّهِمْ لَنَا أَنْ لاَ نَكُونَ مِنْهُمْ وَنَحْنُ لاَ نَعْلَمُ . قَالَ : أَمَا إِنَّهُمْ إِخْوَانُكُمْ وَمِنْ جِلْدَتِكُمْ وَيَأْخُذُونَ مِنَ اللَّيْلِ كَمَا تَأْخُذُونَ وَلَكِنَّهُمْ أَقْوَامٌ إِذَا خَلَوْا بِمَحَارِمِ اللَّهِ انْتَهَكُوهَا   رواه ابن ماجه و صححه الألبانى

          ความว่า “แน่แท้ ฉันรู้ว่า มีชนกลุ่มหนึ่งในประชาชาติของฉัน ที่พกพาความดีงามและกุศลทานอันมากมายสะสมไว้ในวันกิยามะฮ์

เปรียบเสมือนเทือกเขาติฮามะฮ์ที่ขาวสะอาด

แต่อัลลอฮ์   ทรงทำให้ความดีงามอันมากมายเหล่านั้น กลายเป็นเศษฝุ่นที่ปลิวว่อนเท่านั้น (ไม่มีคุณค่าใดๆ ทั้งสิ้น)

ท่านเซาบาน จึงถามว่า โอ้ ศาสนทูตของอัลลอฮ์

ได้โปรดบอกคุณลักษณะของพวกเขาให้เรา

ทราบด้วย และโปรดอธิบายให้พวกเราทราบอย่างแจ้งชัด เผื่อว่าเราจะได้ระมัดระวังมิให้เป็นเช่นกลุ่มนั้น ในสภาพที่เราไม่รู้ตัว

นบีมุฮัมมัด صلى الله عليه وسلم   จึงตอบว่า พวกเขาคือพี่น้องของท่านนั่นแหละ มีสีผิวเช่นเดียวกับพวกท่าน พวกเขาดำรงตนในเวลากลางคืนด้วยการละหมาดกลางคืนเช่นเดียวกับพวกท่าน แต่ยามใดที่พวกเขาอยู่ในที่ลับตาผู้คนแล้ว พวกเขาจะละเมิดและฝ่าฝืนคำสั่งใช้ของอัลลอฮ์ ”

บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ/4245,ดู อัซซิลซิละฮฺ อัศเศาะฮีหะฮฺ 2/18


โดย Mazlan Muhammad

ความต่างระหว่าง 2 ดุอา

ความต่างระหว่างสองดุอา

اللهم ارزقني

โอ้อัลลอฮ์ได้โปรดประทานริสกีให้ฉัน

กับ

اللهم بارك لي في رزقي

โอ้อัลลอฮ์โปรดประทานความบะรอกัตในริสกีของฉัน

ถามว่า มุอฺมินควรดุอาท่อนไหนดี

ตอบ

ท่อนที่สองดีที่สุด

เพราะ

อัลลอฮ์ทรงประกันว่าพระองค์จะประทานริสกีให้แก่ทุกคน แม้กระทั่งหนอนในซอกหิน

แต่พระองค์ไม่ประทานความบะรอกัต เว้นแต่ผู้ที่พระองค์รักเท่านั้น

บะรอกัตจึงเป็นขุนพลชั้นเอกของอัลลอฮ์

เมื่ออยู่กับทรัพย์สิน มันจะทำให้ทรัพย์สินนั้นงอกเงยและเพิ่มพูน

เมื่ออยู่กับลูกๆ มันจะทำให้กลายเป็นลูกศอลิห์

เมื่ออยู่กับความรู้ มันจะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์

เมื่ออยู่กับมิตรสหาย มันจะกลายเป็นมิตรสหายที่ประเสริฐ

เมื่ออยู่กับชีวิตเรา มันจะทำให้ชีวิตมีคุณค่าและเป็นที่พอใจ ณ พระองค์

จงขอความบะรอกัตจากพระองค์ แทนที่จะขอริสกี อายุยืน หรือลูกหลานมากมายเพียงอย่างเดียว

————

اللهم بارك لي في رزقي ومالي وأولادي وزوجي وعلمي وحياتي وجميع ما أعطيتني

وارزقني خير ما أعطيت السائلين

โอ้อัลลอฮ์ได้โปรดประทานความบะรอกัตในริสกีของฉัน ทรัพย์สมบัติของฉัน ลูกหลานและคู่ชีวิตของฉัน ความรู้ของฉัน ชีวิตของฉันและทุกอย่างที่พระองค์ประทานให้ฉัน และจงประทานริสกีให้ฉันสิ่งที่ดีทีสุดที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ผู้ขอ


โดย Mazlan Muhammad

คำกล่าวแสดงความยินดีแก่บัณฑิตมอย. รุ่นที่ 9/2554

ชีค ดร.อุมัร อุบัยด์ หะสะนะฮฺ

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและอิสลามศึกษาประเทศกาตาร์

เนื่องในโอกาสพิธีประสาทปริญญารุ่นที่ 9 ประจำปีการศึกษา 2554

29 มกราคม 2555

          มวลการสรรเสริญแด่พระผู้ทรงเลือกสรรให้เราอยู่ในฐานะผู้รับมรดกภารกิจของบรรดานบีและสืบทอดเจตนารมณ์แห่งอัลกุรอาน พระองค์กล่าวความว่า : “และเราได้ให้คัมภีร์เป็นมรดกสืบทอดมาแก่บรรดาผู้ที่เราคัดเลือกแล้วจากปวงบ่าวของเรา บางท่านในหมู่พวกเขาเป็นผู้อธรรมแก่ตัวเองและบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้เดินสายกลางและบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้รุดหน้าในการทำความดีทั้งหลาย” (ฟาฏิร/32)และเราวอนขอจากอัลลอฮฺได้โปรดทำให้เราเป็นกลุ่มชนที่เป็นรุดหน้าในการทำความดีเพื่อตอบสนองคำสั่งของอัลลอฮฺ ความว่า “ ท่านทั้งหลายจงแข่งขันรุดหน้าทำความดีกันเถิด ” (อัลบาเกาะเราะฮฺ/148)

