บทความ ประวัติศาสตร์

เรื่องสยองบนแผ่นดินอันดาลูเซีย

เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวอันดาลูเซียนาม Muhammad Saghir ซึ่งใช้ชีวิตภายใต้กฎเหล็กของศาลศาสนาที่บีบบังคับชาวกรานาดาละทิ้งอิสลามและหันกลับนับถือศาสนาคริสต์ตามคำบัญชาของกษัตริย์เจ้าปกครอง

ชัยค์อาลี ฏอนฏอวีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ (เสียชีวิตปีค.ศ.1999) ได้จรดปลายปากกาเขียนเรื่องนี้ ผ่านตัวละครเอก Muhammad Saghir ซึ่งได้เล่าประสบการณ์ชีวิตของตนเองในวัยเด็กว่า

ขณะนั้น ฉันยังเด็กอยู่ จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายนัก เพียงแต่ฉันสังเกตว่า ทุกครั้งที่ฉันกลับจากโรงเรียน คุณพ่อจะกระวนกระวายคล้ายคนอมทุกข์ ทุกครั้งที่ฉันอ่านบทสวดที่ได้ท่องจำมาจากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์และอ่านเนื้อหาที่ฉันได้เรียนมา แววตาของท่านจะเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

พ่อรีบผละออกจากฉัน แล้วเดินไปยังห้องลึกลับในบ้าน พ่อไม่อนุญาตใครผู้ใดเข้าไปในห้องนี้โดยเด็ดขาด ทุกๆวันพ่อจะใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานพอสมควร

ฉันไม่รู้ว่าพ่อทำอะไรในห้องนั้น แต่ทุกครั้งที่พ่อออกจากห้อง ฉันเห็นดวงตาของท่านแดงก่ำ เหมือนคนเพิ่งร้องไห้หนัก พ่อมองฉันด้วยสายตาที่เอ็นดู พร้อมขมิบริมฝีปากเหมือนพูดอะไรบางอย่าง แต่ทุกครั้งที่ฉันตั้งใจเงี่ยหูฟัง พ่อจะหันหลังและเดินไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ส่วนคุณแม่ ทุกครั้งที่ส่งฉันไปโรงเรียนหน้าบ้าน แม่จะโผกอดฉันแน่นครั้งแล้วครั้งเล่าและร้องไห้สะอีกสะอื้น จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า น้ำตาคุณแม่ที่ไหลอาบบนแก้มฉัน ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นตลอดทั้งวัน

ฉันได้แต่แปลกใจ แต่ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพราะสาเหตุใด

เมื่อฉันกลับจากโรงเรียน คุณแม่จะโผวิ่งมาหาฉันและกอดฉันราวกับว่า ฉันพรากจากบ้านนานนับสิบๆวัน บ่อยครั้งที่ฉันสังเกตพ่อแม่ถอยห่างจากตัวฉันและกระซิบเสียงด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาสเปน ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลย เมื่อฉันเข้าใกล้ ทั้งสองก็หยุดสนทนาดื้อๆ แล้วเริ่มพูดด้วยภาษาสเปน จนทำให้ฉันรู้สึกน้อยอกน้อยใจและคิดเรื่อยเปื่อยว่า บางทีฉันคงไม่ใช่ลูกแท้ๆของทั้งสองก็ได้ บางครั้ง ฉันแอบร้องไห้คนเดียวในบ้าน จนกระทั่งฉันกลายเป็นเด็กเก็บกด ไม่ค่อยสุงสิงร่าเริงกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ฉันจึงชอบอยู่คนเดียว จนกระทั่งพี่เลี้ยงมาดึงเสื้อฉันให้ไปละหมาดที่โบสถ์

ต่อมา แม่คลอดลูกชายอีกคน เมื่อพ่อทราบข่าวว่าฉันได้น้องชายคนใหม่แทนที่จะดีใจ ฉันเห็นใบหน้าพ่อหมองเศร้าและสายตาเหม่อลอย สมองของฉันจึงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบ ฉันรู้สึกเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

จนกระทั่งเทศกาลเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ได้เวียนบรรจบอีกครั้ง เมืองกรานาดาถูกประดับประดาด้วยแสงสีตระการตาพร้อมด้วยน้ำหอม โดยเฉพาะโบสถ์และหอสวด

ในค่ำคืนอันเงียบสงัดที่ผู้คนได้หลับสนิท พ่อเรียกฉันและจูงมือฉันไปที่ห้องลับ หัวใจฉันเต้นระทึกระคนหวาดกลัว เมื่อฉันอยู่กลางห้อง พ่อรีบปิดประตูแน่นหนา และหาตะเกียง ฉันรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่อยู่ในความมืด ณ วินาทีนั้น ช่างยืดเยื้อยาวนานเหมือนแรมปี เมื่อห้องเริ่มสว่างมัวๆ ฉันเริ่มกวาดสายตาไปยังห้อง ฉันพบแต่ความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากพรมผืนหนึ่งกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นและดาบเล่มหนึ่งที่แขวนติดผนัง

