อิมรอน ข่าน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปากีสถาน

(อัลจาซีร่า) รัฐสภาปากีสถานลงมติไม่ไว้วางใจ นายกฯรัฐมนตรีอิมรอน ข่าน  9 เมษายน วานนี้ ด้วยคะแนน 174 เสียง จากเสียง สส.ทั้งหมด 342 เสียง  ส่งผลทำให้หลุดจากตำแหน่ง

การอภิปรายกินเวลา 14 ชั่วโมง ประธานรัฐสภาและรองประธาน ซึ่งเป็นคนของพรรคของอิมรอน ข่าน  ร่วมมือกับฝ่ายค้าน พากันลาออก ทำให้ฝ่ายค้านได้เป็นประธานแทน อีกทั้ง สส.พรรคของอิมรอน ข่าน บางส่วน งดออกเสียง และออกจากรัฐสภาไป

ทั้งนี้ รัฐสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป คาดว่าจะเป็นนายชาห์บาซ ชารีฟ น้องของนาวาซ ชารีฟ อดีตนายกรัฐมนตรี

ขอบคุณและขอให้อัลลอฮ์ตอบแทนความดีในผลงานที่ท่านได้ทำเพื่อประชาชาติอิสลาม

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ :

https://www.aljazeera.net/news/politics/2022/4/9/%D8%B9%D8%A7%D8%AC%D9%84-%D8%A7%D8%B3%D8%AA%D9%82%D8%A7%D9%84%D8%A9-%D8%B1%D8%A6%D9%8A%D8%B3-%D8%A7%D9%84%D8%A8%D8%B1%D9%84%D9%85%D8%A7%D9%86


แปลโดย Ghazali Benmad

มฟน.เชื่อมสัมพันธ์

21 มีนาคม 2565

เวลา 11.30-12.30 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายกสภามหาวิทยาลัยฟาฏอนี พร้อมด้วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนีและประธานมูนิธิมะดีนะตุสสลาม รศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา ได้เยี่ยมคารวะนายอิศอม บินศอลิห์ อัลญาตีลีย์อุปทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทยโดยได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับการริเริ่มโครงการก่อสร้างศูนย์อิสลามผู้อุปถัมภ์สองมัสยิดอันทรงเกียรติ กษัตริย์ซัลมาน บินอับดุลอาซิซ อาลซะอูด ณ เมืองมะดีนะตุสสลาม จังหวัดปัตตานี พร้อมพูดคุยโอกาสและแนวทางการพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี หลังจากประเทศไทยและซาอุดิอาระเบียได้รื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ

และในเวลา 13.30-15.15 น. ในวันเดียวกัน นายกสภามหาวิทยาลัยฟาฏอนีพร้อมด้วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี ได้เยี่ยมคารวะนายอะห์มัด อะลี เอ. เจ. อัตตะมีมี เอกอัครราชทูตรัฐกาตาร์ประจำประเทศไทย โดยได้รายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลชัยค์ญาซิม บินมุฮัมมัด อาลษานีย์ ณ เมืองมะดีนะตุสสลาม จังหวัดปัตตานี งบซ่อมแซมอาคารกาตาร์ที่มหาวิทยาลัยฟาฏอนี พร้อมโครงการก่อสร้างอาคารต่างๆ ตามแผนพัฒนามหาวิทยาลัยฟาฏอนี

รศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา กล่าวว่าประเทศซาอุดีอาระเบียและประเทศกาตาร์ถือเป็นสองสายธารอันไหลรินที่มอบความดีงามแก่สังคมโลกมาโดยตลอดโดยเฉพาะสังคมมุสลิมในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยฟาฏอนี  ในขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายกสภามหาวิทยาลัยเปิดเผยว่า ในนามมหาวิทยาลัยและพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยรู้สึกซาบซึ้งในมิตรไมตรีของประเทศซาอุดีอาระเบียและประเทศกาตาร์ ที่เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาสังคมในทุกมิติโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นกำลังหลักในการค้ำจุนสังคมสันติภาพต่อไป