          ความจำเริญและศานติขอมอบแด่ศาสนทูตผู้เป็นบรมครูซึ่งท่านได้กล่าวความว่า “ แท้จริงฉันถูกส่งมายังโลกนี้ในฐานะบรมครูเท่านั้น ” ส่วนหนึ่งของการวอนดุอาอฺของท่านอยู่เนืองนิจ คือ “ ฉันขอให้พระพระองค์ทรงเพิ่มพูนความรู้แก่ฉันด้วยเถิด ” และท่านขอความคุ้มครองให้รอดพ้นจากความรู้ที่ไม่มีประโยชน์เพราะความรู้ไม่มีคุณค่าจะไม่สามารถสร้างประโยชน์แก่มวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้มนุษย์ที่เป็นที่รักที่สุดของอัลลอฮฺคือ ผู้ที่สร้างคุณประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์มากที่สุด

–        ฯพณฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนสมบัติและกิจการอิสลามประเทศกาตาร์

–        ท่านนายกสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

–        อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

–        กรรมการสภา คณะผู้บริหารและคณาจารย์ แขกผู้มีเกียรติ ผู้ปกครองและลูกหลานบัณฑิตทุกท่าน

Assalamu alaikum warahmatullah wabarakatuh

          อัลลอฮฺกล่าว ความว่า “ จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) “ ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮและด้วยความเมตตาของพระองค์จงดีใจเถิดด้วยสิ่งดังกล่าวนั้น (เพราะความโปรดปรานและความเมตตาของพระองค์)ดียิ่งกว่าสิ่งพวกเขาสะสมไว้ ” (ยูนุส/58)

          ในโอกาสพิธีประสาทปริญญา รุ่นที่ 9 มหาวิทยาลัยอิสลามยะลาในครั้งนี้ ผมใคร่ขอแสดงความความยินดีและเป็นช่วงเวลาที่มีความเหมาะสมที่สุดที่เราต่างปลาบปลื้มเนื่องจากความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่นี้ ที่อัลลอฮฺได้ประทานเตาฟิกให้กำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งนี้และได้ดำเนินภารกิจอย่างสำเร็จลุล่วงและทรงอุปถัมป์สถาบันแห่งนี้ด้วยการให้โอกาสแก่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมพัฒนา ดังกรณีกระทรวงศาสนสมบัติและกิจการอิสลามประเทศกาตาร์ที่ได้ยืนอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับมหาวิทยาลัยในการเปิดสาขาและศาสตร์ต่างๆที่สร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แก่นักศึกษา สร้างความภูมิใจให้กับพวกเขาในการเป็นผู้รับมรดกจากบรรดาศาสนทูตและเสริมสร้างบุคลิกภาพแห่งความเป็นสายกลางและสันติเพื่อสานต่อภารกิจของบรรดานบี รู้จักปฏิสัมพันธ์กับยุคสมัยอย่างรู้เท่าทัน พร้อมเชิญชวนมนุษย์สู่คุณค่าของอิสลามด้วยวิทยปัญญาและการตักเตือนที่ดี เพราะบัณฑิตในวันนี้คือกำลังหลักที่สำคัญของสังคมในอนาคต พวกเขาจะแบกภาระศาสนานี้ในสังคมต่อไป นบีได้กล่าวความว่า “ ความรู้นี้จะถูกรับภาระโดยผู้ทรงความยุติธรรมที่สืบทอดจากบรรพชนรุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขาจะปฏิเสธการตีความของคนไม่รู้ จะลบล้างการแอบอ้างของมิจฉาชน และจะยับยั้งการเบี่ยงเบนของบรรดาผู้สุดโต่ง ”  (รายงานโดยบัยหะกีย์)

ผู้มีเกียรติทุกท่าน

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ภราดรภาพอิสลาม ยืนหยัดด้วยฐานแห่งหลักการศรัทธา ดั้งอัลลอฮ กล่าวความว่า “ ศรัทธาชนคือพี่น้องกัน ”  (อัลหุญร็อต/10)  นบีมุหัมมัดกล่าวความว่า   “ จะไม่เป็นผู้ศรัทธาจนกว่าเขาจะรักพี่น้องของเขาเสมือนที่เขารักตนเอง ”  (รายงานโดยอัลบุคอรีย์)  ประชาชาติมุสลิมคือประชาชาติเดียวที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยอัลกุรอานและสามารถโลดแล่นด้วยพลังแห่งมัสยิด และมัสยิดคือสถาบันแรกที่ค้ำจุนการกำเนิดของสังคมมุสลิม  อิสลามได้กำหนดว่าการแสวงหาความรู้คือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคน ทั้งนี้เพราะการเรียนการสอน การแสวงหาความรู้และการอ่านถือเป็นกุญแจสำคัญในศาสนานี้ พจนารถแรกที่ถูกประทานลงมายังฟากฟ้า เพื่อกอบกู้มนุษย์บนโลกนี้และสร้างอารยธรรมแห่งความปรานี ผ่านศาสนาทูตคนสุดท้ายคือพจนารถที่เริ่มต้นด้วย “ อิกเราะ ” แปลว่าจงอ่าน

