บทความ บทความวิชาการ

บทเรียน 19 ข้อ ว่าด้วยไวรัสโควิด-19

ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังขยายพื้นที่การแพร่ระบาดไปยังทั่วทวีปในทั่วทุกมุมโลกในขณะนี้ theustaz.com จึงใคร่ถือโอกาสถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าวสรุปได้ดังนี้

1. ‏ไวรัสโควิด-19 ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่ชาวโลกเชื่อว่ามันมีจริง เพราะพิสูจน์ได้และผลร้ายของมันก็เป็นที่ประจักษ์ชัด ในขณะที่ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะเหตุผลว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ ทั้งๆที่สัญญาณการมีอยู่ของพระองค์ มีทั่วท้องฟ้าและแผ่นดิน เพื่อย้ำเตือนว่าสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า หาใช่ว่าสิ่งนั้นไม่มีจริง

2. ทั่วโลกพากันหวาดกลัวไวรัสโควิด-19 ซึ่งมันเป็นเพียงสิ่งถูกสร้างแต่กลับหลงลืมและไม่เกรงกลัวพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ความเกรียงไกรของกองทัพทั่วโลกไม่สามารถต้านทานการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายนี้ที่มีขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เพื่อย้ำเตือนว่ามนุษย์ช่างอ่อนแอต่อหน้าพระเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

3. ชาวโลกหวาดผวาไวรัสร้ายนี้ที่ได้คร่าชีวิตทั่วโลกไปแล้ว 5,000 กว่าราย แต่ไม่ค่อยใส่ใจกับจอมเผด็จการบางประเทศที่เป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์นับแสนนับล้านคน

4. ก่อนเกิดโรคระบาดนี้ที่ประเทศจีนผู้นำจีนเคยประกาศศักดาอย่างทรนงในวันชาติจีนว่า “ไม่มีอำนาจใดที่สามารถสั่นคลอนฐานอันมั่นคงของจีนได้” คล้อยหลังเพียงเดือนกว่า จีนทั้งประเทศต้องสะเทือนด้วยไวรัสชนิดใหม่นี้ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อนบนโลกนี้ ทำให้จีนต้องปิดประเทศ เมืองใหญ่ๆกลายเป็นเมืองร้าง มีการประกาศยกเลิกงานเฉลิมฉลองตรุษจีนโดยที่ทุกคนต้องขังตัวเองเพียงแต่ในบ้านที่อยู่อาศัยเท่านั้น ตามด้วยผู้เสียชีวิตจากไวรัสนี้นับพันราย และยังติดเชื้อนับแสน จนทำให้จีนทั้งประเทศเกิดภาวะปั่นป่วนโกลาหลและลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เรากล้าพูดได้อย่างเต็มปากได้อย่างไร ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยไม่มีผู้ที่สั่งการมัน

5. ในอัลกุรอานซูเราะฮ์ Fussilat 15-16 ได้กล่าวถึงกลุ่มชนอ้าดในยุคสมัยนบีฮู้ดที่ได้ประกาศศักดาอย่างเหิมเกริมว่า “มีชนชาติใดเล่าที่เข้มแข็งและเกรียงไกรยิ่งกว่าพวกเรา” อัลลอฮ์ได้ลงโทษพวกเขาด้วยการส่งพายุถล่มบ้านเรือนเสียหายยับเยินจนไม่มีผู้ใดรอดชีวิต นอกจากนบีฮู้ดและศรัทธาชนเท่านั้น เพื่อย้ำเตือนว่าการกระทำบาป อบายมุข ความอยุติธรรม การกดขี่ และความจองหองคือสาเหตุสำคัญของการล่มสลายของประชาชาติในทุกยุคทุกสมัย

6. การบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ขวางหน้า เพียงเพื่อตอบสนองอารมณ์และความเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะ สุดท้ายกลายเป็นพาหะแห่งความตาย เพื่อตอกย้ำคำสอนอิสลามว่าด้วยหลักโภชนาการที่ต้องทานอาหารที่ฮาลาลและมีคุณประโยชน์เท่านั้น พึงทราบว่าไม่มีผู้ใดที่สะสมสิ่งของในภาชนะที่เลวร้ายยิ่งกว่าท้องของเขา

