อัฟกานิสถาน ฏอลิบานรีเทิร์นและแนวโน้มในอนาคต [ตอนที่4]

เหตุการณ์ความโกลาหลที่สนามบินกรุงคาบูล

“อย่างกับในหนัง คนแน่นสนามบินคาบูล หวังขึ้นเครื่องบินหนีหลัง ฏอลิบาน ยึดประเทศ”(Sanook)

“นาทีสลด คลิปเหตุการณ์ชาวอัฟกันหนีร่วงมาจากเครื่องบิน”(Spring News)

“ชาวอัฟกันดับแล้ว 12 รายจากเหตุวุ่นวายที่สนามบินคาบูล”(TNN)

“คลิปชาวอัฟกันวิ่งตามเครื่องบิน บางคนโดดเกาะเครื่อง หวังออกจากประเทศ”

นี่คือบางส่วนของการพาดหัวข้อข่าวทั่วโลกหลังจาก ฏอลิบาน ยึดกรุงคาบูลสำเร็จเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งชวนให้ชาวโลกปักใจเชื่อว่า ฏอลิบาน มีความอำมหิตโหดเหี้ยมถึงขั้นที่ประชาชนหวาดผวาหนีตายกันอย่างอลหม่านยิ่งกว่าหนังสยองขวัญ

ลืมไปว่า เหตุการณ์นี้คือบทสรุปและผลพวงของ 20 ปีที่มหาอำนาจบุกยึดและปกครองอัฟกานิสถาน พร้อมๆกับสัญญาอันสวยหรูว่า จะพัฒนาประเทศให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปากสูดดมบรรยากาศสันติภาพและสันติสุขที่ยั่งยืน

ลืมไปว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงคาบูลโดยการแตกฮือของประชาชนจำนวนไม่กี่พันคน เมื่อเทียบกับชาวอัฟกันทั้งประเทศเกือบ 40 ล้านคน

ลืมไปว่า รัฐบาล ฏอลิบาน ประกาศนิรโทษกรรมทั่วประเทศ ไม่มีการล้างแค้น ไม่มีการลงโทษแก่ผู้กระทำผิด และจนถึงบัดนี้ ยังไม่มีข่าวว่า ฏอลิบาน เข้าไปจับกุมทรมาน หรือสังหารฝ่ายตรงกันข้ามแม้แต่คนเดียว ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสภาพเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่หลังถล่มประเทศนาน 40 วันจนแหลกลาญ ก็ไล่ล่าจับกุมคู่อริ แม้กระทั่งจะหนีกบดานเข้าไปในรูหนู แถมยังจับไปทรมานในคุกเถื่อนกวนตานาโม สัญลักษณ์แห่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งรุนแรงที่สุดของลัทธิล่าอาณานิคม ที่บริษัทเอ็นจีโอทำได้แค่ถ่ายทำสารคดี เพื่อแสดงความมีน้ำใจของชาติที่ไร้มนุษยธรรม

ความจริงเราสามารถแยกกลุ่มที่สร้างความโกลาหลที่สนามบินกรุงคาบูลออกเป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ

1.กลุ่มที่หวาดผวากับ ฏอลิบาน จริง เพราะได้สร้างวีรกรรมมากมาย ด้วยการเป็นสุนัขรับใช้ของชาติผู้บุกรุกตั้งแต่แรก ยอมแลกกับเนื้อก้อนเล็กๆที่ถูกโยนให้เพื่อประทังชีวิตไปวันๆ จึงเกิดอาการร้อนท้อง เพราะทานปูนไปเยอะ แต่ก็เป็นระดับปลาซิวปลาสร้อยเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น เพราะระดับบิ๊กๆ จริงๆ ก็ถูกขนย้ายอย่างปลอดภัยพร้อมสุนัขตัวจริงไปแล้ว

2.กลุ่มฉวยโอกาสที่พร้อมอพยพออกนอกประเทศทุกยามเมื่ออยู่แล้ว เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด กลุ่มนี้ไม่เกี่ยวกับฝ่ายสนับสนุนหรือเห็นต่างกับ ฏอลิบาน แต่อย่างใด เป็นกลุ่มที่อยู่ใน 40% ของจำนวนประชากรที่ว่างงานทั้งประเทศ และจำนวน 53% ที่ตกอยู่ในกลุ่มประชาชนที่อยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน เป็นผลพวงของประเทศที่อยู่ในภาวะสงครามยืดเยื้อยาวนาน 40 ปีซึ่งส่วนใหญ่แล้วยังไม่มีครอบครัวและยังไม่รู้ชะตากรรมชีวิตของตัวเองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร แต่พวกเขาหวังใช้ชีวิตที่ดีกว่าด้วยการหนีตายเอาดาบหน้า ถึงแม้จะต้องเสี่ยงตายมากมายแค่ไหน พวกเขาพร้อมเผชิญหน้า เพื่อหนีจากวงจรอุบาทว์ของชีวิตที่มืดมนในประเทศของตนเอง