สิ่งเหล่านี้เป็นคำยืนยันถึงอัตลักษณ์สาสน์ของเรา พร้อมปฏิบัติภารกิจบนโลกนี้ทั้งต่อตนเอง สังคม ประเทศชาติและมนุษยชาติทั้งมวล อัลลอฮฺได้กำหนดเป้าหมายสำคัญของการประทานนบีมูฮำมัดคือ การธำรงไว้ซึ่งความปรานีแก่สากลจักรวาล เราต้องถามตัวเองว่า อะไรบ้างที่เป็นบทบาทและผลงานของเราในอารยธรรมแห่งความปรานีนี้ อารยธรรมสายกลางและความสมดุล  ดังที่อัลลอฮฺกล่าว ความว่า “ และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย“ (อัลบะเกาะเราะฮฺ / 143)                           

ภารกิจสำคัญของเราขณะนี้คือ ทวงคืนกระบวนการสร้างอารยธรรมแห่งความปรานี  อารยธรรมที่เรียกคืนศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพในความเชื่อและประกอบพิธีทางศาสนาและกำหนดทางเลือกแก่ตนเอง ภายใต้สโลแกน ” ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา”(อัลบะเกาะเราะฮฺ/256)หลังจากที่เราชี้แจงเส้นทางที่ถูกต้องและเส้นทางที่เบี่ยงเบนแก่มนุษย์แล้ว

นับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มหาวิทยาลัยอิสลามยะลายึดถือมาโดยตลอด คือการให้เกียรติบุคคลตามโอกาสพิเศษต่าง โดยที่ในปีนี้มหาวิทยาลัยอิสลามยะลาได้มีมติ มอบรางวัล โล่เกียรติคุณ ผู้สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมดีเด่น(Tokoh Berjasa) แก่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง

เลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ข้าพเจ้าในนามคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา ใคร่แสดงความยินดีแก่ท่านด้วยความจริงใจ

           แขกผู้มีเกียรติ

           ลูกหลานบัณฑิตทุกท่าน

          สาส์นของท่านยิ่งใหญ่มาก และใหญ่เพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อเทียบกับการที่ท่านอยู่ในประเทศนี้ ภารกิจของท่านถือเป็นการก่อสร้างที่หนักหน่วง ถือเป็นญิฮาดและสัญลักษณ์สำคัญของการญีฮาดทีเดียว

          ดังนั้น จึงไม่แปลกที่อัลกุรอานใช้คำว่า “ กองกำลังกลุ่มหนึ่ง“ แทนกลุ่มนักศึกษา ดังที่  อัลกุรอานกล่าว ความว่า “ ทำไมแต่ละกลุ่มในหมู่พวกเขาจึงไม่ออกไปเพื่อหาความเข้าใจในศาสนา และเพื่อจะได้ตักเตือนหมู่คณะของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้กลับมายังหมู่คณะของพวกเขา โดยหวังว่าหมู่คณะของพวกเขาจะได้ระมัดระวัง “ (อัตเตาบะฮฺ /122)        

ดังกรณีที่ อัลกุรอานใช้คำว่า “ กองกำลังกลุ่มหนึ่ง” กับกองพลในสนามรบ “ พวกเจ้าจงออกไปกันเถิด ทั้งที่ผู้มีสภาพว่องไว และผู้ที่มีสภาพเชื่องช้า (บุคคลทุกประเภทที่สามรถจะเดินทางได้) และจงเสียสละทั้งด้วยทรัพย์ของพวกเจ้า และชีวิตของพวกเจ้าในทางของอัลลอฮฺ นั่นแหละคือสิ่งที่ดียิ่งสำหรับพวกเจ้า หากพวกเจ้ารู้

          วันนี้เป็นวันแห่งความปลาบปลื้มและปีติยินดี จากความสำเร็จของลูกหลานของเราที่เป็นบัณฑิตใหม่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการกลับสู่ครอบครัว สังคม และประชาชาติ เราจำเป็นที่จะต้องมอบภารกิจให้กับพวกเขาในการนำศาสตร์ความรู้ที่ถูกต้อง และลบล้างทัศนคติเชิงลบทั้งหลาย พร้อมนำความรู้ไปพัฒนาคุณภาพชีวิต และตักเตือนพวกเขาให้พ้นจากเส้นทางที่เบี่ยงเบน (หวังว่าหมู่พวกเขาจะได้ระมัดระวัง)

          พี่น้องนักศึกษา

          ใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยเปรียบเสมือนเข็มทิศ จะนำทางสู่การทำงานและเป็นกุญแจดอกเล็กๆ เพื่อเปิดทางในกระบวนการสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ และปริญญาคือการเริ่มต้น ไม่ใช่เป็นการสิ้นสุดของการศึกษาหาวิชาความรู้

          ขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺให้เพิ่มพูนความรู้ และขอความคุ้มครองให้รอดพ้นจากความรู้ที่ไม่มีประโยชน์ ภารกิจทุกอย่างขอมอบแด่อัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงคุ้มครองที่ดีเลิศ และผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีเยี่ยม

          สุดท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีให้กับบัณฑิตทุกคน และขอชื่นชมมหาวิทยาลัยอิสลามยะลาและคณะผู้บริหารที่มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างเกียรติประวัติของมุสลิมในภูมิภาคนี้ และได้สร้างหอประภาคารแห่งการเรียนรู้ และแสงสว่างที่นำทางแก่มวลมนุษย์ นำเสนอคุณค่าของศาสนาอิสลาม ที่ปราศจากรุนแรงและสุดโต่ง

