ขอแสดงความยินดีแด่ชาวเปอร์เซีย (2)

1. เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงความประเสริฐของซัลมาน อัลฟารซีย์ ผู้ยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งอิสรภาพของตนเอง ท่านต้องอดทนและยอมพบกับความยากลำบากที่ยาวนานกว่าค้นหาสัจธรรมจากเมืองเปอร์เซียสู่เมืองมะดีนะฮ์พร้อมศรัทธาต่อท่านนบี ตามปรากฏในประวัติศาสตร์

(อ่านเพิ่มเติมที่ ท่านซัลมาน อัลฟารซีย์)

เพราะดัชนีชี้วัดความประเสริฐในอิสลามมิได้อยู่ที่ชาติตระกูล ฐานะทางสังคมภาษาและสีผิว รูปร่างและหน้าตา แต่อยู่ที่ความยำเกรง (ตักวา)

2. การที่นบีพูดความประเสริฐของชาวเปอร์เซียว่าหากอีมาน (การศรัทธา) หรือ อัดดีน (ศาสนา) อยู่ที่ดาวลูกไก่ พวกเขาก็ต้องพยายามไขว่คว้ามัน ไม่ได้หมายความนบีเจาะจงอิหร่านในปัจจุบัน ทั้งในแง่ภูมิศาสตร์และประชากรศาสตร์ เพราะเปอร์เซียในอดีตคืออาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ครอบคลุมพื้นที่เอเชียกลางทั้งหมดที่รวมถึง อัฟกานิสถาน คูรอซาน เตอร์กิสถานตะวันออกและตะวันตก อุซเบกิสถาน คาซาคัสถาน คีร์กีซสถาน อัสฟาฮานและดินแดนที่อยู่พ้นแม่น้ำออกซุส หรือที่เรียกว่า ทรานซอกเซียนา (ดู ทรานซอกเซียนา – Google Search https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B2 )

ณ ดินแดนแห่งนี้ คืออู่อารยธรรมและตักศิลาแห่งวิทยาทานอิสลามที่เจริญรุ่งเรืองในอดีต หลังจากนบีพูดประโยคดังกล่าวไม่ถึง 200 ปี ชาวเปอร์เซียในบริเวณดังกล่าวได้กลายเป็นเหล่าอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ในทุกแขนงวิชาและศาสตร์อิสลาม ทั้งสาขาตัฟซีรกุรอาน หะดีษ ฟิกฮ์ ภาษาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ฯลฯ

ใครบ้างที่ไม่รู้จักอบูฮามิดอัลฆอซาลีย์อัฏฏูซีย์

หากเอ่ยชื่อแค่ ซะมัคชะรีย์หรืออัรรอซีย์ อัลบุคอรีย์ มุสลิมหรือเจ้าของตำราสุนันทั้ง 6 สิบาวัยฮ์ อิบนุซินา ญาบิร์บินหัยยาน คุวาริซมีย์ อิบนุฮัยซัม ฟะรอบี เชื่อว่ามุสลิมทุกคนต้องรู้คูณูปการอันยิ่งใหญ่ต่ออิสลามของบรรพขนเหล่านี้ ที่แม้กระทั่งอิบนุค็อลดูน กล่าวว่า ศาสนาอิสลามถือกำเนิดจากประเทศอาหรับก็จริง แต่ผู้คอยปกป้อง เผยแพร่และถ่ายทอดความรู้กลับเป็นคนที่ไม่ใช่อาหรับ

(ดูส่วนหนึ่งอุละมาอฺหะดีษจากเมือคุรอซาน تصنيف علماء حديث مر خراسان – Google Search)

ว่ากันว่า ตำราต้นแบบของตัฟซีรอัลกุรอานมีประมาณ 42 ชื่อเรื่อง ในจำนวนนี้มี 23 ตัฟซีร ที่ผู้แต่งเป็นชาวเปอร์เซีย ( ดู تصنيف علماء تفسير القرآن من الفرس – Google Search)

ชาวปอร์เซียในอดีต ได้พิสูจน์คำพูดของนบีว่าเป็นความจริงมาแล้ว และพวกเขาได้ไขว่คว้าศาสนาและอีมานที่ติดอยู่บนดาวลูกไก่อย่างสำเร็จสมภาคภูมิ

พวกเขาต่างหากที่รับไม้ต่อปฏิบัติภารกิจเผยแพร่อิสลามที่สืบทอดจากบรรดาเศาะฮาบะฮ์ โดยเฉพาะบรรพบุรุษของพวกเขาท่านซัลมาน อัลฟาริซีย์ رضي الله عنه

ด้วยผลงานอันเยี่ยมยอดของพวกเขา ทั่วแว่นแคว้นเปอร์เซียได้รับอิสลามตามแบบฉบับของรอซูลุลลอฮ์ด้วยห่วงโซ่ที่ไม่เคยขาดตอนที่สืบทอดมาจากบรรดาเศาะฮาบะฮ์ยุคพิชิตเปอร์เซียปี ฮ.ศ. 14 ภายใต้การนำของท่านสพอัด บินอะบีวักก็อศ رضي الله عنه ในยุคสมัยเคาะลีฟะฮ์อุมัร อัลฟารูก رضي الله عنه

ถามว่า ชีอะฮ์อิมาม 12 ผู้ศรัทธาต่อวิลยะตุลฟะกีฮ์ที่รังสรรค์โดยโคมัยนีและสานต่อโดยคอเมเนอีในปัจจุบัน พวกเขาเคยภูมิใจกับบรรพชนเหล่านี้ที่เอ่ยมาข้างต้นไหม เริ่มตั้งแต่ยุคพิชิตเปอร์เซีย ไล่มาถึงยุคอิมามอะบูหะนีฟะห์ อิมามอัลบุคอรี มุสลิม และท่านอื่น ๆนับร้อยนับพัน

ถามว่าพวกเขาเคยมีความสัมพันธ์ในระดับใด มีตำรา หนังสือ บทเรียน หลักสูตรในห้องเรียนที่สอนอย่างเป็นทางการในทุกระดับชั้น หรือมีการบรรยายที่สะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาภูมิใจและเป็นไม้ต่อที่สำคัญของบรรดาบรรพชนเหล่านั้นหรือไม่อย่างไร

ทำไมชีอะห์อิมาม 12 พากันเกลียดชังอุมัร อัลฟารูก ทั้ง ๆ ที่เป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ทำให้อาณาจักรเปอร์เซียล่มสลาย

ทำไมพวกเขายกย่องผู้สังหารอุมัรว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ พร้อมสร้างกุโบร์อย่างสวยงามในอิหร่าน ทั้ง ๆ ที่จอมสังหารคนนั้นปลิดชีพตัวเองตายที่มะดีนะฮ์ มีหลักฐานชิ้นไหนบ้างว่าศพของเขาถูกขนย้ายด่วนไปที่อิหร่านในสมัยนั้น


Mazlan Muhammad

ขอแสดงความยินดีแด่ชาวเปอร์เซีย (1)

1. ซูเราะฮ์มุฮัมมัด   โองการที่  38

هَا أَنْتُمْ هَؤُلَاءِ تُدْعَوْنَ لِتُنْفِقُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ فَمِنْكُمْ مَنْ يَبْخَلُ وَمَنْ يَبْخَلْ فَإِنَّمَا يَبْخَلُ عَنْ نَفْسِهِ وَاللَّهُ الْغَنِيُّ وَأَنْتُمُ الْفُقَرَاءُ  وَإِنْ تَتَوَلَّوْا يَسْتَبْدِلْ قَوْمًا غَيْرَكُمْ ثُمَّ لَا يَكُونُوا أَمْثَالَكُمْ

พึงรู้เถิดว่า พวกเจ้านี้แหล่ะคือ ชนชาติที่ถูกเรียกร้องให้บริจาคในหนทางของอัลลอฮ์ แต่มีบางคนในหมู่พวกเจ้าเป็นผู้ตระหนี่ ดังนั้นผู้ใดตระหนี่เขาก็ตระหนี่แก่ตัวของเขาเอง เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงมั่งมี แต่พวกเจ้าเป็นผู้ขัดสน

และถ้าพวกเจ้าผินหลังออก พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนชนชาติอื่นมาแทนพวกเจ้า แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเจ้า

► สาเหตุแห่งการประทานโองการ

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ تَلاَ هَذِهِ الْآيَةَ :

‎{وَإِنْ تَتَوَلَّوْا يَسْتَبْدِلْ قَوْمًا غَيْرَكُمْ ثُمَّ لا يَكُونُوا أَمْثَالَكُمْ }،

‎فَقَالُوا: يَا رَسُولَ اللَّهِ،مَنْ هَؤُلاءُ الَّذِينَ إِنَّ تَوَلَّيْنَا اسْتُبْدِلُوا بِنَا ثُمَّ لا يَكُونُوا أَمْثَالَنَا؟

‎قاَلَ : فَضَرَبَ بِيَدِهِ عَلَى كَتِفِ سَلْماَنَ الْفاَرِسِيِّ ثُمَّ قاَلَ :  هَذَا وَقَوْمُهُ ، وَلَوْ كاَنَ الدِّيْنُ عِنْدَ الثُّرَياَّ لَتَناَوَلَهُ رِجاَلٌ مِنَ الْفُرْسِ