ชาวอัฟกัน จึงเป็นชาวอพยพที่อยู่กระจัดกระจายไปทั่วทวีปจำนวนอันดับต้นๆของโลกด้วยประการฉะนี้แล

เรื่องนี้ใครไม่ประสบด้วยตนเอง ไม่มีวันเข้าใจได้ ไม่เห็นโลงศพ ไม่มีวันหลั่งน้ำตา

3.กลุ่ม”ปาทานมุง” ที่เป็นธรรมเนียมของชาวปาทานที่มีความเข้มข้นยิ่งกว่า”ไทยมุง” หลายเท่า และบางกระแสข่าว ระบุว่ามาจากกลุ่มสนับสนุน ฏอลิบาน ที่ต้องการสกัดการอพยพคนครั้งนี้ด้วยซ้ำ

แต่สื่อกระแสหลักกลับไปชี้นำที่กลุ่มแรกเพียงกลุ่มเดียว พยายามซูมกลุ่มนี้ให้เป็นที่น่าสนใจและตัดภาพกลุ่ม 2 และ 3 ออกจากจอ โดยเฉพาะหลังข่าวการเสียชีวิตของบุคคลระดับนักฟุตบอลทีมชาติที่ร่วงตกจากเครื่องบินเสียชีวิตอย่างสุดอนาถ ทำให้กลุ่ม 2 และ 3 ถูกลืมและไม่ได้รับความสนใจไปโดยปริยาย

วงกลมมี 360 องศา การภูมิใจที่จะอยู่ ณ องศาแรกที่พบเจอ คือธรรมเนียมของคนสิ้นคิดและด้อยอารยธรรมครับ


โดย Mazlan Muhammad

จากนักข่าวที่อคติอิสลาม…สู่การเข้ารับอิสลาม

จะทำอย่างไรให้สังคมไทยบริโภคข่าวในลักษณะนี้บ้าง

โดยเฉพาะนักข่าวที่ชอบอ่านข่าวแบบมั่วซั่วบางคน ที่การศึกษาและชาติตระกูล ไม่ได้ช่วยให้เขามีทัศนคติเชิงบวกต่อเพื่อนร่วมโลก ยกเว้นกลุ่มที่เขาซูฮกว่าเป็น “ผู้ดี” เท่านั้น

Yvonn (Mariam) Ridley (63 ปี) หนึ่งในนักข่าวที่พกพาความอคติอิสลามเต็มสมอง ที่ถูกส่งตัวไปยังอัฟกานิสถาน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเธอเอง ก็ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่า ที่แท้เป็นการเดินทางสู่อิสลาม

เธอพูดประโยคทองตอนหนึ่งว่า

“ฉันได้ค้นพบว่า ในฐานะนักข่าว ฉันจะไม่มีทางที่จะพูดเรื่องราวในตะวันออกกลาง เอเชีย หรือทุกประเทศในโลกอิสลาม ก่อนที่ฉันจะศึกษาเกี่ยวกับอิสลาม”

อยากให้นักข่าวไทย (ที่มั่วๆบางคน) หันสนใจคำพูดของเธอบ้าง


โดย Mazlan Muhammad

ใครกันที่ละเมิดสิทธิมนุษยน

สตรีที่จีนถูกปฏิบัติเยี่ยงทาสอย่างทรมานนานนับศตวรรษ

สตรีโรฮิงญาถูกรุมโทรมและย่างสดสุดสยอง

สตรีที่อิรัก ซีเรียถูกย่ำยี ฉุดกระชากอย่างไร้มนุษยธรรม

สตรีที่ปาเลสไตน์ถูกทุบตีและทำร้ายโดยกลุ่มทรชนที่อำมหิตยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

สตรีทั่วโลกถูกขบวนการธุรกิจค้ามนุษย์และค้ากามทำเป็นสินค้าที่สามารถเช่าซื้อและทิ้งขว้างเป็นว่าเล่น

#แต่โลกพากันวิตกกังวลเรื่องสตรีอัฟกันว่าจะถูกบังคับใส่ฮิญาบหรือไม่


โดย Mazlan Muhammad

อัฟกานิสถาน ฎอลิบานรีเทิร์นและแนวโน้มในอนาคต [ตอนที่ 3]