Wassalam

สายธารทางความคิดของชาติตะวันตก

ดาร์วินสอนมนุษย์ว่า คนวิวัฒนาการมาจากลิง
มาเคียเวลเลียน สอนให้ผู้แสวงหาอำนาจให้เป็นสุนัขจิ้งจอกและสิงโตในคนเดียวกัน

อารยธรรมชาติตะวันตยุคใหม่จึงเป็นอารยธรรมที่มาจากสายธารทางความคิดของความเป็นสัตว์ ที่ไร้ปัญญา ขาดสติ บูชาอารมณ์ ใช้กำลัง เล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย โหดร้ายอำมหิต

หลังจากตะวันตกถูกครอบงำโดยนักการศาสนาที่อธรรม บีบบังคับให้ผู้คนดูถูกสติปัญญา ฉุดรั้งมนุษย์ตกอยู่ใน “ยุคมืด” อันปวดร้าวทรมาน ทำให้ชาติตะวันตก เข็ดหลาบกับความโหดร้ายของศาสนา พวกเขาจึงปฏิเสธศาสนาอย่างไม่มีเยื่อใย และอ้าแขนต้อนรับคุณค่าของความเป็นสัตว์เดรัจฉานแทน

พวกเขาจึงมองอิสลาม เหมือนศาสนาที่ตนเองเชื่อถือในยุคมืด กอปรด้วยวาทกรรมการใส่ร้ายและการโจมตีเชิงระบบต่ออิสลาม ทำให้ชาติตะวันตกจึงหวาดกลัวและชังอิสลามเข้ากระดูกดำ

ปัจจุบัน ท่ามกลางโลกยุคข้อมูลไร้พรมแดน ทำให้ความรู้อิสลามได้รับการถ่ายทอดอย่างกว้างขวาง ชาวยุโรปบางส่วนมีโอกาสศึกษาอิสลามอย่างใกล้ชิด ทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้กับสัจธรรมอิสลาม

หลายคนที่เคยเป็นนักการเมืองขวาจัดที่เคยเคียดแค้นอิสลาม หลายคนที่เคยจมปลักในทะเลอารมณ์ทั้งดารา นักแสดง นักร้องหรือแม้กระทั่งแก๊งค์สตาร์ หลายคนที่เคยเป็นผู้มีชื่อเสียงในสาขาอาชีพต่างๆ หลายคนแม้กระทั่งนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชา สุดท้าย ต้องยอมศิโรราบกับสัจธรรมแห่งอิสลาม เพราะอิสลามไม่เคยปฏิเสธปัญญา และปัญญาที่บริสุทธิ์ต้องการการชี้นำจากอิสลาม


โดย Mazlan Muhammad

ไม่จำเป็นต้องพิชิตเส้นชัย เพียงแต่ให้อยู่ในลู่วิ่งที่ถูกต้อง ก็พอ

พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ว่า…

บรรดาบรรพชนยุคแรก อาทิ นางซุมัยะห์….ยาซิร…..มุศอับ…อะนัสบินนัฎร์ … ฮัมซะห์บินอับดุลมุฏฏอลิบ….อับดุลลอฮฺบินญะห์ชฺ….สะอัดบินรอเบียะ….และอัมรุบินยุมูฮฺ……

พวกเขาเหล่านี้ไม่มีโอกาสเห็นความรุ่งโรจน์และความยิ่งใหญ่แห่งอิสลาม  พวกเขาไม่ได้เป็นสักขีพยานการพิชิตของท่านอุมัรและชัยชนะอันมากมายของคอลิด บินวะลีด

พวกเขาไม่ได้อยู่ร่วมกับริบอีบินอามิร ที่ได้พิสูจน์ต่อหน้า “รุสตัมแม่ทัพแห่งเปอร์เซีย” ว่าอิสลามสูงส่งและมีศักดิ์ศรีเพียงใด

พวกเขาไม่ได้อยู่ร่วมกับ เคาะลีฟะฮ์ฮารูนอัรรอชีด ในครั้งที่ท่านได้กล่าวถึงก้อนเมฆว่า..

“เจ้าเมฆฝนเอย…จงตกลงมาเถิด ไม่ว่าจะไปตก ณ ที่ใดอันไกลโพ้นตามที่เจ้าปรารถนาก็ตาม  ผลผลิตและภาษีของเจ้า ก็จะกลับมายังข้า”

พวกเขาเหล่านั้นได้ริเริ่มบน”เส้นทางนี้” และได้สิ้นชีวิตในช่วงเริ่มต้นของเส้นทางเท่านั้น โดยไม่มีโอกาสไปถึงปลายทางเลย

พวกเขาไม่ได้เก็บเกี่ยวมรรคผลในสิ่งที่พวกเขาได้เริ่มต้น(ขออัลลอฮทรงพอพระทัยพวกเขาด้วยเถิด)

ดังนั้น

ท่านจงอย่าถามไถ่จุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้ 

เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ ท่านยืนหยัดอยู่บนลู่ทางนี้หรือไม่

แม้ว่าท่านจะต้องตายจากไปตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นหรือระหว่างทางนี้ก็ตาม

ไม่มีอะไรเที่สร้างอันตรายให้แก่ท่านได้

ท่านไม่จำเป็นต้องพิชิตเส้นชัย

เพียงแต่ให้อยู่ในลู่วิ่งที่ถูกต้อง

ก็เป็นพอ

ท่านจงเป็นดั่งบุคคลที่พระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงพวกเขาว่า

‎مِن الْمُؤْمِنِينَ رِجَالٌ صَدَقُوا مَا عَاهَدُوا اللَّهَ عَلَيْهِ ۖ فَمِنْهُم مَّن قَضَىٰ نَحْبَهُ وَمِنْهُم مَّن يَنتَظِرُ ۖ وَمَا بَدَّلُوا تَبْدِيلًا

