บทความ ประวัติศาสตร์

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 6)

เส้นทางแห่งธารน้ำตา

  • หลังจากการปฏิวัติอเมริกา ชีวิตของชาวอเมริกันพื้นเมืองจำนวนมากถูกกลืนหายไป โดยเฉพาะชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกา) ในปี ค.ศ. 1830 พระราชบัญญัติของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “The remove of the Five Civilized Tribes” (การเนรเทศ ‘ห้าอารยะชนเผ่า) 
  • 1.เผ่า Cherokee 21,500 คน
  • 2.เผ่า Chickasaw 5,000 คน
  • 3.เผ่า Choctaw 12,500 คน
  • 4.เผ่า Creek. 19,600 คน
  • 5.เผ่า Seminole 22,700 คน
  • ในระหว่าง ปี ค.ศ.1830 – ค.ศ.1838 เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางทำงานในนาม ของ “Cotton Growers” นอกจากนี้ยังมีชนเผ่าต่างๆ เช่น Odawa / Meskwaki / Shawnee/ และอื่นๆ รัฐบาลกลางได้ทำการบังคับให้ ชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียน ร่วม 300,000 คน ออกจากบ้านเกิดของพวกเขา การเดินทางที่อันตรายจากรัฐทางใต้ ไปยังโอคลาโฮมา ปัจจุบันเรียกว่า”เส้นทางแห่งธารน้ำตา” ชนพื้นเมืองอเมริกัน ต้องเสียชีวิต ด้วยความหิวโหย ความหนาวเย็น และโรคภัย ในขณะที่อเมริกันผิวขาว ได้รุกร้ำขยายตัวไปทางทิศตะวันตก ด้วยความขัดแย้งที่รุนแรงบนแผ่นดินแม่ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของพวกเขา (ชาวพื้นเมืองอเมริกัน)
  • เส้นทางแห่งธารน้ำตา (อังกฤษ: Trail of Tears) หมายถึงการบังคับการโยกย้ายถิ่นฐานของชนพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกาที่รวมทั้งเชอโรคี, ชอคทอว์และอื่นๆ จากดินแดนบ้านเกิดไปตั้งถิ่นฐานยังเขตสงวนอินเดียน (Indian Territory) ใหม่ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาที่ในปัจจุบันคือโอคลาโฮมา “เส้นทางธารน้ำตา” มาจากคำบรรยายการโยกย้ายของชนเผ่าชอคทอว์ (Choctaw)ในปี ค.ศ. 1831ชนพื้นเมืองอเมริกันที่ถูกโยกย้าย ต้องเผชิญกับสภาวะอากาศ เชื้อโรค และความอดอยากระหว่างการเดินทางไปยังจุดหมาย อันเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ที่รวมทั้งจำนวน 4,000 ผู้เสียชีวิต ของเผ่าเชอโรคีที่ต้องย้ายถิ่นฐาน
  • ในปี ค.ศ. 1831 เชอโรคี, ชิคาซอว์, ชอคทอว์, มัสคีกี (ครีค) และ เซมินโนล (Seminole) (บางครั้งรวมกันเรียกว่าเผ่าวัฒนธรรมห้าเผ่า (Five Civilized Tribes) ตั้งถิ่นฐานเป็นชาติอิสระในบริเวณที่เรียกว่าดีพเซาธ์ (Deep South) ของสหรัฐอเมริกา ขณะนั้นกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (เสนอโดยจอร์จ วอชิงตัน และ เฮนรี น็อกซ์) ได้รับการสนับสนุนอย่างแพร่หลายขึ้นโดยเฉพาะกับกลุ่มเชอโรคีและชอคทอว์ แอนดรูว์ แจ็คสัน เป็นประธานาธิบดีคนแรก ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้วิธีการโยกย้ายชาวพื้นเมืองอเมริกันตามรัฐบัญญัติ ว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน ของชาวอเมริกันอินเดียน(Indian Removal Act of 1830) ในปี ค.ศ. 1831ชอคทอว์เป็นชนกลุ่มแรกที่ถูกโยกย้ายและกลายเป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับการโยกย้ายกลุ่มอื่นๆ ต่อมา หลังจากเผ่าชอคทอว์แล้ว 
    • เผ่าเซมินโนล ก็เป็นกลุ่มต่อมาที่ถูกโยกย้าย ในปี ค.ศ. 1832, 
    • มัสคีกี (ครีค)ในปี ค.ศ. 1834,
    • ชิคาซอว์ ในปี ค.ศ. 1837 
    • เชอโรคี ในปีค.ศ. 1838
  • เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1837 ชาวพื้นเมืองอเมริกัน ก็ถูกโยกย้ายจากถิ่นฐานเดิมทางตอนใต้ที่ทำให้ที่ดินทั้งหมด 25 ล้านเอเคอร์กลายเป็นดินแดนสำหรับ การตั้งถิ่นฐานของชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรป ที่เข้ามาใหม่