ฏอลิบาน & ไอเอส ความเหมือนที่ต่างกันราวฟ้ากับก้นเหว

หลายคนยังแยกไม่ออกระหว่างฏอลิบานและไอเอส มีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นที่จดจำในมโนคติของพวกเขาคือก่อการร้าย สุดโต่ง ลิดรอนสิทธิสตรี กระหายเลือด หรือทัศนคติเชิงลบต่างๆ ตามที่ได้ถูกเล่าขานกันมา ซึ่งอาจมีส่วนจริงส่วนเท็จปะปนกันไป

ความจริง ทั้งสองกลุ่มนี้มีความเหมือนที่ต่างกันมากมาย สรุปได้ดังนี้

ทั้งสองอาจมีจุดเหมือนตรงที่เป็นผลของปฏิกิริยาโต้กลับของประชาขาติมุสลิมกลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธการใช้อำนาจเผด็จการและอธรรมของชาติตะวันตก ที่สถาปนาตนเองเป็นตำรวจโลกภายใต้การจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) พร้อมด้วยต้องการสานเจตนารมณ์สร้างรัฐในอุดมคติให้สามารถนำหลัก   ชะรีอะฮ์อิสลามมาปฏิบัติใช้ในการบริหารและการปกครอง ซึ่งมีรายละเอียดสลับซับซ้อนที่จะไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้

แต่ทั้งสองมีจุดต่างกันมากมาย ที่นำไปสู่การแยกทางเดินชนิดทางใครทางมันทีเดียว

#ฏอลิบานคือใคร

ในภาษาบัชตุน ฏอลิบานหมายถึงกลุ่มนักศึกษาศาสนา ต่อมาได้พัฒนาการเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวอิสลามและกลุ่มการเมืองที่ก่อตั้งโดยมุลลา โอมาร์ ในปี 1994 ที่เมืองกันดาฮาร์ อดีตเมืองหลวงอัฟกานิสถาน ติดพรมแดนปากีสถานทางภาคใต้ของประเทศ ฏอลิบานสามารถปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศอัฟกานิสถานและเมืองหลวงกรุงคาบูลในฐานะ “รัฐอิสลามอัฟกานิสถาน” ในปี 1996 แต่ได้รับการรับรองทางการทูตจาก 3 ประเทศเท่านั้น ได้แก่ ประเทศปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จนกระทั่งกองทัพสหรัฐอเมริกายกทัพถล่มอัฟกานิสถานในปี 2001  พร้อมประกาศยุคอวสานของฏอลิบาน

ผู้นำฏอลิบาน ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากรากฐานนิยม”เดียวบัน” (Deobandi fundamentalism) ที่มีอุละมาอฺนามอุโฆษอย่าง อะบูหะซัน อันนัดวีย์ และเชคหะบีบุรเราะห์มาน อัลอะอฺศอมีย์เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของสถาบันศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในชมพูทวีปแห่งนี้  สมาชิกหลายคนปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่เรียกว่า “พัชตุนวาลี” (Pashtunwali) มีสมัชชาใหญ่ ( General Assambly) ที่ตัดสินเรื่องสำคัญของบรรดาเผ่าต่างๆ ที่เรียกว่า Loya Jirga (ที่ประชุมใหญ่แห่งเผ่า) ขบวนการฏอลีบานส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากสมาชิกชาวปาทาน (Pashtun) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่สุดในอัฟกานิสถาน ปัจจุบันมี Moulawi Hibatullah Akhundzada (60 ปี) เป็นอะมีร

ด้วยพื้นเพทางสังคมนี้ ฏอลิบานจึงมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากไอเอส สรุปสาระสำคัญดังนี้

1. ด้านสำนักคิด ปรัชญาและแนวทางขัดเกลาจิตใจ

กลุ่มฏอลิบานยึดอะกีดะฮ์แนวมาตูริดียะฮ์ที่ใกล้เคียงกับแนวอะชาอิเราะฮ์ ซึ่งแพร่หลายในอัฟกานิสถาน อินเดีย จีน บังคลาเทศ ปากีสถาน ตุรกี อิหร่านและประเทศในอดีตสหภาพโซเวียต และเป็นมัซฮับอะกีดะฮ์ทางการยุคอาณาจักรอุษมานียะฮ์ ส่วนสำนักคิดด้านฟิกฮ์ก็ยึดมั่นตามสำนักหะนะฟี และถือเป็นแม่บทในการตีความหลักศาสนบัญญัติ ที่ผสมผสานกับความเคร่งครัดในจารีตประเพณีของชาวปัชตุน ในขณะที่แนวทางด้านศูฟีย์ ฏอลิบานยึดถือแนวตะรีกัตศูฟีนักชะบันดีย์เป็นหลัก ซึ่งจะสวนทางกับแนวทัศนะของกลุ่มไอเอสที่ยึดมั่นกับแนวสะลัฟสายแป๊บซี่ ที่มักเป็นไม้เบื่อไม้เมากับแนวนี้มาโดยตลอด