“ในหมู่บรรดาผู้ศรัทธา มีบุรุษผู้มีสัจจริงต่อสิ่งที่พวกเขาได้สัญญาต่ออัลลอฮฺเอาไว้ ดังนั้นในหมู่พวกเขามีผู้ปฏิบัติตามสัญญาของเขา และในหมู่พวกเขามีผู้ที่ยังรอคอย (การตายชะฮีด) และพวกเขามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด”

เรากำลังอยู่บนเส้นทางนี้ เราหวังการตอบรับจากพระองค์อัลลอฮฺ ไม่ใช่สาระสำคัญว่าเราจะแตะเส้นชัยหรือไม่…แต่เป้าหมายคือการที่เราได้จบชีวิตอยู่บนเส้นทางนี้ต่างหาก พระองค์อัลลอฮทรงปกปักษ์รักษาศาสนาของพระองค์เอง

ดังนั้นขอให้เราจงตั้งเจตนาใหม่ในทุกเรื่อง ทุกชั่วโมงและทุกเสี้ยวเวลานาที เพราะเราไม่มีทางรู้ว่า

เราจะจากไปเมื่อไร …


ที่มา

แปลสรุปจากบทความในภาษาอาหรับ

من الضروري أن تعرف

بأن سمية .. وياسر .. ومصعب ..

وأنس بن النضر .. وحمزة بن عبدالمطلب ..وعبدالله بن جحش ..

سعد بن الربيع .. عمرو بن الجموح …..

هؤلاء لم يروا عزاً للإسلام ولا تمكينــــاً ..

ولم يشاهدوا فتوحات “عمر” وانتصارات “خالد”

ولم يشاهدوا ” ربعي بن عامر” وهو يستعلي بدينه أمام “رستم ملك الفرس”

ولم يشاهدوا “هارون الرشيد” وهو يقول مخاطبًا السحب :

“أمطري حيث شئتِ فسوف يأتيني خراجك”

هم بـــــدؤوا “الطــــريق”

وماتوا في أوله ولم يصلوا إلى آخره ولم يجنوا ثمار ما بدؤوا “رضي الله عنهم جميعا”

فلا تسأل عن نهاية الطريق

المهم أن تكون على الطريق

حتى إذا ما مت على أوله أو في منتصفه لم يضرك شيء

فتكون ممن قال الله فيهم :

مِنَ الْمُؤْمِنِينَ رِجَالٌ صَدَقُوا مَا عَاهَدُوا اللَّهَ عَلَيْهِ ۖ فَمِنْهُمْ مَنْ قَضَىٰ نَحْبَهُ وَمِنْهُمْ مَنْ يَنْتَظِرُ ۖ وَمَا بَدَّلُوا تَبْدِيلًا

إننا نسير على الطريق ونرجو الله القبول وليست الغاية أن نصل ؛ ولكن الغاية أن نموت على الطريق والله حافظ دينه

فلنجدد النية في كل أمر وفي كل ساعة بل في كل لحظة .. فلا نعلم متى الرحيل ..

اللهم اهدنا واهد بنا واجعلنا أسباباً لهداية خلقك

แปลสรุปโดย Ismail Rao

ระหว่างการใช้ชีวิตเพื่อตนเองกับการใช้ชีวิตเพื่ออุมมะฮ์

หากเราใช้ชีวิตเพื่อบำเรอความสุขของตนเอง เราจะมีอายุสั้นๆตามอายุขัย

หลังจากเสียชีวิตไป ไม่ค่อยมีใครพูดถึง แม้กระทั่งลูกหลานตนเอง

แต่หากใช้ชีวิตเพื่อสร้างคุณูปการแก่ประขาขาติ (อุมมะฮ์) เราจะมีชีวิตยั่งยืนจนข้ามโพ้นกาลเวลา

ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ์ครองโสด จนเสียชีวิต ท่านจึงไม่มีลูกสืบสกุล แต่ได้ทิ้งประชาชาติศอลิห์ที่คอยดุอาให้ท่านตลอด

อิมามนะวะวีย์ ครองโสดและไม่มีทายาทคอยดุอา  แต่เชื่อว่า ไม่มีมุสลิมใฝ่ศาสนาคนไหน ที่ไม่รู้จักตำรา 40 หะดีษอันนะวะวีย์และคอยดุอาให้ท่านตลอด

อิมามอิบนุญะรีรอัฏเฏาะบะรีย์ เสียชีวิตในสภาพโสดเช่นกัน ท่านจึงไม่มีลูกเป็นขวัญตา แต่ท่านได้ฝากคลังความรู้ด้านอรรถาธิบายอัลกุรอานที่ผู้รู้ทุกคนขาดไม่ได้ พร้อมดุอาให้ท่านประจำ

อิมามมาลิก ผู้ซึ่งอิมามอัซซะฮะบีย์เล่าว่า อิมามมาลิกถูกโบย ถูกทรมานจนกระทั่งสลบ อัซซะฮะบีย์กล่าวว่า ฉันหวังว่า ทุกครั้งที่อิมามมาลิกถูกโบย อัลลอฮ์จะยกระดับให้ท่าน 1 ชั้นในสวรรค์ ทุกวันนี้ เราแทบไม่สนใจว่าเหล่าก่อการร้ายที่ฟิตนะฮ์อิมามมาลิกเป็นใครกัน แต่มุสลิมทุกคนดุอาให้ท่านทุกครั้งที่เอ่ยชื่อท่าน

