ชาวอินเดียหนุนอิสราเอลทำสงครามกับฮามาส

ตอฮา  คลินช์ Taha Klinc นักข่าวชาวตุรกีกล่าวว่า นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากการโจมตีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา เราได้เห็นสถานการณ์ที่น่าอัศจรรย์และน่าตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลมีเดีย ซึ่งผู้คลั่งไคล้ศาสนาฮินดูที่เป็นศัตรูกับศาสนาอิสลามต่างเฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่งกับข่าวการสังหารชาวมุสลิมพร้อมทั้งยกย่องอาชญากรรมของกองทัพอิสราเอล

ตามบทความของตอฮา  คลินช์ ในหนังสือพิมพ์เยนี ชะฟัก Yeni Safak ระบุว่า  ข้อความจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกแชร์ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความสุข จนคุณอาจคิดว่าอินเดียเป็นประเทศในตะวันออกกลางที่เกี่ยวข้องกับปัญหาปาเลสไตน์โดยตรง พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับประเด็นนี้มาก

เรื่องนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นเท่านั้น เนื่องจากมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมโดยศาสตราจารย์ ดร.คอลิด อาบู อัลฟัดล์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากวิทยาลัยนิติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย  ลอสแองเจลิส ในการกล่าวคุตบะฮ์เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มกราคม ที่สถาบัน “โอโซลี” Usuli Institute

ศาสตราจารย์ ดร.คอลิด อาบู อัลฟัดล์ กล่าวว่า อาสาสมัครอาสาสมัครชาวฮินดูเข้าร่วมกองทัพอิสราเอลและต่อสู้ในฉนวนกาซาเพียงเพื่อ “ลิ้มรสความสุขของการฆ่าชาวมุสลิม”

และว่า: “การสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเกิดขึ้นโดยทหารอินเดียที่ทำงานในกองทัพอิสราเอล ผู้รักชาติฮินดูสนับสนุนอย่างเปิดเผยถึงสิ่งที่ชาวอิสราเอลกำลังทำกับชาวปาเลสไตน์ และเน้นย้ำว่า “ อิสราเอลเป็นแรงบันดาลใจให้เราในเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” นี่คือสิ่งที่เราจะทำเพื่อชาวมุสลิมในแคชเมียร์” และว่า อินเดียได้เริ่มวางแผนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวมุสลิมแล้ว

ตอฮา  คลินช์ กล่าวเสริม: “เพื่อยืนยันสิ่งที่ศาสตราจารย์ ดร.คอลิด อาบู อัลฟัดล์ กล่าว การโจมตีทางกายภาพและการคุกคามต่อชาวมุสลิมได้เพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในบางเมืองในอินเดีย อีกทั้ง โมดี้ นายกรัฐมนตรีอินเดียได้ทำพิธีเปิดวิหาร “Ram Janmabhoomi Mandir” ในเมืองทางตอนเหนือของอุตตรประเทศ บนสถานที่ที่เป็นที่ตั้งของมัสยิดบาบารี ซึ่งมีอายุย้อนไปถึงสมัยโมกุล”

มัสยิดบาบารีถูกทำลายลงในปี 1992 โดยกลุ่มชาตินิยมฮินดู และเกิดการจลาจลที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 2,000 คน โมดีประสบความสำเร็จในการได้รับการสนับสนุนจากชาวฮินดูต่อต้านอิสลามผู้คลั่งไคล้ผ่านการรณรงค์อย่างแข็งขันในการจัดตั้งวัดฮินดูแทนมัสยิด ซึ่งทำให้เขาเข้าใกล้อำนาจมากขึ้น

ศิลปิน นักแสดง และนักเขียนชื่อดังในอินเดียมีส่วนร่วมในการเปิดวัดดังกล่าว ในขณะที่ชาวฮินดูที่มารวมตัวกันในสถานที่เฉลิมฉลองได้เผารูปของบาบูร์ ชาห์  ผู้ก่อตั้งรัฐสุลต่านโมกุลแห่งอินเดีย และสวดมนต์คำขวัญที่เป็นศัตรูต่อศาสนาอิสลามและมุสลิม

ฉากที่น่าตกตะลึงนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าความเป็นปรปักษ์ต่อบาบูร์ ชาห์ ซึ่งเสียชีวิตในปี 1530 ยังคงอยู่และกำลังดำเนินอยู่

ตอฮา  คลินช์ กล่าวต่อ: ในบริบทของเหตุการณ์ปัจจุบัน ย่านมุสลิมในมุมไบ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บอมเบย์เก่า” รวมถึงร้านค้า บ้านเรือน และสถานที่สักการะ ถูกโจมตีโดยกองกำลังติดอาวุธชาวฮินดู

การโจมตีครั้งนี้ส่งผลให้ร้านค้าหลายแห่งเสียหาย บ้านเรือนถูกบุกโจมตี และมีความพยายามที่จะเผามัสยิด ไม่จำเป็นต้องบอกว่า เมื่อมีการก่ออาชญากรรมและการละเมิดเหล่านี้ ตำรวจมุมไบก็แค่เฝ้าดูและเป่านกหวีด

กลุ่มติดอาวุธที่โจมตีชาวมุสลิมยอมรับหลักคำสอนของลัทธิ”ฮินดูทวา” ซึ่งเป็นลัทธิฟาสซิสต์หัวรุนแรงรูปแบบหนึ่งของลัทธิชาตินิยมฮินดู นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี มีส่วนทำให้ลัทธินี้มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น กองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ไม่ลังเลที่จะก่ออาชญากรรมประเภทที่น่ากลัวที่สุดต่อชาวมุสลิม รวมถึงการสังหาร และการเผามัสยิด การก่อการร้ายที่พวกเขากระทำเรียกว่า “การก่อการร้ายด้วยหญ้าฝรั่น” โดยอ้างอิงถึงหญ้าฝรั่นที่ทำให้เสื้อผ้าของตนแตกต่าง

ในทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์อินเดีย-อิสราเอลมีพัฒนาการที่โดดเด่น โดยก้าวขึ้นสู่ระดับ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” การพัฒนานี้เกิดขึ้นพร้อมกับการลงนามข้อตกลงหลายฉบับในสาขาต่างๆ ตั้งแต่ข่าวกรองไปจนถึงเทคโนโลยี และจากการศึกษาไปจนถึงวัฒนธรรม

บางทีคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของความร่วมมือครั้งนี้ก็คือความคล้ายคลึงกันในตรรกะของการยึดครองที่อิสราเอลทำกับปาเลสไตน์ กลายเป็นแหล่งที่มาของแรงบันดาลใจและเป็นแนวทางสำหรับรัฐบาลอินเดียในการปฏิบัติกับประชากรมุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในอินเดียหรือในแคชเมียร์ ซึ่งรัฐบาลโมดีกำลังทำงานเพื่อเลียนแบบรัฐบาลเนทันยาฮูโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แคชเมียร์ถูกเปรียบเทียบกับปาเลสไตน์ และถูกเรียกว่า “ปาเลสไตน์แห่งเอเชีย”


Cerdit: Ghazali Benmad

จากสงครามเล็ก ๆ กลายเป็นสงครามระดับโลก

สงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซาซึ่งดำเนินไปนานกว่า 116 วันโดยมีการหยุดยิงสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงฉนวนกาซา แต่กำลังขยายและขยายจากฉนวนกาซาไปยังเลบานอนตอนใต้ จากนั้นอียิปต์ ราฟาห์ เยเมนทางตอนใต้ของอาระเบีย  ชายแดนระหว่างจอร์แดน ซีเรีย และอิรัก (ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอัล-ทันฟ์ของอเมริกา) ชายแดนซีเรียและอิรัก จากนั้นก็เป็นชายแดนจอร์แดน ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกา “Tower T-22”

สงครามไม่ได้ขยายตัวในชั่วข้ามคืน แม้ว่ามหาอำนาจจะเข้าร่วมตั้งแต่เริ่มต้นในฐานะผู้ให้การสนับสนุนหลังปฏิบัติการน้ำท่วมอักซอ ซึ่งประเทศสำคัญๆ หลายประเทศเข้าร่วมในการรุกรานฉนวนกาซา แต่ประเทศเหล่านี้กระตือรือร้นที่จะสนับสนุนการทำสงครามเฉพาะภายในฉนวนกาซาเพื่อให้อิสราเอลบรรลุวัตถุประสงค์  เป้าหมายที่ประกาศ ณ ขณะนั้นคือการกำจัดกลุ่มฮามาสและปลดปล่อยนักโทษ แต่ก็ไม่บรรลุเป้าหมายใดเลยและดูเหมือนว่าจะไม่มีวันบรรลุผล…

ทุกวันนี้เราเห็นสงครามในทะเลแดงและกลุ่มฮูตีมุ่งเป้าไปที่เรือที่มหาอำนาจเป็นเจ้าของ  สงครามได้มาถึงจุดที่มุ่งเป้าไปที่กองกำลังอเมริกันในจอร์แดนโดยไม่ต้องกลัวการลงโทษหรือปฏิกิริยาจากประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การกำหนดเป้าหมายไปที่กองกำลังอเมริกันในจอร์แดน อิรัก และซีเรีย เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเพิ่มขึ้นของความโกรธเคืองของชาวอาหรับที่มีต่อรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจเหล่านั้น และจากความกล้าของภาคประชาชนที่อาจเป็นภัยต่อการที่มีต่อการดำรงอยู่ของอเมริกาในโลกอาหรับ  โดยเฉพาะหลังจากการต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ที่บุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ในปฏิบัติการน้ำท่วมอัลอักซอ 

ตลอดระยะเวลาการทำสงครามของอิสราเอลกับประชาชนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะขยายขอบเขตของสงครามยกเว้นในแนวรบเลบานอนตอนใต้ และในขนาดและเวลาและสถานที่ที่จำกัด แต่วันนี้ภาพ วิธีการ และผลลัพธ์ล้วนแตกต่าง

อย่างไร ?

1- สงครามในวันนี้ถือเป็นสงครามที่ยาวนานที่สุดในฉนวนกาซาและประเทศอาหรับ ในประวัติศาสตร์ของการขัดแย้งด้วยอาวุธกับกลุ่มไซออนิสต์

2- สงครามในปัจจุบันประกอบด้วยแนวรบหลายแนวและในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การปิดเส้นทางเดินเรือบางส่วนในทะเลแดงไปจนถึงการขัดขวางกลไกทางเศรษฐกิจของศัตรูและพันธมิตร (สงครามเศรษฐกิจ)

3- สงครามในปัจจุบันรวมถึงการยิงขีปนาวุธพิสัยไกลและโดรนซึ่งไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มไซออนนิสต์ แต่มุ่งเป้าไปที่ฐานทัพของอเมริกาในสามประเทศ ได้แก่ อิรัก จอร์แดน และซีเรีย

4- สงครามในวันนี้ได้มาถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว และพรุ่งนี้สงครามจะไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศผ่านทางประเทศอาหรับและไม่ใช่อาหรับ ยุโรปและละตินอเมริกา (สงครามทางกฎหมาย)

5- สงครามในปัจจุบัน ในด้านหนึ่งได้ขยายขอบเขตออกไปภายในอิสราเอล  มีความขัดแย้งทางการเมืองในคณะรัฐมนตรี ความขัดแย้งทางทหารในสภาสงครามของอิสราเอล รวมถึงความขัดแย้งทางสังคมกับครอบครัวของตัวประกัน และระหว่างกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่มหัวรุนแรงน้อยกว่าในอิสราเอล อีกทั้งขอบเขตของความขัดแย้งยังขยายออกไปและทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับอเมริกา หุ้นส่วนและผู้สนับสนุนทางการเงินรายหลักในการทำสงคราม และนายกรัฐมนตรีอิสราเอลได้กลายเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของรัฐบาลไบเดน และพรรค ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

6- สงครามในปัจจุบันได้เคลื่อนตัวไปตามถนนและจัตุรัสของประเทศหลักๆ ในยุโรปที่สนับสนุนอิสราเอลนี้ เช่น เยอรมนีและอังกฤษ  ซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เดวิด คาเมรอน ประกาศว่าพวกเขากำลังพิจารณารับรองรัฐปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นก้าวใหม่และสำคัญมาก  ความขยับที่โดดเด่นและจุดยืนของสเปนและเบลเยียมในยุโรปถือเป็นจุดยืนที่ก้าวหน้ามากและแตกต่างจากจุดยืนของสหรัฐอเมริกา  ไม่ต้องพูดถึงจุดยืนของรัฐสภายุโรปที่เรียกร้องให้หยุดยิง

7- ทั้งหมดนี้หมายความว่าสงครามไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการถืออาวุธและการต่อสู้ตามบ้านอีกต่อไป แต่เป็นสงครามแห่งความกดดันบนท้องถนนต่อนักการเมืองและผู้บัญชาการทหาร ซึ่งเป็นเรื่องใหม่เช่นกัน

8- สงครามในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับการต่อต้านในเลบานอนและการต่อต้านในอิรัก และหากมองอย่างใกล้ชิด จะพบว่าอิรักมีฐานทัพอเมริกา เช่นเดียวกับซีเรีย จอร์แดน คูเวต กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งหมายความว่าทหารอเมริกันตกเป็นเป้าของการต่อต้านในภูมิภาคซึ่งเป็นเรื่องประวัติการณ์

9- สงครามในปัจจุบัน แม้ว่ากองทัพอาหรับอย่างเป็นทางการจะไม่เข้าร่วมสงครามก็ตาม แต่กองกำลังที่ไม่เป็นทางการได้เติบโตขึ้นและกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่สำหรับกองกำลังของไซออนิสต์ แต่สำหรับกองทัพอเมริกัน เรือรบและเรือประจัญบานตะวันตกในภูมิภาค ซึ่งเชื่อว่าสงครามในอนาคตทั้งหมดจะเป็นสงครามของกองกำลังหรือกองกำลังติดอาวุธที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งหมายความว่าสงครามเหล่านี้จะอยู่นอกเหนือการควบคุมและยากที่จะตรวจสอบ

10- สงครามในปัจจุบันแพร่หลายในสื่อ โทรทัศน์ และในโซเชียลมีเดีย ในลักษณะที่เปิดโปงแนวปฏิบัติของอิสราเอล และอเมริกันที่มีต่อพลเรือนไร้อาวุธ และเป็นที่ชัดเจนว่าการสนับสนุนของอเมริกาต่ออิสราเอลนั้นตกอยู่สภาพวิกฤติ จากการต้องเผชิญกับการรู้เท่าทันของประชาชนและการปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น