  • การเพิ่มจำนวนและกระจายตัวของคนขาว ไปทางทิศตะวันตกของประเทศ หลังจากการปฏิวัติอเมริกา ส่งผลในการเพิ่มความกดดันในดินแดน ของชนพื้นเมืองอเมริกันสงคราม และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ. 1830 สภาคองเกรส สหรัฐฯ ผ่านพระราชบัญญัติการกำจัดอินเดีย, อำนาจของรัฐบาล ที่จะย้ายชาวอเมริกันพื้นเมืองออกจากบ้านเกิดของพวกเขา ภายในรัฐที่จัดตั้งขึ้น ในความต้องการดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของคนขาว นั้นส่งผลในการล้างเผ่าพันธุ์ ของหลายชนเผ่า ด้วยความโหดร้าย
  • (กรณีตัวอย่าง ความโหดร้ายของคนขาว ในระหว่างฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1838 ชนเผ่าเชอโรคี ก็เริ่มเดินทางพันไมล์ด้วยเครื่องนุ่งห่มที่บางไม่เหมาะสมกับสภาวะอากาศอันหนาวเย็น การเดินทางโยกย้ายเริ่มขึ้นจาก เรดเคลย์ ในเทนเนสซี ซึ่งเป็นที่ตั้ง ของเมืองหลวงทางตะวันออกสุดของเผ่าเชอโรคี เผ่าเชอโรคีได้รับผ้าห่มจากโรงพยาบาล ในเทนเนสซี ที่ก่อนหน้านั้นเกิดการระบาดของโรคฝีดาษ ชาวอินเดียนจึงติดเชื้อโรคตามไปด้วย ซึ่งทำให้ไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าไปในเมือง หรือหมู่บ้านตลอดทางที่เดินทางผ่าน และทำให้การเดินทางต้องเดินไกลไปกว่าที่จำเป็น เพราะต้องเดินอ้อมเมืองไปแทนที่จะลัดตรงได้
  • หลังจากที่ข้ามเทนเนสซี และเคนทักกี แล้วก็มาถึงกอลคอนดา ใน อิลลินอยส์เมื่อราววันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1838 ชาวอินเดียนแต่ละคนโดนเรียกเก็บค่าข้ามท่าโดย “เรือเบอร์รี” เป็นจำนวนหนึ่งเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตามปกติแล้วราคาเพียงสิบสองเซ็นต์ และไม่ได้รับการอนุญาติ ให้ข้ามจนกระทั่งลูกค้าอื่นข้ามกันไปหมดแล้ว ชาวอินเดียนจึงต้องไปหลบกันอยู่ภายใต้ “แมนเทิลร็อค” ทางด้านเคนทักกี ชาวอินเดียนหลายคนเสียชีวิตไปกับการคอยเรือข้ามฟากที่ “แมนเทิลร็อค” และอีกหลายคนถูกสังหารโดยผู้คนในท้องถิ่น ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็เมื่อฆาตกรหันไปยื่นเรื่องฟ้องรัฐบาลสหรัฐ ที่ศาลเมืองเวียนนา ในรัฐอิลลินอยส์ เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายค่าฝัง อินเดียนที่ถูกฆาตกรรมหัวละ $35 เหรียญ. ชาวเชอโรคีที่ถูกขับไล่ ก็เริ่มก็ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ทาห์เลควาห์ ในโอคลาโฮมา ความยุ่งเหยิงทางการเมืองที่มีสาเหตุมาจาก สนธิสัญญานิวอีโคตา และเส้นทางน้ำตา เป็นผลทำให้มีผู้นำของชาวอินเดียนที่ไปลงนามถูกลอบสังหารไปหลายคน ที่รวมทั้งเมเจอร์ริดจ์, จอห์น ริดจ์ และ อีไลอัส บูดิโนต์ นั่นคือความโหดร้ายของคนขาว ในเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์)
  • ขณะที่การขยายตัวของคนขาว ได้นำมาซึ่ง การอพยพของคนงานเหมืองมา เพิ่มความขัดแย้ง ทำให้ชนเผ่าพื้นเมือง(หลายชนเผ่า) เหล่านี้ ต้องเร่ร่อน และถูกสังหาร สงครามระหว่างชนพื้นเมือง กับ คนขาว ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
  • ควาย Bison เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชนพื้นเมืองอเมริกัน พวกเขามีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ Bison ที่ราบอินเดียน วัฒนธรรมของพวกเขาล้วนเกี่ยวข้องกับควายไบซัน ชนพื้นเมืองได้ประโยชน์ จาก ควายไบซัน ใน 52 วิธีที่แตกต่างกัน สำหรับอาหาร, อุปกรณ์สงครามและการดำเนินการดำเนินชีวิต ส่วนหนึ่งของควาย ใช้สำหรับการทำโล่ และ กลอง บางส่วนสำหรับการทำ เป็นกาว ได้อีกด้วย ควายจึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ของชนพื้นเมืองอินเดียน