เช่นเดียวกันกับอิมามชาฟิอีย์ ที่มีคนใจโฉดปองร้ายท่าน จนต้องอพยพออกจากเยเมนสู่กรุงแบกแดดและใช้ชีวิตในบั้นปลายที่อิยิปต์จนกระทั่งเสียชีวิต เราต่างเป็นหนี้บุญคุณอิมามท่านนี้และดุอาให้ท่านตลอดเวลา โดยไม่เคยสนใจใยดีกับแก๊งค์โฉดกลุ่มนั้น

ไหนล่ะ คนที่จับและทรมานอิมามอะห์มัดเข้าคุก พวกเขาได้ตายจากไปแล้ว ทุกคนแทบไม่รู้จักบรรดาผู้อธรรมเหล่านั้น แต่ประวัติ คำสอนและมัซฮับของอิมามอะห์มัดยังเป็นที่กล่าวขานและเป็นบทเรียนจนกระทั่งปัจจุบัน

อิมามบุคอรีย์ถูกกลั่นแกล้งจากผู้ไม่หวังดี จนกระทั่งถูกเนรเทศออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และเสียชีวิตในต่างแดน มีใครจดจำชีวประวัติของเหล่าทรชนกลุ่มนั้นบ้างไหม ในขณะที่ทั่วทุกมิมบัรและมัจลิสอิลมี ต่างก็ยกหะดีษที่รายงานโดยอิมามบุคอรีย์และขอดุอาให้ท่าน

ซัยยิด กุฏุบ โดนตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ท่านไม่เคยผ่านชีวิตคู่ ไม่มีทายาท ถึงแม้บางคนและบางกลุ่มพยายามใส่ไคล้ท่านด้วยฟิตนะฮ์มากมาย แต่เชื่อว่า คำฟิตนะฮ์เหล่านั้น คงไม่สามารถกลบฝังความดีงามของท่านอันมากมาย ผู้คนแทบไม่เอ่ยถึงจอมอธรรมที่ตัดสินประหารชะฮีดท่านนี้ (ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮ์)ในขณะที่ผู้ฟิตนะฮ์ท่าน ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต ก็คงทำได้เพียงเพิ่มพูนความดีงามของท่านในวันแห่งการตัดสินเท่านั้น

คนบางคนได้ตายจากโลกนี้ แต่ความดีงามของเขาไม่เคยสาบสูญ แถมยังดุอาด้วยความดีงามอย่างต่อเนื่องในขณะที่บางคนยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนประหนึ่งคนที่ตายไปแล้ว แถมยังถูกโยนเข้าในกองขยะของประวัติศาสตร์อีกด้วย

 رَبَّنَا اغْفِرْ لَنَا وَلِإِخْوَانِنَا الَّذِينَ سَبَقُونَا بِالإِيمَانِ وَلا تَجْعَلْ فِي قُلُوبِنَا غِلاً لِّلَّذِينَ آمَنُوا رَبَّنَا إِنَّكَ رَؤُوفٌ رَّحِيمٌ


โดย Mazlan Muhammad

IZNOGOUD … วัฒนธรรมการสร้างความเกลียดชังของชาติยุโรปที่มีต่ออิสลาม

Iznogoud เป็นสำนวนฝรั่งเศส มีความหมายในภาษาอังกฤษคือ It’s no good หรือไม่มีอะไรดี เป็นซีรีส์การ์ตูนฝรั่งเศสที่มีตัวละครในตำนานซึ่งสร้างโดยนักเขียนการ์ตูน René Goscinny และศิลปินการ์ตูน Jean Tabary ซีรีส์การ์ตูนเล่าถึงชีวิตและช่วงเวลาของ Iznogoud ผู้สำคัญตนเป็นรองคอลีฟะฮ์แห่งกรุงแบกแดดในอดีต ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการแทนที่คอลีฟะฮ์

 Iznogoud เป็นวลีที่นำมาใช้ในภาษายุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศส เพื่อแสดงถึงลักษณะของคนที่ทะเยอทะยานมากเกินไป เขา ได้รับการสนับสนุนจากบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของเขาชื่อ Wa’at Alahf (What a laugh หรือไอ้ตัวตลก) ทั้งสองมีบุคลิกที่ดูซื่อบื้อ ทึ่มทื่อ ใฝ่สูง ชอบความหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินสนุกสนานกับเหล่านารี

Iznogoud เป็นตัวละครที่ได้รับการดีไซน์ด้วยหน้าตาที่ค่อนข้างอัปลักษณ์ มีจะงอยปากคล้ายจะงอยปากนก มีเครายาวแหลม โพกสัรบั่นและเสื้อคลุมคล้ายชุดของคอลีฟะฮ์ ส่อเจตนาของผู้สร้างที่ต้องการโยงใยให้เป็นอัตลักษณ์ของคนอาหรับหรือชาวมุสลิม ซึ่งมีบุคลิกของคนที่มีนิสัยซื่อบื้อแต่ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง บางครั้ง Iznogoud ถูกวาดพร้อมชูดาบที่มีหยาดเลือดและศพที่ถูกสังหารด้วยวิธีตัดคอ

ชาติยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศสจึงใช้บุคลิกของ Iznogoud เพื่อดูหมิ่นอิสลามจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังลึกในเจตคติที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าในตำนาน ซึ่งต่อมามีการพัฒนาจนกลายเป็นการ์ตูนซีรีส์ และถูกเผยแพร่ไปยังทั่วโลก

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูว่า หากมีประเทศอิสลามสร้างการ์ตูนซีรีย์ที่มีตัวละครใส่ชุดเหมือนกษัตริย์หรือบรรดาขุนนางยุโรปในอดีต แต่มีบุคลิกที่ดูซื่อบื้อ ตะกละ ใฝ่สูง มักมากในกาม ใจโฉดชั่ว แล้วนำไปเผยแพร่ทั่วโลก ถามว่า โลกตะวันตกจะมีปฏิกิริยาเช่นไร