11- สงครามในปัจจุบันกำลังขยายตัวในสังคมอาหรับโดยเฉพาะประเทศที่ติดกับปาเลสไตน์และประเทศอื่น ๆ ยามเมื่อได้พบกับการไร้ความสามารถและความเงียบงัน หรือสิ่งทีบางคนมองว่า เป็นการทรยศและการสมรู้ร่วมคิดกับอิสราเอล ความโกรธแค้นก็เพิ่มขึ้นและเสียงก็ดังขึ้น เพื่อประณามรัฐบาลอาหรับและเรียกร้องให้ออกไป หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สนับสนุนอิสราเอล หรือนิ่งเงียบ ไม่ทำอะไรเพื่อยุติการรุกราน  ทำให้รัฐบาลเหล่านั้น ต้องเผชิญกับทางเลือกที่จำกัดและยากลำบาก ซึ่งอาจจะเป็นการตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน หรือการปะทะที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะล่าช้าก็ตาม

12- สงครามในปัจจุบันไม่เพียงแต่เป็นระดับภูมิภาคในแง่ที่ว่าขอบเขตของมันอยู่ภายในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา และอาจขยายไปสู่ระดับทวีปหรือแม้กระทั่งระดับโลก  หลังจากที่รัฐแอฟริกาใต้ยื่นเรื่องร้องเรียนซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้รับฟ้องเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สนับสนุนให้ประเทศอื่นๆ  เช่น โคลอมเบียและโบลิเวีย ในละตินอเมริกา ทำซ้ำรูปแบบนี้โดยการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ

สงครามวันนี้ ไม่ได้มีลักษณะเหมือนสงครามก่อนวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566 และแน่นอนว่า ผลของสงครามครั้งนี้จะแตกต่างจากที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะมีการหยุดยิงในฉนวนกาซาก็ตาม เพราะว่าสงครามไม่ได้อยู่ในฉนวนกาซาหรือในปาเลสไตน์อีกต่อไป แต่เป็นสงครามหลายทิศทาง หลายแรงจูงใจ หลายแนวรบ และหลายภูมิภาค

สงครามวันนี้ได้ทำให้ภาคประชาชนร่วมมือกัน ชาติต่างๆร่วมมือกัน   และปลุกจิตสำนึกของมนุษย์ที่ถูกหลอกด้วยคำขวัญจอมปลอม เช่น ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน  หลังจากที่ได้ออกมาจากใต้ซากปรักหักพังและพบว่าผู้ที่กำลังเข่นฆ่าผู้คน คือผู้ที่ชูสโลแกนการปกป้องสิทธิมนุษยชน


Cerdit : Ghazali Benmad

อิสลามกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

          เนื่องจากมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจากน้ำมือของมนุษย์ และการทำลายนั้นมีความรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าธรรมชาติจะฟื้นฟูด้วยตัวเอง ดังนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีการรณรงค์ให้ทุกคนในสังคมช่วยกันอนุรักษ์ และมีจิตสำนึกอย่างจริงจังก่อนที่จะส่งผลกระทบเลวร้ายไปกว่านี้

          ในทัศนะอิสลาม มนุษย์มีหน้าที่บริหารจัดการโลกนี้ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จรรโลงสังคมสู่การพัฒนาและความเจริญ ถึงแม้มนุษย์จะมีสติปัญญาและมีสามัญสำนึกในการทำความดี แต่บางครั้งมักถูกชักจูงด้วยอารมณ์ใฝ่ต่ำ และความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นเหตุให้มนุษย์ทำลายสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือแม้กระทั่งตนเอง อัลลอฮ์ ได้ตรัสในอัลกุรอานความว่า :

“และหากว่าความจริงได้คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาแล้ว ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินรวมทั้งบรรดาสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องเสียหายอย่างแน่นอน” (อัล-มุมินูน:71)

          จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกฎกติกาเพื่อสามารถโน้มน้าว ให้รู้จักการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอย่างกลมกลืนและยั่งยืน

อิสลามจึงเป็นกฏสากลที่วางกรอบให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ดังต่อไปนี้

          1. อิสลามให้มนุษย์ได้รับรู้ต้นกำเนิดของตนเอง และรับรู้ภารกิจหลักในการกำเนิดมาบนโลกนี้ เขาไม่มีสิทธิที่จะแสดงอำนาจตามอำเภอใจและสร้างความเดือดร้อนแก่สิ่งรอบข้างแม้กระทั่งตนเอง ภารกิจประการเดียวของมนุษย์บนโลกนี้คือการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ทุกกิจการงานไม่ว่าทั้งเปิดเผยและที่ลับ ส่วนตัวหรือส่วนรวม ล้วนแล้วต้องมีความโยงใยและสอดคล้องกับคำสอนของอัลลอฮ์ เพราะการกระทำจะเป็นตัวชี้วัด ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน การศรัทธาจะเป็นกุญแจดอกแรกสำหรับไขประตูสู่การยอมจำนนเป็นบ่าวผู้เคารพภักดี

          2. ความรู้ที่ถูกต้องคือสะพานเชื่อมที่ทำให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในฐานะบ่าวของอัลลอฮ์   ความรู้ที่ถูกต้องจะไม่ขัดแย้งกับสติปัญญาอันบริสุทธิ์ ในขณะที่สติปัญญาและความรู้ จำเป็นต้องได้รับการชี้นำจากคำวิวรณ์ของอัลลอฮ์ ที่ได้รับการขยายความและประมวลสรุปโดยจริยวัตรของนะบีมุฮัมมัด

          ดังนั้นการแสวงหาความรู้จึงเป็นหน้าที่หลักของมุสลิมโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ ช่วงอายุ เวลา สถานที่และสถานการณ์ ความรู้ที่ถูกต้องและสติปัญญาได้เป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตร่วมกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย อ่อนน้อมถ่อมตน และความพอเพียงที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการสันติภาพอันแท้จริง

          พึงทราบว่า การภักดีต่ออัลลอฮ์  โดยปราศจากความรู้ (ไม่ว่าในระดับใดก็ตาม) ย่อมเกิดโทษมหันต์ ยิ่งกว่าก่อประโยชน์อันอนันต์ โดยเฉพาะหากการภักดีต่ออัลลอฮ์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องและสร้างผลกระทบกับผู้คนส่วนรวม

          3. มนุษย์มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือสรีระร่างกาย สติปัญญา และจิตวิญญาณ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแยกส่วน อิสลามได้คำนึงถึงองค์ประกอบด้วยมุมมองที่สมดุลและยุติธรรม ทุกองค์ประกอบจะต้องได้รับการดูแลพัฒนาอย่างเท่าเทียม แม้แต่แนวคิดเล็กๆ ที่จุดประกายโดยเศาะฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งมีแนวคิดที่จะปลีกตัวออกจากสังคม  กลุ่มหนึ่งไม่ยอมแต่งงาน กลุ่มสองจะถือศีลอดตลอดทั้งปี และกลุ่มสามจะดำรงการละหมาดตลอดเวลาโดยไม่พักผ่อน เพื่อจะได้มีเวลาในการบำเพ็ญตนต่ออัลลอฮ์โดยไม่มีสิ่งอื่นรบกวนทำลายสมาธิ แต่เมื่อนะบีมุฮัมมัด  ทราบข่าวจึงเรียกเศาะฮาบะฮ์ทั้งสามกลุ่มนั้นมาเพื่อตักเตือนและสั่งสอนพวกเขาว่า

 “ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ แท้จริงฉันเป็นผู้ยำเกรงอัลลอฮ์มากที่สุดในหมู่สูเจ้า ฉันถือศีลอดแต่บางวันฉันก็ทานอาหาร ฉันละหมาดและฉันผักผ่อน และฉันแต่งงาน ใครก็ตามที่ไม่ประสงค์ดำเนินรอยตามจริยวัตรของฉัน เขาเหล่านั้นมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของฉัน” (รายงานโดย มุสลิม)

          อิสลามจึงให้ความสำคัญในการรักษาความสมดุลในร่างกายมนุษย์ องค์ประกอบทุกส่วนต้องได้รับสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน มีหน้าที่ที่สอดคล้องกับสัญชาติญาณ โดยไม่มีการรุกล้ำหรือสร้างความเดือดร้อนซึ่งกันและกัน

          4. มนุษย์คือส่วนหนึ่งของสังคมที่ไม่สามารถปลีกตัวออกจากกันได้ หน้าที่สำคัญนอกเหนือจากความรับผิดชอบต่อตนเองแล้ว เขาต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์ในสังคมที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ไม่ว่าด้านบวกหรือด้านลบ ย่อมมีผลกระทบต่อสมาชิกในสังคม ดังหะดีษบทหนึ่งที่นะบีมุฮัมมัด กล่าวไว้ความว่า

“ได้อุปมาผู้คนในสังคมที่มีหน้าที่ปกป้องบทบัญญัติของอัลลอฮ์ เสมือนผู้ที่อยู่ในเรือลำเดียวกัน ผู้ที่อยู่ชั้นล่างมักขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ชั้นบนในการให้น้ำเพื่อบริโภค จนกระทั่งผู้ที่อยู่ชั้นล่างเกรงใจ เลยฉุกคิดว่าหากเราทุบเรือเป็นรูโหว่เพียงเล็กน้อยเพื่อสะดวกในการรับน้ำก็จะเป็นการดี เพราะเพื่อนๆ ที่อยู่ชั้นบนจะไม่เดือดร้อน ซึ่งหากผู้คนชั้นบนไม่หักห้ามหรือทักท้วงการกระทำดังกล่าว พวกเขาก็จะจมเรือทั้งลำ แต่ถ้ามีผู้คนหักห้ามไว้ พวกเขาก็ปลอดภัยทั้งลำเช่นเดียวกัน”(รายงานโดยบุคอรี)

          อิสลามจึงห้ามมิให้มีการรุกรานหรือสร้างความเดือด ทรัพยากรมนุษย์จำเป็นต้องได้รับการรักษาและอนุรักษ์ไว้โดยไม่คำนึงถึงศาสนา ชนชาติ และเผ่าพันธุ์ อิสลามถือว่าการมลายหายไปของโลกนี้ยังมีสถานะที่เบากว่าบาปของการหลั่งเลือดชีวิตหนึ่งที่บริสุทธิ์ อิสลามจึงประณามการกระทำที่นำไปสู่การทำลายในทุกรูปแบบ ดังอัลลอฮ์  ได้กล่าวไว้ ความว่า

 “และเมื่อพวกเขาหันหลังไปแล้ว เขาก็เพียรพยายามในแผ่นดินเพื่อก่อความเสียหายและทำลายพืชผลและเผ่าพันธุ์ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบการก่อความเสียหาย” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 205 )

          5.  การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านสังคมและสุขภาพ อิสลามส่งเสริมให้มนุษย์กระทำคุณงามความดีและสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม ดังปรากฏในหะดีษ ความว่า

“อีมานมี 70 กว่า หรือ 60 กว่าสาขา สุดยอดของอีมาน คือคำกล่าวที่ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และอีมานที่มีระดับต่ำสุดคือ การเก็บกวาดสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บนถนนหนทาง” ( รายงานโดยมุสลิม )

          การเก็บกวาดขยะสิ่งปฏิกูลและสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บนถนนหนทาง ถึงแม้จะเป็นขั้นอีมานที่ต่ำสุด แต่หากผู้ใดกระทำอย่างบริสุทธิ์ใจและหวังผลตอบแทนจากความโปรดปรานของอัลลอฮ์  แล้ว เขาจะได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ์  และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเข้าสวรรค์  ดังหะดีษบทหนึ่งความว่า  อบูฮุร็อยเราะฮ์เล่าว่า ฉันได้ยินท่านนะบีมุฮัมมัด  กล่าวว่า

 “แท้จริงฉันเห็นชายคนหนึ่งกำลังพลิกตัวในสวรรค์ เนื่องจากเขาเคยตัดทิ้งต้นไม้ที่ล้มทับบนถนน เพื่อมิให้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนที่สัญจรไปมา” (รายงานโดยมุสลิม)

          อิสลามห้ามมิให้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทั้งน้ำนิ่งหรือน้ำไหล การถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะในแหล่งน้ำ ถือเป็นการกระทำที่ถูกสาปแช่ง ดังหะดีษที่เล่าโดยมุอาซบินญะบัลเล่าว่า นะบีมุฮัมมัด กล่าวว่า

“จงยำเกรงสถานที่ที่เป็นสาเหตุของการสาปแช่ง ทั้ง 3 แห่ง คือ การถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะใน(1)แหล่งน้ำ (2)บนถนนที่ผู้คนสัญจรไปมา และ(3)ใต้ร่มเงา” ( รายงานโดยเฏาะบะรอนีย์ )

     ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ทุกกิจการของมนุษย์จะต้องอยู่ภายใต้กฏกติกาที่นะบีมุฮัมมัด  ได้กำหนดว่า

“ไม่มีการสร้างความเดือดร้อนและไม่มีการตอบโต้ความเดือดร้อนด้วยการสร้างความเดือดร้อนทดแทน”

( รายงานโดยอีมามมาลิก)

          6. อิสลามกำชับให้มุสลิมทุกคนมีจิตใจที่อ่อนโยน ให้เกียรติทุกชีวิตที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะชีวิตมนุษย์ อิสลามจึงห้ามการทรมานสัตว์ และการฆ่าสัตว์โดยเปล่าประโยชน์ อิสลามสอนว่า

 “หญิงนางหนึ่งต้องเข้านรกเพราะทรมานแมวตัวหนึ่งด้วยการจับขังและไม่ให้อาหารมัน จนกระทั่งแมวตัวนั้นตายเพราะความหิว” ( รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)

ในขณะเดียวกัน

“ชายคนหนึ่งเข้าสวรรค์เนื่องจากรินน้ำแก่สุนัขจรจัดที่กำลังกระหายน้ำ อิสลามถือว่า การให้อาหารแก่ทุกกระเพาะที่เปียกชื้น ( ทุกสิ่งที่มีชีวิต ) เป็นการให้ทานประการหนึ่ง” ( รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)

          มุสลิมไม่กล้าแม้กระทั่งฆ่านกตัวเดียวโดยเปล่าประโยชน์ เพราะตามหะดีษที่รายงานโดยอันนะสาอีย์และอิบนุหิบบาน กล่าวไว้ความว่า

“ใครก็ตามที่ฆ่านกตัวหนึ่งโดยเปล่าประโยชน์ นกตัวนั้นจะร้องตะโกนประท้วงในวันกิยามะฮ์ พร้อมกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ ชายคนนั้นได้ฆ่าฉันโดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใด เขาฆ่าฉันโดยมิได้หวังประโยชน์อันใดจากฉันเลย”

          เคาะลีฟะฮ์อบูบักรเคยสั่งเสียแก่จอมทัพอุซามะฮ์ ก่อนที่จะนำเหล่าทหารสู่เมืองชามว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ตัดทำลายต้นไม้ที่ออกดอก ออกผล อย่าเข่นฆ่าแพะ วัว หรืออูฐ เว้นแต่เพื่อการบริโภคเท่านั้น”