‎ تفسير ابن كثير  سورة محمد  /38

ท่านอะบีฮุร็อยเราะฮ์เล่าว่า :

แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮ์ صلى الله عليه وسلم ได้อ่านโองการนี้ ((และถ้าพวกเจ้าผินหลังออก พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนชนชาติอื่นมาแทนพวกเจ้า แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเจ้า

พวกเขา(ซอฮาบะฮ์)กล่าวว่า  โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  บรรดาพวกที่หากพวกเราผินหลังออก พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนชนชาติอื่นมาแทนพวกเรา แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเรา พวกเขาเหล่านี้เป็นใครหรือ ? นบี صلى الله عليه وسلم ได้ตบด้วยมือของท่านบนหัวไหล่ของท่านซัลมานอัลฟาริซี ต่อจากนั้นท่านกล่าวว่า  คือชายคนนี้และกลุ่มชนของเขา  และมาตรแม้นว่า ดีน(ศาสนาอิสลาม) อยู่ที่ดาวลูกไก่ บรรดาชายจากพวกเปอร์เซียก็จะไปคว้าเอามันลงมาให้ได้อย่างแน่นอน

(ดูตัฟสีร อิบนุกะษีร  อธิบายซูเราะฮ์มุฮัมมัด   โองการที่  38)

2. ซูเราะฮ์ญุมุอะฮ์  โองการที่  3

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

‎وَآَخَرِينَ مِنْهُمْ لَمَّا يَلْحَقُوا بِهِمْ وَهُوَ الْعَزِيزُ الْحَكِيمُ

และกลุ่มชนอื่น ๆ ในกลุ่มพวกเขาที่จะติดตามมาภายหลังจากพวกเขา และพระองค์เป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ

สาเหตุแห่งการประทานโองการ

‎عَنْ أَبِى هُرَيْرَةَ رضى الله عنه قَالَ كُنَّا جُلُوسًا عِنْدَ النَّبِىِّ – صلى الله عليه وسلم – فَأُنْزِلَتْ عَلَيْهِ سُورَةُ الْجُمُعَةِ ( وَآخَرِينَ مِنْهُمْ لَمَّا يَلْحَقُوا بِهِمْ ) قَالَ قُلْتُ مَنْ هُمْ يَا رَسُولَ اللَّهِ فَلَمْ يُرَاجِعْهُ حَتَّى سَأَلَ ثَلاَثًا ، وَفِينَا سَلْمَانُ الْفَارِسِىُّ ، وَضَعَ رَسُولُ اللَّهِ – صلى الله عليه وسلم – يَدَهُ عَلَى سَلْمَانَ ثُمَّ قَالَ « لَوْ كَانَ الإِيمَانُ عِنْدَ الثُّرَيَّا لَنَالَهُ رِجَالٌ – أَوْ رَجُلٌ – مِنْ هَؤُلاَءِ »

ท่านอะบีฮุร็อยเราะฮ์เล่าว่า :

พวกเรานั่งอยู่กับท่านนบี صلى الله عليه وسلم แล้วซูเราะฮ์อัลญุมอะฮ์ได้ถูกประทานลงมายังท่านว่า

((และกลุ่มชนอื่น ๆ ในกลุ่มพวกเขาที่จะติดตามมาภายหลังจากพวกเขา )) 

ฉันได้กล่าวว่า  พวกเขาคือใครหรือ โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  ?

ท่านมิได้ให้คำตอบ จนเขาถามถึงสามครั้ง และในหมู่พวกเรามีซัลมานอัลฟาริซีอยู่ด้วย

ท่านรอซูลุลลอฮ์ صلى الله عليه وسلم ได้วางมือของท่านลงบนซัลมาน จากนั้นท่านกล่าวว่า 

หากแม้นว่า อีหม่าน(ความศรัทธา)อยู่ที่ดาวลูกไก่ บรรดาชาย หรือชายจากคนเหล่านี้จะไปคว้าเอามันมาอย่างแน่นอน

ดู ซอฮีฮุล บุคอรี / 4897, 4898  และซอฮี๊ฮมุสลิม / 6661 , 6662

จึงขอแสดงความยินดีและชื่นชมชาวเปอร์เซีย มา ณ โอกาสนี้


Mazlan Muhammad

ตุรเกียต้องการขับไล่ชาวเคิร์ดจริงหรือ

แสดงว่าหากยังไม่เข้าใจมโนทัศน์ของสิ่งใด เขาไม่สมควรตัดสินในสิ่งนั้น

วงกลมมี 360 องศา อย่าตีความวงกลมแค่องศาแรกที่พบเจอ

เหรียญมีสองด้าน อย่าริอ่านแค่ด้านเดียว แล้วไปตัดสินเหรียญนั้นอย่างมั่วซั่ว

เคิร์ดกับตุรเกียในปัจจุบันคือ 2 ชาติพันธุ์ที่ได้คลุกเคล้าเป็นชาติเดียวกันภายใต้การสร้างชาติมาอย่างยาวนาน

ชาวตุรเกียบางคน ยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชาติพันธุ์ดั้งเดิมเป็นเคิร์ดหรือเติร์กกันแน่ เพราะได้รับการหลอมรวมด้วยวัฒนธรรมอิสลามมานับพันปี

คณะรัฐบาลตุรกีชุดปัจจุบัน ก็แทบแยกกันไม่ออกว่าใครเป็นเติร์กใครเป็นเคิร์ด

แต่เมื่อตุรเกียถูกปกครองโดยผู้นำลัทธิเซคิวล่าร์ชาตินิยม และสถาปนาตัวเองเป็นบิดาของเติร์ก มองชาติพันธุ์อื่นเป็นแค่ราษฎรชั้น 2 หรือ 3  ชาวเคิร์ดจึงถูกปล่อยใช้ชีวิตไปตามยถากรรม ห่างไกลจากกงล้อแห่งการพัฒนาและความเจริญ ถูกทอดทิ้งลอยแพมาอย่างยาวนาน

ทำให้ชาวเคิร์ดไม่มีสหายร่วมชีวิตนอกจากภูเขา ทะเลทรายและกระแสลม

เป็นเหตุให้ชาวเคิร์ดส่วนหนึ่งถูกครอบงำด้วยพลวัตรแห่งความถดถอย 3 ประการคือยากจนแ ไร้การศึกษาและห่างไกลจากคำสอนของศาสนา จนกระทั่งถูกอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คลั่งชาติมาครอบงำ  ลูกหลานของจอมทัพเศาะลาฮุดดีน ผู้พิชิตมัสยิดอักศอในอดีตต้องกลายเป็นอนุชนที่ไม่เหลือเค้าของความเป็นมุสลิมยกเว้นเพียงแค่ชื่อ แม้กระทั่งหัวหน้าพรรคแรงงานเคิร์ดในตุรกี (PKK)  ที่มีอุดมการณ์นิยมลัทธิมาร์ก ก็ยังมีชื่อติดตัวว่าอับดุลลอฮ์ โอคาแลน  (เว้นแต่ผู้ได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮ์)

PKK ในตุรเกียในความเป็นจริงคือลาโง่ที่รับใช้ผู้นำชาตินิยมตุรกียุคก่อน พวกเขาจึงไม่ใช่เป็นตัวแทนของชาวเคิร์ดโดยส่วนใหญ่ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับผลประโยชน์ของชาวเคิร์ดในตุรกี

น่าแปลกที่พรรคสาธารณรัฐประชาชนแห่งตุรกี (CHP) ในขณะเรืองอำนาจ พวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญในการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์เคิร์ด หนำซ้ำปล่อยให้ชาวเคิร์ดใช้ชีวิตอย่างพลเมืองชั้น 2 หรือ 3 แต่เมื่อกลับเป็นผู้นำฝ่ายค้าน พวกเขากลับจับมือกับ PKK ก่อเหตุร้ายทั่วตุรเกียอย่างต่อเนื่องและรุนแรง  โดยที่ชาวเคิร์ดส่วนใหญ่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ

ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือ พรรคประชาธิปไตยเคอร์ดิสถานแห่งซีเรีย (PDK-S)

และพรรคประชาธิปไตยเตอร์กิสถานแห่งอิรัก ( PDK-I)

ที่วางกำลังตามตะเข็บชายแดนของตุรเกียยาวนับร้อย ๆ กม. นั้น พวกเขามีชื่อโก้หรูว่า พรรคประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงมีอุดมการณ์นิยมลัทธิมาร์กอย่างหัวชนฝา ผู้นำของพรรคนี้มีชื่อว่ามัสอูด มุสตะฟา หรืออับดุลลอฮ์ตามชื่อมุสลิมปกติ แต่เนื้อในกลับศรัทธาต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง

ทั้ง  CHP, PKK, PDK-S และ PDK-I  คือ 4 in 1 ที่ใช้ยุทธวิธีแยกกันเดินแล้วรวมกันตี โดยมีเป้าหมายร่วมคือสั่นคลอนชาติตุรเกีย หลังจากตุรเกียถูกเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ในยุคแอร์โดอาน ทั้ง ๆที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีจากรัฐบาลเซคิวล่าร์ใฝ่ซ้าย