โดย Mazlan Muhammad

ศอ.บต. จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง โอกาส ศักยภาพและความท้าทาย ของจังหวัดชายแดนภาคใต้และของประเทศไทยภายหลังรัฐบาลเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุดีอาระเบียโดยสมบูรณ์

วันที่ (23 กุมภาพันธ์ 2565) ที่ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง โอกาส ศักยภาพ และความท้าทาย ของจังหวัดชายแดนภาคใต้และของประเทศไทยภายหลังรัฐบาลเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุดีอาระเบียโดยสมบูรณ์ โดยภายในงานมีการกล่าวปาฐกถาจาก นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผ่าน video conference ในหัวข้อ “ความสำเร็จของการฟื้นฟูความสัมพันธ์    ไทย-ซาอุดีอาระเบีย โอกาสและศักยภาพของประเทศไทยและจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้ศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ ที่สมบูรณ์”

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนหนึ่งว่า ภายใต้ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างไทยและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียจะเป็นทั้งโอกาส ความหวัง และเป็นความท้าทายในการเดินหน้าพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกมิติ ซึ่งทุกภาคส่วนจะต้องเตรียมพร้อมและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาในอนาคตโดยความร่วมมือที่สำคัญที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอเน้นย้ำในเจตนารมณ์ที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดชายแดนใต้ ได้มีส่วนร่วมในการคิดและออกแบบนโยบาย ออกแบบกลไกและแนวทางการพัฒนาภายใต้การเปิดศักราช เชื่อมความสัมพันธ์ของราชอาณาจักรไทยราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างสมบูรณ์ ข้อเสนอของทุกท่าน ยืนยัน ที่จะให้การสนับสนุนและผลักดันไปเป็นวาระสำคัญการพัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาล เพื่อจะได้ดำเนินการเสนอและผลักดันกระบวนการทำงานของที่ประชุมไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมโดยเร็ว

นอกจากนี้ภายในงานมีการบรรยายในหัวข้อ “โอกาส ศักยภาพและความท้าทายของจังหวัดชายแดนภาคใต้และของประเทศไทย ภายหลังรัฐบาลเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบียโดยสมบูรณ์” โดย นายอิซอม ซอเละห์ เอช. อัลจีเตลีอุปทูตราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย และ นายสธน เกษมสันต์ ณ อยุธยา อุปทูตไทยประจำกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีการนำเสนอผลการระดมความคิดเห็นในขั้นต้น (Focus Group) ทั้ง 9 ด้าน ซึ่งจัดขึ้นไปแล้ว เมื่อวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา โดย พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และ มีการให้ข้อเสนอแนะและแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์ในประเด็นสำคัญต่าง ๆ โดย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ กล่าวถึงการผลักดันจังหวัดชายแดนภาคใต้สู่การเป็นพื้นที่อาหารฮาลาลโลกว่า มีความพร้อมในการผลักดันจังหวัดชายแดนภาคใต้สู่การเป็นพื้นที่อาหารฮาลาลโลก พร้อมส่งเสริมการทำมาตรฐานฮาลาลที่ทั่วโลกยอมรับ โดยผลิตอาหารตั้งต้น กลางและปลายที่เชื่อมโยงกัน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการศึกษาเพื่อเตรียมสร้างนักเรียน นักศึกษา เข้าสู่ตลาดแรงงานที่มีศักยภาพ พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมโยงจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่ประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างสมบูรณ์ โดยต้องอาศัยศักยภาพแกนนำบุคคลเพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกมิติโดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าทางความสัมพันธ์ของไทยและซาอุดีอาระเบีย และพัฒนาทักษะภาษาอาหรับเพื่อให้เข้าสู่ตลาดแรงงานที่สามารถสร้างรายได้ในการดูแลตนเองและครอบครัว