2.ด้านความสัมพันธ์ในชุมชน

ฏอลิบานเป็นกลุ่มชนที่รวมตัวจากเผ่าพันธุ์เดียวกันคือบัชตุน ( ปาทาน) มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติและเผ่าพันธุ์อย่างแนบแน่น พวกเขาจึงไม่มีระบบ “การส่งออกและการนำเข้า” ของประชาชน เพื่ออพยพผู้คนที่สมัครใจพำนักในดินแดนญิฮาดตามแนวทางของกลุ่มไอเอส ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีปัญหาด้านการซึมตัวเข้าไปในชุมชนเพราะทั้งแกนนำและสมาชิกต่างก็เป็นคนกันเอง ซึ่งเป็นลูกหลานในชุมชนอยู่แล้ว มีความรู้จักมักคุ้นกันดี ซึ่งต่างจากกลุ่มไอเอสที่มีการอพยพคนต่างถิ่นเข้ามาสร้างอิทธิพลในชุมชนท้องถิ่น ทำให้เกิดกระแสต้านคนนอกหรืออาจสร้างปัญหากระทบกระทั่งและความหวาดระแวงกับคนในพื้นที่ ดังที่เกิดขึ้นในซีเรียและอิรัก

3. ด้านโครงสร้างการบริหาร

กลุ่มฏอลิบานไม่มีระบบโครงสร้างการบริหารที่สลับซับซ้อน มีเพียงระบบการเชื่อฟังผู้นำทางจิตวิญญาณที่ได้รับการสืบทอดและเป็นที่ยอมรับในเผ่าพันธุ์ของตนเอง ซึ่งต่างจากระบบบริหารของไอเอสที่เน้นโครงสร้างองค์กรระบบพีระมิด ที่ค่อนข้างลึกลับ ที่แม้แต่สมาชิกที่เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันเอง ก็แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชื่อจริงอะไร เป็นใคร มาจากไหน

4. ด้านการกำหนดสนามการต่อสู้

กลุ่มฏอลิบานได้กำหนดสนามการต่อสู้(ญิฮาด)ในสนามที่จำกัด นั่นคือในดินแดนอัฟกานิสถานเท่านั้น พวกเขากำหนดยุทธศาสตร์ญิฮาดอย่างชัดเจนว่า ต้องการขับไล่กองกำลังต่างชาติและสร้างรัฐในอุดมคติตามหลักชะรีอะฮ์อิสลามในบริเวณพื้นที่ของประเทศของตนเอง ซึ่งต่างจากแนวปฏิบัติของไอเอสที่ขยายวงการญิฮาดไปยังทั่วทุกมุมโลกอย่างไร้พรมแดน แถมยังกล่าวหากลุ่มฏอลิบานว่า เป็นกลุ่มที่เรียกร้องและคลั่งไคล้ชาตินิยม เหมือนสาวกชาตินิยมทั่วไปในโลกนี้ ที่หนักไปกว่านั้น ไอเอสได้ตัดสินว่ากลุ่มฏอลิบานเป็นกลุ่มนอกรีต ตกศาสนาหรือมุรตัดด้วยซ้ำ

5. ด้านการสถาปนาตนเองเป็นเคาะลีฟะฮ์

ผู้นำฏอลิบานไม่เคยประกาศตนเองเป็นเคาะลีฟะฮ์มุสลิมีน และไม่เคยประกาศให้ประชาชาติมุสลิมโดยเฉพาะผู้นำอิสลามทั่วโลกให้การบัยอะฮ์ พร้อมลงดาบว่าผู้ใดที่ไม่ปฏิบัติตามจะเป็นคนตกศาสนา(ตกมุรตัด) และจะประกาศสงครามทันที เหมือนผู้นำไอเอสที่ได้ประกาศที่โมซุล อิรักเมื่อปี 2013 ซึ่งหลังจากสถาปนาตัวเองเป็นเคาะลีฟะฮ์มุสลิมีนแล้ว ก็ส่งสารไปยังผู้นำประเทศอิสลามให้สัตยาบันและสวามิภักดิ์ต่อตนเอง ผู้ใดฝ่าฝืนก็จะถูกตัดสินเป็นคนนอกรีต ตกมุรตัดทันที