          มนุษย์ผู้ซึมซับคำสอนเหล่านี้ จะไม่เป็นต้นเหตุของการทำลายป่าไม้ การตายของปลานับล้านตัวในแม่น้ำหรือทะเล หรือสร้างความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์ที่ใช้ชีวิตในป่า เพราะถ้าเขาสามารถใช้อิทธิพลหลบหลีกการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีบนโลกนี้ แต่เขาไม่มีทางหลบพ้นการถูกสอบสวนจากอัลลอฮ์  ผู้ทรงเกรียงไกรในวันอาคิเราะฮ์อย่างแน่นอน

          อิสลามยังกำชับให้มุสลิมตระหนักและให้ความสำคัญกับการปลูกต้นไม้ การเพาะปลูก ณ ที่ดินร้าง การพัฒนาที่ดินเพื่อเป็นแหล่งประกอบอาชีพ โดยยึดหลักความยุติธรรม ความสมดุล และความพอเพียง

          7. อิสลามประณามการใช้ชีวิตที่สุรุ่ยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ โดยถือว่าการสุรุ่ยสุร่ายเป็นญาติพี่น้องของชัยฏอน ( เหล่ามารร้าย ) นะบีมุฮัมมัด ได้ทักท้วง สะอัดที่กำลังอาบน้ำละหมาดโดยใช้น้ำมากเกินว่า

 “ทำไมถึงต้องใช้น้ำมากถึงขนาดนี้โอ้สะอัด ? สะอัดจึงถามกลับว่าการใช้น้ำมาก ๆ เพื่ออาบน้ำละหมาด ถือเป็นการฟุ่มเฟือยกระนั้นหรือ ? นบีมุฮำหมัด  จึงตอบว่า ใช่ ถึงแม้ท่านจะอาบน้ำละหมาดในลำคลองที่กำลังไหลเชี่ยวก็ตาม”

( รายงานโดยฮากิม )

          หากการใช้น้ำมากเกินเพื่ออาบน้ำละหมาดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำอิบาดะฮ์ (การเคารพภักดี ) ยังถือว่าฟุ่มเฟือย ดังนั้นมุสลิมทุกคนพึงระวังการใช้น้ำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

          คำสอนของอิสลามได้กล่าวถึงการจัดระเบียบ ให้มนุษย์รู้จักการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับตนเอง  สังคม สิ่งแวดล้อม โดยถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และร่วมมือกันปกป้องอนุรักษ์ เพื่อพัฒนาชีวิตที่ครอบคลุมและสมบรูณ์ มีความผูกพันอย่างแนบแน่นกับผู้ทรงสร้างสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารจัดการและผู้จัดระเบียบสากลจักรวาลอันเกรียงไกร อิสลามเชื่อว่าผู้ที่สามารถทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมก็คือ “มนุษย์” นั่นเอง ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า

 “การบ่อนทำลาย ได้เกิดขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ เนื่องจากการกระทำด้วยน้ำมือของมนุษย์” ( อัร-รูม : 41 )

          ภารกิจหลักของมุสลิม คือการเอื้ออำนวยให้เกิดระบบและกระบวนการสันติสุขบนโลกนี้ที่สามารถสัมผัสได้ในชีวิตจริง ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์อันสูงส่งของอิสลาม ดังอัลกุรอานได้กล่าวไว้ ความว่า

“และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลจักรวาล” (อัล-อัมบิยาอฺ : 107)


โดย Mazlan Muhammad

6 ปัจจัยที่แอร์โดอานปิดประตูแพ้ในการเลือกตั้งรอบสอง

ในที่สุด การเลือกตั้งประธานาธิบดีทูร์เคียรอบสองก็จะต้องเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของประเทศโดย กกต. ทูร์เคียได้ประกาศวันที่ 28 พฤษภานี้เป็นวันตัดสินชี้ขาด เพราะผู้ชิงชัยทั้ง 3 คนจาก 3 พันธมิตรไม่สามารถเก็บคะแนนได้เกิน 50 %  จึงต้องเอาผู้สมัครที่ได้คะแนนอันดับ 1 และ 2 มาประชันอีกครั้งในรอบน๊อคเอาท์

จากที่ได้ศึกษาและติดตามกระแสการเลือกตั้งทูร์เคีย 2023 มาตั้งแต่ต้น ผู้เขียนเห็นว่า ในรอบนี้ แอร์โดอานน่าจะมีโอกาสชนะมากกว่าคู่แข่งด้วยเหตุผล 6 ประการได้แก่

1. #การแตกคอกันเองในกลุ่มฝ่ายค้าน

หลังจากใช้ยุทธศาสตร์ “แยกกันเดินร่วมกันตี” ของพันธมิตรแห่งชาติที่นำโดยนายเคมาล คิลิชดาร์ โอลูหัวหน้าพรรค CHP ที่มีเป้าหมายเดียวคือโค่นแอร์โดอาน ได้ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า บัดนี้เริ่มมีเสียงไม่พอใจดังขึ้นในกลุ่มพันธมิตรนี้ ถึงขั้นรองหัวหน้าพรรคคนหนึ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากไม่พอใจกับผลคะแนนที่ออกมาที่ตรงกันข้ามกับความคาดหวัง เช่นเดียวกันกับบรรดาสมาชิกพรรคที่แสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนยังเกาะเสียงกันอย่างเหนียวแน่น บรรยากาศเช่นนี้จะสร้างความได้เปรียบให้แก่แอร์โดอานแน่นอน

นี่ยังไม่รวมถึง 2 พรรคแนวอนุรักษ์อิสลาม ซึ่งเป็น 2 ใน 6 พรรคพันธมิตร แห่งชาติ ที่สมาชิกพรรคทั้งสองนี้ ต่างทยอยเข้าแถวซบพรรค AK ซึ่งพวกเขาเชื่อมั่นว่าเป็นบ้านที่แสนอบอุ่นและเหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา

2. #นโยบายอันพิลึกกึกกือของฝ่ายค้าน

นอกจากนโยบายเดียวที่ต้องการโค่นประธานาธิบดีแอร์โดอานแล้ว พรรค CHP ยังมีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับกลุ่มเคิร์ดหัวรุนแรงโดยจับมือกับกลุ่มก่อการร้าย PKK และกลุ่มชาตินิยมเคิร์ดพรรค HDP ซึ่งมีอิทธิพลทางภาคเหนือซีเรีย ถือเป็นการให้ความหวังอย่างชัดเจนว่าทูร์เคียจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งสวนทางกับกลุ่มชาตินิยมขวาสุดของชาวทูร์เคีย ที่มีเลือดชาตินิยมเข้มข้น ชาวทูร์เคียมีอุดมการณ์หนักแน่นว่า ประเทศชาติต้องเป็นหนึ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ในขณะที่พันธมิตรประชาชนโดยนายแอร์โดอาน ได้นำเสนอนโยบายที่ชัดเจน จับต้องได้ประกอบด้วยผลงานอันโดดเด่นในด้านต่างๆ ทั้งด้านการพัฒนาและการป้องกันประเทศ ทำให้ชาวทูร์เคียเห็นความแตกต่างเชิงนโยบายว่าขั้วไหนมีความจริงจังและจริงใจต่อประเทศชาติมากกว่า

3. #ความสัมพันธ์เก่าระหว่างแอร์โดอานและซีนาน_โออาล

ถึงแม้ในปัจจุบัน ทั้งสองอยู่คนละขั้ว แต่ในอดีตก็เคยเป็นพันธมิตรร่วม ช่วงสงครามนากอร์โน – คาราบัค เมื่อพ.ศ. 2563  รัฐบาลทูร์เคียภายใต้การนำของแอร์โดอานอยู่เคียงข้างอาเซอร์ไบจานอย่างเหนียวแน่น และได้แสดงให้เห็นถึงมิตรแท้ในยามยากให้แก่ชาวอาเซอร์ไบจานได้อย่างสุดประทับใจ ซินาน โออาลและสมาชิกพรรคในพันธมิตรบรรพบุรุษ ที่มีเชื้อสายอาเซอร์ไบจานอาจเทใจให้แอร์โดอานในลักษณะ #บุญคุณต้องทดแทน อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งในนโยบายบางประการโดยเฉพาะปัญหาผู้อพยพที่นายซินาน โอฆานได้ประกาศกร้าวว่า ผู้อพยพทุกคน โดยเฉพาะชาวซีเรียจะต้องออกไปจากแผ่นดินทูร์เคีย แต่เชื่อว่า แอร์โดอานคงสามารถกล่อมนายซินาน โอฆาลให้มองถึงปัญหาที่รุนแรงกว่าหากพรรค CHP ขึ้นมีอำนาจในประเทศ

4. #King_Makerที่แตกกระจุย

หลายฝ่ายเชื่อว่าถึงแม้พันธมิตรบรรพบุรุษที่นำโดยนายซินาน โออาล ได้คะแนนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกเพียง 5.17 % แต่ก็เพียงพอที่จะกลายเป็น King Maker ที่สามารถชี้ขาดแพ้ชนะระหว่างพันธมิตรประชาชนที่นำโดยประธานาธิบดีแอร์โดอาน ซึ่งได้คะแนน 49.5 % กับพันธมิตรแห่งชาติที่นำโดยนายเคมาล ซิลิกดาร์ โอลู ซึ่งได้คะแนน 44.71 % แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้

ทั้งนี้เนื่องจากสมาชิกพรรคชาตินิยมขวาจัดของนายซินาน โออาล บางมุ้งไม่มีทางเทคะแนนให้พรรค CHP ที่มีนโยบายแยกทูร์เคียเป็น 2-3 ประเทศ ในขณะที่เสียงอีกมุ้งหนึ่งก็ไม่มีทางยอมรับอุดมการณ์และนโยบายของพรรค AK ของแอร์โดอานที่สนับสนุนผู้อพยพชาวซีเรียและอื่นๆซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นตัวถ่วงความเจริญทางเศรษฐกิจของชาวทูร์เคีย

King Maker จึงอาจแตกเป็น 3 เสียงใหญ่ ๆ คือ 1) เสียงสนับสนุนแอร์โดอาน 2) เสียงสนับสนุนนายคิลิชดาร์ โอลู และ 3) งดออกเสียง ซึ้งล้วนแล้วสร้างความไดัเปรียบให้แอร์โดอาน

5. #พรรคฝ่ายค้านยังสะกดคำว่าชนะยังไม่ได้

ในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพรรค CHP พวกเขาไม่เคยได้รับชัยชนะในสนามเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตยตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา  พวกเขาเคยเป็นพรรคเดี่ยวชนิดไร้คู่แข่งนานถึง 22 ปีแต่เมื่อเปิดทางสู่เวทีเลือกตั้งโดยประชาชน พวกเขาก็พ่ายแพ้มาโดยตลอด ยกเว้นด้วยวิธีการใช้กองกำลังและอำนาจทางทหารเท่านั้น  ดังนั้นในวันที่ 28 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอยอีกครั้ง

#ข้อนี้คุ้นๆกับประเทศหนึ่งที่ผู้นำชอบไปที่ดาวอังคาร

ความสูญเปล่าทางนโยบาย ความเคยชินกับการหลอกลวง เสพติดความรุนแรงและความสุดโต่ง การยึดติดกับระบอบเคมาลิสต์ การไม่ยอมพัฒนาตนเองท่ามกลางสังคมที่แปลเปลี่ยน ความคุ้นชินที่ยอมตกเป็นบ่าวทาสที่สวามิภักดิ์ต่อคำสั่งของชาติตะวันตก จะกลายเป็นหลุมบ่อที่กลบฝังพวกเขาให้จมปลักในความพ่ายแพ้ตลอดกาล

6. #พลังดุอาจากประชาขาติทั่วโลก

อัลลอฮ์ผู้ทรงแผ่ความเมตตาให้เก่โสเภณีที่รินน้ำดื่มให้เเก่สุนัขที่กำลังหิวโหย ก็คืออัลลอฮ์องค์เดียวกันที่กำลังมองผลงานของบ่าวที่ชื่อนายแอร์โดอานที่กลายเป็นกิบลัตของผู้ถูกกดขี่ทั่วโลก  พระองค์ทรงตอบรับดุอาชายนิรนามที่ผมเผ้ารุงรัง ใส่เสื้อผ้ามอมแมม เพราะเขามีความบริสุทธิ์ใจและหวังดีต่อพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงเมินเฉยกับดุอาของอุละมาอฺและประชาชาติอิสลามทั่วโลกได้อย่างไร พวกเขาพร่ำวิงวอนขอดุอายามค่ำคืนให้แอร์โดอานประสบชัยชนะในการเลือกตั้งที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นญิฮาดทางการเมืองครั้งสำคัญที่สุดที่กำหนดชะตากรรมของประชาชาติมุสลิมทั่วโลกทีเดียว

🤲 اللهم انصر عبدك أردوغان ولا تشمت به أحدا .

اللهم إنه قد تخلّق بخلق نبيّك محمد صلى الله عليه وسلم :

فقد نصر المظلوم،،

ووصل الرحم،،

وحمل الكل،،

وأكسب المعدوم،،

وأقرى الضيف،،

وأعان على نوائب الدهر،،

اللهم إن أعداء أمّتنا قد غرّهم ضعف قوتنا وقِلّة حيلتنا وتجبروا من قبل على عبادك الأطهار عبد الحميد الثاني ومحمد مرسي فلا تمكنهم يا رب من أردوغان ، ولا تفجعنا بهزيمته،،

اللهم إنا نشهد له بالخير مما اطلعنا عليه من ظاهر حاله وأنت أعلم به وبنا،،

اللهم إنك تعلم أن انكسار أردوغان يُسعد أعداء أمّتنا المتكالبين على نهشها من جميع أركانها،،

اللهم إنك تعلم أن نصر عبدك أردوغان يُسعد قلوب عبادك المؤمنين وأوليائك الموحدين ، ويقر أعينهم ، ويرد لهفتهم ، فانصره يا أرحم الراحمين .

اللهم أقل عثرة أمّتنا المكلومة ، وأبرم لها أمر رشد تُعِزّ فيه وليّك وتُذِلّ فيه عدوّك ، ويُعمَل فيه بطاعتك ، ويُنهَى فيه عن معصيتك 🤲🏻 .

وصلِّ الله وسلِّم وبارك على نبيِّنا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين .

والحمد لله ربّ العالمين .