ด้าน พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า การรวบรวมข้อเสนอแนะในครั้งนี้จะเป็นการรวบรวบข้อมูล ที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาภายใต้มิติความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อจัดทำเป็นร่างกรอบและจะปรับปรุง หลังจาก รับคำแนะนำ ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะในครั้งนี้เพื่อส่งให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอต่อที่ประชุม กพต. และเสนอ ครม.ต่อไป เชื่อมั่นว่าจะเป็นทิศทางสำคัญที่จะยกระดับความร่วมมือ 2 ประเทศ และจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้  

นอกจากนี้ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน มีการระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Focus Group) อีกครั้ง เพื่อรวบรวบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาภายใต้มิติความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้านจะเป็นประโยชน์สูงสุด กับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย ที่สำคัญในการดำเนินการในพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ระดับประเทศต่อไป


เครดิตข่าว: เพจ สวท.ยะลา กรมประชาสัมพันธ์

มหาวิทยาลัยฟาฏอนีมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์แก่เลขาธิการองค์การสันนิบาตมุสลิมโลก

พิธีมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ 18 กุมภาพันธ์ 2565 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายกสภามหาวิทยาลัยฟอฏอนี ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่ ฯพณฯ ดร.มุฮัมมัด บินอับดุลกะรีม อัลอีซา เลขาธิการองค์การสันนิบาตโลกมุสลิม ณ ห้องประชุมแกรนด์มิรอจ ชั้น 3 โรงแรมอัลมิรอซ กรุงเทพ โดยมีรศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนีร่วมให้การต้อนรับ


คำประกาศเกียรติคุณ

ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา

ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์

ประจำปีการศึกษา 2556

………………………………….……..

ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซาเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญด้านนิติศาสตร์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านกฎหมายอิสลามเปรียบเทียบ ระดับปริญญาโทและเอกด้านตุลาการศึกษาเปรียบเทียบ และกฎหมายมหาชนเปรียบเทียบจากมหาวิทยาลัยอิสลาม อิมาม มูฮัมหมัด บิน ซาอูด ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซาเป็นผู้มีประสบการณ์การทำงานด้านกฎหมายที่โดดเด่นในราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย และเคยดำรงตำแหน่งรองประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลฎีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและองคมนตรี และฯพณฯยังได้รับเชิญเป็นองค์ปาฐกเกี่ยวกับนิติศาสตร์อิสลามและกฎหมายเปรียบเทียบทั้งในและนอกราชอาณาจักรซาอุดีอารเบีย ฯพณฯ ยังเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกในการสร้างความร่วมมือใหม่ๆระหว่างชุมชน ศาสนา และประเทศต่างๆ ฯพณฯ ได้เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย พบปะกับบุคคลสำคัญ สมาชิกรัฐสภาด้านความยุติธรรม กฎหมาย และสิทธิมนุษยชน รวมถึงผู้นำชุมชนและผู้นำด้านจิตวิญญาณ

ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซาได้รับการยกย่องทั้งในซาอุดิอาระเบียและต่างประเทศในการเป็นผู้นำการปฏิรูปด้านกฎหมาย สิทธิสตรี และสิทธิมนุษยชน

ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซาเคยได้รับเลือกจากสภารัฐมนตรียุติธรรมอาหรับ (Council of Arab Ministers of Justice) เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของกลุ่ม  รวมถึงเข้าร่วมเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ที่ King Saud University และสถาบันตุลาการชั้นสูงของมหาวิทยาลัยอิสลาม อิมามมูฮัมหมัด บิน ซาอูด

ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา ในฐานะกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ได้ดำเนินการสำคัญๆ ดังนี้ ได้รับมอบหมายเป็นประธานคณะกรรมการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นประธานคณะกรรมการวิชาการถาวรเพื่ออนุญาโตตุลาการ เป็นหัวหน้าคณะกรรมการจัดทำระเบียบบริหารระบบรับเรื่องร้องทุกข์

ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา มีผลงานที่โดดเด่นในเรื่องกฎหมายอิสลามเปรียบเทียบ กระบวนการยุติธรรมเปรียบเทียบ กฎหมายมหาชนเปรียบเทียบ และ ฯพณฯ ยังได้เสนอผลงานทางวิชาการด้านกฎหมายในเวทีระดับโลกซึ่งมีผลต่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรมในราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย

นอกจากนี้ ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญระดับโลกเกี่ยวกับอิสลามสายกลาง มุ่งมั่นที่จะนำความตระหนักรู้ไปยังทั่วโลกสู่สัจจธรรมที่แท้จริง

ในฐานะเลขาธิการองค์การสันนิบาตมุสลิมโลก ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา ยังได้พบปะกับผู้นำอาวุโสด้านการเมือง ศาสนา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์แบบองค์รวมที่เน้นการสนทนาและการศึกษาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนของศาสนาต่างๆ จากการคุกคามของลัทธิสุดโต่ง ฯพณฯ ได้เสนอแนวคิดริเริ่มเชิงนโยบายเพื่อจัดการกับคำพูดแสดงความเกลียดชังและการเหยียดเชื้อชาติที่ยุยงให้เกิดความรุนแรง

จากผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ดังกล่าวของ ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา      สภามหาวิทยาลัยฟาฏอนี ในคราวประชุมครั้งที่ 72(2/2019) วันที่ 24 พฤศจิกายน 2562 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นสมควรยกย่องเชิดชูเกียรติให้ ฯพณฯ ดร. มุฮัมหมัด บิน อับดุลการิม อัลอีซา ได้รับ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชานิติศาสตร์ เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป

ทั้งนี้ ดร. มุฮัมหมัด ได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมทั้งมหาวิทยาลัยฟาฏอนีตลอดจนมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศไทยที่ให้การศึกษาแก่ผู้คนเพราะการศึกษาคือรากฐานของทุกอย่าง ท่านยังชื่นชมประเทศไทยในภาพรวมว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรมที่คนต่างศาสนาต่างความเชื่อสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความรักความเมตตาและความเข้าใจระหว่างกันซึ่งเชื่อว่ากรณีของประเทศไทยน่าจะเป็นประโยชน์แก่พื้นที่อื่นๆ ในโลกได้

https://www.facebook.com/FTUtv/videos/1606831066350489


โดย theustaz.com

การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ขั้นปกติระหว่างซาอุดิอาระเบียกับประเทศไทยสู่ศักราชแห่งมิตรภาพใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติแห่งความร่วมมือ

⁃          ความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศนี้เริ่มตั้งแต่พ.ศ. 2500 โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศได้มีการเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี

            ⁃          การเยี่ยมเยียนของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในวันที่ 25 มกราคม 2565 เป็นไปตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัดบินซัลมานบินอับดุลอาซีซอัลซะอูด มกุฏราชกุมารแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย เพื่อเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์ที่ดีที่ครอบคลุมทุกมิติแห่งความร่วมมือทั้งในเวทีระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ

            ⁃          ซาอุดิอาระเบียร์มีความยินดีรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างมิตรประเทศนี้และยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตโดยจะมีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำเมืองหลวงของทั้งสองประเทศในอนาคตอันใกล้

            ⁃          ประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ฉันมิตรครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ ที่ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย เพื่อประโยชน์ร่วมกันของราชอาณาจักรทั้งสอง

            ⁃          การรื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างปกติระหว่างสองประเทศนี้ได้ส่งสัญญาณให้ส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ครอบคลุมทุกสาขา ได้แก่ด้านการเมือง ความมั่นคง อุตสาหกรรมการค้า เศรษฐกิจ การลงทุน การท่องเที่ยวและเกษตรกรรม รวมทั้งการอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมและการขนส่งเพื่อการค้าและการท่องเที่ยว การรักษาพยาบาล การเปิดโอกาสด้านการลงทุนให้เป็นไปตามพระราชวิสัยทัศน์ 2030 อันเข้มแข็งของประเทศซาอุดีอาระเบียและสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติและวาระการพัฒนาแห่งชาติของประเทศไทย