พวกเขาต่างกันแค่ชื่อ แต่มีอุดมการณ์ร่วมกันคือใฝ่คอมมิวนิสต์และเกลียดชังอิสลาม มีศัตรูอันเดียวกันคือรัฐบาลตุรเกียยุคแอร์โดอาน  มีเป้าหมายอันเดียวกันคือโค่นหรือสั่นคลอนรัฐบาลแอร์โดอาน และมีผู้สนับสนุนจากแหล่งอันเดียวกันคือชาติยุโรปและเมกา

ท่านผู้อ่านอาจแปลกใจยิ่งกว่านี้ หากรู้ว่าผู้สนับสนุนหลักของ PDK-S ที่น่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของซีเรีย แต่กลับเป็นระบอบบัชชาร์เสียเอง

และจะแปลกใจเพิ่มเป็นเท่าตัว หากรู้ว่า เหตุผลที่พวกเขามีชื่อว่าพรรคประชาธิปไตย ก็หาใช่เป็นอื่นนอกจากเป็นฉากลวงโลกเพื่อเปิดทางให้ได้รับการสนับสนุนทั้งอาวุธและกำลังพลจากประเทศยุโรปทั้งทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศพี่เบิ้มอย่างเมกา ที่เป็นท่อน้ำดลี้ยงอย่างดีให้แก่ PDK-I

 ประเทศที่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยและบูชาเทพีเสรีภาพ แต่กลับสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์และก่อการร้ายทั่วตุรเกีย เขาทำเพื่ออะไรกันหนอ

หากจำกันได้ กลุ่มประเทศยุโรปและเมกา ต่างมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับกลุ่ม IS ที่แผลงฤทธิ์กระฉ่อนโลกเมื่อ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา

ท่านผู้อ่านถึงบางอ้อรึยังครับ

หากยังไม่ถึง ค่อยว่ากันใหม่ใน ep. ต่อไป

โปรดติดตามครับ


โดย Ibnu Desa

ประเทศยุโรปที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอุษมานียะฮ์

ประเทศยุโรปที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอุษมานียะฮ์

1. บัลเกเรีย 545 ปี

2. มอนเตเนโกร 539 ปี

3. โครเอเชีย 539 ปี

4. โคโซโว 539 ปี

5. บอสเนีย เฮิร์เซโกวินา 539 ปี

6. มาซิโดเนีย 490 ปี

7. โรมาเนีย 490 ปี

8. มอลโดวา 490 ปี

9. เซอร์เบีย 400 ปี

10. กรีก 400 ปี

11. จอร์เจีย 400 ปี

12. ยูเครน 308 ปี

13. ไซปรัสใต้ 293 ปี

14. ไซปรัสเหนือ 293 ปี

15. ดินแดนรัสเซียทางตอนใต้ 291 ปี

16. สโลวิเนีย 250 ปี

17. ฮังการี 160 ปี

18. อาเซอร์ไบจาน 25 ปี

19. อาร์เมเนีย 20 ปี

20. สโลวาเกีย 20 ปี


อ้างอิง :

แปลโดย Mazlan Muhammad

การสังหารหมู่อำเภอชาเตียน ที่มาของชะฮีด 1,600 ชีวิต

.

นับแต่กลางศตวรรษที่ 19 จนเกือบสิ้นศตวรรษที่ 20 นับเป็นกลียุคของแผ่นดินจีน ด้วยปัญหานานัปการที่รุมเร้าเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนแอภายในราชสำนัก ภัยคุกคามจากต่างชาติ อุดมการณ์ทางการเมืองที่หลากหลาย ตลอดจนการแก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่ในหมู่ผู้มีอำนาจ ยังความระส่ำระสายไปทั่วทุกหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่มณฑลยูนนาน หรือ หยวินหนาน (云南) ที่อยู่ชิดติดพรมแดนอุษาคเนย์

.

แม้เมื่อจีนรวมกันเป็นหนึ่งภายใต้ระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 เคราะห์กรรมของพี่น้องชาวจีนก็ยังไม่หมดสิ้นเพียงเท่านั้น เนื่องจากการขึ้นสู่อำนาจของ “แก๊ง 4 คน” ซึ่งมีแนวคิดซ้ายตกขอบในปี ค.ศ.1966 ทำให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมโค่นล้างวัฒนธรรมประเพณีเก่าอยู่นานนับสิบปี มีผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายของคนเหล่านี้อย่างเหลือคณานับ

.

มีอยู่หนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์กระแสหลักของชาติ คือการสังหารหมู่ที่อำเภอชาเตียนในปี ค.ศ.1975

.

.

ชาเตียน (沙甸) เป็นอำเภอหนึ่งในมณฑลยูนนาน ขึ้นกับเมืองเก้อจิ้ว (个旧) จังหวัดหงเหอ (红河) ประชาชนเกือบทั้งหมดเป็นชนชาติหุย คือมุสลิมที่มีเชื้อสายและวัฒนธรรมแบบจีนตามนิยามของรัฐบาลจีนแดง

.

ในยุคที่ “แก๊ง 4 คน” เรืองอำนาจ ศาสนาทั้งหมดถูกตราหน้าในฐานะยาเสพติดที่มอมเมาประชาชน ถ่วงรั้งความก้าวหน้าของชาติ รัฐจึงใช้อำนาจในการกำจัดศาสนา บีบคั้นให้ผู้คนสมาทานความเชื่อแบบลัทธิเหมาแทน

.

อำเภอชาเตียนได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากนโยบายดังกล่าว มัสยิดทุกแห่งถูกสั่งปิด ประชาชนไม่มีสิทธิ์ละหมาด อัลกุรอานถูกเผาทิ้ง มิหนำซ้ำชาวหุยจำนวนมากยังถูกบีบบังคับให้กินเนื้อหมู มีรายงานว่ามัสยิดแห่งหนึ่งถูกใช้เป็นโรงเชือดหมู กระดูกหมูที่ถูกเชือดแล้วก็โยนทิ้งลงบ่อน้ำที่ใช้สำหรับอาบน้ำละหมาด

.

นั่นเป็นพฤติกรรมที่ชาวอำเภอชาเตียนยากจะยอมรับ ในปี ค.ศ.1974 ชาวหุยในชาเตียนและพื้นที่ข้างเคียงรวม 1,000 คนจึงขึ้นรถไฟไปปักกิ่งเพื่อรายงานปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ปัญหายังคงยืดเยื้อต่อไป

.

ปลายปีเดียวกัน ชาวหุยมากกว่า 800 คนเดินทางไปยังนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน เพื่อเรียกร้องเสรีภาพในการนับถือศาสนาในรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนั้น พวกเขาได้จัดตั้งกองกำลังของตนเองเพื่อคุ้มกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นด้วย

.

ท่าทีที่แข็งกร้าวของกองกำลังชาวหุยสร้างความหวาดระแวงแก่รัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง คำเรียกร้องเหล่านั้นไม่เพียงได้รับการเมินเฉยแทนคำตอบ หากพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังมองว่านั่นคือการแข็งข้อต่อระบอบการปกครอง

.

กรกฎาคม ค.ศ.1975 ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ดำเนินมาถึงจุดแตกหัก ประธานเหมา เจ๋อตง ลงนามมอบฉันทะให้กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ให้เข้าปราบปรามกองกำลังชาวหุย

.

กองทัพนายทหารที่ผ่านการฝึกฝนอย่างดีนับ 10,000 นาย ยกพลเข้าล้อมอำเภอชาเตียนอย่างแน่นหนาก่อนเช้ามืดวันที่ 29 กรกฎาคม ส่งผลให้เกิดการปะทะกันระหว่างชาวบ้านที่มีอาวุธกับเจ้าหน้าที่รัฐ

.

หนึ่งสัปดาห์แห่งการต่อสู้ผ่านไปพร้อมกับคราบเลือดและเขม่าปืนที่เพิ่มร่องรอยมากขึ้นทุกขณะ PLA ใช้ทั้งปืน ปืนใหญ่วิถีโค้ง เครื่องพ่นไฟ และระเบิดทางอากาศในการโจมตี เป็นเหตุให้ชาวหุยนับร้อย ๆ คนล้มตาย บ้านเรือนกว่า 4,400 หลังถูกทำลาย ความเสียหายลามไปสู่อำเภอข้างเคียงด้วย

.

รัฐบาลระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ที่ 130 คน ในขณะที่บรรดาอิหม่ามหรือผู้นำชาวหุยในชาเตียนประมาณผู้เสียชีวิตไว้ที่ 1,600 คน เป็นเด็ก 300 คน ซึ่งนั่นเป็นจำนวนมากถึง 1 ใน 4 ของผู้คนทั้งหมดในอำเภอที่มีอยู่ในเวลานั้น

.

.

ครั้นเมื่อประธานเหมาถึงแก่อสัญกรรมในปีถัดมา แก๊ง 4 คนก็พลอยหมดอำนาจ ทั้ง 4 ถูกจับกุมและพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนคนใหม่เร่งดำเนินการเยียวยาผู้เสียหายและออกแถลงขอโทษพี่น้องหุยในอำเภอชาเตียนอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 พร้อมทั้งประณามเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนั้นว่า “เป็นการกระทำที่เลวร้ายและรุนแรงที่สุดในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม”

.

