ข่าว ข่าวในประเทศ

Fake News | เฟสบุ๊ค“องค์กรพลังชาวพุทธ”เผยแพร่ข่าวปลอม ระบุว่ามัสยิดเกิน100แห่ง ทั่วเมืองเชียงใหม่

ข่าวปลอม เฟสบุ๊ค “องค์กรพลังชาวพุทธ” เผยแพร่ข่าวปลอม (Fake News) ระบุว่า ที่เชียงใหม่เกิน 100 มัสยิด พร้อมเขียนข้อความลงวันที่ 17 กพ. เวลา 08.36 น. ว่า #อาการสาหัส มุสลิมบุกหนัก

theustaz.com ได้ตรวจสอบข้อมูลจากข้อมูลทางการพบว่า ในจังหวัดเชียงใหม่มีมัสยิด 17 แห่งในจำนวนนี้มี 3 แห่งที่ยังไม่ได้รับจดทะเบียน

โปรดดู > https://bit.ly/2P4K5Rm

theustaz.com เห็นว่า ข้อมูลที่องค์กรพลังชาวพุทธนำเสนอนั้น เป็นข้อมูลที่เป็นเท็จและส่อเจตนาสร้างความแตกแยกในสังคม ขัดแย้งกับหลักธรรมของพุทธศาสนาที่สอนให้พุทธศาสนิกชนดำรงตนให้เป็นคนดี ไม่พูดปดและถือว่าการพูดโกหกเป็นการฝ่าฝืนศีล 5 ข้อที่ 4 คือตั้งใจงดเว้นจากการพูดเท็จ พูดคำหยาบ คำส่อเสียด เพ้อเจ้อ เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้วจะไม่หลอกหลวง และเบียดเบียนซึ่งกันและกันด้วยวาจา หรือคำพูด ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ อาทิ สุนัขที่อยู่ในบ้าน เมื่อมีสุนัขตัวอื่น หรือมนุษย์คนอื่นเดินผ่านมา มันจะส่งเสียงเห่าในทันที แต่มนุษย์เราโดยปกติไม่ได้เป็นเช่นนั้น ที่อยู่ดีๆ เราจะด่า หรือว่าใครโดยไม่มีเหตุอันสมควร (ดู https://www.sanook.com/horoscope/98197/)

จึงใคร่เชิญชวนให้ “องค์กรพลังชาวพุทธ” ได้ตระหนักในเรื่องนี้ พร้อมนำปฏิบัติหลักคำสอนทางศาสนาอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่พุทธศาสนิกชนต่อไป

ล่าสุดคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่โดยประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ นายกวินธร วงศ์ลือเกียรติ ได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร้องเรียนพฤติการณ์ยุยงปลุกปั่นสร้างความเกลียดชังระหว่างศาสนาด้วยข้อมูลบิดเบือนอันเป็นเท็จ โดยกลุ่มอปพส. และถือว่า นับเป็นภัยความมั่นคงอันร้ายแรงที่จะสร้างความแตกแยกระหว่างผู้คนในสังคมไทย และหากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่ใส่ใจหรือไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ได้ จะส่งผลบานปลายสู่ความขัดแย้งรุนแรงระหว่างศาสนาได้ในที่สุดและอาจลุกลามนำไปสู่ถึงขั้นเลวร้ายที่สุดโดยถูกองค์กรศาสนาสุดโต่งข้ามชาตินำไปเป็นเงื่อนไขในการเข้ามาแทรกแซงสร้างความรุนแรงวุ่นวายในสังคมไทยได้ต่อไป

จึงเรียนมายังหน่วยงานราชการต่างๆที่เกี่ยวข้องได้โปรดดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อจัดการและยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มอปพส. เพื่อไม่ให้ขยายวงความขัดแย้งที่อาจนำสู่ความรุนแรงในสังคมไทยได้ต่อไป