6. จุดยืนต่อกลุ่มหรือองค์กรอิสลามทั่วโลก

ฏอลิบานมีท่าทีเป็นมิตรกับองค์กรอิสลามทั่วโลก หลังจากฏอลิบานยุค1.0 มีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อองค์กรอิสลามโดยเฉพาะกลุ่มอิควานมุสลิมีน ซึ่งฏอลิบานมองว่า อันตรายยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์และเป็นศัตรูที่แยกระหว่างอิสลามและการปฎิเสธทีเดียว แต่ฏอลิบานยุค 2.0 ในปัจจุบัน ทัศนะเชิงลบในลักษณะนี้ได้หมดไปแล้ว แกนนำฏอลิบานได้เยี่ยมเยียนเชคดร. ยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวีย์ และอิสมาอีล ฮะนียะฮ์ ผู้นำหะมาสเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งตามด้วยถ้อยแถลงของทั้งสองฝ่ายที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและความเป็นพี่น้องในอิสลาม ซึ่งต่างจากกลุ่มไอเอสที่ยังมีจุดยืนอันแข็งกร้าวและดุดันอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อองค์กรมุสลิมทั่วโลก ยกเว้นกลุ่มที่เห็นด้วยกับแนวทางของพวกเขา

7. ด้านกระแสการตอบรับของประชาขาติอิสลาม

โลกอิสลามมีจุดยืนที่ค่อนข้างเป็นบวกต่อการกลับมาของฏอลิบาน นักวิชาการและอุละมาอฺทั้งในนามบุคคล องค์กร ต่างออกแถลงการณ์แสดงความยินดีต่อชัยชนะครั้งนี้ โดยเฉพาะ การที่พวกเขาสามารถขับไล่กองกำลังต่างชาติที่ปล้นทรัพยากรธรรมชาติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวอัฟกานิสถานกว่า 20 ปี พร้อมคาดหวังให้ฏอลิบานสามารถนำพาอัฟกานิสถานไปตลอดรอดฝั่ง ตลอดจนสร้างสันติภาพในดินแดนแห่งนี้ที่กลายเป็นสนามรบมายาวนานเกือบ 40 ปี

ผิดกับไอเอสที่บรรดาอุละมาอฺทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ความขัดแย้งทั้งที่อิรักและซีเรีย ต่างออกแถลงการณ์ปฏิเสธทั้งแนวทาง และแนวปฏิบัติของกลุ่มนี้ในวันแรกของการประกาศรัฐอิสลามด้วยซ้ำ พร้อมตั้งข้อสงสัยถึงที่มาและการปรากฏตัวอย่างน่าอัศจรรย์และแปลกประหลาดของกลุ่มนี้

8. การปรับตัวในท่าทีและการยึดมั่นในหลักการ

การปรากฏตัวของฏอลิบานยุค2.0 นี้ มาพร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนท่าที ที่ถือว่าน่าจะเป็นการถอดบทเรียนของความผิดพลาดในอดีตได้อย่างชาญฉลาด มีความยืดหยุ่นและใจกว้างที่มากขึ้น โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน 3 ประการ ได้แก่ 1) ต้องการสันติภาพและความปรองดองของชาติเป็นหลัก ด้วยการประกาศนิรโทษกรรม ไม่มีการล้างแค้นใดๆ และพร้อมเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อความสมานฉันท์ แม้กระทั่งท่าทีต่อกลุ่มชีอะฮ์ทางภาคเหนือของประเทศที่ฏอลิบานมีความผ่อนปรนมากขึ้น  2) ต้องการสร้างรัฐอิสลาม ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แต่มีความยืดหยุ่น ไม่ติดยึดกับทัศนะทางศาสนาที่คับแคบ และพร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่าภายในกรอบของหลักการอิสลาม 3) ต้องการการยอมรับของประชาคมระหว่างประเทศ ด้วยการอ้าแขนตอบรับการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะท่าทีที่มีต่อจีน รัสเซีย ตุรกี หรือแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา 

ตรงกันข้ามกับไอเอสที่ยังสถาปนาตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกและคำชี้ขาดสุดท้ายของความถูกต้องอย่างไม่มีวันแปรเปลี่ยน

ท่ามกลางความดีใจของประชาชาติมุสลิมต่อชัยชนะเหนือความคาดหมายของกลุ่มฏอลิบานครั้งนี้ สิ่งที่ยังเป็นความกังวลของผู้เขียนคือ ฏอลิบานจะไปอย่างไรต่อ อะไรคือขวากหนามที่พวกเขาต้องเผชิญ พวกเขาจะรับมือกับชาติที่มีความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ (Multiethnic States)ด้วยวิธีไหน พวกเขาจะปรับตัวในสังคมดิจิตอลได้อย่างไร เพราะในชีวิตจริงการได้ครอบครองเจ้าสาวในดวงใจถือเป็นสิ่งที่บุรุษทุกคนเฝ้าฝันอยู่แล้ว แต่ตัวชี้วัดความสำเร็จของชีวิตการแต่งงานและการใช้ชีวิตคู่ ไม่ใช่วัดกันที่บรรยากาศดื่มด่ำช่วงฮันนี่มูนเท่านั้น แต่ความท้าทายในชีวิตคู่ที่พร้อมเผชิญหน้ากับพายุที่โหมกระหน่ำและถนนที่อุดมด้วยขวากหนามต่างหาก คือตัวชี้วัดความสำเร็จที่แท้จริง