ตั้งแต่นั้นมา ชาเตียนก็ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากรัฐ กองทัพหน่วยที่เคยทำลายได้รับคำสั่งให้กลับมาสร้างเมืองนี้ใหม่ พร้อม ๆ กับที่เติ้ง เสี่ยวผิง เริ่มต้นเปิดประเทศ รัฐบาลได้เอื้อให้ธุรกิจของอำเภอชาเตียนเข้าถึงตลาดมาเลเซียและชาติตะวันออกกลางได้ง่ายดาย ทั้งยังส่งนักเรียนนักศึกษาชาวหุยไปเล่าเรียนภาษาและศาสนาในต่างแดนเป็นจำนวนมาก

.

ส่วนผู้ที่จากไปในเหตุการณ์นองเลือดเมื่อปี 1975 คนรุ่นหลังและผู้รอดชีวิตได้ยกย่องพวกเขาเป็น “ชะฮีด” หรือผู้พลีชีพเพื่อยืนหยัดความศรัทธาต่ออิสลาม รัฐบาลจีนยุคใหม่สร้างอนุสรณ์สถานเป็นเสาสูง จารึกข้อความฟาติฮะห์ (บทแรกในอัลกุรอาน) เอาไว้เพื่อรำลึกถึงเหล่าชะฮีด ที่ภาษาจีนเรียกทับศัพท์ว่า ชาซีเต๋อ (沙希德)

.

ปัจจุบัน ชาเตียนมีชื่อเสียงในฐานะเมืองท่องเที่ยวเชิงฮาลาล สิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่สุดของที่นี่คือ มัสยิดกลางชาเตียน (沙甸大清真寺) อันโดดเด่นเป็นสง่าด้วยยอดโดมสีเขียวและหออะซาน 4 มุมซึ่งประยุกต์มาจากมัสยิดอันนะบะวีย์ซึ่งเป็นที่ฝังศพศาสดามุฮัมมัดในนครมะดีนะฮ์ มีความจุมากถึง 10,000 คน เป็นมัสยิดที่ใหญ่และงามที่สุดแห่งหนึ่งในมณฑลยูนนาน

.

อย่างไรก็ดี อดีตที่เคยเกิดขึ้นก็ไม่มีวันลบเลือนได้หมด มัสยิดกลางอันงดงามหลังนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า เป็นอนุสรณ์สถานแห่งการไถ่บาปที่ถือกำเนิดขึ้นบนรอยเลือดและคราบน้ำตาของชาวชาเตียนเอง


เครดิตภาพ @Zhu Yi Qing
เครดิตภาพ @Zhu Yi Qing

เครดิตข้อมูล : Pattadon Kijchainukul

https://www.facebook.com/pattadon.kijchainukul/posts/pfbid025wN6u4hNpoz4wYTgBJNNzt592huFPEKLbMfD1heD4Era39cSwMW4aSzjgaPM9iCBl

คุณรู้จักซอมบี้ดีแค่ไหน

ในความเข้าใจของคนทั่วไปบนโลกใบนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งประชาชาติมุสลิม ซอมบี้ (Zombie) คือสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วฟื้นใหม่พร้อมความดุร้าย ซอมบี้คือตัวแสดงในสื่อบันเทิงแนวสยองขวัญและจินตนิมิต คำนี้มาจากนิทานพื้นบ้านชาวเฮติที่ว่าซอมบี้เป็นศพคนตายที่กลับมามีชีวิตด้วยวิธีการต่าง ๆ ส่วนใหญ่มาจากเวทมนตร์ การพรรณนาถึงซอมบี้ในสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ แต่มักใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่นการแผ่รังสี โรคทางจิต ไวรัส อุบัติเหตุทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

คำว่า “zombie” ในภาษาอังกฤษ บันทึกครั้งแรกในปี ค.ศ. 1819 ในประวัติศาสตร์ของประเทศบราซิล ซึ่งคือที่มาของเรื่องราวที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประชาชาติมุสลิม

ความจริงซอมบี้คือวีรบุรุษมุสลิมที่สถาปนาอาณาจักรอิสลามที่บราซิล มีชื่อเดิมว่า JanJa Zombie ผู้สถาปนารัฐอิสลามที่บราซิล หลังจากที่กองทัพโปรตุเกสได้ยึดครองบราซิลและประเทศอิสลามชายฝั่งแอฟริกาภาคตะวันตกในช่วงปีค.ศ. 1539 กองทัพนักล่าอาณานิคมได้ทำให้ชาวแอฟริกันกลายเป็นทาสรับใช้และปล้นสะดมทรัพยากรกลับสู่ประเทศของตน

ท่ามกลางการกดขี่ทารุณและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดเหี้ยมที่สุด มีวีรบุรุษมุสลิมชาวแอฟริกันคนหนึ่งนามว่า JanJa Zombie ในปีค.ศ. 1775 ได้ลุกขึ้นเชิญชวนผู้คนสู่สัจธรรมแห่งอิสลามและความเชื่อที่ถูกต้อง พร้อมประกาศให้ผู้คนลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออิสรภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เมื่อมีผู้คนจำนวนมากให้การสนับสนุนเขาจึงประกาศสถาปนารัฐอิสลามที่บราซิลโดยมีเมือง “มีราส” เป็นเมืองหลวง หลังจากนั้นรัฐอิสลามนี้ได้กลายเป็นเหยื่ออันโอชะที่บรรดานักล่าได้รุมขย้ำและสวาปาม จนกระทั่งรัฐอิสลามล่มสลายและ JanJa Zombie ได้เสียชีวิตในฐานะชะฮีด หลังจากนั้นองค์การทารุณกรรมและปล้นสะดมนานาชาติในนามมิชชันนารี ก็ได้บังคับขู่เข็ญให้พลเมืองเปลี่ยนนับถือศาสนาใหม่

หลังจากที่พวกเขาพบศพของนายซอมบี้ พวกเขาได้กระทำการอย่างป่าเถื่อนด้วยการตัดศีรษะ มือ เท้าและลากศพประจานไปทั่วเมือง เช่นเดียวกันกับศพมุสลิมอื่นๆ เพื่อสร้างความหวาดผวาและสยองขวัญแก่ผู้คนที่พบเห็น การทารุณกรรมในลักษณะนี้ยังคงต่อเนื่องนานกว่า 50 ปี จนกระทั่งประวัติศาสตร์ของนายซอมบี้ค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำ

นักล่าอาณานิคมได้ปฏิบัติแผนชั่วด้วยการเผยแพร่ประวัติศาสตร์เชิงลบแก่มุสลิมแอฟริกา โดยเฉพาะวีรบุรุษอย่าง JanJa Zombie ด้วยการผลิตหนังและสารคดีสยองขวัญและภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับเด็กๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ทำลายและบิดเบือนประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของชาวมุสลิม โดยให้โลกจดจำแต่ความป่าเถื่อนและภาพแห่งความโหดร้ายสยดสยองของชาวมุสลิมเท่านั้น

พวกเขาไม่ได้ฆ่ามนุษย์เพียงอย่างเดียวแต่ได้สังหารมนุษยธรรมไปด้วย

พวกเขาไม่ได้เป็นอาชญากรสงคราม แต่เป็นอาชญากรทางประวัติศาสตร์ที่อำมหิตที่สุด

เที่ยวระรานราวีไปทั่วโลก แล้วสถาปนาตัวเองเป็นผู้ดี พร้อมๆกับสร้างประวัติศาสตร์ให้ชาติอื่นเป็นตัวแทนแห่งความโหดร้ายแทน

หากชาติตะวันตกจดจำเรื่องราวของซอมบี้คือผีดิบที่ดุร้ายน่ากลัว ก็พอเข้าใจได้

แต่กับประชาชาติมุสลิมแท้ๆ เราจะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างไร


สรุปจากหนังสือ

วีรบุรุษอิสลาม 100 คนที่เปลี่ยนโลก

หน้า 291-292

โดย Jihad Al-Turbani

สรุปโดย Mazlan Muhammad

ส่งคืนอะมานะฮ์ 100 ปี

เรื่องราวดี ๆ  ความงดงามของมุสลิมที่สื่อโลกมองข้าม…ชาวปาเลสไตน์มอบคืนธนบัตรออตโตมัน มูลค่าราว ๆ 9 แสนบาท  ของนายทหารตุรกีที่เก็บไว้กว่า 100 ปี ให้กับรัฐบาลตุรกี

อัลจาซีร่า  -หลังจากเวลาผ่านไป 105 ปี หรือมากกว่านั้น ของฝากที่เก็บรักษาไว้อย่างดีกลับคืนสู่บ้านเกิด และยุติเรื่องราวที่สืบทอดกันมาของตระกูลอัลอะลูล  ในเมืองนับลูส  กาซ่า ปาเลสไตน์  จากรุ่นปู่สู่รุ่นพ่อ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ในวันพฤหัสบดี มีพิธีทหารต่อหน้าเจ้าหน้าที่ชาวปาเลสไตน์และรัฐบาลตุรกี และการรวมตัวครั้งใหญ่ของทายาทตระกูลอัลอะลูล ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ในเมืองนับลูส  เขตเวสแบงก์  โดยตระกูลอัลอะลูลได้มอบของฝากร้อยปีของนายทหารตุรกีให้กับอะหมัด  เดมิเรอ เอกอัครราชทูตตุรกีประจำปาเลสไตน์  เป็นของฝากที่นายทหารตุรกีฝากไว้ก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ทายาทของปู่ทวดอุมัร  อัลอะลูล เล่าที่มาของเรื่องราวที่เล่าให้กับนักข่าวอัลจาซีร่า ว่าพ่อแม่ของเขาเล่าว่า มุตีดีบ อะลูล  น้องชายของฮัจญีอุมัรเป็นทหารเกณฑ์ในกองทัพออตโตมันในเวลานั้น  แนะนำตามคำขอของนายทหารตุรกีให้ฝากเงิน 152 ลีราออตโตมันกับอุมัร พี่ชายของเขา พ่อค้าที่เป็นที่รู้จักซึ่งมีผู้ฝากเงินจำนวนมากไว้ในคลังของเขาในขณะนั้น และบอกว่าจะกลับมารับหลังจากที่กลับมาจากสงคราม แต่สุดท้ายก็หายไปโดยไม่ทราบข่าวคราว รวมถึงน้องชายของฮัจญีอุมัรด้วย