7. โรคระบาดร้ายแรงในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในสมัยเศาะฮาบะฮ์ ยุคเคาะลีฟะฮ์อุมัรบินอัลค็อฏฏอบในปีที่ 18 ฮ.ศ. จุดกำเนิดโรคระบาดนี้เกิดที่เมืองอัมวาส ปาเลสไตน์ ซึ่งทำให้ประชาชนเสียชีวิต จำนวน 25,000-30,000 คน ในจำนวนนี้มี อบูอุบัยดะฮ์ บินญัรรอห์ มุอ้าซบินญะบัล บิลาลบินรอบ้าห์และศอฮาบะฮฺอีกหลายคนที่เสียชีวิต เพื่อยืนยันว่า โรคระบาดเกิดขึ้นได้ในทุกชุมชนไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนาและพรมแดน ส่วนความเชื่อที่ว่าโรคระบาดไม่เกิดในชุมชนมุสลิมนั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ควรเชื่ออย่างยิ่ง

8. โลกใบนี้คือสนามทดสอบ ในขณะที่โลกอาคิเราะฮ์คือสถานแห่งการตอบแทนอันนิรันดร์และยุติธรรมที่สุด ดังนั้นประโยคที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จึงไม่สามารถใช้ได้อย่างสมบูรณ์บนโลกนี้ อัลลอฮ์ทรงทดสอบบรรดาผู้ศรัทธา เพื่อต้องการชำระล้างบาปของเขาทั้งมวล เพิ่มพูนผลบุญ ยกฐานะเขาในวันอาคิเราะฮ์และเป็นสัญญาณความรักของพระองค์ที่มีต่อบรรดาผู้ศรัทธา หากพวกเขายอมรับด้วยจิตใจที่สวามิภักดิ์ อดทนและหวังดีต่อพระองค์ แต่อัลลอฮ์ทรงทดสอบบรรดาผู้ปฏิเสธ เพื่อเป็นการลงโทษ เป็นอุทาหรณ์และเพื่อให้พวกเขาลิ้มรสการทรมานบนโลกนี้ ก่อนที่จะได้รับการทรมานอันแสนสาหัสในโลกอาคิเราะฮ์

9. อิสลามสอนวิธีรับมือกับโรคระบาดด้วยมาตรการของนบีที่กำชับให้ “คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า” มาตั้งแต่กว่า 1,400 ปีมาแล้ว ในยุคที่ยังไม่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์เหมือนปัจจุบัน อับดุลเราะห์มานบินเอาฟ ได้บอกความรู้ใหม่ที่ท่านได้ยินจากนบีหากเกิดโรคระบาดว่า “หากท่านทราบข่าวมีโรคระบาดเกิด ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ท่านอย่าเข้าไปในบริเวณนั้น และหากท่านอยู่ในบริเวณที่เกิดโรคระบาด ท่านอย่าได้ออกจากบริเวณนั้น” มาตรการของนบีนี้ สอนให้เรารู้ว่าอิสลามเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่ครอบคลุมและให้คำตอบต่อปัญหาของมนุษย์ได้อย่างครบถ้วนที่สุด เพราะอิสลามไม่ใช่เป็นคำสอนที่มาจากการจินตนาการของนบีมูฮัมมัด แต่เป็นวิถีดำเนินชีวิตของมนุษย์ทั่วโลกที่ออกแบบโดยพระเจ้าผู้ทรงบริหารสากลจักรวาล นบีมูฮัมมัดจะเสนอมาตรการนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เป็นวะห์ยู(วิวรณ์) จากอัลลอฮ์ตะอาลา