            ⁃          รัฐบาลซาอุดิอาระเบียตระหนักและให้ความสำคัญกับกิจการของชาวมุสลิมในประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องการสร้างมัสยิด ศูนย์อิสลาม การพิมพ์แจกอัลกุรอาน โครงการละศีลอด การแจกจ่ายอินทผาลัมและมอบทุนการศึกษา

            ⁃          ซาอุดิอาระเบียสนับสนุนด้านงบประมาณโครงการผู้พิทักษ์สองมัสยิดอันทรงเกียรติกษัตริย์ซัลมาน บินอับดุลอาซีซอัลซะอูด ที่เมืองมะดีนะตุสสลาม จังหวัดปัตตานี

            ⁃          ซาอุดิอาระเบียได้ส่งออกสินค้าเข้าประเทศไทยในปี 2020 มูลค่า 4,000 ล้านดอลล่าร์ ในขณะที่ประเทศไทยได้ส่งออกสินค้าไปยังซาอุดิอาระเบียมูลค่า 1.65 พันล้านดอลล่าร์ 

            ⁃          ในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา การแลกเปลี่ยนสินค้าของทั้งสองประเทศนี้ มีมูลค่าสูงถึง 18,000 ล้านดอลล่าร์

ขอบคุณภาพจาก twitter : @OKAZ_online
ขอบคุณภาพจาก twitter : @OKAZ_online
ขอบคุณภาพจาก twitter : @OKAZ_online
ขอบคุณภาพจาก twitter : @OKAZ_online

ขอบคุณภาพจาก twitter : @OKAZ_online

อ่านข่าวเพิ่มเติม


โดยทีมข่าวต่างประเทศ

การจากไปของเฒ่าทระนง

ชัยค์สุไลมาน อัลฮาซลีน (70 ปี) ชายชราจากเมืองคอลีล ทางตอนใต้เขตเวสต์แบงค์ ได้เสียชีวิตอย่างสงบหลังจากมอบชีวิตทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับกองกำลังยิวจอมปล้นแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2022 กองกำลังผู้รุกรานได้เข้าตรวจค้นหมู่บ้าน “อุมมุลคอยร์” ณ เมืองคอลีล ซึ่งอยู่ทางตอนใต้เขตเวสต์แบงค์ ปาเลสไตน์ โดยอ้างว่าเพื่อตรวจค้นรถยนต์ผิดกฎหมายซึ่งในความเป็นจริงเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่ประชาชนและเข้าจับกุมชัยค์สุไลมาน อัลฮาซาลีน เฒ่าทระนงผู้ยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังก่อการร้ายในนามรัฐเถื่อนอิสราเอล

ทหารอิสราเอลใช้รถเกราะล้อยางเหยียบร่างของเฒ่าทระนงผู้นี้จนทำให้ศีรษะและร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนถูกนำไปโรงพยาบาลและได้รับชะฮีดในวันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2022 ท่ามกลางความเศร้าโศกของชาวปาเลสไตน์ที่ได้สูญเสียบุคคลผู้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับการกดขี่และอธรรมที่รุนแรงที่สุดในโลกปัจจุบัน

ถึงแม้สื่อกระแสหลักจะบอดใบ้เช่นเคยก็ตาม


โดยทีมข่าวต่างประเทศ

ประกาศผู้ได้รับรางวัลกษัตริย์ไฟศอลประจำปี 2022

เจ้าชายคอลิด อัลไฟศอล อะมีร์มักกะฮ์ ในฐานะองค์ประธานรางวัลกษัตริย์ไฟศอล ได้เป็นองค์ประธานพิจารณาผู้ที่สมควรได้รับรางวัล ใน 5 สาขา โดยในปีนี้มีนักวิชาการระดับโลกได้รับรางวัลจำนวน 8 ท่าน แยกเป็น สาขาวิทยาศาสตร์จำนวน 2 ท่าน สาขาแพทยศาสตร์จำนวน 1 ท่าน สาขาภาษาอาหรับและวรรณคดี จำนวน 2 ท่าน สาขาบริการอิสลามจำนวน 2 ท่าน ส่วนสาขาอิสลามศึกษา ไม่มีผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐาน

รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกผู้สมควรได้รับรางวัลกษัตริย์ไฟศอลสาขาบริการอิสลามได้มีมติเลือก Professor Dr. Mahmoud AL Shafei (91 ปี) ชาวอิยิปต์อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ กรุงอิสลามมาบัด อดีตประธานสภาภาษาอาหรับและวรรณคดีประจำกรุงไคโร ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาอุละมาอ แห่งอิยิปต์ ได้รับรางวัลกษัตริย์ไฟศอลสาขาบริการอิสลาม พร้อมด้วย Mr.Hassan Mwinyi (96ปี) อดีตประธานาธิบดีแทนซาเนีย สมัย 1985-1995 ซึ่งคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้คือ อบุล อะอฺลา อัลเมาดูดีย์ นักเคลื่อนไหวอิสลามนามอุโฆษขาวปากีสถานเมื่อ ค.ศ.1979

ผู้ได้รับรางวัลในแต่ละสาขา ได้รับโล่รางวัลพร้อมเช็คเงินสดจำนวน 200,000 ดอลล่าร์สหรัฐ หากมีผู้ได้รับรางวัลในสาขาเดียวกันมากกว่าหนึ่งคน ก็จะแบ่งเงินรางวัลจำนวนเท่ากัน

ติดตามรายละเอียดได้ที่

https://www.facebook.com/KingFaisalPrize/


โดย Mazlan Muhammad

ประชุมมูลนิธิกษัตริย์ไฟศอลเพื่อการสาธารณกุศล

จันทร์ที่ 3 มกราคม 2565

รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนีได้เดินทางไปยังกรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมรับรางวัลกษัตริย์ไฟศอล สาขาบริการอิสลามประจำปี 2022 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 มกราคม 2565 ณ มูลนิธิกษัตริย์ไฟศอล เพื่อการสาธารณกุศล กรุงริยาด เริ่มเวลา 13.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น โดยจะประกาศผู้ได้รับรางวัลตามสาขาต่าง ๆ พร้อมเลี้ยงรับรองคณะกรรมการฯเวลา 20.00 น.ในวันเดียวกัน

การประชุมครั้งนี้ มีเจ้าชายคอลิด อัลไฟศอล องค์ประธานคณะกรรมการคัดเลือกและประธานมูนิธิ ฯ เป็นองค์ประธานที่ประชุมและเลี้ยงรับรอง

รศ.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา หนึ่งเดียวในระดับอาเซียนและบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ปาตานีที่ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกอันทรงเกียรตินี้ ถือเป็นเกียรติประวัติและความภาคภูมิใจของชาวปาตานี โดยเฉพาะชาวมหาวิทยาลัยฟาฏอนี ซึ่งมีบุคลากรที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกเช่นนี้

ในโอกาสนี้ รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา มีกำหนดเดินทางไปยังมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ เพื่อประกอบพิธีอุมเราะฮ์และซิยาเราะฮ์ ก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองไทยในวันที่ 10 มกราคม 2565

ขอให้การเดินทางครั้งนี้ เต็มไปด้วยบารอกัตและสวัสดิภาพ พร้อมกับภารกิจนำความเมตตาแห่งสากลจักรวาลที่สะท้อนถึงความเป็นประชาชาติหนึ่งเดียว “อุมมะฮ์วาฮิดะฮ์” สู่สันติภาพและสันติสุขอันยั่งยืน


โดย Mazlan Muhammad

มัสยิดอานีซอายาโยเฟีย ได้รับการเปลี่ยนสถานะเป็นมัสยิดอีกครั้ง

มัสยิดอานีซอายาโยเฟีย ได้รับการเปลี่ยนสถานะเป็นมัสยิดอีกครั้งโดยประธานฝ่ายศาสนาอิสลามตุรกีเมื่อ วันศุกร์ที่24 ธค. 2021 หลังจากถูกรัฐบาลสายเคมาลิสต์ปิดนานกว่า 56 ปี