ปล. รูปที่โพสต์ คือคู่ชิงตัวจริงในวันที่ 28 พฤษภานี้ครับ


โดย Mazlan Muhammad

เกาะติดการจับกุมรอชิด ฆอนนูชีย์ แกนนำกลุ่มอิสลามในตูนีเซีย [Ep.5]

นิตยสารอเมริกัน “The New Yorker” ; ฆอนนูชีย์ นักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกอาหรับ ผู้สังเคราะห์ความเป็นไปได้ของการไปได้ด้วยกันระหว่างประชาธิปไตยเสรีนิยมและการปกครองแบบอิสลาม

นิตยสารอเมริกัน “The New Yorker” ตีพิมพ์บทความของ เดวิด ดี. เคิร์กแพทริก David D. Kirkpatrick นักเขียนชาวอเมริกา เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ 3 รางวัล ซึ่งได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการจับกุมชัยค์รอชิด ฆอนนูชียื หัวหน้าขบวนการเอนนาห์ดา ในตูนิเซีย น่าสนใจหลายประเด็นด้วยกัน

เคิร์กแพทริก นิยามตัวตนของฆอนนูชีย์ว่า เป็นนักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกอาหรับผู้สังเคราะห์ความเป็นไปได้ของการไปได้ด้วยกันระหว่างประชาธิปไตยเสรีนิยมและการปกครองแบบอิสลาม  และนิยามประชาธิปไตยต้นแบบว่า “ประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จ คือ ประชาธิปแบบฉันทามติ  ไม่ใช่ประชาธิปแบบเสียงส่วนใหญ่” 

บทความในดินิวยอร์คเกอระบุว่า ตูนิเซีย บ้านเกิดของอาหรับสปริง  และเป็นสถานที่สุดท้ายที่อาหรับสปริงล้มเหลว หลังจากทศวรรษแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย ในปี 2022 ประธานาธิบดีไกส์ สะอีด ผู้มีอำนาจคนใหม่ได้ปิดรัฐสภาและไม่นานหลังจากนั้นก็เริ่มบังคับใช้รัฐธรรมนูญเผด็จการและจับกุมผู้วิจารณ์ ในสัปดาห์นี้ ในที่สุดตำรวจก็มาถึงรอชิด ฆอนนูชีย์ หัวหน้าพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของตูนิเซียและนักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกอาหรับผู้สังเคราะห์ความเป็นไปได้ของการไปได้ด้วยกันระหว่างประชาธิปไตยเสรีนิยมและการปกครองแบบอิสลาม

เคิร์กแพทริก รายงานประวัติชีวิตว่า ฆอนนูชีย์ เกิดในปี 1941 ในครอบครัวชาวนาชาวไร่ผู้ยากไร้ในตูนิเซียตอนใต้อันห่างไกล ฆอนนูชีย์ศึกษาในกรุงไคโร ดามัสกัส และปารีส; ทำงานบริการในยุโรป; และกลับมาที่ตูนิสในปี 1971 ในยุคที่การเมืองอิสลามแนวภราดรภาพมุสลิมกำลังขยายไปทั่วทั้งภูมิภาค โดยเป็นทางเลือกแทนระบอบเผด็จการ และในปี 2524 ฆอนนูชีย์ได้ร่วมก่อตั้งขบวนการอิสลามิสต์ตูนิเซีย โดยถูกจำคุกและถูกทรมานเป็นเวลา 3 ปี และในปี 1987 ฆอนนูชีย์ถูกจับกุมอีกครั้งและถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ก็ได้ลี้ภัยไปยังลอนดอน เพราะประเทศอาหรับไม่ต้อนรับ

เหตุใดฆอนนูชีย์จึงคิดว่าความปลอดภัยนั้นมีในโลกตะวันตกเท่านั้น

เคิร์กแพทริกให้เหตุผลถึงแนวคิดของฆอนนูชีย์ว่า เพราะประสบการณ์ของฆอนนูชีย์เกี่ยวกับประชาธิปไตยเสรีนิยมของสหราชอาณาจักรผ่านเลนส์อิสลาม ทำให้ฆอนนูชีย์แตกต่างจากปัญญาชนอาหรับอื่นๆ  ฆอนนูชีย์เขียนไว้ในบทความสำคัญของเขาเรื่อง “เสรีภาพสาธารณะในรัฐอิสลาม” โดยเริ่มเขียนในคุกและตีพิมพ์เป็นภาษาอาหรับในปี 1993 ว่า “นักวิชาการอิสลามได้สรุปมานานแล้วว่าใน “ดารุลอิสลาม-ประเทศอิสลาม” ที่แท้จริงนั้น มุสลิมต้องรู้สึกปลอดภัยในเสรีภาพ ทรัพย์สิน ศาสนา และศักดิ์ศรี” 

ในการนี้ ฆอนนูชีย์สรุปว่า รัฐอิสลามที่แท้จริงจะต้องตั้งอยู่บน “เสรีภาพทางความคิด” สำหรับทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม โดยอ้างคำพูดของนักวิชาการผู้โด่งดังในศตวรรษที่ 12

เคิร์กแพทริกกล่าวถึงแนวคิดของฆอนนูชีย์อีกว่า  “ฆอนนูชีย์กระตุ้นให้ชาวมุสลิมเรียนรู้จากประชาธิปไตยแบบตะวันตก—เพื่อรับประโยชน์จากผลการลองผิดลองถูกที่ดีที่สุดของมนุษยชาติ โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงต้นกำเนิดทางศาสนาของตะวันตก เนื่องจากภูมิปัญญาเป็นฝาแฝดของศาสนา”

ฆอนนูชีย์กลับมาที่ตูนิเซียในปี 2011 เมื่อมีการประท้วงต่อต้านความโหดร้ายของตำรวจ ทำให้บินอาลี ผู้นำตูนีเซียที่ปกครองมานานต้องลี้ภัย และทำให้การปฏิวัติอาหรับสปริงขยับขยาย 

ฆอนนูชีย์ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของประเทศเป็นไปอย่างเสรีที่สุดในภูมิภาค และเขาได้พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อกอบกู้โอกาสสำหรับประชาธิปไตยในที่อื่นๆ ในช่วงปลายอาหรับสปริงในปี 2013 เมื่อ 10 ปีก่อน ฆอนนูชีย์บินไปอียิปต์เพื่อเสนอคำแนะนำแก่มุฮัมมัด มุร์ซี ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยคนแรกของพรรคภราดรภาพมุสลิม

.

เคิร์กแพทริกเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นว่า ความคาดหวังในช่วงอาหรับสปริงหลายเดือนดังกล่าวนั้นยากแก่การรำลึกถึงสำหรับวันนี้   ในเวลานั้น ตูนิเซีย อียิปต์ และลิเบียต่างก็จัดการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและเริ่มร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ผู้เชี่ยวชาญจากตะวันตกอ้างอิงเยเมนเป็นต้นแบบในการส่งมอบอำนาจอย่างสันติ แม้แต่ในซีเรีย แทนที่จะเป็นอิสลามแนวสุดโต่ง กลุ่มกบฏส่วนใหญ่ยังคงเดินขบวนภายใต้ร่มธงของประชาธิปไตย  การประท้วงไม่ได้กลายเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างนิกาย แต่พายุทรายกำลังพัดเข้าหาจัตุรัสตะห์รีร(ในอียิปต์) ซึ่งการประท้วงได้ดำเนินไป 18 วัน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากตูนิเซียเมื่อ 2 ปีครึ่งก่อนหน้า  และได้โค่นล้มประธานาธิบดีฮุสนี มุบาร๊อก เปิดทางให้มุรซีย์   จนมาถึงช่วงที่ฝ่ายตรงข้ามของมุรซีกำลังเรียกร้องให้มีการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มุรซีย์ลาออก และผู้บัญชาการทหารเริ่มส่งสัญญาณสับสนเกี่ยวกับความจงรักภักดี

ฆอนนูชีย์ใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการคิดและเขียนเกี่ยวกับคำมั่นสัญญาเดียวกันกับที่กลุ่มภราดรภาพมุสลิมของอียิปต์ได้หาเสียงไว้ นั่นคือการผสมผสานการปกครองแบบอิสลามเข้ากับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยและเสรีภาพส่วนบุคคล

เคิร์กแพทริกเล่าว่า ระหว่างการเดินทางไปไคโร ฆอนนูชีย์บอกเขาว่า ไม่กี่เดือนต่อมาที่สำนักงานใหญ่ของพรรคในตูนีเซีย ฆอนนูชีย์พยายามโน้มน้าวให้มุร์ซีเชื่อว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นตามที่หาเสียงไว้ มุรซีย์ควรสละอำนาจบางส่วนโดยสมัครใจ ( ภายหลังที่ปรึกษาของมุร์ซีได้ยืนยันโครงร่างกว้างๆ ของข้อเสนอของฆอนนูชีย์ ซึ่งได้บอกเคิร์กแพทริกโดยมีเงื่อนไขว่าให้เก็บเป็นความลับในขณะนั้น) หลังจากการปฏิวัติเช่นที่เกิดขึ้นในอียิปต์และตูนิเซีย พรรคเสียงข้างมากควรเข้าใจเสียงเปราะบางที่น่าวิตกของชนกลุ่มน้อยทางการเมืองหรือศาสนา  เช่น  ชนกลุ่มน้อยในอียิปต์ ผู้มีแนวคิดเซคคิวลาร์ และคริสเตียนคอปติก อย่างน้อยพวกเขาเคยได้รับความคุ้มครองบางอย่างภายใต้ระบอบเผด็จการเก่า  แต่ตอนนี้สิ่งเหล่านี้หายไปแล้ว ด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อยว่า ให้เชื่อถือคำสัญญาเกี่ยวกับหลักนิติธรรม การตรวจสอบและถ่วงดุล และสิทธิส่วนบุคคล

“เนื่องจากความสำเร็จในการเลือกตั้งของกลุ่มภราดรภาพ – มุร์ซีชนะการให้สัตยาบันในรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว – เพื่อผลประโยชน์ของประชาธิปไตยและเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคู่แข่งที่อ่อนแอกว่า มุร์ซีควรสร้างรัฐบาลที่มีเอกภาพก่อนการเลือกตั้งอีกครั้ง เหตุใดจึงยังคงเป็นสายล่อฟ้าสำหรับความกลัวหรือความไม่พอใจของฝ่ายตรงข้าม “ประชาธิปไตยแบบฉันทามติประสบความสำเร็จ—ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่” ฆอนนูชีย์บอกเคิร์กแพทริก ตามที่ปรากฎในบทความ

แต่มุร์ซีปฏิเสธคำแนะนำนั้น โดยเชื่อว่าการยอมมอบอำนาจภายใต้การคุกคามของการประท้วงจะเป็นการยอมจำนนต่อการบีบบังคับทางการเมืองและเป็นแบบอย่างที่อันตราย

เคิร์กแพทริกกล่าวถึงคุณสมบัติของฆอนนูชีย์อีกว่า “จากการที่ชาวอียิปต์มากกว่าพันคนถูกสังหารตามท้องถนนเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร ติดคุกอีกนับหมื่น ผู้ที่อยู่ใต้ดินหรือถูกเนรเทศเรียกร้องให้มีการแก้แค้นกลุ่มเสรีนิยมที่เห็นได้ชัดว่าสนับสนุนการปฏิวัติของซีซี  แต่ฆอนนูชีย์ยังคงเรียกร้องให้มีการคืนดีกัน “เรืออียิปต์จำเป็นต้องรวมชาวอียิปต์ทั้งหมดไว้ด้วยกัน และไม่ทิ้งบางส่วนลงน้ำ” ฆอนนูชีย์บอกฉัน “ไม่ควรมีการลงโทษหมู่ การเยียวยารักษาประชาธิปไตยที่ล้มเหลวคือการเป็นประชาธิปไตยที่มากกว่า”

ในช่วงหลายเดือนหลังการรัฐประหารในอียิปต์ ความล้มเหลวของอาหรับสปริงในพื้นที่ต่างๆก็ตามมาเรื่อยๆ  ทำให้ความสิ้นหวังและแนวคิดสุดโต่งก่อตัวขึ้น  นับเป็นไปในทางตรงข้ามกับปี 2011 ที่จัตุรัสตะห์รีรปลุกระดมการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในเมืองหลวงทั่วภูมิภาค 

FILE PHOTO: Egyptian pro-democracy supporters gather in Tahrir Square in Cairo February 18, 2011. Egyptians held a nationwide “Victory March” on Friday to celebrate the overthrow of Hosni Mubarak’s 30-year rule one week ago, to protect the revolution and to remind new military rulers of the power of the street. Hundreds of thousands joined the rallies, which are also a memorial to the 365 people who died in the 18-day uprising, with many Egyptians expressing their intention to guard their newly-won prospect of democracy. Picture taken with a fish-eye lens. REUTERS/Mohamed Abd El-Ghany (EGYPT – Tags: CIVIL UNREST POLITICS)/File Photo

บทความกล่าวต่อไปว่า  “ตูนิเซียเป็นข้อยกเว้นสำหรับจุดเปลี่ยนหลังการรัฐประหาร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฆอนนูชีย์ทำตามคำแนะนำที่เขาให้กับมุรซีย์   ในปีถัดมาพรรคนิยมอิสลามที่เขาร่วมก่อตั้งและเป็นผู้นำ  ได้รับบทบาทที่โดดเด่นในสภาเปลี่ยนผ่าน”

ในช่วงปลายปี 2013 เกิดการลอบสังหารนักการเมืองเซคคิวลาร์ฝ่ายซ้ายที่เอนเอียงไปทางซ้ายคู่หนึ่ง  ได้ทำให้กระบวนการทางการเมืองและการร่างรัฐธรรมนูญหยุดชะงักลง ฝ่ายตรงข้ามสงสัยว่ากลุ่มนิยมอิสลามหัวรุนแรงเป็นผู้ลงมือสังหาร และกล่าวโทษเอ็นนาห์ดาว่าล้มเหลวในการป้องกันพวกเขา

ฆอนนูชีย์ซึ่งไม่ได้ดำรงตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งในเวลานั้น ท้าทายคนจำนวนมากในพรรคของเขาเพื่อบรรลุข้อตกลงแบ่งปันอำนาจกับผู้นำหลักของฝ่ายค้านเซคคิวลาร์  และเอ็นนาห์ดามอบอำนาจโดยสมัครใจให้รัฐบาลรักษาการเพื่อดูแลการเลือกตั้งใหม่

การอนุเคราะห์ของฆอนนูชีย์ได้ทำลายวิกฤติลงโดยสิ้นเชิง การปฏิวัติของตูนิเซียฉลองครบรอบ 4 ปี โดยเป็นการปฏิวัติอาหรับสปริงเพียงแห่งเดียวที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ และองค์กรภาคประชาสังคมที่ช่วยสนับสนุนการเจรจาระหว่างฆอนนูชีย์และฝ่ายค้านได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ “เราไม่ใช่เทวดา เราต้องการมีอำนาจ” ฆอนนูชีย์กล่าวในการเยือนวอชิงตัน “แต่เราเชื่ออย่างแรงกล้าว่ารัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมีความสำคัญมากกว่าการที่เราได้มีอำนาจ”