พ่อบอกให้ฉันนั่งบนพรมและเพ่งมองฉันด้วยสายตาที่เปล่งประกาย จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า ฉันกำลังอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด วังเวงและลึกลับ ณ สถานที่แห่งนี้

ฉันไม่รู้จะอธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้นได้อย่างไร พ่อจับมือฉันอย่างอ่อนโยนและกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“ลูกรัก บัดนี้เจ้าอายุ 10 ขวบแล้ว เจ้าเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว พ่อจะบอกความลับที่พ่อปิดบังเจ้ามาตลอด เจ้าสัญญาไหมว่าจะปิดความลับนี้ และไม่บอกให้ใครรู้เด็ดขาดถึงแม้จะเป็นคุณแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทหรือใครคนไหนก็ตาม”

“หากความลับนี้แตกเมื่อไหร่ ความหายนะของครอบครัวเรา จะต้องมาเยือนแน่นอน เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาต้องลงโทษพวกเราอย่างทารุณ”

พลันที่ได้ยินคำว่าศาลศาสนา หัวใจของฉันเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว ความสยดสยองพรั่งพรูเข้ามาในความรู้สึก ถึงแม้ฉันอายุยังน้อย แต่ก็พอรู้ถึงกิตติศัพท์ความโหดร้ายคนกลุ่มนี้ เพราะในระหว่างที่ฉันเดินทางไปกลับจากโรงเรียน ฉันเห็นผู้คนถูกทรมานเเทบทุกวัน บ้างก็โดนเผาตายทั้งเป็น บ้างก็โดนตรึงที่ไม้กางเขน บ้างก็ถูกคว้านท้อง ผู้หญิงบางคนถูกแขวนด้วยผมศีรษะของนางแล้วถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทรมานก็ชวนทำให้ขนลุกขนพอง

ภาพอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ เข้ามาหลอนในความรู้สึกของฉัน จนกระทั่ง เนื้อตัวเย็นชา ฉันแน่นิ่งชั่วขณะ

พ่อ : ทำไมลูกเงียบ สัญญากับพ่อไหมลูก

ลูก : ครับพ่อ ฉันสัญญา

พ่อ : เจ้าจะไม่บอกให้ใครทราบ ไม่ว่าจะเป็นแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนหรือใครก็ตาม

ลูก : ครับพ่อ

พ่อ : ขยับเข้ามาใกล้หาพ่อซิลูกรัก

“ พ่อต้องกระซิบบอกเจ้า เพราะเกรงว่าผนังห้องจะแอบได้ยิน แล้วมันจะไปฟ้องที่ศาลศาสนา”

ลูก : ฉันพร้อมครับพ่อ

พ่อ : เจ้ารู้ไหมว่า นี่คือหนังสืออะไร

ลูก : ไม่ทราบครับ

พ่อ : นี่คือคัมภีร์ของพระเจ้า

ลูก : อ้อ คัมภีร์ของอีซา บุตรพระเจ้า ที่ฉันท่องที่โรงเรียนทุกวันใช่ไหมครับพ่อ

พ่อ : ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงเอกา พระองค์ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด พระองค์ไม่มีบุตรและพระองค์ไม่ใช่เป็นบุตรของใคร ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์เล่มนี้ให้แก่ศาสนทูตคนสุดท้ายผู้ประเสริฐสุด นบีมูฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์ صلى الله عليه وسلم

ฉันเปิดตาดูหนังสือเล่มนั้น แต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย

พ่อ : ลูกรัก นี่คือคัมภีร์ของอิสลาม ศาสนาที่อัลลอฮ์ทรงประทานนบีมูฮัมมัดมายังมนุษยชาติ ก่อกำเนิดแรกเริ่มท่ามกลางทะเลทรายอันไกลโพ้น ณ นครมักกะฮ์ ท่ามกลางชาวอาหรับเบดูอินที่งมงาย ป่าเถื่อนและบูชาเจว็ด อัลลอฮ์ให้ทางนำแก่พวกเขา พระองค์ประทานความเข้มแข็ง ความรู้และอารยธรรมอันสูงส่ง ทำให้พวกเขาได้เผยแพร่สัจธรรมทั่วคาบสมุทรอาหรับและทั่วแว่นแคว้น ทั้งทางภาคตะวันออกและตะวันตก จนกระทั่งอรุณแห่งอิสลามได้ขจรขจายมายังบริเวณนี้ ณ ประเทศสเปน