มัสยิดนี้ เดิมคือโบสถ์สมัยไบเซนไทน์ สร้างเมื่อค.ศ. 12 และถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดหลังการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลเมื่อค.ศ.1456 แต่ถูกรัฐบาลสาวกเคมาลิสต์ปิดถาวรเมื่อ 56 ปีที่ผ่านมา

มัสยิดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองเอดีร์เน เมืองทางตะวันตกสุดของประเทศ ติดกับประเทศกรีซ 7 กม. และบัลเกเรีย 20 กม.


โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

ชาวจะนะประกาศ “พอใจแต่ยังไม่วางใจ”

ยกแรก ชนะอย่างขาวสะอาด แต่ศึกนี้มี 100 ยก ด้วยเหตุนี้ชาวจะนะประกาศ “พอใจแต่ยังไม่ไว้วางใจ”

เช้านี้มีโอกาสคุยกับอาจารย์อับดุลสุโก ดินอะ  พร้อมถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จของพี่น้องชาวจะนะ ที่คัดค้าน “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบลในอำเภอจะนะจังหวัดสงขลาจำนวน 16,752 ไร่ เงินลงทุนกว่า 18,680 ล้านบาท

สรุปได้ดังนี้

 1. การต่อสู้ของชาวบ้านที่ใช้ต้นทุนของความบริสุทธิ์ใจและความเทใจ

 2. การใช้หลักสันติวิธีและหลักการเจรจาต่อรองอันทรงพลัง

 3. การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ทุกหมู่เหล่าที่เข้าใจเจตนารมย์ร่วมกัน

 4. การใช้พลังทางวิชาการ สื่อท้องถิ่นและสื่อนานาชาติได้อย่างเข้าถึงและมีประสิทธิภาพ

 5. ปรากฏการณ์ไครียะห์ “ลูกสาวแห่งทะเลจะนะ” พลังของคนรุ่นใหม่ สร้างความเปลี่ยนแปลง

 6. ความใจกว้างของรัฐบาลที่ยอมประเมินยุทธศาสตร์ SEA อีกครั้ง

อาจารย์อับดุลสุโก ดินอะให้ข้อมูลว่า ที่ประชุมครม. ได้มีมติดังนี้

 1. การดำเนินการที่ผ่านมาของบริษัทเอกชน หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับนิคมอุตสาหกรรมจะนะต้องยุติลง

 2. การพัฒนาจะนะและพื้นที่ใกล้เคียงจะเป็นไปตามการประเมินยุทธศาสตร์ SEAโดยผู้มีหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักคือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) และไม่เอาคู่ขัดแย้งนิคมอุตสาหกรรมจะนะ มาดำเนินการ

 3. ให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นผู้ประเมิน SEA

 4. นำข้อเสนอกระบวนการ SEA ของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่นมาประกอบการประเมิน

“หัวใจสำคัญของการเจรจากับรัฐบาลครั้งนี้คือนอกจากต้องยุติโครงการสร้างนิคมอุตสาหกรรมจะนะแล้ว รัฐบาลควรมอบเงินเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ให้พี่น้องจะนะนำเป็นทุนในการพัฒนาท้องถิ่นที่หลากหลายบนฐานทรัพยากรอันมากมาย เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ยังยืนและนำไปสู่การกระจายโอกาสที่เป็นธรรม”

“และที่สำคัญหลังจากนี้ประชาชนทุกภาคส่วนต้องกำหนดทิศทางการพัฒนาด้วยตนเอง หมดยุคที่กลุ่มทุนและกลุ่มการเมืองอิงผลประโยชน์จะมาชี้นิ้วสั่งการได้แล้ว” อาจารย์อับดุลสุโก ดินอะ กล่าวทิ้งท้าย


อ่านเพิ่มเติม

https://www.csitereport.com/newsdetail?id=0000021445

โดย Mazlan Muhammad