ความเป็นผู้นำของเขาทำให้เอนนาห์ดาเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมือนใคร สำหรับสิ่งที่บางคนเรียกว่า “อิสลามแบบเสรีนิยม” ในความเป็นจริง ฆอนนุชีย์ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ผู้นำเอนนาห์ดาให้เลิกใช้ป้ายชื่อ “อิสลามิสต์” และอธิบายตัวเองว่าเป็น “มุสลิมประชาธิปไตย” (ฆอนนูชีย์ตีพิมพ์บทความในวารสาร  Foreign Affairs  เพื่ออธิบายแนวคิดนี้ อ่านสรุปบทความนี้ใน เกาะติด ฯ บทความที่  2 ) พรรคของเขาซึ่งเป็นผู้นำการร่างรัฐธรรมนูญได้ผลักดันรัฐธรรมนูญที่มีการคุ้มครองสิทธิสตรีและชนกลุ่มน้อยทางศาสนาอย่างชัดเจน

เคิร์กแพทริกกล่าวว่า “เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ในปี 2014 ฆอนนูชีย์ยังตั้งข้อสังเกตว่ารัฐธรรมนูญของตูนิเซียเป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญอาหรับไม่กี่ฉบับที่ไม่ได้อ้างอิงถึงกฎหมายอิสลาม เขารับรองกับฉันว่า ตูนิเซียรับรองเสรีภาพสำหรับมัสยิด โบสถ์ สุเหร่ายิว และแม้แต่ “ผับ”  ฆอนนูชีย์ไม่ถึงขั้นสนับสนุนการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน แต่อธิบายว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องส่วนตัว  ซึ่งเป็นท่าทีเสรีนิยมมากกว่าที่รัฐบาลอาหรับเกือบทุกประเทศยึดถือ”

บทความกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่หนักหน่วงของตูนิเซียไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่จากสถานการณ์ความวุ่นวายหลังการจลาจลอาหรับสปริง และโรคระบาดทำให้รีสอร์ทปิดตัวลง

หลายปีที่รัฐบาลรักษาการของตูนิเซียและรัฐบาลต่อมาแสดงความเฉยเมย ทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ต่อนักการเมืองทั้งหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเอ็นนาห์ดา  ในระหว่างการเลือกตั้งในปี 2019  ฆอนนูชีย์บุ่มบ่ามตัดสินใจในการหาตำแหน่งในรัฐสภา และได้รับเลือกให้เป็นประธานรัฐสภา ฆอนนูชีย์ได้กลายเป็นนักการเมืองไปแล้ว  อิมาด ชาฮีน  นักวิชาการด้านอิสลามการเมืองที่ถูกเนรเทศจากอียิปต์ ซึ่งปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์อาคันตุกะที่ฮาวาร์ด กล่าวว่า “รัฐสภาตูนีเซียนั้นเป็นเวทีละครสัตว์ ไม่ใช่สถานที่สำหรับผู้นำที่มีความรู้ความสามารถเช่นเขาจะเป็นประธาน และเขาจะถูกกลืนกินโดยการเมืองโสโครก”

ดังนั้น ในการเลือกตั้งปี 2019  ผู้มีสิทธิเลือกตั้งปฏิเสธผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทุกคนที่เคยดำรงตำแหน่งสาธารณะต่างตกที่นั่งลำบาก  โดยที่การเลือกตั้งรอบแรก นักประชานิยม 2 คน คือ เจ้าพ่อสื่อคนสำคัญและศาสตราจารย์กฎหมายผู้คลุมเครือ ได้รับคะแนนเสียงรวมกันเพียงหนึ่งในสาม 

ในการเลือกตั้งรอบสอง ศาสตราจารย์สะอีด ชนะขาดลอย สะอีดแตกต่างจากฆอนนูชีย์ในหลาย ๆ ด้าน  เขาหลีกเลี่ยงปรัชญาหรือกลุ่มการเมืองที่เป็นที่รู้จัก เขาแสดงท่าทีต่อต้านตะวันตกอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งตอนนี้ตูนิเซียต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจากกองทุนนี้

รัฐธรรมนูญของสะอีดสัญญาว่า “รัฐจะทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของอิสลามบริสุทธิ์” และ”ให้อำนาจรัฐบาลในการควบคุมการตีความและการสอนอิสลาม” สะอีดเรียกชาวเกย์ว่า “กลุ่มเบี่ยงเบน” และสนับสนุนการถือว่าคนรักร่วมเพศเป็นอาชญากร และในปีนี้ ด้วยการใช้”ทฤษฎีการแทนที่” สะอีดได้เริ่มกระแสต่อต้านคนผิวดำด้วยการโยนบาปให้ผู้อพยพชาวแอฟริกันผิวสีว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจของตูนิเซีย

ในตอนแรก สะอีดอ้างวิกฤตของโรคระบาดเป็นข้ออ้างในการยุบสภาและบริหารโดยกฤษฎีกา แต่เพียงไม่นาน ก็เริ่มควบคุมตัวนักวิจารณ์และฝ่ายตรงข้ามจำนวนมาก ปิดท้ายด้วยการจับกุมฆอนนูชีย์ในสัปดาห์นี้

อาชญากรรมที่ถูกกล่าวหาของฆอนนูชีย์เกี่ยวข้องกับถ้อยแถลงที่เขากล่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วว่า : “ตูนิเซียที่ไม่มีเอนนาห์ดา ไม่มีอิสลามทางการเมือง ไม่มีส่วนซ้ายหรือส่วนประกอบใดๆ ของตูนิเซีย คือเส้นการสำหรับสงครามกลางเมือง” ไม่นานก่อนพลบค่ำและการละศีลอดในวันจันทร์ (ที่ 27 รอมฎอน ) ซึ่งเป็นคืนที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเดือนรอมฎอน เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบกว่าร้อยนายบุกเข้าไปในบ้านของเขา ดังที่พรรคของฆอนนูชีย์ระบุในถ้อยแถลง  หลังจากถูกคุมขังสองวัน ฆอนนูชีย์ ซึ่งขณะนี้อายุ 81 ปี ถูกสอบปากคำเป็นเวลา 8 ชั่วโมง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผู้พิพากษาได้ตัดสินให้ควบคุมตัวไว้ก่อนการพิจารณาคดี ในตอนแรกฆอนนูชีย์ถูกกล่าวหาว่ายุยงปลุกปั่น ปัจจุบันเขาถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการประทุษร้ายต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่มีโทษถึงประหารชีวิต

บทความกล่าวอีกว่า การที่สะอีดทำลายระบอบประชาธิปไตยของตูนิเซียนั้นชัดเจน แต่การคุมขังผู้นำพิเศษเช่นฆอนนูชีย์ ก็เป็นความพ่ายแพ้ต่อสังคมโลกเช่นกัน

สำหรับกลุ่มอิสลามิสต์ที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง การจำคุกฆอนนูชีย์ถือเป็นเครื่องพิสูจน์หลักฐานใหม่ที่แสดงถึงความไร้ประโยชน์ของหีบบัตรเลือกตั้ง และการไร้เสียงของฆอนนูชีย์ก็เป็นการสูญเสียของตะวันตกเช่นกัน

“การอยู่ร่วมกันระหว่างอิสลามกับลัทธิเสรีนิยมและการปกครองแบบประชาธิปไตย” โรเบิร์ต คาเกน นักประวัติศาสตร์ด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ บอกผม “เป็นทางออกของปัญหาของเราในโลกอาหรับ และเป็นทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรา” นั่นเป็นความหวังที่ฆอนนูชีย์พยายามกอบกู้ในอียิปต์เมื่อสิบปีก่อน

ในวิดีโอที่บันทึกไว้ล่วงหน้าซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี ฆอนนูชีย์เรียกร้องให้ชาวตูนีเซียมีความอดทน เขาบอกกับชาวตูนิเซียว่า “จงเชื่อมั่นในหลักการของการปฏิวัติของพวกท่าน และประชาธิปไตยจะไม่ใช่อดีตที่ผ่านไปแล้วในตูนีเซีย” ♦

#เกาะติดการจับกุมรอชิด_ฆอนนูชีย์

#ประชาธิปไตยเสรีนิยม

#อิสลามกับประชาธิปไตย


โดย Ghazali Benmad

เกาะติดการจับกุมรอชิด ฆอนนูชีย์ แกนนำกลุ่มอิสลามในตูนีเซีย [Ep.4]

รู้จักรอชิด ฆอนนูชีย์  ผู้เป็นทั้งอุลามาอ์นักคิดและนักปกครอง 

รอชิด ฆอนนูชีย์  เป็นนักคิดและนักการเมืองอิสลามชาวตูนิเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งขบวนอิสลาม ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ขบวนการเอนนาห์ดา” ถูกจับกุมมากกว่าหนึ่งครั้งเนื่องจากการสนับสนุนและทำกิจกรรมทางการเมืองในสมัยของประธานาธิบดีฮาบีบ บูรกีบา และซัยนุนอาบิดีน บินอาลี 

รอชิด ฆอนนูชีย์ ใช้ชีวิตเกือบสองทศวรรษในการลี้ภัยในลอนดอน จากนั้นกลับมาตูนิเซียหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลบินอาลี ในเหตุการณ์อาหรับสปริง ในปี 2011 และมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวเพื่อเอาชนะอุปสรรคของช่วงเปลี่ยนผ่านหลังจากชนะการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ

ขบวนการเอนนาห์ดา ภายใต้การนำของฆอนนูชีย์ มีส่วนในการสร้างฉากการเมืองตูนิเซียใหม่หลังการปฏิวัติในปี 2011 และเข้ารับตำแหน่งประธานรัฐสภาตูนิเซียในปี 2019 อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของประธานาธิบดีไกส์  สะอีดที่สั่งพักงานรัฐสภา ในปี 2021 เนื่องจากรัฐธรรมนูญห้ามยุบสภา แต่หลังจากนั้นก็สั่งยุบสภาหลังแก้รัฐธรรมนูญโดยวิธีการขัดกับรัฐธรรมนูญ  ทำให้ฆอนนูชีย์กลับไปยังสถานะฝ่ายค้าน ซึ่งส่งผลให้เขาถูกสอบสวนและถูกจับกุมในวันที่ 17 เมษายน 2023 ในความผิดหลายข้อหาที่รัฐบาลฟ้องร้องต่อศาล

โนอาห์ เฟลด์แมน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อเมริกา กล่าวสรุปเหตุการณ์นี้ไว้ในหนังสือพิมพ์ washington post ว่า “ในปีที่ผ่านมา สะอีดพยายามฟื้นฟูตูนิเซียให้กลับคืนสู่สถานะก่อนอาหรับสปริงในฐานะรัฐพรรคเดียว หลังจากประกาศภาวะฉุกเฉินและยุบสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญที่เพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีด้วยการลดลงของอำนาจอื่น โดยได้รับความเห็นชอบในการลงประชามติ ที่มีชาวตูนิเซียเพียง 30% เท่านั้นที่เข้าร่วม โดยฝ่ายค้านส่วนใหญ่คว่ำบาตร ”

การเกิดและการเลี้ยงดู

รอชิด  ฆอนนูชีย์  เกิดในปี 1941 ในหมู่บ้านอัลฮัมมา ในจังหวัดกอบิส  ทางตอนใต้ของตูนิเซีย ในครอบครัวที่อนุรักษ์นิยมและเรียบง่าย  ฆอนนูชีย์มีส่วนร่วมกับครอบครัวในการทำงานในไร่นาและขายพืชผลนอกเหนือจากการเรียน

เนื่องจากธรรมชาติที่ยากลำบากของชีวิตครอบครัว ฆอนนูชีย์จึงลาออกจากโรงเรียนเป็นเวลาหนึ่งปี เนื่องจากบิดาไม่สามารถจัดหาค่าเล่าเรียนได้

ฆอนนูชีย์  แต่งงานกับฟาติมะฮ์ อัลจูไวนี ชาวตูนิเซีย มีลูกชายสองคนและลูกสาวสี่คน

– การศึกษาและการก่อตัว

  • รอชิด ฆอนนูชีย์  สำเร็จการศึกษาด้านหลักการศาสนา(อุศูลุดดีน)ที่มหาวิทยาลัยซัยตูนะฮ์ ตูนีเซีย ต่อมาในปี 1964 เขาเดินทางไปอียิปต์เพื่อศึกษาด้านการเกษตรที่มหาวิทยาลัยไคโร แต่จะต้องออกกลางคันเพราะความขัดแย้งทางการเมือง จึงย้ายไปดามัสกัสและสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี สาขาปรัชญา เมื่อปี  1968
  • จากนั้นก็ไปยุโรปเป็นเวลา 6 เดือน เยือนตุรกี บัลแกเรีย ยูโกสลาเวีย ออสเตรีย เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้พบกับฟร็องซัวส์ บูร์กา ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์และผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันวิจัยและศึกษาเกี่ยวกับอาหรับและ โลกอิสลาม แต่ไม่สามารถที่จะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ได้ ดังนั้นจึงกลับไปตูนิเซีย

-การวางแนวทางปัญญา

  • ในช่วงทศวรรษ 60 ฆอนนูชีย์รู้สึกประทับใจกับ ประสบการณ์ชาตินิยมของประธานาธิบดีนัซเซอร์แห่งอียิปต์ และเริ่มทำกิจกรรมอิสลามในฝรั่งเศสท่ามกลางนักศึกษาอาหรับและมุสลิม
  • ฆอนนูชีย์ อ่านงานเขียนของ  ซัยยิด กุตบฺ,  มุฮัมมัด กุตบฺ, อบุลอะลา อัลเมาดูดี, มูฮัมหมัด อิกบัล , มาลิก บินนาบี , อบูฮามิด อัลฆอซาลี และอิบนุตัยมียะห์ และทำความรู้จักและมีส่วนร่วมกับญะมาอัต อัลดะวะห์ วัตตับลีฆพร้อมกับแรงงานจากแอฟริกาเหนือ
  • ฆอนนูชีย์ กลับมาที่ตูนิเซียในปลายทศวรรษ 60 เริ่มกิจกรรมการเรียกร้องสู่อิสลามในหมู่นักเรียนมัธยมศึกษา และก่อตั้ง “หะรอกะฮ์ อัลอิตติจาห์ อิสลามีย์- ขบวนการนิยมอิสลาม” ซึ่งต่อมาเรียกว่า “ขบวนการอัลนะฮ์เฎาะฮ์” หรือที่รู้จักกันในนาม “ขบวนการเอนนาห์ดา”
  • ฆอนนูชีย์ มีส่วนร่วมในการเทศนา บทเรียน บทความ หนังสือ และการบรรยายเพื่อสนับสนุนแนวสายกลางในขบวนการอิสลามทั้งในและนอกตูนิเซีย และมีส่วนในการแก้ไขความเชื่อดั้งเดิมในประเด็นทางศาสนา ปัญญา และการเมือง เช่น ความเป็นพลเมือง สิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาธิปไตย ฆราวาสนิยม และอื่นๆ
  • ฆอนนูชีย์เขียนบทความทางความคิดและการเมืองหลายสิบเรื่อง และเขียนหนังสือหลายเล่มที่สนับสนุนแนวทางสายกลางและการเปิดกว้างในกลุ่มขบวนการอิสลาม และสร้างความชัดเจนในประเด็นที่ซับซ้อนจำนวนมากเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ เช่น ประชาธิปไตย สิทธิการเป็นพลเมือง และอื่น ๆ หนังสือบางเล่มของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส

หนังสือบางส่วนของฆอนนูชีย์  เช่น

– สิทธิความเป็นพลเมืองในรัฐอิสลาม

– เสรีภาพสาธารณะในรัฐอิสลาม

– ผู้หญิง ระหว่างอัลกุรอานกับความเป็นจริงของชาวมุสลิม

– เข้าใจเซคคิวลาร์และประชาสังคม

– ขบวนการอิสลามกับคำถามแห่งการเปลี่ยนแปลง

-งานและความรับผิดชอบ

  • ฆอนนูชีย์ทำงานด้านการสอนอยู่ช่วงหนึ่ง และมีส่วนร่วมในการจัดตั้งองค์กรต่างๆ เช่น  Circle of Authenticity and Progress ที่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาอิสลาม-คริสเตียน และเป็นอดีตรองประธานสหพันธ์อุลามะอิสลามนานาชาติ International Union of Muslim Scholars

-ประสบการณ์ทางการเมือง

  • ฆอนนูชีย์ กลับไปยังตูนิเซียเมื่อปลายปี 1960 และพบว่าประธานาธิบดีบูรกีบาใช้มาตรการต่างๆ เพื่อทำให้สังคมตูนิเซียเป็นเซคคิวลาร์
  • ฆอนนูชีย์เข้าร่วม “สมาคมเพื่อการอนุรักษ์อัลกุรอาน” กับชัยค์อับดุลฟัตตาห์ โมโร  ,อะหมัยดา อัลไนฟิร , หะบีบ อัลมักนี  และซอและห์ กัรกัร  ซึ่งต่อมาได้ก่อตั้งกลุ่ม”จามาอะอ์อิสลามียะฮ์” ขึ้นในเดือนเมษายน 1972 ในเมือง Mornag ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตูนิเซีย
  • กลุ่มที่กล่าวมาแล้วคือแกนของขบวนการนิยมอิสลาม (หะรอกะฮ์ อัลอิตติจาห์ อิสลามีย์ ) และเริ่มสื่อสารกับสังคมและชนชั้นนำผ่านหนังสือพิมพ์ Al-Ma’rifah (ตีพิมพ์ในปี 1974) ซึ่ง ฆอนนูชีย์กล่าวหาประธานาธิบดีบูรกีบาว่า เน้นเซคคิวลาร์และทำลายอิสลาม
  • ฆอนนูชีย์ถูกจับกุมหลายครั้ง และถูกตัดสินจำคุกครั้งแรกเป็นเวลา 11 ปี และได้ถูกจำคุกจริง 3 ปี (พ.ศ. 2524-2527) และได้รับการปล่อยตัวจากการนิรโทษกรรมทั่วไป จากนั้นก็กลับไปประท้วงและทำกิจกรรมทางการเมืองอีก จึงถูกตัดสินจำคุกครั้งที่ 2 ในปี 1987 ด้วยโทษจำคุกตลอดชีวิตพร้อมให้ทำงานหนัก ซึ่ง บูรกีบาเห็นว่าโทษต่ำเกินไปและขอให้ประหารชีวิต
  • แต่เนื่องด้วยบินอาลี ก่อการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1987 ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามคำพิพากษาได้ และฆอนนูชีย์ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 1988
  • เมื่อต้นปี 1989 ฆอนนูชีย์ยื่นคำร้อง เพื่อขออนุญาตตั้งขบวนการนิยมอิสลาม (หะรอกะฮ์ อัลอิตติจาห์ อิสลามีย์ ) แต่ถูกปฏิเสธ ความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่แย่ลง  ฆอนนูชีย์จึงออกจากตูนิเซียในวันที่ 11 เมษายน 1989 ไปยังแอลจีเรียหลังจากที่ศาลทหารตูนีเซียพิพากษาตัดสินจำคุกตลอดชีวิตฆอนนูชีย์และผู้นำคนอื่น ๆ ในข้อหา “สมรู้ร่วมคิดประทุษร้ายต่อประมุขแห่งรัฐ” จากนั้นก็ย้ายไปซูดาน  ซึ่งเขาได้รับหนังสือเดินทางทางการฑูตของซูดาน
  • ฆอนนูชีย์ได้เป็นหัวหน้าขบวนการเอนนาห์ดาในปี 1991 หลังจากย้ายไปตั้งถิ่นฐานในเมืองแอกตัน ชานเมืองลอนดอนของอังกฤษ และในเดือนสิงหาคม 1993 ฆอนนูชีย์ได้รับอนุญาตให้ลี้ภัยทางการเมือง
  • หลังจากการลี้ภัยการเมือง 21 ปี ฆอนนูชีย์ก็กลับมายังตูนีเซียในวันที่ 30 มกราคม 2011 โดยมีสมาชิกขบวนการเอนนาห์ดาไปต้อนรับนับหมื่นคนที่สนามบิน
  • หลังจากเอ็นนาห์ดาชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคที่ได้จำนวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมากที่สุด  ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2011 โดยได้ที่นั่งในสภาร่างรัฐธรรมนูญ 90 ที่นั่งจากทั้งหมด 217 ที่นั่ง ฆอนนูชีย์ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งหรือชิงตำแหน่งใดๆ และเสนอชื่อฮัมมาดี เจบาลีให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลตูนิเซียชุดใหม่
  • ด้วยความสัมพันธ์และการเจรจากับพรรคการเมืองต่างๆ ของตูนิเซีย ฆอนนูชีย์มีส่วนในการแก้ปัญหาทางการเมืองและทางปัญญาที่ซับซ้อน ซึ่งเกือบจะสร้างความสับสนให้กับช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น ประเด็นการใช้กฎหมายชารีอะห์และการเป็นที่มาของกฎหมายอิสลามในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญใหม่และอื่น ๆ
  • ในปี 2012 ฝ่ายตรงข้ามของฆอนนูชีย์ถือว่าเขามีส่วนรับผิดชอบต่อการเพิ่มขึ้นของกลุ่มสะละฟีย์หัวรุนแรงในตูนิเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาแถลงข่าวโดยกล่าวว่า “ชาวสะละฟีย์ส่วนใหญ่สั่งสอนเรื่องวัฒนธรรมและไม่คุกคามความมั่นคง” ก่อนที่จะประกาศในเวลาต่อมาว่า “กลุ่มสะละฟีย์หัวรุนแรง เป็นภัยอันตรายไม่เพียงแต่ต่อขบวนการเอนนาห์ดาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเสรีภาพสาธารณะด้วย”
  • แม้ว่าจะไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีตูนิเซียในปี 2014 แต่กลุ่มเอนนาห์ดา ก็ ได้อันดับสองในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2014 รองจากพรรคนิดาตูเนส ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมือง
  • ในเดือนพฤษภาคม 2016 ฆอนนูชีย์ประกาศว่าการเคลื่อนไหวของเขา “กำลังอยู่ในขั้นตอนการเปลี่ยนเป็นพรรคที่อุทิศตนเพื่องานการเมือง เพื่อทำงานในการปฏิรูปภาคส่วนของรัฐ ปล่อยให้ภาคประชาสังคมจัดการส่วนที่เหลือ ผ่านสมาคมและระบบสมาคมที่เป็นอิสระจากฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งเอ็นนาห์ดา”
  • เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2016 การประชุมครั้งที่ 10 ของ ขบวนการเอนนาห์ดา ได้เลือกฆอนนูชีย์  เป็นหัวหน้าขบวนการอีกครั้ง
  • ในเดือนมกราคม 2019 ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีตูนิเซีย ฆอนนูชีย์ประกาศว่าเขาไม่สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึง และไม่มีความตั้งใจที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตูนิเซีย
  • เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2019 หลังจากอับดุลฟัตตาห์ โมโร  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของเอนนาห์ดา ถอนตัวหลังจากการเลือกตั้งรอบแรก  ฆอนนูชีย์ได้ประกาศสนับสนุนไกส์  สะอีด ผู้สมัครอิสระ  ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่สอง โดยให้เหตุผลว่า “สะอีดเป็นตัวแทนคุณค่าและหลักการของการปฏิวัติ” ซึ่งฝ่ายปฏิวัติอาหรับสปริงก็ร่วมสนับสนุนสะอีดเช่นกัน
  • พฤศจิกายน 2019 จากการเลือกตั้งก่อนเวลาอันควรหลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดีเบจิ คาอิด เอสเซบซีของตูนิเซีย รัฐสภาตูนิเซียได้เลือกหัวหน้าพรรคเอ็นนาห์ดา  เป็นประธานรัฐสภาในวาระการประชุมเต็มคณะครั้งแรก และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าสาบานตนตามรัฐธรรมนูญ
  • นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานรัฐสภาหลังการเลือกตั้งในปี 2019 ฆอนนูชีย์ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากหลายพรรคที่ต่อต้านเขา ตลอดจนผู้นำในพรรคของเขาที่เรียกร้องให้ฆอนนูชีย์ก้าวลงจากการเมืองและหลีกทางให้กับผู้นำรุ่นใหม่ในพรรค แต่ฆอนนูชีย์ปฏิเสธข้อเสนอเหล่านี้

หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานรัฐสภาได้ไม่นาน กลุ่มรัฐสภาบางกลุ่มกล่าวหาว่าฆอนนูชีย์ล้มเหลวในการบริหารรัฐสภานอกจากนี้ ยังเข้าสู่ความขัดแย้งเรื่องอำนาจกับประธานาธิบดีไกส์ สะอีด ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองในประเทศ

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ครอบคลุมไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานรัฐสภาถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2020 และครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 แต่รัฐสภาได้ยกคำร้องทั้งสองคำร้องด้วยการลงมติของสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่

ความสัมพันธ์ระหว่างฆอนนูชีย์กับประธานาธิบดีสะอีดของตูนิเซียเกิดช่วงเวลาที่ซบเซา ซึ่งหลายครั้งกลายเป็นการทะเลาะวิวาทและผลัดกันกล่าวหา

หลังจากนั้น ประธานาธิบดีสะอีดประกาศเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2021 ใช้มาตรา 80 ของรัฐธรรมนูญตูนิเซีย ในสุนทรพจน์ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ของรัฐถึงการยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหิชาม อัลมะชีชี  การพักงานรัฐสภาและยกเลิกการคุ้มครองสมาชิกรัฐสภา

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการประกาศของประธานาธิบดี  ฆอนนูชีย์ไม่ลังเลที่จะประกาศปฏิเสธการตัดสินใจนี้ซึ่งถือว่าเป็นการรัฐประหารต่อต้านการปฏิวัติและรัฐธรรมนูญ ฆอนนูชีย์ไปที่รัฐสภา แต่กองกำลังทหารปิดประตูทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปได้ จึงนั่งประท้วงหน้ารัฐสภาต่อไป แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างผู้สนับสนุนประธานาธิบดีและฝ่ายต่อต้านทำให้ฆอนนูชีย์ตัดสินใจยกเลิกการประท้วง

หลังจากที่รัฐสภาถูกพักงาน เสียงต่างๆ ก็ดังขึ้นจากภายในขบวนการเอ็นนาห์ดา กล่าวโทษฆอนนูชีย์ว่าเป็นต้นเหตุสำหรับวิกฤตการเมืองที่นำพาประเทศไปสู่มาตรา 80 และสถานการณ์ที่บานปลายเพราะนโยบายของเขา

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2021 ผู้นำขบวนการเอ็นนาห์ดากว่า 131 คนและสมาชิกที่โดดเด่นของขบวนการ รวมถึงอดีตเจ้าหน้าที่และรัฐมนตรี ประกาศลาออกจากพรรคเพื่อประท้วงการปฏิบัติงานของฆอนนูชีย์ ท่ามกลางกระแสความแตกแยกที่ทำลายขบวนการเอ็นนาห์ดาที่รุนแรงที่สุด

ในวันที่ 1 เมษายน 2022  ฆอนนูชีย์ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกไปใต้อารักขาของหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายโดยมีฉากหลังเป็นการประชุมใหญ่ทางไกลของสมาชิกรัฐสภาที่ถูกพักงานเพื่อพิจารณาการยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีและกฤษฎีกาต่างๆที่ออกโดยประธานาธิบดีตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2021

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฆอนนูชีย์ก็ถูกข้อกล่าวหามากมายที่อัยการตูนิเซียฟ้องร้อง เช่น ข้อหา “การฟอกเงินภายใต้กรอบของความสามัคคี” และ”ใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้รับอนุญาตตามลักษณะของงานกิจกรรมทางวิชาชีพและทางสังคม และการโจมตี โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงกายภาพของรัฐและบังคับให้ประชากรเผชิญหน้ากัน ก่อความปั่นป่วนและการฆาตกรรม ปล้นสะดมประเทศตูนิเซีย กระทำการอันน่ารังเกียจต่อประมุขของรัฐ และโจมตีความมั่นคงภายนอกของรัฐ โดยพยายามทำลายบูรณภาพแห่งดินแดนตูนิเซีย”

จนในที่สุดวันนี้สถานการณ์ก็แตกหัก เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2023 ตำรวจตูนิเซียได้จับกุม ฆอนนูชีย์ ซึ่งมีอายุ 81 ปี หลังจากบุกค้นบ้านของเขาหลังจากการออกหมายจับจากสำนักงานอัยการของศูนย์ตุลาการเพื่อการต่อต้านการก่อการร้าย และควบคุมตัวไว้ระหว่างการสอบสวน ในคดีที่เกี่ยวข้องกับถ้อยแถลงที่ทำขณะเข้าร่วมการประชุมที่เรียกร้องโดย “แนวร่วมเพื่อการปลดปล่อย” ต่อต้านประธานาธิบดีไกส์ สะอีด โดยถือว่าเป็นการยุยง

#เกาะติดการจับกุมรอชิด_ฆอนนูชีย์


โดย Ghazali Benmad

เกาะติดการจับกุมรอชิด ฆอนนูชีย์ แกนนำกลุ่มอิสลามในตูนีเซีย [Ep.3]

รู้จักรอชิด ฆอนนูชีย์

ชัยค์รอชิด ฆอนนูชีย์ หัวหน้ากลุ่มนะฮ์เฎาะฮ์ (อิควานตูนิเซีย)  จากการเป็นนักโทษจำคุกตลอดชีวิตและโทษประหารชีวิต หลบหนีหลบๆซ่อนๆ อยู่ในอังกฤษ จากการไล่ล่าของรัฐบาลทรราช อดีตประธานาธิบดีบูรกีบะฮ์และบินอาลี แห่งตูนีเซียในอดีต สู่การเป็นประธานรัฐสภาหลังยุคอาหรับสปริง เมื่อ 13/11/2562 ด้วยคะแนนเสียงขาดลอย