10. โรคระบาดอัมวาสที่ปาเลสไตน์ ทำให้คาราวานของเคาะลีฟะฮ์อุมัรตัดสินใจกลับสู่อัลมะดีนะฮฺ ทั้งๆ ที่ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว อบูอุบัยดะฮ์จึงทักท้วงว่าโอ้อะมีรุลมุมินีน ท่านจะหนีไปจากตักดีร(การกำหนด)ของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ ท่านอุมัรตอบว่า เราหนีจากตักดีรของอัลลอฮ์สู่ตักดีรใหม่ของพระองค์ ท่านอุมัรสอนให้เรารู้ว่า มุสลิมไม่สามารถเป็นคนที่ยอมจำนนต่ออุปสรรค ยึดปรัชญาตายดาบหน้า รับตักดีรของอัลลอฮ์ โดยไม่ใช้ความพยายามใดๆ ความเชื่อในลักษณะนี้ เป็นความเชื่อของคนสิ้นคิดและไม่เข้าใจศาสนาที่ถูกต้องมุสลิมต้องตื่นรู้เกี่ยวกับโรคระบาดและต้องหามาตรการยับยั้งการแพร่ขยายของมันด้วยวิธีการที่ถูกต้อง มีทิฐิมานะที่จะต่อสู้กับบททดสอบ ใช้วิธีการป้องกันดีกว่าการแก้ไข ต้องตระหนักแต่ไม่ตระหนก ทุกโรคย่อมมียารักษายกเว้นความตาย การกระทำใดๆที่ก่ออันตรายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง ถือเป็นการกระทำที่ต้องห้ามและฝ่าฝืนกับหลักการอิสลาม

11. การดุอา อิสติฆฟาร์และซิกิร์ตามนบี ถือเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคและยุติความเลวร้ายทั้งปวง จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องมุสลิมใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสในการใกล้ชิดอัลลอฮ์ ด้วยการดุอาและซิกิร์จากนบีให้คลาดแคล้วจากเภทภัยทั้งมวล

12. โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดที่อันตรายที่สุดยุคนี้ที่มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 100,000 คนแล้ว แต่มีโรคอีกชนิดหนึ่งที่ระบาดไปทั่วโลกที่อาจกล่าวได้ว่าประชากรโลกทั้ง 7,300 ล้านคนจะโดนโรคร้ายชนิดนี้ – เว้นแต่ผู้ได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ- โรคที่ว่านี้คืออัลวะฮนู الوهن ซึ่งหมายถึงโรคหลงใหลโลกดุนยาและกลัวความตาย อัลลอฮุลมุสตะอาน

13. การที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้ประกาศระงับออกวีซ่าอุมเราะฮ์และห้ามเข้าในสองมัสยิดอันทรงเกียรติในบางช่วงเวลา ถือเป็นมาตรการที่มุสลิมทั่วโลกต้องให้ความร่วมมือ เช่นเดียวกันกับบางประเทศและบางพื้นที่ ที่ได้ประกาศยกเลิกละหมาดวันศุกร์และญะมาอะฮ์ 5 เวลา รวมทั้งมาตรการปิดประเทศของหลายประเทศ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้ ถือเป็นมาตรการที่ถูกต้องสอดคล้องกับเจตนารมณ์หลักชะรีอะฮ์ที่กำชับให้รักษาชีวิตเท่าที่มีความสามารถ เราต้องดุอาให้สถานการณ์อันเลวร้ายนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุด

14. ถึงแม้ไวรัสร้ายนี้จะส่งผลกระทบอันตรายมากแค่ไหน แต่สุนนะฮ์ไม่ได้สอนให้มุสลิมอ่านกุนูตนาซิละฮ์ในขณะละหมาด เหมือนกรณีที่สังคมโลกอยู่ในสถานการณ์หวาดกลัวเนื่องจากภัยสงครามหรือถูกคุกคามจากฝ่ายที่รุกราน ดังนั้นจึงไม่มีการอ่านกุนูตนาซิละฮ์ในกรณีนี้ แต่รณรงค์ให้ทุกคนร่วมดุอาด้วยบทดุอาที่นบีสอนไว้ เช่น
‎‏اللهم إني أعوذ بك من البرص والجنون والجذام ومن سيئ الأسقام
และดุอาบทอื่นๆ โดยเฉพาะการอ่านอัซการ์นะบะวียะฮ์เช้าเย็นอย่างสม่ำเสมอ