  • การที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนขาว กลายเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า อินเดียนและคนขาว มองดูควายจากจุดที่แตกต่างกัน ในมุมมองของอินเดียนแดงได้เรียนรู้ที่จะล่าควายด้วยความชำนาญกับคันธนูและลูกศร และล่าเพื่อประทังชีวิตโดยไม่ส่งผลกระทบกับจำนวนของ ควายไบซัน ในขณะที่คนขาวล่าไบซัน ไปในเเนวทางเพื่อธุรกิจการค้า แสวงหากำไรจากไบซัน เป็นผลให้ควายถูกล่าและลดจำนวนลงอย่างมาก ผลกระทบจากจำนวนควายไบซันที่ลดลงจนเกือบสูญพันธ์นั้น รุนแรงต่อชนพื้นเมือง เพราะควายไบซัน คืออาหาร คืออุปกรณ์ดำรงชีพ และวิถีชีวิต (ในขณะที่การล่าเพื่อการกีฬา เพื่อความบันเทิงในกิจกรรมกลางแจ้ง โดยนักล่ามืออาชีพ ก็ได้เกิดขึ้นอีกด้วย) ในทางตรงกันข้ามอินเดียน กับควายไบซัน นั้นเป็นศูนย์กลางของชีวิต การหายไปของไบซัน ส่งผบให้อินเดียนมากมาย ต้องอดอยาก มีการประเมินว่าควายไบซันมีจำนวนมากถึง 60 ล้านตัว ก่อนการมาถึงของคนขาว ในตอนท้ายของยุค ควายไบซัน กำลังใกล้จะสูญพันธุ์ ไบซัน มีจำนวนลดลงอย่างน่าตกใจ จำนวนของไบซันเหลือเพียง 100 กว่าตัว ในปี ค.ศ. 1870 เพราะการขยายตัวอย่างรวดเร็วของคนขาว เรากำลังพูดถึงสัตว์ที่เกือบจะถูกลบออกจากโลกนี้
  • การตั้งถิ่นฐานของคนขาว เป็นตัวแทนของสาเหตุที่สำคัญสำหรับการทำลายควายไบซัน และอินเดียนได้รับผลกระทบโดยตรง ปัจจัยเหล่านี้ได้เกิดขึ้น และการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า การขยายตัวของคนขาว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงความสมดุลย์ ของธรรมชาติอย่างถาวร.
  • (ในปัจจุบัน มีควายไบซันเหลืออยู่ราว 400,000 – 500,000 ตัวในสองประเทศ จากการออกกฏหมายคุ้มครอง โดยรัฐบาลสหรัฐและแคนาดา)
  • ในปี ค.ศ.1848 รัฐแคลิฟอร์เนีย เกิดการตื่นทอง ทำให้อินเดียน 300,000 คน จะถูกขับไล่จาก แคลิฟอร์เนีย ไป ซานฟรานซิสโก นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นว่า ครั้งหนึ่ง รัฐแคลิฟอร์เนีย เคยเป็นพื้นที่หนาแน่นที่สุดของประชากรพื้นเมือง ด้วยชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองที่หลากหลาย ในดินแดนของสหรัฐ แต่การตื่นทองมีผลกระทบอย่างมากกับชีวิตของชนพื้นเมืองอเมริกัน ในด้านการดำรงชีวิตของชาวพื้นเมือง การล่าสัตว์แบบดั้งเดิม และการทำเกษตรกรรม ที่ไม่สามารถทำได้ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป มีผลทำให้อินเดียนจำนวนมาก ต้องขาดแคลนอาหารและอดอยาก
  • ระหว่างการขยายตัวของคนขาว ที่รุกร้ำเข้าไปในชายแดนตะวันตก ของรัฐแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในความพยายามที่จะทำลายหลักวิธีชีวิต ของอินเดียน ที่เป็นความพยายามของรัฐบาลสหรัฐ ที่จะกีดกันชนพื้นเมืองออกไป หนึ่งในวิธีการที่สำคัญที่สุดคือการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ในการกีดกันความเป็นเจ้าของ ทั้งพืชไร่ พืชผล ต่างๆ เเละสิทธิเหนือที่ดิน และใช้วิธีการอื่นๆ ในการกีดกันอินเดียน ออกไป การหลั่งไหลของคนขาว จำนวนมากมาย ที่เข้าไปใน รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยแรงจูงใจจากที่ดินและทองคำ คลื่นมวลชนของผู้มาใหม่ ได้ถูกถาโถมเข้าไปในแคลิฟอร์เนียเข้าไปในหุบเขาที่ห่างไกลที่สุดและพื้นที่ของชนพื้นเมือง เพื่อหาทองคำ เพื่อตัดไม้และครอบงำที่ดินของคนพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างคนขาว กับชนพื้นเมือง คนขาวมีการกระทำที่น่ารังเกียจและโหดร้าย ต่อชนพื้นเมือง ชาวพื้นเมืองที่ตกเป็นเหยื่อของโศกนาฏกรรมที่นึกไม่ถึง ด้วยความอดอยาก และการเผชิญหน้าที่รุนแรง การค้าทาสค้าแรงงาน ส่งผลเกือบล้างเผ่าพันธ์ ประชากรอินเดียนแทบทั้งหมดในแคลิฟอร์เนีย อินเดียนลดลงจาก 300,000 คน เหลือเพียง 160,00 คน การจัดซื้อที่ดินและทรัพย์สิน สวม “สิทธิ” ของคนผิวขาว การทำเหมืองแร่และสิ่งปนเปื้อนที่เข้าสู่ระบบ ของชาวพื้นเมือง พื้นที่แหล่งน้ำปนเปื้อน และพืชพื้นเมืองเหี่ยวเฉา หนองน้ำที่อุดมไปด้วยทรัพยากรที่สำคัญที่เป็นอาหารของชนพื้นเมือง ได้กลายเป็นระบบชลประทานสำหรับพื้นที่เพาะปลูกของคนขาว