#เกาะติดการจับกุมรอชิด_ฆอนนูชีย์


โดย Ghazali Benmad

เกาะติดการจับกุมรอชิด ฆอนนูชีย์ แกนนำกลุ่มอิสลามในตูนีเซีย [Ep.2]

สรุปสาระสำคัญจากบทความของชัยค์รอชิด ฆอนนูชีย์   รองประธานสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ ( International  Union of  Muslim  Scholars ) และหัวหน้ากลุ่มนะฮ์เฎาะฮ์  ตูนีเซีย ***

——————————-

การที่พรรคหะรอกะฮ์นะฮ์เฎาะฮ์  ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่ใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลกอาหรับ และเป็นกลุ่มหลักในการทำให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นในตูนีเซีย  ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ จากกลุ่มนักเคลื่อนไหวอิสลาม ที่จัดตั้งขึ้นในปี  1980  ทำงานด้านสังคม การศึกษา ขัดขืนคำสั่งของรัฐบาลเผด็จการในยุคนั้นที่กดขี่ทางศาสนาอย่างรุนแรง   กลายเป็นพรรคการเมืองที่ตัดขาด งดเว้นจากกิจกรรมอื่นๆทั้งหมดยกเว้นการเมือง

ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญ ปี 2014 ของตูนีเซียที่สมาชิกพรรคได้มีส่วนร่วมในการร่างด้วย ได้ประกันเสรีภาพในการนับถือและปฏิบัติศาสนกิจ รวมถึงการรักษาวัฒนธรรมอาหรับ จึงไม่มีเซคคิวลาร์ที่จะมาขัดขวางและกดขี่ศาสนาอิสลาม ทางกลุ่มจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพื่อการนี้อีก

ทั้งนี้ ในเมื่อความเป็นมุสลิมได้กำหนดกรอบการทำงานของเราไว้ การที่จะชี้ชัดว่าตูนีเซียใช้ปรัชญาเซคคิวลาร์หรืออิสลาม  เป็นสังคมมุสลิมหรือสังคมเซคคิวลาร์จึงไม่มีความจำเป็น เพราะรัฐธรรมนูญได้กำหนดบทบาทของศาสนาอิสลามไว้ชัดเจนแล้ว  ความคาดหวังของชาวตูนีเซียในยุคประชาธิปไตยจึงเกี่ยวข้องกับการแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งพรรคหะรอกะฮ์นะฮ์เฎาะฮ์  -พรรคที่มีส่วนร่วมเล็กๆในรัฐบาลผสม- ตระหนักและนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่างๆที่ชาวตูนีเซียปัจจุบันเผชิญอยู่

ผลจากการระดมสมองประเมินตนเองอยู่เสมอ นับตั้งแต่ได้จัดตั้งกลุ่มขึ้นเมื่อ 35 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการสอบถามความคิดเห็นสมาชิกกลุ่ม สมาชิกส่วนใหญ่มากกว่า 80 % เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามบริบทตูนีเซียที่เปลี่ยนแปลงจากเผด็จการสู่ประชาธิปไตย บริบทความขัดแย้งและความรุนแรงในภูมิภาคอาหรับ  ซึ่งหลายครั้ง มีความซับซ้อนยุ่งยาก อันเนื่องจากการตีความถึงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเหมาะสมระหว่างศาสนาและการเมือง  รวมถึงการพิสูจน์ให้เห็นว่าอิสลามสามารถไปด้วยกันได้กับประชาธิปไตย กลุ่มอิสลามสามารถมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้

กลุ่มนะฮ์เฎาะฮ์เดิมชื่อว่า กลุ่มอิตติญาฮ์อิสลามีย์ ใช้แนวคิดของหะซัน  บันนา ผู้นำอิควานอียิปต์ และมุศตอฟา  สิบาอีย์  ผู้นำอิควานสาขาซีเรีย  ต่อมาได้รับแนวคิดของ มาลิก  บินนบี  นักคิดจากมหาวิทยาลัยซัยตูนะฮ์  ตูนีเซีย และมุฮัมมัดตอเฮร์  บินอาชูร บิดาแห่งศาสตร์ด้านเจตนารมณ์กฎหมายอิสลาม โดยเปลี่ยนมาใช้ชื่อนะฮ์เฎาะฮ์ในคราวจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองในยุคบินอาลี

จากการทำงานเพื่อศาสนาและสังคม ทำให้กลุ่มถูกกดขี่บีฑาโดยรัฐบาลเผด็จการ ทั้งโดนฆ่าและจำคุกมากมาย ทั้งในยุคของบูรกีบะฮ์ และบินอาลี

ในปี 2010 เกิดเหตุการณ์ประท้วงใหญ่จนสามารถโค่นอำนาจเผด็จการบินอาลี ลงไปได้  ทางกลุ่มก็ได้เข้าร่วมประท้วงในครั้งนี้กับชาวตูนีเซียทั่วไป และไม่ได้ใช้นามของสมาชิกกลุ่ม

หลังจากนั้น ในปี 2011 มีการเลือกตั้ง กลุ่มนะฮ์เฎาะฮ์ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย จึงได้ร่วมกับพรรคเซคคิวลาร์ 2 พรรค ในการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ นับเป็นครั้งแรกในโลกอาหรับที่กลุ่มอิสลามกับกลุ่มเซคคิวลาร์สามารถจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติร่วมกันได้ 

แต่การเกิดความวุ่นวายและการลอบสังหารหลายๆ ครั้งประชาธิปไตยที่กำลังตั้งไข่ในตูนีเซีย จึงมีโอกาสถูกโค่นล้มได้ตลอดเวลา  ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว พรรคหะรอกะฮ์ ฯ ได้เลือกแนวทางการประนีประนอม แม้ว่าพรรคจะมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด แต่เพื่อความสงบของบ้านเมืองและเพื่อให้ฝ่ายปฏิวัติประชาชนสามารถดำรงอยู่ได้ พรรคจึงยินดีเสียสละอำนาจปกครองให้แก่กลุ่มแทคโนแครตที่เป็นคนกลาง ยอมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบการปกครอง แทนการหันหลังไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองหรือการต่อสู้ด้วยความรุนแรง

พรรคเสียสละยอมให้ตัดถ้อยคำ “หลักชะรีอะฮ์เป็นที่มาหนึ่งของกฎหมาย” ในร่างรัฐธรรมนูญ  แต่ยืนยันในเรื่องการเป็นนิติรัฐ สิทธิทางแพ่ง สิทธิทางการเมือง สังคม  เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม  และยังยอมให้ใช้ระบบประธานาธิบดีผสมระบบรัฐสภา ทั้งๆที่พรรคเห็นด้วยกับระบบรัฐสภามากกว่า

ต่อมา ในการเลือกตั้งปี 2014 พรรคแพ้การเลือกตั้งให้แก่พรรคเสียงตูนีเซีย ซึ่งเป็นฝ่ายขวากลาง ที่ตั้งขึ้นในปี 2012 พรรคได้เข้าร่วมในรัฐบาลผสมในฐานะหุ้นส่วนเล็กๆ  เพื่อการส่วนในการสถาปนารัฐธรรมนูญที่มั่นคง  แม้ว่าจะมีความเห็นไม่สอดคล้องกันทุกเรื่องไป แต่ความเป็นพันธมิตรก็ยังอยู่  เป็นบริบททางการเมืองของพรรคหะรอกะฮ์นะฮ์เฎาะฮ์ สำหรับการก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยอิสลามของตูนีเซีย

การแยกระหว่างศาสนากับรัฐ

ในการประชุมพรรคครั้งที่ 10  เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา  หลังจากที่พิจารณาแล้วว่าตูนิเซียผ่านพ้นยุคเผด็จการสู่ยุคประชาธิปไตยและเสรีภาพทางศาสนาได้รับการประกัน พรรคมีมติยกเลิกงานด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นงานสังคม  การศึกษา  วัฒนธรรมหรืออื่นๆ  ยกเว้นงานด้านการเมือง  พรรคเห็นว่าควรแบ่งพันธกิจของแต่ละองค์กรให้ชัดเจน  ไม่ควรมีพรรคการเมืองที่อ้างตนว่าเป็นตัวแทนทางศาสนา  เพราะพรรคเชื่อว่า นักการเมืองไม่เหมาะที่จะไปดำรงตำแหน่งในองค์กรทางศาสนาหรือองค์กรการกุศล  องค์กรทางศาสนาควรเป็นองค์กรอิสระและเป็นกลาง ไม่ควรที่จะมีมัสยิดหรือผู้นำศาสนาที่สังกัดพรรคการเมือง  พรรคเชื่อว่ามัสยิดควรเป็นสถานที่สร้างสรรค์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ไม่ใช่สถานที่แบ่งแยกสร้างความห่างเหิน

การแยกระหว่างศาสนากับการเมืองในลักษณะดังกล่าว  จะทำให้บุคลากรด้านศาสนาที่ทำงานเต็มเวลามีโอกาสพัฒนาตนเองให้มีขีดความสามารถทันต่อเหตุการณ์และตอบโจทย์สังคมร่วมสมัยได้  เนื่องจากสภาพการขาดบุคลากรดังกล่าว ในยุคกดขี่ข่มเหงทางศาสนาในอดีต ไม่มีองค์กรใดที่เผยแพร่ศาสนาอิสลามสายกลาง ไม่สุดโต่ง กลุ่มนะฮ์เฎาะฮ์ในยุคนั้นจึงต้องทำงานอย่างหนัก

การประชุมพรรคครั้งนั้นมีมติด้านยุทธศาสตร์ที่มีเป้าประสงค์เพื่อเอาชนะอุปสรรคปัญหาระดับชาติของตูนีเซีย โดยเน้นการร่างรัฐธรรมนูญ ความเป็นธรรมช่วงเปลี่ยนผ่าน  การปฏิรูปหน่วยงานของรัฐ  การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ  การผนึกกำลังหลายมิติและหลายฝ่ายเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย  และธรรมาภิบาลองค์กรศาสนาอิสลาม

ปัจจุบันพรรคไม่ได้ถูกมองว่าเป็นพรรคศาสนาอิสลาม  แต่เป็นพรรคของมุสลิมที่เป็นนักประชาธิปไตย ที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาของชาวตูนีเซียด้วยหลักการอิสลาม

ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ  พรรคฯจะเน้นการสานเสวนาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจบนหลักการ “ทุนนิยมที่มีมนุษยธรรม” ซึ่งหมายถึงระบบเศรษฐกิจเสรี ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเท่าเทียมกันทางสังคมและโอกาส รวมถึงการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม  การให้สถาบันการเงินเปิดโอกาสทางการลงทุนแก่ผู้ประกอบการใหม่  การลงทุนขนาดเล็ก  การส่งเสริมผู้ประกอบการวัยหนุ่มสาว  และปฏิรูปการศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของตลาด

นอกจากนั้น พรรคยังเชื่อว่าการพัฒนาประชาธิปไตยในตูนีเซียยังขึ้นอยู่กับการกำจัดอุปสรรคที่มาขัดขวางบทบาทสตรีในทุกๆด้าน  ตลอดจนการส่งเสริมความเสมอภาคและรักษาสิทธิของสตรี  ในการนี้พรรคได้เรียกร้องให้แต่ละพรรคเสนอบัญชีรายชื่อผู้สมัครชายและหญิงจำนวนเท่ากัน   และให้เพิ่มวันลาหยุดงานแก่แม่ที่คลอดบุตรมากขึ้น

การที่ไอสิสมีผู้เข้าร่วมมากมายก็เพราะสังคมมุสลิมทั่วไปในโลกอาหรับถูกกีดกันและตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง  เมื่อไอสิสมาพร้อมกับความหวัง  กลุ่มเยาวชนจึงตอบรับกันอย่างกว้างขวาง

ฉะนั้น  การกวาดล้างกลุ่มไอสิสให้สิ้น  จึงไม่ใช่การใช้ความรุนแรง  แต่เป็นการสถาปนาประชาธิปไตยอิสลามที่เคารพสิทธิส่วนบุคคล   ความเสมอภาคในด้านสังคมและเศรษกิจ  รวมถึงการทำนุบำรุงวัฒนธรรมและค่านิยมอาหรับและอิสลาม

#เกาะติดการจับกุมรอชิด_ฆอนนูชีย์

*** อ่านบทความต้นฉบับ

ภาษาอาหรับ

https://www.noonpost.com/content/13567

อังกฤษ

https://www.foreignaffairs.com/…/political-islam-muslim…


โดย Ghazali Benmad

เกาะติดการจับกุมรอชิด ฆอนนูชีย์ แกนนำกลุ่มอิสลามในตูนีเซีย [Ep.1]

โนอาห์ เฟลด์แมน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายชื่อดังของฮาร์วาร์ดกล่าวถึงรอชิด ฆอนนูชีย์ หัวหน้าของกลุ่มเอนนาห์ดา ว่าเป็น “หนึ่งในนักประชาธิปไตยอิสลามคนสำคัญในโลก”

ในบทความที่ตีพิมพ์โดยบลูมเบิร์ก และหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์  เฟลด์แมนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจับกุมรอชิด ฆอนนูชีย์  โดยกล่าวว่า; ตูนิเซียเคลื่อนย้ายจากประชาธิปไตยอาหรับสปริงไปสู่เผด็จการด้วยการจับกุมและคุมขังรอชิด ฆอนนูชีย์  นักประชาธิปไตยอิสลามิสต์คนสำคัญของโลกและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคฝ่ายค้านที่สำคัญที่สุดของประเทศ”

เฟลด์แมนกล่าวในบทความหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ว่า “เป็นข่าวที่น่าตกใจสำหรับเกิดขึ้นกับระบอบประชาธิปไตยแบบอาหรับเพียงหนึ่งเดียวที่ยังใช้งานได้”

เฟลด์แมนซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านความคิดอิสลามจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในปี 1994 เชื่อว่า การเคลื่อนไหวเพื่อจับกุม รอชิด ฆอนนูชีย์ เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีกัยส์ สะอีด เพื่อกำจัดเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองและปราบปรามประชาธิปไตยในตูนิเซีย  ที่ตามมาด้วยการปิดสำนักงานใหญ่ของพรรคเอ็นนาห์ดา ซึ่งนำโดยรอชิด ฆอนนูชีย์  และฝ่ายต่อต้านสะอีด ที่เรียกว่า “Salvation Front ขบวนการปลดปล่อย”

เฟลด์แมนกล่าว; รอชิด ฆอนนูชีย์ เป็นผู้นำมุสลิมคนสำคัญที่สุดที่คุณไม่เคยได้ยินชื่อ