เรื่องราวของฝากดังกล่าว เปิดเผยเมื่อหลายปีก่อน เมื่อคณะนักท่องเที่ยวชาวตุรกีเข้าเยี่ยมชมโรงงานโม่แป้งที่ครอบครัวอัล-อะลูลเป็นเจ้าของในเมืองเก่าของนับลุส ในเวลานั้น ฮัจญีรอฆิบ อัลอะลูล  เปิดเผยต่อคณะเกี่ยวกับของฝาก และจากนั้นก็เริ่มติดต่อกับทางการปาเลสไตน์เพื่อหาช่องทางการสื่อสารกับตุรกี

ในตู้เซฟเหล็กที่แข็งแรงภายในโรงงานของครอบครัวที่อายุมากกว่า 120 ปี ถูกเก็บรักษาไว้ และกุญแจของตู้นิรภัยนั้นถูกเก็บไว้ในตู้นิรภัยอีกอันหนึ่งซึ่งทนทานไม่น้อยกว่ากัน ในลักษณะที่สะท้อนให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของครอบครัวในสิ่งที่ได้รับของฝากซึ่งเป็นที่ทราบในเรื่องความซื่อสัตย์ในการรักษาของฝากของประชาชนในเมืองจนถึงต้นศตวรรษที่แล้วครั้งเมื่อยังไม่มีธนาคารปฏิบัติการ

จนถึงวันนี้ ผ้าที่นายทหารห่อเงินธนบัตรประเภท  5, 1 และครึ่งลีร่า  ยังคงไม่ถูกแตะต้องและถูกนำออกมาเพียงไม่กี่ครั้งเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น

ทายาทตระกูลอะลูลกล่าวว่า หากจะส่งคืนไปให้ครอบครัวนายทหารตุรกีที่บ้านเกิดก็ไม่รู้จัก  ของฝากที่เจ้าของฝากไว้โดยไม่กลับมาเอา  เขาสูญหายไปพร้อมมุตี อะลูล  น้องชายฮัจญีอุมัร ซึ่งไม่มีข่าวคราวใด ๆ นอกจากจากชาวนับลูสคนหนึ่งผู้เห็นเขาเป็นคนสุดท้าย บอกว่า กำลังถูกหามร่วมกับคนอื่น ๆ ขณะได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิเกลิโปลี  

ทั้งนี้  ปาเลสไตน์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1516 หลังจากยุทธการที่มาร์จ ดาบิก ซึ่งออตโตมานเติร์กเอาชนะมัมลุกส์เติร์ก และในปี ค.ศ. 1917 การปกครองของชาวออตโตมานเหนือปาเลสไตน์สิ้นสุดลง และอังกฤษเข้ายึดครองในเวลาต่อมา

ขณะที่ของฝากถูกส่งมอบให้กับตุรกีที่สำนักงานใหญ่ของผู้ว่าการเมืองนับลูส  อัลจาซีราเน็ตได้พบกับอะหมัด  ดีมิเร เอกอัครราชทูตตุรกี ซึ่งเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งและความลึกของความสัมพันธ์ระหว่างชาวปาเลสไตน์และชาวตุรกี

เอกอัครราชทูตตุรกี กล่าวกับอัลจาซีร่าว่า  ตระกูลอัลอะลูลดูแลของฝากด้วยความทุ่มเทและจริงใจ  และหลังจาก 105 ปี ก็จะกลับคืนสู่ผู้มีสิทธิ  และเราใช้สิ่งนี้เพื่อบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเราและเราจะถ่ายทอดเรื่องราวนั้นไปยังประเทศตุรกีของเรา

เกี่ยวกับอนาคตของของฝากนี้ เอกอัครราชทูตตุรกี อธิบายว่า ด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลปาเลสไตน์และครอบครัวอัลอะลูล พวกเขาจะย้ายของฝากนี้ไปที่สำนักงานใหญ่ของสถานกงสุลตุรกีในกรุงเยรูซาเล็ม เนื่องจากเป็นดินแดนตุรกี  เพื่อตัดสินใจในภายหลังว่าจะนำไปที่ไหน

จารึกบนธนบัตรคือ “รัฐออตโตมันอาลียาห์” และคำภาษาตุรกีในตัวอักษรอาหรับ สำนักข่าวอนาโตเลียของตุรกีอ้างคำพูดของผู้เชี่ยวชาญชาวตุรกีว่ามูลค่าของเงินนั้นในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 30,000ดอลลาร์สหรัฐ 

ในพิธีมอบ  เอกอัครราชทูตตุรกีกล่าวสุนทรพจน์ระหว่างพิธีมอบ โดยอิสมาอีล อัลอะลูล ตัวแทนตระกูลอัลอะลูลส่งมอบของฝากให้กับทหารปาเลสไตน์ แล้วมอบต่อให้กับผู้บัญชาการ และส่งมอบให้กับพลตรีอิบรอฮีม รอมาดอน  ผู้ว่าการเมืองนับลูส ซึ่งต่อมาได้ส่งมอบให้กับเอกอัครราชทูตตุรกีท่ามกลางสื่อจำนวนมาก

สิ่งที่เกิดขึ้นคือเครื่องบ่งชี้ถึง “ความซื่อสัตย์อย่างลึกซึ้ง” ของครอบครัวอัลอะลูลโดยเฉพาะและชาวปาเลสไตน์โดยทั่วไป ตามคำกล่าวของผู้ว่าการนับลูสที่บอกกับอัลจาซีรา และว่า ประวัติศาสตร์ความซื่อสัตย์ของชาวปาเลสไตน์มีรากหยั่งลึกเหมือนดังรากมะกอก


โดย Ghazali Benmad

2 พฤศจิกายน รำลึกลีลาการต้มตุ๋นแห่งศตวรรษกับเหยื่อไก่อ่อนแห่งศตวรรษ ปฏิญญาบัลโฟร์ Balfour Declaration

ตุลาคม 1924 อังกฤษบีบให้ชารีฟหุสเซ็น ลงจากตำแหน่งสุลต่านแห่งหิจาซ และมอบอำนาจให้ชะรีฟอาลี บุตรชาย แล้วเนรเทศไปอยู่เกาะไซปรัส ภายใต้การควบคุม จนกระทั่งเสียชีวิต

เป็นจุดจบของประมุขแห่งมักกะฮ์ผู้มีความใฝฝันทะเยอทะยานที่จะรวบรวมดินแดนอาหรับเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ปกครองของตนเอง   อันเป็นการสิ้นสุด ‘การปฏิวัติอาหรับ’ ในแคว้นหิจาซ ต่อต้านอาณาจักรออตโตมัน

● เกมส์ปั่นหัวครั้งนี้มีความเป็นมาอย่างไร

อังกฤษปั่นหัวชะรีฟหุสเซ็น ผ่านแมคมาฮอน ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอียิปต์ หลังจากทราบมาว่า เขาต้องการเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นหิจาซ และแยกตัวออกจากออตโตมัน

อังกฤษสนับสนุนการณ์ครั้งนี้ทุกอย่าง  ทั้งคน  เงินทองและสรรพาวุธ

ในขณะที่แมกมาฮอน ส่งสาส์นติดต่อกับชะรีฟหุสเซ็น สนับสนุนการสถาปนาสหรัฐอาหรับ

ในวันที่  30 สิงหาคม 1915  แมกมาฮอนส่งสาส์นไปยังชารีฟหุสเซ็น  ระบุ  พร้อมที่จะสนับสนุนให้เป็นคอลีฟะฮ์และนำระบอบคอลีฟะฮกลับคืนสู่หิจาซ  

แมคมาฮอนกล่าวในสาส์นนั้นว่า

“บริเตนใหญ่ยินดีกับการฟื้นคืนคอลีฟะฮ์อิสลามให้อยู่ในมือของชาวอาหรับที่แท้จริงจากสายสกุลศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ”

 แต่กลับส่งหนังสือส่วนตัวไปยังเจ้าหน้าที่อังกฤษว่า

“ฉันไม่เคยถือว่าเรื่องการเกิดรัฐอาหรับเอกราชในอนาคตที่มีความเข้มแข็งเป็นเรื่องจริงจัง เพราะเงื่อนไขในคาบสมุทรไม่เปิดช่องให้เป็นเช่นนั้น  เรื่องทำนองนี้ไม่เกิดขึ้นกับโลกอาหรับมานานแล้วและจะไม่เกิดขึ้นอีก

สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือพยายามดึงดูดให้ชาวอาหรับมาถูกทาง แยกพวกเขาออกจากศัตรู และนำพวกเขามาอยู่เคียงข้างเรา  ในตอนนี้มันเป็นเรื่องของคำพูด และเพื่อให้สำเร็จ เราต้องใช้คำพูดที่โน้มน้าวใจ”

ลอร์เรนซ์ อาระเบีย  กล่าวพรรณนาถึงสถานการณ์ในปี  1916  ว่า

“มีประโยชน์กับเรา เพราะมันเป็นไปตามเป้าหมายปัจจุบันของเราในการทำลายความเป็นกลุ่มก้อนของอิสลาม ตลอดจนการปราบและโค่นล้มจักรวรรดิออตโตมัน  และเพราะชารีฟฮุสเซนมุ่งสู่ชัยชนะ พวกเติร์กจะไม่สามารถทำร้ายเราได้อีก  

ชาวอาหรับมีความมั่นคงน้อยกว่าพวกเติร์ก ถ้าเราจัดการอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็จะอยู่ในสถานะ

แตกแยกทางการเมือง  เป็นความบาดหมาง [คู่แข่ง] ที่ไม่สามารถหลอมรวมกันได้”

● ตำนานจอมต้มตุ๋นปะทะไก่อ่อน

ในขณะที่อังกฤษตกลงกับชารีฟ หุสเซ็น ที่เข้าร่วมขบวนการโค่นออตโตมันว่า จะมอบดินแดนอาหรับเพื่อจัดตั้งสหภาพอาหรับ แต่แอบทำสัตยาบันลับๆ ข้อตกลงเซคส์-ปิโกต์ Sykes-Picot Agreement  วันที่ 16 พฤษภาคม 1916 แบ่งดินแดนปกครองกันเอง ไม่ได้ให้กับชารีฟหุสเซ็นตามสัญญาลวงๆ

ข้อตกลง Sykes-Picot ได้รับการลงนามระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษเกี่ยวกับการแบ่งสรรประเทศอาหรับในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ในปี 1916 ถึงระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมของปีนั้น  ในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนเอกสารระหว่างกระทรวงต่างประเทศของทั้งสามประเทศ ( ฝรั่งเศส อังกฤษ  และซาแห่งร์รัสเซีย)

ข้อตกลงไตรภาคีที่เรียกว่า Sykes-Picot Agreement เพื่อกำหนดขอบเขตอิทธิพลของแต่ละประเทศดังต่อไปนี้

– ฝรั่งเศสยึดครองซีเรียตะวันตก   เลบานอนและรัฐอาดานา

– อังกฤษยึดครองอิรักทางตอนใต้และตอนกลาง  รวมถึงเมืองแบกแดด   ท่าเรือเอเคอร์และไฮฟาในปาเลสไตน์

– รัสเซียยึดครองดินแดนอาร์เมเนียในตุรกี และเคอร์ดิสถานตอนเหนือ

– สิทธิของรัสเซียในการปกป้องผลประโยชน์ของนิกายออร์โธดอกซ์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในปาเลสไตน์

– พื้นที่ที่อยู่ระหว่างดินแดนที่ฝรั่งเศสได้รับและพื้นที่ที่อังกฤษได้รับ จะเป็นสหภาพรัฐอาหรับหรือสหรัฐอาหรับ

อย่างไรก็ตามพื้นที่นี้ยังแบ่งออกเป็นเขตอิทธิพลของอังกฤษและฝรั่งเศส อิทธิพลของฝรั่งเศสครอบคลุมถึงลิแวนต์ตะวันออกและโมซุล

ในขณะที่อิทธิพลของอังกฤษแผ่ขยายไปถึงทรานส์จอร์แดนและทางตอนเหนือของรัฐแบกแดดจนถึงชายแดนอิหร่าน

– ดินแดนส่วนที่เหลืออยู่ภายใต้การบริหารระหว่างประเทศ  อันได้แก่ดินแดนของปาเลสไตน์

– ท่าเรือ Iskenderun กลายเป็นอิสระ

ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการเปิดเผยเมื่อคอมมิวนิสต์เข้ามามีอำนาจในรัสเซียในปี 1917 ซึ่งสร้างความโกรธแค้นให้กับตระกูลชารีฟ หุสเซ็น และชาวอาหรับที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากข้อตกลงดังกล่าวและทำให้ฝรั่งเศสและอังกฤษกระอักกระอ่วน  และปฏิเสธอย่างด้านๆว่า ไม่เป็นความจริง 

ในปี 1917 พวกบอลเชวิคได้เผยแพร่เอกสารลับที่พวกเขาพบที่สำนักงานใหญ่ของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียในเมืองหลวงเปโตรกราด รวมทั้งเอกสารข้อตกลงเซคส์-ปิโกต์ Sykes-Picot Agreement ซึ่งถูกอธิบายโดยวิงเกต ข้าหลวงใหญ่อังกฤษ ในจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1918 ว่า:

 “กษัตริย์แห่งฮิญาซได้ส่งโทรเลขที่รุนแรงไปยังตัวแทนของเขา แนะนำให้เขาดำเนินการสืบสวนข้อตกลงแองโกล-ฝรั่งเศสและขอบเขตของข้อตกลง

ให้บอกไปว่ากษัตริย์ไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อตกลงไซคส์-ปิโกต์  ฉันแนะนำให้บอกตัวแทนว่า  ที่พวกบอลเชวิคที่พบในกระทรวงการต่างประเทศเปโตรกราด เป็นบันทึกการเจรจาฉบับเก่าและข้อตกลงชั่วคราว  ไม่ใช่สนธิสัญญาที่เป็นทางการระหว่างอังกฤษฝรั่งเศสและรัสเซีย” 

ชารีฟหุสเซ็นเชื่อในเหตุผลของอังกฤษ และด้วยความไร้เดียงสา ยังแสดงความยินดีกับพวกเขาที่ควบคุมกรุงเยรูซาเล็มโดยกล่าวว่า: “ข่าวนี้ทำให้มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง” โดยเข้าใจไปว่าเมืองอัลกุดส์จะตกอยู่ในขอบเขตอาณาจักรของตน

หลังจากนั้น ก็ร่วมกระบวนการโค่นออตโตมันต่อไป

ภูมิภาคนี้ถูกแบ่งออกตามข้อตกลง  ฝรั่งเศสจึงได้ครอบครองส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเลแวนต์  และส่วนใหญ่ของอานาโตเลียตอนใต้และภูมิภาคโมซุลในอิรัก

ในขณะที่อังกฤษขยายพื้นที่ควบคุมจากเลแวนต์ทางใต้ ขยายไปทางตะวันออก รวมถึงแบกแดด บาสรา และพื้นที่ทั้งหมดระหว่างอ่าวเปอร์เซียและภูมิภาคภายใต้ปกครองของฝรั่งเศส

นอกจากนี้ยังตัดสินใจที่จะจัดการพื้นที่ซึ่งต่อมาได้รับการตัดแยกจากทางใต้ของซีเรีย คือดินแดน “ปาเลสไตน์” ให้อยู่ภายใต้การบริหารระหว่างประเทศ ตามที่จะตกลงกันในการปรึกษาหารือระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส (ต่อมาตามปฏิญญาบัลโฟร์ ได้ตกลงส่งมอบให้กับชาวยิว  ให้ชาวไซออนิสต์สร้างรัฐอิสราเอล)

อย่างไรก็ตามข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าอังกฤษจะได้รับท่าเรือไฮฟาและเอเคอร์   โดยมีเงื่อนไขว่าฝรั่งเศสจะมีอิสระในการใช้ท่าเรือไฮฟา  และฝรั่งเศสได้ตอบแทนอังกฤษโดยการให้ใช้ท่าเรือIskenderun ซึ่งจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตน

ชัดเจนแจ่มชัดถึงขนาดนี้ แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ตำนานจอมต้มตุ๋นกับไก่อ่อน ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง 

พิสูจน์ว่า  แท้จริงแล้ว เหตุผลของเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความไร้เดียงสาไม่ทันเกมส์ มากไปกว่าความโลภหลงไหลในโลกดุนยา ไม่สนใจหลักการถูกผิด…


ที่มา: 

– Al Jazeera

– Meem  Magazine

โดย Ghazali Benmad

อัฟกานิสถาน ฏอลิบานรีเทิรน์และแนวโน้มในอนาคต[ตอนที่ 7]

Taliban และ IS-Khurasan

สองสายธารที่บรรจบได้ยาก

หลังจากการประกาศรัฐอิสลามที่อิรักและซีเรียในปี 2014  Taliban ปากีสถานก็ได้ประกาศให้คำสัตยาบันต่อผู้นำ IS ขณะนั้นคือ นายอะบูบักร์ อัลบัฆดาดีย์ ตามด้วยสมาชิกTalibanจากอัฟกานิสถานบางคนที่แปรพักตร์สนับสนุน IS

ต้นปี 2015 IS ได้ประกาศจัดตั้งรัฐอิสลามคูรอซาน (Islamic State -Khurosan IS-Kh) ซึ่งเป็นชื่อเก่าในอดีตที่ครอบคลุมอัฟกานิสถานปากีสถาน อิหร่านและประเทศในเอเชียกลางในปัจจุบันโดยใช้พื้นที่ในอำเภอแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน คือ Nangarhar เป็นศูนย์ปฏิบัติการ มีกองกำลังหลายพันคน