ประสบการณ์ที่ผ่านมา สอนให้เรารู้ว่า ประชาชาติอิสลามมีสิทธิ์แค่สนุกสนานรื่นเริงในวันจัดพิธีแต่งงานและดื่มด่ำกับความสุขช่วงฮันนี่มูนในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น หลังจากนั้น คู่บ่าวสาวก็จะถูกปองร้ายจนเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา


โดย Mazlan Muhammad

อัฟกานิสถาน ฏอลิบานรีเทิร์นและการคาดการณ์ในอนาคต [ตอนที่ 2]

กษัตริย์อาห์มัด ชาห์ ดุรรานี่จากเผ่าอับดาลี่ ถือเป็นกษัตริย์ผู้สถาปนาอัฟกานิสถานยุคใหม่ พระองค์ทรงครองราชย์ช่วงค.ศ.1747-1772  ซึ่งสามารถรวบรวมชนเผ่าต่างๆในอัฟกานิสถานกว่า 20 เผ่าพันธุ์และดินแดนบางส่วนในประเทศปากีสถานปัจจุบันทั้งปันจาบ ลาโฮร์ และแคชเมียร์ เคยยกทัพหวังยึดครองกรุงเดลฮีแต่ถูกราชวงศ์มองโกลซึ่งรับอิสลามต้านทานจนต้องล่าถอย หลังจากนั้นอาณาจักรได้อ่อนแอลง จนกระทั่งถูกเฉือนแบ่งราวที่ดินมรดก ในยุค”เกมครั้งยิ่งใหญ่”โดย 2 มหาอำนาจโลกขณะนั้นคือสิงโตแห่งอังกฤษและหมีขาวแห่งรัสเซีย

อัฟกานิสถานหรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ท่านผู้อ่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://th.m.wikipedia.org/wiki/ประเทศอัฟกานิสถาน

#สถิติอื่นๆที่น่าสนใจ

สถิติปัญหาว่างงานสูงถึง 40% (ข้อมูลปี 2005) และประชาชนอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน 53% (ข้อมูลปี 2003) เปรียบเทียบกับประเทศไทยที่

มีอัตราว่างงานสูงสุดในเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ 4.5%  ในขณะที่คนจนมีจำนวน ทั้งสิ้น 5.40 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.79% ของประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูล 2019)

มีรายได้จากการปลูกยาเสพติดชนิดต่างๆ สูงถึง 3,000 ล้านดอลล่าร์ ตามรายงานระบุว่าอัฟกานิสถานสามารถผลิตเฮโรอีนจำนวน 6,700 ตันต่อปี (ข้อมูล 2006) คิดเป็น 92% ของการผลิตเฮโรอีนทั่วโลก