เรื่องราวชีวิตที่น่าทึ่งของรอชิด ฆอนนูชีย์  ประกอบด้วยเรื่องราวของการใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงปี 1980 ในคุกเพราะต่อต้านเผด็จการตูนิเซีย จากนั้นลี้ภัยเป็นเวลา 2 ทศวรรษ รอชิด ฆอนนูชีย์กลับมายังตูนีเซียในปี 2011 หลังจากอาหรับสปริงได้เปิดศักราชใหม่ ในปีต่อมา ฆอนนูชีย์ได้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยของประเทศที่นำโดยเอนนาห์ดา และยังเข้าร่วมในรัฐบาลยุคอาหรับสปริง

เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า “ในช่วงที่เขาถูกเนรเทศ ฆอนนูชีย์ นักอิสลามสมัยใหม่ได้พัฒนาหลักทฤษฎีที่ว่า อิสลามและประชาธิปไตยเข้ากันได้อย่างไร และสอดคล้องกันได้อย่างไร หัวใจสำคัญของทฤษฎีนี้คือหลักการที่อิสลามประณามการบีบบังคับทุกชนิดรวมถึงการบังคับทางศาสนา “ในแง่นี้ ตาม ทัศนะของฆอนนูชีย์ “รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ไม่ควรกำหนดกฎหมายทางศาสนา”  แต่ฆอนนูชีย์เสนอว่า  “นักการเมืองอิสลามิสต์ควรสนับสนุนรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญที่มีแนวคิดเสรีนิยม ซึ่งปกป้องเสรีภาพทางศาสนาและอนุญาตให้พรรคการเมืองต่างๆ รับแรงบันดาลใจจากค่านิยมทางศาสนา”

เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า  ฝ่ายต่อต้านแนวคิดหลักการนิยม-ฟันดาเมนทัลลิสม์- ไม่เชื่อทัศนะของฆอนนูชีย์ และยืนยันว่า “เราไม่ควรเชื่อพวกเขา”  เมื่อเอนนาห์ดาเริ่มมีส่วนร่วมในการเมืองตูนิเซียหลังอาหรับสปริง ฝ่ายตรงข้ามคาดการณ์อย่างน่ากลัวว่า “เมื่อได้ดำรงตำแหน่ง ฆอนนูชีย์จะยุติประชาธิปไตยและบังคับใช้หลักการอิสลาม” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อธิบายด้วยคำขวัญของเอนนาห์ดาที่ว่า  “หนึ่งคน หนึ่งเสียง หนึ่งครั้ง”

“ในทางกลับกัน” เฟลด์แมนกล่าว “ภายใต้การนำของฆอนนูชีย์นั้น เอนนาห์ดาทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในการร่างรัฐธรรมนูญตูนิเซีย ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นฉันทามติของทุกฝ่าย รัฐธรรมนูญไม่มีระบุคำว่า “กฎหมายอิสลาม” อย่าว่าจะถึงขั้นบังคับใช้”

เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ฆอนนูชีย์ยังชี้นำให้พรรคของเขาค่อย ๆ กลายเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อย ๆ และอิสลามน้อยลงเรื่อย ๆ ในที่สุดพรรคก็ประกาศว่า ต้องการเป็นพรรคของมุสลิมประชาธิปไตยตามแบบอย่างของพรรคคริสเตียนประชาธิปไตยในยุโรป เอนนาห์ดามีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้งซึ่งประสบความสำเร็จมาก แต่ก็ค่อยๆลดลงในการเลือกตั้งทุกครั้งต่อมา”

เฟลด์แมนซึ่งพูดภาษาอาหรับได้คล่องยืนยันว่า ฆอนนูชีย์”เต็มใจที่จะเจรจาและสร้างพันธมิตรกับพรรคต่างๆ ที่เป็นตัวแทนของความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันในตูนิเซีย ทั้งหมดนี้แสดงถึงการทดลองรูปแบบหนึ่ง และการทดสอบว่าประชาธิปไตยแบบอิสลามเป็นไปได้จริงหรือไม่  ซึ่งคำตอบก็คือ เป็นได้และยังคงเป็นอยู่”

“คำเตือนถึงความเลวร้ายของลัทธิเผด็จการอิสลามได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง โดยการทดสอบประสบการณ์ทางการเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง”

“ในความเป็นจริง ยิ่งเอนนาห์ดาเข้าร่วมในการเมืองตูนิเซียมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นเสรีนิยมมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกัน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันซึ่งเป็นเผด็จการอำนาจนิยมนั้น เป็นเซคคิวลาร์กลายๆ ไม่ใช่อิสลามิสต์  และเป็นอดีตศาสตราจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ” เฟลด์แมนกล่าวอีก

เฟลด์แมนอธิบายว่า ข้อกล่าวหา”ยุยงให้เกิดความวุ่นวาย” ที่กระทำต่อ ฆอนนูชีย์ ในขณะนี้ เป็นเพียง “การโมเม”

เฟลด์แมนกล่าวต่อไปว่า “ในปีที่ผ่านมา สะอีดพยายามฟื้นฟูตูนิเซียให้กลับคืนสู่สถานะก่อนอาหรับสปริงในฐานะรัฐพรรคเดียว หลังจากประกาศภาวะฉุกเฉินและยุบสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ เป็นรัฐธรรมนูญที่เพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีด้วยการลอลงของอำนาจอื่น” โดยได้รับความเห็นชอบในการลงประชามติ ที่มีชาวตูนิเซียเพียง 30% เท่านั้นที่เข้าร่วม โดยฝ่ายค้านส่วนใหญ่คว่ำบาตร ”

เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อประชาธิปไตยในประเทศ ฆอนนูชีย์ กล่าวในแง่การเมืองว่า “จินตนาการถึงตูนิเซียที่ไม่มีพรรคนี้หรือพรรคนั้น… ตูนิเซียไม่มีเอนนาห์ดา ตูนิเซียไม่มีอิสลามทางการเมือง ไม่มีฝ่ายซ้าย หรือองค์ประกอบอื่นใด มันเป็นโครงการสำหรับสงครามกลางเมือง”

การที่ฆอนนูชีย์กล่าวถึงสงครามกลางเมืองเป็นเหตุผลที่ชัดเจนในการถูกจับกุม

“ฆอนนูชีย์ ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าเขาเป็นคนรักสันติ  ข้อหายั่วยุเป็นเรื่องไร้สาระ การจับกุมฆอนนูชีย์ดังกล่าว บ่งชี้ว่าสะอีดพร้อมที่จะปิดปาก แม้แต่แกนนำฝ่ายค้านที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล”

เฟลด์แมนสรุปบทความ โดยกล่าวว่า: “สำหรับตัวฆอนนูชีย์เอง ชายผู้อ่อนโยนคนนี้ ที่เห็นความผันผวนในพัฒนาการของประเทศของเขา ยังไม่ท้อถอย “ฉันมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต” “ตูนีเซียเสรี”  ฆอนนูชีย์กล่าวหลังจากที่ผู้พิพากษาสั่งให้เขาเข้าสู่กระบวนการการสอบสวนคดีที่รอดำเนินการ

เฟลด์แมนแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวของฆอนนูชีย์ว่า : “คำกล่าวนี้ยังเป็นความจริงอยู่หรือไม่ ?”

#เกาะติดการจับกุมรอชิด_ฆอนนูชีย์


โดย Ghazali Benmad

นิยามอิสลาม คุณลักษณะอิสลาม 18 ประการ [ตอนที่ 2]


คำถาม: “ในยุคของเรา มีการเรียกร้องสู่ที่อิสลามแตกต่างกันไป เราอยากให้ท่านให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับลักษณะของศาสนาอิสลามที่ท่านเรียกร้อง เพื่อไม่ให้เราสับสน”

คำตอบ โดยเชคยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์


10- ศาสนาอิสลามยืนยันสิทธิของประชาชนในการเลือกผู้ปกครอง ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้บีบบังคับให้ประชานยอมรับผู้ปกครองที่ประชาชนไม่เห็นด้วย  อีกทั้งประชาชนมีสิทธิที่จะติดตามและตรวจสอบผู้ปกครอง และจำเป็นต้องให้คำแนะนำและช่วยเหลือแก่ผู้ปกครอง

รวมถึงต้องเชื่อฟังในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม

หากผู้ปกครองสั่งการในสิ่งผิด ก็จะไม่มีการเชื่อฟัง สำหรับผู้ปกครองที่เฉไฉออกไปจากความถูกต้อง ประชาชนต้องแนะนำและชี้แนะ  หากทำไม่ได้ก็ต้องปลีกตัว

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะเป็นรัฐอิสลาม แต่ไม่ใช่รัฐศาสนาตามที่ตะวันตกรู้จักในยุคกลาง  หากทว่าเป็นรัฐที่ตั้งอยู่บน “การบัยอะฮ์” (ความยินยอมของมวลประชาชน) “การชูรอ” (ปรึกษาหารือ)  เป็นนิติรัฐภายใต้กฎหมายที่รัฐไม่ได้เป็นผู้บัญญัติขึ้นมาเอง

รัฐอิสลามไม่ได้ปกครองโดยนักวิชาการศาสนา  แต่ปกครองโดยผู้มีความรู้ความสามารถและมีความซื่อสัตย์สุจริต ที่หากอัลลอฮ์ประทานอำนาจทางโลกให้  พวกเขาจะดำรงการละหมาด จ่ายซะกาต กำชับความดีและหักห้ามความชั่ว

11- อิสลามปกป้องรักษาทรัพย์ และเห็นว่าทรัพย์สินเป็นรากฐานของชีวิตผู้คน เป็นกระดูกสันหลังของชีวิต

หากไม่มีทรัพย์สิน การสร้างสรรค์โลกก็จะไม่ประสบความสำเร็จ รวมถึงไม่สามารถช่วยเหลืออุปถัมภ์ศาสนาได้

ทรัพย์สินเป็นพรที่ต้องขอบคุณ  และเป็นความไว้วางใจที่ต้องรักษา  เป็นการทดสอบที่อัลลอฮ์ทดสอบผู้คนด้วยสิ่งที่พระองค์ประทานให้แก่พวกเขา 

ด้วยเหตุนี้จึงต้องแสวงหาทรัพย์สิน และพัฒนาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ตลอดจนให้ปฏิบัติพันธะหน้าที่ของมัน และปกป้องจากความฟุ่มเฟือยและการละเลย โดยเฉพาะทรัพย์สินสาธารณะ ซึ่งในศาสนาอิสลามมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง เช่นเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ของทรัพย์สินของเด็กกำพร้า 

อิสลามเคารพกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่กำหนดเงื่อนไขและพันธะต่างๆ โดยใช้กฎหมายและคำสอนเป็นแนวทางนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางสังคม

12- ศาสนาอิสลามให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการดูแลกลุ่มที่อ่อนแอด้อยโอกาสในสังคม  ทั้งกรรมกร ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน และพนักงานรายย่อย 

บุคคลเหล่านี้ถือเป็นเครื่องมือในการผลิตในยามสงบสุข และในยามสงคราม

อิสลามรักษาสิทธิของคนเหล่านั้นในเรื่องค่าจ้างและหลักประกันในการคุ้มครองการทำงาน  ตามความสามารถของแต่ละคน  ตามงานและความจำเป็นของเขา 

ศาสนาอิสลามยังดูแลผู้ที่ไม่สามารถทำงาน หรือผู้ที่ค่าจ้างไม่เพียงพอ  ทั้งในกรณีคนจน, คนขัดสน, เด็กกำพร้า และผู้เดินทาง

คนเหล่านี้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือเป็นช่วงๆ และเป็นประจำ จาก”ซะกาต” และ “ทรัพย์สินอื่นจากซะกาต” โดยการเอามาจากทรัพย์สินของบุคคลที่มีความสามารถ และเอามาจาก”ฟัยอ์-ทรัพย์สินที่ยึดมาจากสงคราม  และทรัพย์สินอื่นๆของรัฐ 

อิสลามทำงานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวย จึงจำกัดการเอาเปรียบของคนรวย และยกระดับคนจน

อิสลามไม่ยอมรับให้สังคมของตนมีบุคคลหนึ่งนอนอย่างอิ่มหนำสำราญ ในขณะที่เพื่อนบ้านข้างเคียงหิวโหย และเชื่อว่ารัฐมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการดูแลสิ่งเหล่านี้

13- อิสลามเชื่อว่าไม่ผิดที่มุสลิมจะรักบ้านเกิดเมืองนอนและภูมิใจในมาตุภูมิ  รวมทั้งการรักและห่วงไยเพื่อนร่วมชาติ

ชาตินิยม เผ่าพันธุ์นิยมจึงไม่ใช่สิ่งผิด ตราบใดที่ไม่ต่อต้านคำสอนอิสลาม หรือปฏิเสธอิสลาม

14- อิสลามเผชิญหน้าความคิดด้วยความคิด เผชิญกับข้อกังขาสงสัยด้วยการโต้แย้ง ไม่มีการบังคับในศาสนา หรือการบังคับในความคิด  อิสลามปฏิเสธการใช้วิธีการรุนแรงและการก่อการร้าย  ไม่ว่าจะมาจากผู้ปกครองหรือจากผู้อยู่ใต้ปกครอง  รวมถึงเชื่อมั่นในการสานเสวนาที่สร้างสรรค์และมีจุดมุ่งหมายซึ่งช่วยให้แต่ละฝ่ายได้แสดงออกซึ่งตัวตนอย่างชัดเจน ในกรอบของความตรงประเด็นและรักษาจรรยาบรรณความเห็นต่าง 

15- อิสลามเชื่อว่าอัลลอฮ์สร้างคนให้มีความแตกต่างกัน.

16- อิสลามไม่พอใจกับการยกย่องอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ของตนในอดีตแต่เพียงอย่างเดียว แต่ให้ทำงานเพื่อสร้างอารยธรรมอิสลามร่วมสมัย ที่รับเอาส่วนดีที่สุดของอารยธรรมร่วมสมัย เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  การจัดการและการจัดองค์กรที่ดี พร้อมๆกับการรักษาอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนเองไว้

17- ศาสนาอิสลามไม่ได้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการบังคับใช้กฎหมายในเชิงรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของบทลงโทษต่างๆ ทั้งหุดู๊ดและกิศ๊อศ  แม้ว่าจะเป็นส่วนที่ละเมิดไม่ได้ในบทบัญญัติของชารีอะห์ก็ตาม

18- อิสลามเชื่อว่า มวลมุสลิมไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ล้วนเป็นประชาชาติเดียวกัน มุสลิมผู้อ่อนแอต่ำต้อยที่สุดก็มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้อื่น  และล้วนเป็นพี่น้องกัน รวมกันเป็นหนึ่งด้วยความศรัทธาเดียวกัน กิบลัต(ทิศละหมาด)เดียวกัน และเชื่อในคัมภีร์เล่มเดียวกัน  ศาสดาเดียวกัน และบทบัญญัติเดียวกัน


แปลสรุปโดย ผศ.ดร.Ghazali Benmad