ในอดีตราว 800 ปีที่แล้ว ดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ทรราช กดขี่ประชาชน สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จนกระทั่งกองทัพอิสลามเข้ามาพิชิตดินแดนแห่งนี้และปกครองยาวนานกว่า 8 ศตวรรษ ด้วยความยุติธรรม พร้อมสร้างความเจริญและอารยธรรมอันสูงส่งประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขมาอย่างยาวนาน

ลูกรัก เราคืออาหรับมุสลิมที่สร้างความเจริญมากมายบนแผ่นดินนี้

ลูก : อาหรับมุสลิมคือใครครับคุณพ่อ

พ่อ : เราคือเจ้าของแผ่นดินนี้ เราได้สร้างพระราชวังอัลฮัมบราอันยิ่งใหญ่ ที่ปัจจุบันกลายเป็นที่พักอาศัยของศัตรู โบสถ์ที่ใหญ่โตคือมัสยิดอันสวยงามของกรานาดาในอดีต หอสวดที่สูงตระหง่านนั่นคือหออะซานที่ก้องกังวาลในอดีต เราได้สร้างถนนหนทาง ไฟถนน สะพานเชื่อม ระบบน้ำประปาและพัฒนาด้านเกษตรกรรมจนกลายเป็นเรือกสวนไร่นาอันเจียวขจี

แต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ( ค.ศ. 1492) กษัตริย์ผู้น่าสงสารชื่อ อับดุลลอฮ์ ศอฆีร ซึ่งเป็นกษัตริย์อันดาลูเซียองค์สุดท้ายของมุสลิมได้หลงกลกับคำมั่นสัญญาของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 5 และเจ้าหญิงอิสซาเบลล่า พระองค์จึงมอบกุญแจเมืองให้แก่กษัตริย์แห่งสเปนในสภาพที่น่าสมเพชเวทนายิ่ง จากนั้น พระองค์ได้อพยพไปยังดินแดนฝั่งตะวันตก และเสียชีวิตที่นั่นอย่างโดดเดี่ยวและน่าสงสารที่สุด กรานาดาซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของอันดาลูเซียจึงตกในกำมือของศัตรู ก่อนที่พระองค์จะมอบกุญแจเมือง พระองค์ได้ทำสัญญากับกษัตริย์สเปนว่า ขอให้ปกครองประชาชนด้วยความยุติธรรม เสมอภาค และให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่เมื่อพวกเขามีอำนาจ พวกเขาบิดพลิ้วสัญญาและได้ก่อตั้งศาลศาสนาเพื่อบังคับมุสลิมให้นับถือศาสนาคริสต์ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกทรมานแล้วฆ่าอย่างทารุณ นี่คือเหตุผลที่ทำให้พ่อต้องแอบทำอิบาดะฮ์อย่างหลบๆซ่อนๆ

พวกเขาบีบบังคับให้ลูกหลานเราตกศาสนาและบังคับให้เราสนทนาด้วยภาษาสเปน ทั้งๆที่ภาษาของเราคือภาษาอาหรับ 40 ปีแล้วที่เรายอมอดทนเราศรัทธาว่า สักวัน อัลลอฮ์จะช่วยเหลือเรา อิสลามสอนเราอย่าเป็นคนที่สิ้นหวังเด็ดขาด

ลูกรัก เจ้าต้องปิดปากเงียบ ชีวิตของพ่อขึ้นอยู่กับริมฝีปากของเจ้า พ่อไม่กลัวตายหรอก แต่ความตั้งใจของพ่อ คือจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ สอนศาสนาและภาษาให้แก่เจ้า พ่อจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความมืดมิดของการตั้งภาคี สู่แสงสว่างแห่งการศรัทธาให้ได้ ลุกขึ้นเถิดโอ้ลูกรัก

นับตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ฉันเห็นพระราชวังอัลฮัมบราและหออะซานกรานาดา หัวใจฉันเต้นระทึก มันคือช่วงเวลาที่ฉันดื่มกินความโศกเศร้า คลุกเคล้าความหดหู่ จิตใจถูกรุมเร้าด้วยเรื่องราวของความผิดหวังและเศร้าหมอง ฉันขังตัวเองอยู่ในวังวนของความทุกข์อาลัยอาวรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน หัวใจฉันชุ่มฉ่ำเบิกบานด้วยความรักและภาคภูมิใจเมื่อนึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของกลุ่มชนที่ได้สร้างอารยธรรมอันสูงส่งเหล่านี้

พวกเขาคือหยาดฝนแห่งความสมัครสมาน  เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงาม คาราวานแห่งความรู้และสายธารแห่งสันติภาพที่ไหลเวียนและงอกเงยบนแผ่นดินอันดาลูเซียนานกว่า 8 ศตวรรษ

แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงความโหดเหี้ยมของศาลศาสนา ทำให้ฉันรีบวิ่งกลับบ้าน เพื่อท่องตำราที่ฉันเรียนกับคุณพ่อฉันเริ่มหัดเขียนอักขระอาหรับ เรียนรู้วิธีอาบน้ำละหมาด และเริ่มละหมาดตามหลังคุณพ่อในห้องลับนั้น

ช่วงนี้ คุณพ่อมักทดสอบฉันอยู่เนืองๆ คุณแม่มักจะถามฉันตลอดว่า พ่อสอนอะไรบ้าง แม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรลับๆกับพ่อ เจ้ามีอะไรปิดบังแม่หรือ ทุกครั้งที่แม่ถามเรื่องนี้ ฉันตอบว่าไม่ ไม่รู้ ไม่ทราบ ถึงแม้คุณแม่จะคะยั้นคะยอแค่ไหนก็ตาม

จนกระทั่งฉันเริ่มแตกฉานภาษาอาหรับ อ่านอัลกุรอานได้อย่างคล่องแคล่ว และเข้าใจหลักการอิสลามเบื้องต้นเป็นอย่างดี พ่อได้แนะนำให้ฉันรู้จักกับลุงคนหนึ่ง เราทั้ง 3 ได้นัดแนะเพื่อทบทวนบทเรียนและทำอิบาดะฮ์ร่วมกันเสมอ

ศาลศาสนาได้เพิ่มดีกรีความโหดร้ายเป็นทวีคูณ ทุกๆวันฉันเห็นคนทั้งชายหญิงถูกทรมานมากมายนับสิบๆคน บางคนถูกตรึงที่ไม้กางเขน บางคนถูกเผาทั้งเป็น บางคนถูกถอดเล็บมือเล็บเท้า บางคนถูกตัดนิ้วมือแล้วนำไปเผา ก่อนที่จะจ่อใส่ปากนักโทษ บางคนถูกเฆี่ยนตีจนเนื้อหนังแตกกระจุย

วันเวลาผ่านไปหลายปี เช้าวันหนึ่ง คุณพ่อบอกฉันว่า โอ้ลูกรัก พ่อรู้สึกว่าวันเวลาใกล้มาทุกขณะแล้ว พ่อเฝ้าฝันถึงชะฮีดทุกเมื่อยาม บางทีอัลลอฮ์จะประทานสวนสวรรค์ให้พ่ออีกในไม่ช้า หลังจากที่พ่อช่วยพยุงเจ้าให้ออกจากมุมมืดของการตั้งภาคี พ่อไม่ได้หวังอะไรในชีวิตนี้อีกแล้ว ลูกรัก เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจงเชื่อฟังลุงคนนั้น อย่าขัดขืนคำสั่งของเขาโดยเด็ดขาด

วันเวลาผันผ่าน ในค่ำคืนอันมืดมิด ลุงมาหาฉันและสั่งให้ตามเขา ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ เราสามารถลัดเลาะเส้นทางที่แสนอันตราย เพื่อมุ่งสู่ทิศตะวันตก

เมื่อฉันมั่นใจว่าปลอดภัย ฉันถามลุงว่าพ่อและแม่ฉันอยู่ที่ไหน ลุงกำมือฉันแน่น พร้อมตอบว่า พ่อของเจ้าเคยสั่งให้เชื่อฟังฉันไม่ใช่หรือ ฉันเงียบและเดินตามลุงโดยดี

ลุงบอกฉันว่า จงอดทนเถิดหนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าคงสุขสบายในสวรรค์ฟิรเดาส์ด้วยน้ำมือของศาลศาสนาแล้วกระมัง

ทั้งสองมุ่งเดินทางไปยังชายฝั่งตะวันตกและได้ถึงที่ตูนิเซีย เมืองมุสลิมโดยสวัสดิภาพ และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น

หลายปีหลังจากนั้น ณ ดินแดนตูนิเซีย ได้ปรากฏผู้รู้ผู้ยิ่งใหญ่นามว่า มูฮัมมัด บินอับดุลรอฟีอฺ ท่านใช้ชีวิตที่ตูนิเซียและเป็นอุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่ที่เผยแพร่อิสลามและแต่งตำราทางศาสนามากมาย ท่านเสียชีวิตปี ฮ.ศ. 1052

رحم الله العالم الرباني الشيخ محمد بن عبد الرفيع بن محمد الشريف الحسيني المرسي الأندلسي وغفر له ولوالديه وأسكنهم فسيح جناته وجمعنا معهم في الفردوس الأعلى من الجنة آمين يا رب العالمين


โดย Mazlan Muhammad

อ้างอิงจาก

https://3.bp.blogspot.com/-GQr37gxI8wQ/UeCAHapp62I/AAAAAAAAASs/JySu-Ed-K2w/s1600/Screenshot_2013-07-12-20-02-38.png