ตัวอย่างซีรีส์ Iznogoud

อ้างอิง

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Iznogoud

โดย Mazlan Muhammad

ออตโตมันโฟเบีย : โรดแมปโลกใหม่ของอิสลาม ตุรกี อาหรับ และตะวันตก

***

ศาสตราจารย์ ดร.มุฮัมมัดฮาบีบ อัลมัรซูกีย์

นักคิดตูนีเซีย

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตูนีเซีย

อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยตูนีเซีย

และมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย

 ***

การที่ประเทศกรีซกลัวความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานของตุรกีที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่และบทบาทเหมือนเช่นในอดีต เป็นที่เข้าใจได้  เพราะกรีซยังไม่ลืมว่าในอดีตยุคหนึ่งเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน แม้จะลืมไปว่าออตโตมันได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่พวกเขา อันเป็นไปตามหลักการศาสนาอิสลาม  ที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความคลั่งในศาสนาคริสต์ออโตด๊อกซ์ของพวกเขา

การที่ฝรั่งเศสหวาดกลัวตุรกีด้วยเหตุผลเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากฝรั่งเศสยังไม่ลืมว่าความใฝ่ฝันของบรรพบุรุษของพวกเขาจบลงพร้อมกับการเข้ามาของออตโตมัน แม้ว่าฝรั่งเศสจะลืมไปว่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้รับการคุ้มครองโดยอาณาจักรออตโตมันเช่นกัน

การที่โปรตุเกสกลัวตุรกีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะอาณาจักรออตโตมันเป็นผู้ขับไล่พวกเขาออกจากอ่าวอาหรับ ทะเลแดง และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

การที่เยอรมันกลัวออตโตมัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้ทำให้กษัตริย์ชาร์ล  ที่ 5 ผู้สถาปนายุโรปสมัยใหม่  ต้องถูกขับไล่พ้นไปจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และออตโตมันยังทำให้สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นกับอาหรับในแอนดาลุสเซียสิ้นสุดลง และยับยั้งแผนการของไกเซอร์ในภูมิภาคนี้

การที่ชนชาติเปอร์เซียกลัวตุรกีก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะว่าพวกเขาต่อต้านอิสลามสายสุนหนี่มาตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และไม่มีใครกำหราบพวกเขาได้  ยกเว้นเซลจู๊กเติร์กในยุคแรก และออตโตมันเติร์กในยุคหลัง

แต่การที่อิสราเอลกลัวตุรกีเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ยกเว้นเรื่องของการ ไม่รู้จักบุญคุณคนและอันธพาลทางเชื้อชาติ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้คุ้มครองยิวในโลกในช่วงสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสงครามศาสนาในยุคครูเสด

ที่ยิ่งไม่เข้าใจไปกว่านั้น คือการที่ชนชั้นปกครองของอาหรับกลัวตุรกี และมุ่งมาดปรารถนาที่จะต่อต้านทำลายตุรกี

เป็นปริศนาที่ยากจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่ อาหรับคนหนึ่ง หากว่ามีความเป็นลูกผู้ชายแม้เพียงสักเศษเสี้ยว ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์อุมัยยะฮ์หลักและอุมัยยะฮ์สายย่อย หากว่าไม่มีเติร์กช่วยคุ้มครองไว้ อาหรับก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้มาถึงวันนี้

หากไม่มีออตโตมัน มุสลิมสุนหนี่และอาหรับก็จะไม่มีหลงเหลืออีก

หากไม่มีออตโตมัน ก็จะไม่มีมุสลิมสักคนคงเหลือในภูมิภาคอาหรับ เพราะว่า สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นยุคนั้น-หมายถึงอาหรับในแอนดาลุสเซีย- ร้ายแรง ยิ่งกว่าสงครามครูเสดเพราะสงครามครูเสดเกิดขึ้นในยุคที่อิสลามเจริญสูงสุดและเข้มแข็งที่สุด ในขณะที่ สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามในแอนดาลุสเซีย เกิดขึ้นในช่วงที่อาหรับตกต่ำที่สุด ทั้งทางจิตวิญญาณและวิทยาการทางวัตถุ

หากว่าไม่มีออตโตมัน แน่นอนพื้นที่ทะเลในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรมันเหมือนเช่นในอดีต ที่ทะเลแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาโรมันว่า “ทะเลมารานุตรา” และกษัตริย์ชาร์ล ที่ 5 ต้องการเข้ามาปกครองเหมือนเช่นในอดีตอีกครั้ง

เขตทะเลอาหรับ ทะเลแดง และอ่าวเปอร์เซีย  ก็เช่นเดียวกัน  หากว่าข้อตกลงสัญญาพันธมิตรระหว่างซาฟาวิดและโปรตุเกส เกิดขึ้นจริงอย่างที่คาดหวัง แน่นอนอิหร่านปัจจุบันก็จะได้ครอบครองเขตพื้นที่ทั้งหมดที่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของเปอร์เซียโบราณก่อนอิสลาม รวมถึงเขตอาณานิคมของไบเซนไตน์

อิสราเอลปัจจุบัน มาแทนที่อาณาจักรไบแซนไทน์ในอดีต และรัสเซีย โดยวลาดิเมียร์ปูติน อาจวางแผนที่จะฟื้นคืนบทบาทไบเซนไทน์ในภูมิภาคนี้ในอดีตเช่นกัน