#ไทม์ไลน์สำคัญของอัฟกานิสถาน

  • 1747 สถาปนาอัฟกานิสถานยุคใหม่โดยอาห์มัด  ชาห์ ดุรรานี่จากเผ่าอับดาลี่  โดยมีนครกันดาฮาร์เป็นเมืองหลวง และในปี 1775 ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังคาบูลจนถึงปัจจุบัน โดยราชวงศ์นี้สามารถปกครองอัฟกานิสถานเพียง 37 ปีเท่านั้น
  • 1839-1873 สงครามอัฟกานิสถาน-อังกฤษครั้งแรก ที่จบด้วยความพ่ายแพ้ของอังกฤษจนต้องถอนกำลังออกจากประเทศ
  • 1873 กำหนดเส้นพรมแดนระหว่างรัสเซียและอัฟกานิสถาน
  • 1878-1880 สงครามอัฟกานิสถาน- อังกฤษครั้งที่ 2 ที่จบด้วยสัญญาสงบศึก โดยที่อังกฤษยอมถอนกองกำลังพร้อมแต่งตั้งอะมีรอับดุรเราะห์มาน ข่านเป็นผู้นำ
  • 1893 กำหนดเส้นพรมแดนระหว่างอัฟกานิสถานและอินเดีย จนเกิดปัญหาการแยกประเทศของเผ่าปาทาน หลังจากการกำเนิดของประเทศปากีสถานในปี 1947
  • 1919 สงครามอัฟกานิสถาน- อังกฤษครั้งที่ 3 โดยสิ้นสุดด้วยอังกฤษยอมรับเอกราชของอัฟกานิสถาน ภายใต้ผู้นำอัฟกันคนใหม่คืออะมีร อามานุลลอฮ์ โดยอดีตสหภาพโซเวียตเป็นชาติแรกที่ให้การรับรอง
  • 1921 ลงนามในสัญญามิตรภาพอัฟกาโซเวียต ปูทางให้โซเวียตเข้ามาสร้างบารมีในอัฟกานิสถาน
  • 1973 สิ้นสุดระบอบกษัตริย์และสถาปนาระบอบประธานาธิบดีโดยมีนายดาวูด ข่านเป็นประธานาธิบดีคนแรกด้วยการสนับสนุนจากฝ่ายสังคมนิยม
  • 1978 นายดาวูด ข่าน ถูกทหารฝ่ายสังคมนิยมปฏิวัติและสังหารพร้อมครอบครัว โดยนายนูรมูฮัมมัด ตะรอกีย์ เลขาธิการพรรคสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ สถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดี ถือเป็นการเปิดฉากซีรีย์การแย่งอำนาจที่นำไปสู่การนองเลือดที่ยืดเยื้อในดินแดนอัฟกานิสถาน
  • 1979 ทหารโซเวียตจำนวน 100,000 นายบุกโจมตีอัฟกานิสถาน หะฟีซุลลอฮ์อะมีน ประธานาธิบดีคนใหม่ถูกสังหารหลังอยู่ในตำแหน่งเพียง 4 เดือนหลังจากนูรมูฮัมมัดตะรอกีถูกสังหารก่อนหน้านี้ นายบาบรัค คาร์มัล ถูกส่งตัวจากโซเวียตเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ท่ามกลางกระแสการต่อต้านจากประชาชน
  • 1989 อดีตสหภาพโซเวีต ถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน ประกาศความพ่ายแพ้อย่างยับเยินหลังสูญเสียพลทหารกว่า 15,000 นาย ถลุงงบประมาณด้านการทหาร กว่า 7 หมื่นล้านดอลล่าร์ตลอดระยะเวลาการทำสงครามนานกว่า 10 ปี นายนาญีบุลลอฮ์ ซึ่งเป็นสาวกผู้สวามิภักดิ์ต่ออดีตสหภาพโซเวียตได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ท่ามกลางการปฎิเสธของกลุ่มมุญาฮิดีน
  • 1992กองกำลังมุญาฮิดีนได้เข้าบุกยึดกรุงคาบูลภายใต้การนำของหิกมัตเทียร์ ผู้นำพรรคอิสลามและพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่มีเผ่าบัชทุนสนับสนุน โดยมีอาห์มัด ชาห์ประธานกลุ่มอิสลามและพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่มีเผ่าทาจิกสนับสนุน ซึ่งลงเอยด้วยสงครามกลางเมืองระหว่าง 2 ฝ่าย สุดท้ายกองกำลังที่นำโดยอาห์มัดชาห์ สามารถคุมพื้นที่ในกรุงคาบูล
  • 1993 สัญญาสงบศึกระหว่างกองกำลังติดอาวุธต่างๆในอัฟกานิสถาน จัดขึ้นที่อิสลามาบัด สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมนาน 18 เดือน โดยมีนายร็อบบานี รับหน้าที่ประธานาธิบดีชั่วคราว ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ แต่ก็ต้องสะดุดกลางคันเมื่อนายหิกมัตเทียร์ ลุกขึ้นปฏิวัติ  ถึงแม้ไม่สำเร็จก็ตาม แต่ก็เพียงพอที่ทำให้แผนสันติภาพและสมานฉันท์แห่งชาติต้องล้มกระดานไป
  • 1994 การปรากฏตัวครั้งแรกของกลุ่ม ฏอลิบาน โดยใช้เมืองกันดาฮาร์เป็นศูนย์บัญชาการ
  • 1996 กลุ่มฏอลิบานสามารถบุกยึดกรุงคาบูลได้สำเร็จ และได้ประหารชีวิตนายนายีบุลลอฮ์ ผู้นำใฝ่คอมมิวนิสต์ที่ได้รับการอารักขาในอาคารสหประชาชาติที่กรุงคาบูลตั้งแต่ปี 1992
  • 1997 กลุ่มฏอลิบานสามารถบุกยึดเมืองทางตอนเหนือโดยเฉพาะมะซาร์ ชะรีฟ แต่ถูกต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังชีอะฮ์ จนต้องล่าถอย
  • 1998 กลุ่มฏอลิบานสามารถบุกยึดเมืองมะซาร์ชะรีฟอีกครั้ง ด้วยการทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มชีอะฮ์
  • 1999 เกิด 2 รัฐบาลคู่ขนานในอัฟกานิสถาน คือ 1) รัฐบาลที่นำโดยนายร็อบบานี ที่นานาชาติให้การรับรอง แต่สามารถปกครองเพียง 15% ของประเทศเท่านั้น 2) รัฐบาลที่นำโดยฏอลิบานที่สามารถปกครองประเทศโดยส่วนใหญ่แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติยกเว้นปากีสถาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบียเท่านั้น
  • 2000 เกิดการปะทะอย่างรุนแรงทางภาคเหนือระหว่างกองกำลังของอาห์มัดชาห์กับกลุ่มฏอลิบานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอัลกออิดะฮ์ของอูซามะฮ์บินลาเด็นและชาติอาหรับ
  • 2001 ฏอลิบานระเบิดทำลายพระพุทธรูปแห่งบาบียัน ท่ามกลางเสียงคัดค้านทั่วโลก
  • 2001 อาห์มัดชาห์ ถูกมือระเบิดพลีชีพสังหารเสียชีวิต ขณะนำทัพต่อสู้กับกลุ่มฏอลิบานทางภาคเหนือของประเทศ
  • 2001 11 กันยา เกิดเหตุการณ์ช๊อคโลกเมื่อ WTC สหรัฐอเมริกาถูกถล่ม พร้อมๆกับการปรากฏตัวของนายอูซามะฮ์บินลาเด็นและกลุ่มอัลกออิดะฮ์
  • 2001 สหรัฐอเมริกาปูพรมถล่มอัฟกานิสถาน เป็นเวลานานกว่า 40 วัน โดยอ้างว่าฏอลิบานให้แหล่งพักพิงแก่บินลาเด็น  ประธานาธิบดีบุชในขณะนั้นได้ประกาศการสิ้นสลายของกลุ่มฏอลิบานอย่างเป็นทางการ
  • 2001 ฮามิด คาร์ไซ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว 18 เดือนเพื่อเตรียมการเลือกตั้งใหญ่ ภายใต้การอุปถัมภ์ของสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความขัดแย้งและการนองเลือดอย่างต่อเนื่อง
  • 15 สิงหาคม 2021 กลุ่มฏอลิบานได้ทำลายสถิติโลกด้วยการบุกยึดกรุงคาบูลสำเร็จชนิดหักปากกาเซียนในขณะที่ประธานาธิบดีนายอัชร็อฟ ฆานี พร้อมบริวารได้หลบหนีลี้ภัยไปยังประเทศทาจิกิสถาน พร้อมขนเงินเต็ม 4 คันรถและเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ จบวีรกรรมของการทุจริตคอร์รัปชั่นบนซากปรักหักพังและภาวะสิ้นเนื้อประดาตัวของชาติและประชาชน