ปฏิบัติการสำคัญ

IS-Kh ได้ออกแถลงการณ์เป็นผู้รับผิดชอบเหตุการณ์นองเลือดหลายครั้งที่เกิดขึ้นที่อัฟกานิสถานและปากีสถานรวมทั้งการเชือดสังหารชาวบ้านในมัสยิด โรงพยาบาลและที่สถานะอื่น ๆ

ในปี 2019 IS-Kh ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีชาวชีอะฮ์ในงานมงคลสมรสที่กรุงคาบูล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 91 ราย

เช่นเดียวกันกับเหตุโจมตีในปี 2020 ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงคาบูล ที่มีชาวชีอะฮ์อาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ การระเบิดครั้งนี้ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่เสียชีวิต 16 ราย

ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 กลุ่ม

ถึงแม้จะเป็นสองกลุ่มสุนหนี่ที่มาจากกลุ่มติดอาวุธเช่นกัน แต่ทั้งสองมีความแตกต่างทั้งแนวคิด ปรัชญา ยุทธศาสตร์และเป้าหมายโดยเฉพาะการตอบโต้ระหว่างสองฝ่าย ที่หลายครั้งเกิดการปะทะด้วยอาวุธ โดยฝ่าย IS-Kh ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าTalibanเป็นกลุ่มที่ได้ตกศาสนา ( ชาวมุรตัดดีน) รายละเอียดความแตกต่างของทั้งสองกลุ่มนี้ ได้นำเสนอแล้วในตอนที่ 3 ของบทความ

Talibanจึงเป็นก้างขวางคอที่สกัดยุทธศาสตร์การรุกคืบของ IS ที่คูรอซาน ต่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อิรักและซีเรีย ซึ่งกลุ่มนี้สามารถเข้าไปยึดครองได้อย่างง่ายดายในช่วงแรก ถึงแม้ในรอบต่อมา ถูกกองกำลังบัชชาร์ยึดคืนก็ตาม

ในปี 2019 กองกำลังรัฐบาลอัฟกานิสถานที่ปฏิบัติติการร่วมกับสหรัฐอเมริกาได้ประกาศความปราชัยในจังหวัด Nangarhar เมืองทางภาคตะวันออกของประเทศ

ตามรายงานของสหรัฐอเมริการะบุว่า IS-Kh ได้ปฎิบัติการตามเครือข่ายที่นอนหลับ ซึ่งแฝงอยู่ในกรุงคาบูล เพื่อปฏิบัติการโจมตีและก่อการร้ายในพื้นที่

ปฏิกิริยา IS-Kh ต่อ Talibanรีเทิร์น

IS-Kh ได้กล่าวประณาม Talibanอย่างรุนแรง ที่ Talibanได้ร่วมลงมือลงนามกับวอชิงตันที่จัดขึ้น ณ กรุงโดฮาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020 โดยทั้งสองได้ตกลงเรื่องการถอนทัพของสหรัฐอเมริกาและต่างชาติให้ออกจากอัฟกานิสถาน IS-Kh กล่าวหา Talibanว่าเปลี่ยนจุดยืนและขายอุดมการณ์

หลังเหตุการณ์ช๊อคโลก Talibanรีเทิร์น เมื่อ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา องค์กรอิสลามทั่วโลกและผู้นำประเทศอิสลามบางประเทศได้มองในแง่บวกและชื่นชมต่อชัยชนะครั้งนี้ ซึ่งตรงกันข้ามกับ IS ที่สงวนท่าทีและเงียบเฉย แม้กระทั่งกล่าวแสดงความยินดี

ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า ระหว่างเดือนมกราคม- สิงหาคมปีนี้ ISได้ปฏิบัติการโจมตีมาแล้ว 216 ครั้ง เทียบกับ 34 ครั้งในช่วงดังกล่าว เมื่อปีที่ผ่านมา

นิตยสารฝรั่งเศสฉบับหนึ่งกล่าวว่าสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้อัฟกานิสถานกลายเป็นแหล่งปฏิบัติการที่สร้างสีสันแห่งใหม่ของ IS มันไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการถอนกำลังของกองทัพสาหรัฐอเมริกา แต่การรีเทิร์นของ Talibanต่างหากที่ทำให้ IS-Kh ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

“การพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของกองกำลังอัฟกันที่ผ่านมา ทำให้เราต้องหวนกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อิรักเมื่อปี 2011 ผมเกรงว่าจะเป็นหนังที่ถูกฉายซ้ำที่อัฟกานิสถาน พร้อมๆ กับการพัฒนาการอย่างมีนัยของ IS และ Al-Qaeda”

Colin Clark ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางชาวสหรัฐอเมริกา กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2021 เกิดเหตุระเบิดพลีชีพที่บริเวณใกล้สนามบินกรุงคาบูล มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคน พร้อมคำแถลงการณ์จาก IS-Kh ที่แสดงความรับผิดชอบเช่นเคย

#งานหินสุดๆของ Talibanได้เริ่มขึ้นแล้ว

#เมฆดำทมึนเหนือท้องฟ้าอัฟกานิสถานเริ่มก่อตัวอีกครั้ง

#ร่วมดุอาให้ชาวอัฟกัน


ข้อมูลเพิ่มเติม

https://www.aljazeera.net/news/2021/8/26/%D8%B7%D8%A7%D9%84%D8%A8%D8%A7%D9%86-%D9%88%D8%AA%D9%86%D8%B8%D9%8A%D9%85-%D8%A7%D9%84%D8%AF%D9%88%D9%84%D8%A9-%D8%A8%D8%A3%D9%81%D8%BA%D8%A7%D9%86%D8%B3%D8%AA%D8%A7%D9%86-%D9%85%D8%A7-%D8%B3%D8%B1

โดย Mazlan Muhammad

อัฟกานิสถาน ฏอลิบานรีเทิร์นและแนวโน้มในอนาคต [ตอนที่6]

หลังจาก ฏอลิบานเข้ายึดครองอัฟกานิสถานและยึดเมืองหลวงคาบูล ที่ลงเอยด้วยการหลบหนีของอดีตประธานาธิบดีอัชราฟ กานี เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา  เส้นทางใหม่ของกลุ่มนี้ได้เริ่มขึ้น โดยเปลี่ยนสถานภาพจากกลุ่มติดอาวุธเป็นกลุ่มที่ได้รับการคาดหวังว่าจะเข้ายึดบังเหียนอำนาจในอัฟกานิสถาน ที่ถูกทำลายล้างด้วยสงครามและอุดมด้วยความแตกแยกภายใน

ซึ่งแน่นอนว่า มีความแตกต่างกันอย่างมาก ระหว่างกลุ่มที่วันวาน ยังเป็นกลุ่มต่อสู้ติดอาวุธที่มีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงและเน้นสงครามภาคสนาม แต่มาวันนี้คือขบวนการที่ต้องสวมหมวกในนามรัฐบาล ซึ่งประชาชนและประชาคมโลกต่างเฝ้ารอดูผลงานทางการบริหารจัดการ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีในทุกด้านของการพัฒนา

เห็นได้ชัดว่าในขั้นตอนนี้ กลุ่ม ฏอลิบานจะต้องเผชิญกับความรับผิดชอบและความท้าทายมากมายที่ต้องใช้ความตระหนักรู้ ความเข้าใจและความแน่วแน่ในการจัดการกับความเป็นจริง

โมลา อับดุลกานี บาราดาร์ รองหัวหน้าฝ่ายกิจการการเมืองของฏอลิบาน ได้พูดถึงข้อเท็จจริงนี้ เมื่อเขากล่าวในสุนทรพจน์ หลังจากฏอลิบานยึดเมืองคาบูล “จากวันนี้ การทดสอบที่แท้จริงของกลุ่มได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”

ความท้าทายหลักที่ ฏอลิบานต้องเผชิญ หลังจากเข้าควบคุมอัฟกานิสถานในสถานการณ์ปัจจุบัน สามารถสรุปได้ในประเด็นต่อไปนี้ :

1- ความสมานฉันท์แห่งชาติ

ทันทีหลังจากเข้ายึดครองกรุงคาบูล ฏอลิบานได้เริ่มโครงการสร้างความปรองดองระดับชาติและทำความเข้าใจกับฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายต่อต้าน ด้วยการประกาศนิรโทษกรรม เพื่อสร้างรัฐที่เข้มแข็ง ขจัดความเป็นไปได้ของสงครามกลางเมืองและความขัดแย้ง พร้อมนำประเทศสู่เสถียรภาพทางการเมือง

การสร้างอัฟกานิสถานใหม่ และการพัฒนาเศรษฐกิจ หากไม่มีความมั่นคง เสถียรภาพก็ไม่อาจบรรลุได้

ความหลากหลายด้านเผ่าพันธุ์และความเชื่อ เป็นสมการที่มีความสลับซับซ้อนที่สุดที่รอ ฏอลิบานแก้ให้ลงตัวอย่างรอบคอบและเต็มด้วยวิทยปัญญา

รัฐบาล ฏอลิบานต้องตื่นรู้ตลอดเวลาว่า สิ่งที่ช่วยให้ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นล้ม หาใช่ลำพังแค่ขวานอันคมกริบ แต่คือด้ามที่ทำมาจากกิ่งไม้ต่างหาก  ธนูที่สามารถยิงนกได้อย่างแม่นยำที่สุดคือปีกธนูที่ทำจากขนนกนั่นเอง