15. ในโลกยุคโซเชียลปัจจุบัน สิ่งที่เราควรระมัดระวังเป็นพิเศษคือ การหลั่งไหลของข้อมูลอันมากมาย ดังนั้นอิสลามจึงสอนให้เรารู้จักคัดแยก ไตร่ตรองและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล รู้จักบริโภคสื่ออย่างรู้เท่าทัน ชัวร์ก่อนแชร์และรับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ถูกต้องเท่านั้นโดยเฉพาะข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนจำนวน 20 ล้านคนรับอิสลาม เนื่องจากพบว่าไวรัสร้ายนี้ไม่มีระบาดในชุมชนมุสลิม ซึ่งถือเป็นข่าวลวงและไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

16. กลัวจนเกินเหตุเป็นบ่อเกิดของชิริก กล้าจนเกินลิมิต คือพฤติกรรมของคนโง่เขลา ดังนั้นทุกคนต้องศรัทธาอย่างมีสติและใช้สติด้วยความศรัทธา ตะวักกัล(มอบตน)ที่ตามด้วยความพยายามอุตสาหะและใช้ความอุตสาหะที่นำโดยตะวักกัล อย่าให้เหตุการณ์นี้บั่นทอนสุขภาพจิตและอารมณ์จนทำให้เกิดปัญหาในชีวิตประจำวัน

17. สำหรับผู้ศรัทธา ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วเป็นผลบวกสำหรับเขาเสมอและไม่มีผู้ใดที่ได้รับอานิสงส์นี้นอกจากผู้ศรัทธาเท่านั้น หากพบกับความดีเขาจะขอบคุณ(ชุโกร์)ต่ออัลลอฮ์ ซึ่งการชุโกร์ จะสร้างผลบวกสำหรับชีวิตเขา หากเขาพบกับสิ่งเลวร้าย เขาจะอดทนซึ่งความอดทน จะก่อผลบวกต่อชีวิตเขาเช่นกัน พร้อมศรัทธามั่นว่า ไม่มีสิ่งใดที่ประสบกับเรา เว้นแต่สิ่งนั้น อัลลอฮ์ได้กำหนดให้ประสบแก่เราแล้ว นบีได้สอนว่าผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากโรคระบาด เขาจะมีผลบุญเหมือนคนเสียชีวิตในฐานะชะฮีดทีเดียว

18. สำหรับอัลลอฮ์ พระองค์จะไม่ถูกสอบสวนในสิ่งที่พระองค์ได้กระทำแต่มนุษย์ต่างหากที่จะต้องถูกสอบสวนและให้คำชี้แจง

19. ขอให้ทุกคนยำเกรงอัลลอฮ์ ไม่ว่าในช่วงดีหรือในสภาพอันเลวร้าย เข้าหาพระองค์ด้วยความนอบน้อมและสำนึกผิด หยุดการกระทำที่พระองค์ทรงโกรธกริ้ว ยึดมั่นในคำสอนของอิสลามทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องโภชนาการและการหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ รำลึกถึงความตายและวันสุดท้ายด้วยการเพิ่มพูนความดี ละทิ้งบาปและสิ่งอบายมุขทั้งปวง
อัลลอฮ์กล่าวในอัลกุรอานว่า

وَلَوْ أَنَّ أَهْلَ الْقُرَىٰ آمَنُوا وَاتَّقَوْا لَفَتَحْنَا عَلَيْهِم بَرَكَاتٍ مِّنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ وَلَٰكِن كَذَّبُوا فَأَخَذْنَاهُم بِمَا كَانُوا يَكْسِبُونَ (الأعراف/96)

ความว่า หากชาวเมืองศรัทธาและมีความยำเกรง เราจะเปิดความจำเริญจากฟากฟ้าและแผ่นดินให้แก่พวกเขา แต่พวกเขาพากันปฏิเสธ เราจึงลงโทษพวกเขาด้วยสาเหตุที่พวกเขาได้กระทำ

ด้วยความปรารถนาดี
ครอบครัว theustaz.com