กฏหมาย โดยรัฐบาลสหรัฐ ปี ค.ศ. 1862

  • -กฏหมาย homestead 
  • -กฏหมายการตั้งรกราก Ambitious (ไร่โฉนด) 
  • -กฏหมายที่ดิน Morrill (ลงนามในกฏหมายโดย ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอร์น 1862) และอื่นๆ
  • ทั้งหมดของกฎหมาย ต่างๆที่ออกมาบังคับใช้ มีไว้เพื่อประโยชน์ ในการตั้งถิ่นฐานของคนขาว ด้วยเหตุผลคือ
    • 1. ประชาชนแคลิฟอร์เนีย (คนขาว) ต้องการลบ ชนพื้นเมือง ออกจากแคลิฟอร์เนียได้โดยเร็วที่สุด 
    • 2. คนขาว ต้องการกีดกันชนพื้นเมืองออกจากพื้นที่ เพื่อการป้องกันการตั้งถิ่นฐานของคนขาว และคนงาน จากการถูกโจมตี จากพวกอินเดียน การปกป้องทรัพย์สินของคนขาวจากการสูญเสียหรือการโจมตีอินเดียน 
    • 3. รัฐบาลสหรัฐฯ มีนโยบายด้วยกฏหมาย ที่แตกต่างกัน ที่ชาวอเมริกันในทุกรัฐ ใช้จัดการกับพวกอินเดียนแดง : กฎหมายภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ปี ค.ศ.1787 มาตราของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ว่า การพาณิชย์และ การค้าของอินเดียน 