สิ่งที่ช่วยให้ต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นล้ม หาใช่ลำพังแค่ขวานอันคมกริบ แต่คือด้ามที่ทำมาจากกิ่งไม้ต่างหาก ธนูที่สามารถยิงนกได้อย่างแม่นยำที่สุดคือปีกธนูที่ทำจากขนนกนั่นเอง”  

2- วาระแห่งความปลอดภัย

การรักษาความปลอดภัย คือวาระเร่งด่วนที่จะต้องให้เกิดขึ้นในทุกส่วนของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงคาบูล เมืองหลวง เนื่องจากความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพลเมืองอัฟกัน ที่พวกเขาถูกปฏิเสธมาตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความสำเร็จของ ฏอลิบานในการรักษาความปลอดภัยแก่ประชาชนจะเป็นกุญแจดอกสำคัญสู่ความสำเร็จอื่น ๆ ที่จะนำไปสู่การรวมตัวของชาวอัฟกันและเพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชน

ถือเป็นการบ้านสุดหินของรัฐบาล ฏอลิบานโดยเฉพาะการกลับมาของ IS-KP ( Islamic State Khorasan Province) และกลุ่มชีอะฮ์ที่ปักหลักอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ

3- การจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล

การจัดตั้งรัฐบาลที่บริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านที่กำลังเพลิดเพลินกับชัยชนะและเป็นตัวแทนของสังคมอัฟกัน ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์และนิกายความเชื่อ จะต้องไม่ถูกจำกัดเฉพาะกลุ่ม ฏอลิบานเท่านั้น

รัฐบาล ฏอลิบานต้องตระหนักรู้ถึงความต้องการร่วมสมัยของประชาชน ที่ให้ความสำคัญกับการรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง ทั้งวัฒนธรรม การศึกษาและธรรมเนียมประเพณี และการยอมรับของสังคมระหว่างประเทศ ที่เน้นเรื่องสิทธิและการเปิดกว้างในสังคมที่มีความหลากหลาย ซึ่ง ฏอลิบานต้องรักษาน้ำหนักให้เกิดความสมดุลระหว่างความต้องการจากทั้งสองฝ่ายอย่างจริงใจและจริงจัง

          4.      รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ฏอลิบานควรร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อสร้างหลักประกันรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และปิดประตูความแตกแยกในสังคม ที่อบอวลด้วยภาวะสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 40 ปี พร้อมๆกับการกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศในด้านต่างๆ การเตรียมพร้อมในการรับความช่วยเหลือจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากโลกอาหรับและอิสลาม เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศอย่างแท้จริง

          5.      การเปลี่ยนแปลงของสังคมอัฟกานิสถานในปัจจุบัน

อัฟกานิสถานในปัจจุบันมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว  มีสถิติที่ไม่เป็นทางการระบุว่า วัยหนุ่มสาวชาวอัฟกันมีอัตราสูงถึง 60 %ของจำนวนประชากรทั้งประเทศที่มีเกือบ 40 ล้านคน กลุ่มนี้มีชีวิตท่ามกลางเทคโนโลยีและสื่อออนไลน์อันหลากหลายที่ต่างจากอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง กลุ่มนี้อาจไม่สามารถบีบบังคับด้วยกองกำลังทางทหาร แต่ต้องปล่อยให้เป็นการตัดสินใจอันอิสระของพวกเขาต่างหาก

เหตุการณ์ในวันที่ 18-19 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่หนุ่มสาวชาวอัฟกันลุกฮือประท้วงที่กรุงคาบูล ไม่เห็นด้วยที่ กลุ่ม ฏอลิบาน ยกธงสัญลักษณ์ของกลุ่มตนเอง โดยไม่ใช้ธงประจำชาติ ก็น่าจะเป็นสัญญาณอันตราย ที่กลุ่ม ฏอลิบาน ต้องรีบกลับไปทบทวน

6.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

สิ่งที่ท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่งของรัฐบาล ฏอลิบาน ยุค 2.0 นี้ คือ การสร้างความยอมรับบนเวทีนานาชาติทั้งในระดับประเทศและองค์กรสากล รัฐบาล ฏอลิบานต้องกำหนดนโยบายที่นานาชาติไม่สามารถสร้างเงื่อนไขที่จะโดดเดี่ยวกลุ่ม ฏอลิบาน เหมือน 20 ปีที่แล้ว ที่มีเพียง  3 ประเทศเท่านั้นคือปากีสถาน ซาอุดิอาระเบียและยูเออี ที่ให้การรับรอง

นายกรัฐมนตรีอังกฤษนายบอริส จอห์นสัน ได้กล่าวในรัฐสภาเพื่อถกเหตุการณ์อัฟกานิสถานเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า “เราจะตัดสินที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด”

น่าจะเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาล ฏอลิบาน รับทราบถึงท่าทีของชาติตะวันตกที่มีต่อ ฏอลิบาน ยุค 2.0 อย่างไร

          7.      บทบาทสื่อและการแสดงออกทางความคิดเห็น

ปัจจุบันมีช่องโทรทัศน์ดาวเทียมและสื่อท้องถิ่นกว่า 100 ช่อง วิทยุชุมชนกว่า 150 สถานี หนังสือพิมพ์และนิตยสารนับสิบกว่าฉบับ และสื่อออนไลน์ต่างๆมากมายที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดทั่วอัฟกานิสถาน ยังไม่รวมโทรศัพท์มือถือที่ชาวอัฟกันใช้นับสิบล้านเครื่อง ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมอัฟกันยุคใหม่ ซึ่งถือเป็นผลพวงของกระแสยุคโลกาภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ต่างจากเหตุการณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ที่รัฐบาล ฏอลิบานอนุญาตเปิดสถานีโทรทัศน์เพียงช่องเดียว คือช่องทางการของรัฐบาล  ปิดสื่อวิทยุแห่งอัฟกานิสถานและเปลี่ยนชื่อเป็นวิทยุเสียงแห่งชะรีอะฮ์ ห้ามสตรีมีบทบาทในทุกกระทรวง ทบวง กรม โดยเฉพาะบทบาทด้านสื่อสารมวลชนทุกประเภท แต่ปัจจุบัน บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อนับหมื่นคนทั่วประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นสตรี

          8.      ยาเสพติด

 รายงานฉบับหนึ่งที่ชวนขนลุกของสังคมอัฟกันคือ อัฟกานิสถานมีรายได้จากการปลูกยาเสพติดชนิดต่างๆ สูงถึง 3,000 ล้านดอลล่าร์ ตามรายงานระบุว่าอัฟกานิสถานสามารถผลิตเฮโรอีนจำนวน 6,700 ตันต่อปี (ข้อมูล 2006) คิดเป็น 92% ของการผลิตเฮโรอีนทั่วโลก

นี่คือฝันร้ายของชาวอัฟกันที่เป็นสิ่งท้าทายอันยิ่งใหญ่ของรัฐบาล ฏอลิบาน ที่สื่อต่างชาติได้โฆษณาชวนเชื่อให้ชาวโลกเคลิ้มอย่างหัวปักหัวปำว่า เบื้องหลังของ ฏอลิบานคือธุรกิจค้ายาเสพติด ทั้งๆที่สมัย ฏอลิบานปกครองอัฟกานิสถานยุคแรก ถือเป็นยุคที่ธุรกิจการค้ายาเสพติดซบเซามากที่สุดในประวัติศาสตร์อัฟกานิสถานทีเดียว

โดยหารู้ไม่ว่า ปรากฏการณ์อันน่ากลัวชวนขนลุกเรื่องธุรกิจยาเสพติด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ มีความคึกคักและบูมสุดขีดช่วง 20 ปี หลังจากรัฐบาล ฏอลิบาน ยุค 1.0 ล่มสลาย และสหรัฐอเมริกาเข้ายึดครองอัฟกานิสถานแทน

          9.      ปัญหาด้านเศรษฐกิจและความยากจน

อีกรายงานหนึ่งที่ชวนขนลุกไม่แพ้กันคือสถิติปัญหาว่างงานสูงถึง 40% (ข้อมูลปี 2005) และประชาชนอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน 53% (ข้อมูลปี 2003) เปรียบเทียบกับประเทศไทยที่ มีอัตราว่างงานสูงสุดในเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ 4.5%  ในขณะที่คนจนมีจำนวน ทั้งสิ้น 5.40 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.79% ของประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูล 2019)

การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ การพัฒนาด้านระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ การแก้ปัญหาการว่างงานและความยากจน การอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานทั้งการศึกษา การสาธารณสุข ไฟฟ้า น้ำ ถือเป็นความท้าทายที่หนักอึ้งของรัฐบาลฏอลิบาน

ภูเขาหิมะทั้ง 9 ลูกนี้ รัฐบาล ฏอลิบานจะข้ามผ่านพร้อมชาวอัฟกันจำนวน 40 ล้านคนได้อย่างไร คงต้องดูกันยาวๆต่อไปครับ

ผู้เขียนขอเป็นหนึ่งคนที่ให้กำลังใจ หวังดี และดุอาให้ฟ้าหลังฝนของอัฟกานิสถานที่มีแต่ความงดงามและปลอดโปร่งตราบนานเท่านาน


โดย Mazlan Muhammad