แต่ที่สามารถเข้าใจได้ก็คือ  จุดยืนของผู้ปกครองโลกอาหรับปัจจุบัน ย่อมเป็นจุดยืนโดยธรรมชาติของผู้ปกครองที่ อังกฤษแต่งตั้งขึ้น เพื่อการทรยศหักหลังออตโตมัน และเป็นพันธมิตรร่วมกันโค่นอาณาจักรออตโตมันในอดีต

และเข้าใจได้ว่าอาหรับชาตินิยมบางกลุ่ม และซากเดนของเผด็จการฟาสซิสต์ และกลุ่มซ้ายจัดที่เป็นทาสของเผด็จการทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในอาหรับอย่างเดียว

เข้าใจได้ที่คนเหล่านี้ล้วนหวาดกลัวต่อการหวนคืนของตุรกีสู่การเป็นอิสลามเหมือนเช่นบรรพบุรุษ รวมถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้หมายถึง  ความเพ้อฝันของอาหรับเหล่านั้น ที่จะใช้ชีวิต อย่างเกษมสำราญ บนเปลือกของเศษซากของอารยธรรม อ้างว่าเป็นความทันสมัยและวัฒนธรรมยุคใหม่ ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของการแสวงหาความสุขสำราญไปวันๆ

ผู้เขียนไม่เคยเห็นชนชั้นนำของประเทศไหนที่โง่เง่าเช่นนี้ ที่เห็นว่าความทันสมัย คือการใช้ชีวิตในฐานะผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิตที่มีเกียรติศักดิ์ศรี  มีจิตวิญญาณเสรี และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ใด

สิ่งที่ไม่เข้าใจอีกประการหนึ่งคือ ทั้งๆ  ที่ตุรกีไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับชาวอาหรับ ถ้าหากพวกเขามีสมองเพียงเล็กน้อย เพียงแค่รวมรัฐเล็กๆ 4 รัฐในโลกอาหรับ ก็เพียงพอที่จะสามารถเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งอำนาจทางทหารที่ทัดเทียมกับตุรกีหรือมากกว่าเป็นเท่าตัว  เพราะรายได้มวลรวม GDP ของประเทศเหล่านั้นมีมากกว่าล้านล้านดอลลาร์

เพียงแค่พวกเขามีความใฝ่ฝันเหมือนบรรพบุรุษ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นเด็กๆ ไร้สมองของพวกเขา เพราะรายได้จีดีพีของพวกเขาเหนือกว่าจีดีพีของตุรกี

จริงๆ แล้วอาหรับไม่จำเป็นต้องกลัวตุรกี แต่สามารถใช้เป็นที่พึ่ง ปกป้องประชาชาติอิสลามในโลกอาหรับรวมถึง ประชาชาติทั้งมวล ตั้งแต่อาหรับภาคตะวันตกไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย รวมถึงมุสลิมพลัดถิ่นในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกหากว่าอาหรับผู้สถาปนารัฐอิสลามยุคแรกและตุรกีผู้พิทักษ์ยุคหลัง จับมือกันจริงๆ เหมือนเช่นในอดีต

หากทว่าในความเป็นจริง บรรดาผู้นำอาหรับ -ไม่รวมประชาชนชาวอาหรับ -ที่ไร้ความใฝ่ฝันกลับชอบที่จะแตกแยก

พวกเขามี 2 กลุ่ม  กลุ่มทาสและกลุ่มผู้อยู่ภายใต้อารักขา

ผู้นำอาหรับส่วนหนึ่งเป็นทาสของซาฟาวิด  บางส่วนเป็นทาสของไซออนิสต์ พวกเขาจ่ายค่าคุ้มครองอีก  2 เท่า ให้แก่รัสเซียและอเมริกา ตลอดจนแขนขาของทั้งสอง ทั้งอิหร่านและอิสราเอล  และมีความสุขอยู่กับการกลับไปสู่ความแตกแยกเหมือนชนเผ่าอาหรับโบราณ

สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้ปกครองอาหรับในวันนี้ กดขี่ประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ มีการอุปโลกน์ผู้นำจอมปลอมและพวกกเฬวรากให้กลายเป็นวีรบุรุษกลวงๆ ให้เป็นชนชั้นนำทางการเมืองและทางการศึกษา  ทั้งๆที่ ผู้นำเหล่านั้นนำพาประเทศไปสู่ความตกต่ำ ความใฝ่ฝันสูงสุดของผู้นำเหล่านั้นคือการรับเอาความเจริญรุ่งเรืองที่ผิดที่ผิดทาง  เนื่องจากพวกเขาคิดว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นสิ่งของสำเร็จรูปที่สามารถนำเข้ามาได้  พวกเขายังสับสน ยังเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นความเจริญ

อัลลอฮ์สร้างคนมาหลากหลายประเภทจริงๆ


ถอดความโดย Ghazali Benmad

ปราชญ์สอนลูก

ลูกรัก  เจ้าอย่าละเลย 3 ประการในชีวิต

1. เจ้าจงทานอาหารที่ประเสริฐสุด

2. เจ้าจงหาที่นอนที่สบายสุดๆ

3. และเจ้าจงพักอาศัยในบ้านที่อบอุ่นที่สุด

ลูกตอบว่า เรายากจน จะทำอย่างไรเล่า

ปราชญ์ตอบว่า

หากเจ้าทานอาหารขณะหิว ก็จะเป็นมื้อที่อร่อยที่สุด

หากเจ้าทำงานหนัก เจ้าจะหลับสบายสุดๆ

หากเจ้าหมั่นทำความดีกับผู้คน เจ้าจะอยู่ในหัวใจผู้คนอย่างอบอุ่นที่สุด