การกระทำของสนธิ ค.ศ. 1890

  • พระราชกฤษฎีกาภาคตะวันตกเฉียงเหนือค.ศ.1787 ที่กำหนดไว้ในลักษณะที่รัฐบาลสหรัฐจะจัดการกับอินเดียน มาตรา 14 มาตรา 3 ของกฎหมายประกาศว่า “ที่ดินและทรัพย์สินของพวกเขาจะไม่มีวันถูกพรากไปจากพวกเขา โดยปราศจากความยินยอมของพวกเขา และ ทรัพย์สินของพวกเขา สิทธิและเสรีภาพที่พวกเขา จะไม่สามารถบุกเข้าไปรบกวนได้ เว้นแต่เพียงในเวลาสงคราม ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายโดยรัฐสภา **แต่กฎหมายที่ก่อตั้งขึ้นในความยุติธรรมและความเป็นมนุษย์นั้น จะมีเป็นครั้งคราวสำหรับการป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิด กับพวกเขา (ชนพื้นเมือง)ในการรักษาสันติภาพและมิตรภาพกับพวกเขา***
  • นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของแคลิฟอร์เนีย, Hubert Howe Bancroft สรุปการเมืองของรัฐบาล ที่มีต่ออินเดียน ในไม่กี่ประโยคสั้นๆ แต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว: 
  • “นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ ในช่วงต้น ระหว่างชาวอเมริกันพื้นเมืองและคนขาว (อเมริกันยุโรป) ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นไปในเวลาสั้นๆ แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย คนงานเหมืองเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยความโลภ และใจร้อน มันเป็นหนึ่งในการล่าของมนุษย์ ของอารยธรรมคนขาว และความรุนแรง และพวกเขาทั้งหมดส่วนใหญ่โหดร้าย “
  • ( Hubert Howe Bancroft นักประวัติศาสตร์แห่งแคลิฟอร์เนีย 1963: 474)

สรุปเนื้อหาสำคัญ ของคนขาว กับ ชนพื้นเมืองอเมริกา

  • 1. รัฐบาลสหรัฐ อเมริกา ตัดสินใจที่จะแก้ปัญหา “อินเดียน” ด้วยนโยบายของการบังคับใช้แรงงานทาส และ อาสาสมัครศาลเตี้ยที่มีหน้าที่ คือการฆ่าชาวอินเดียนท้องถิ่น
  • 2. นโยบายของรัฐ เกี่ยวกับอินเดียนแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกดำเนินงานโดยนโยบายของรัฐบาลกลาง และสำหรับอินเดียนทั้งหมดของอเมริกาเหนือ: การทำสนธิสัญญาการลบอินเดียน จากบ้านเกิดของบรรพบุรุษของพวกเขา
  • 3. ทัศนคติของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับ “ปัญหาอินเดียน” ส่งผลให้นโยบายและ การกระทำที่มีผลกระทบอย่างมากสำหรับชาวอินเดียน :
    • -อินเดียนหลายชนเผ่า ส่วนใหญ่ ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลสหรัฐ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
    • -อินเดียนแคลิฟอร์เนีย ตกเป็นเหยื่อของนโยบาย การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ส่วนใหญ่ของชาวอินเดียน ที่อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียได้ถูกกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะบังคับให้ออกจากพื้นที่ของพวกเขา หรือพวกเขาก็ถูกฆ่าตาย
    • -ประชากรของอินเดียนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ.1850 จากจำนวน 100,000 คน ลดลงเหลือ 30,000 โดย ค.ศ. 1870 ตามการสำรวจสำมะโนประชากรแห่งชาติ ปี ค.ศ. 1900 เหลือเพียง 16,000 อินเดียนแดงที่ถูกบันทึกไว้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
  • 4. ประชาชนแคลิฟอร์เนียภาคเหนือ ตอบสนองต่อการบุกอินเดียน, ฆ่าอินเดียน และ แข่งขันทางเศรษฐกิจกับอินเดียน ด้วยการกระทำที่รุนแรงของศาลเตี้ย – โดยไม่มีใคร(คนขาว) ที่ถูกลงโทษโดยรัฐท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
  • สรุปผลที่ได้คือ หลายร้อยปี ที่ผลของความขัดแย้งจากสงคราม ความรุนแรงของอาณานิคม โดยการเข้าแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งนโยบายเลือกปฏิบัติของคนขาว ที่มีต่อชาวอเมริกันพื้นเมือง ได้ทำลายประชากรชาวอเมริกันพื้นเมืองจาก 18 ล้านชีวิต เหลือเพียง 16,000 ชีวิต (ในปี ค.ศ.1900)
  • ชาวพื้นเมืองเสียชีวิตจากความขัดแย้ง ความรุนแรง และความไร้เมตตา ที่ได้คร่าชีวิตชนพื้นเมืองอเมริกัน จนทั้งหมดเกือบจะสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์. หากผมจะเรียกคนขาวที่เข้าไปยังแผ่นดินอเมริกาว่า Genocide คงไม่ใช่คำพูดที่เกินจริง!

ป.ล. ในปัจจุบันนี้ประชากรอเมริกันพื้นเมือง คิดเป็น 1.37% ของ ประชากรสหรัฐอเมริกา

อ้างอิง https://menu-58.blogspot.com/2015/11/4_28.html?m=1&fbclid=IwAR3xztAnEavoTCW__nuIR8kxgKLdTV5mYULkLFX-v0UqN8UHbR0s93zMnIw

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