โดย Mazlan Muhammad

อัฟกานิสถาน ฏอลิบานรีเทิร์นและการคาดการณ์ในอนาคต [ตอนที่ 1]

อัฟกานิสถาน ประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างเอเชียกลาง เอเชียตะวันตกและเอเชียใต้ ซึ่งในอดีต กองกำลังมองโกลยุคเจงกิสข่านผู้ไม่เคยปราชัยในสมรภูมิต้องประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกในสงครามเมืองคาบูล ภายใต้แม่ทัพอิสลามนามญะลาลุดดีน แต่เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างมุสลิมด้วยกัน ทำให้เจงกิสข่านสามารถยึดครองดินแดนแถบนี้ ในตำนานเล่าว่าส่วนหนึ่งของลูกหลานเจงกิสข่าน ได้รับอิสลามและได้สร้างอาณาจักรอิสลามอันยิ่งใหญ่บริเวณชมพูทวีปในเวลาต่อมา

จากความโดดเด่นทางภูมิศาสตร์และความร่ำรวยทางทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นที่หมายปองของเหล่านักล่าโดยเฉพาะพญามังกร พญาหมี สิงโตและพญาเหยี่ยวจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

หลังจากสิ้นยุคสิงโตครองโลกช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ถึงคราวยุคพญาหมีที่ได้ทีเข้าตะปบเหยื่อ ณ ดินแดนแห่งนี้อย่างรุนแรงและยาวนานกว่า 10 ปี แต่สุดท้ายต้องซมซานกลับเข้าถ้ำอย่างสะบักสะบอมที่สุด พร้อมๆกับการล่มสลายของอาณาจักรพญาหมีอันยิ่งใหญ่

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พญาเหยี่ยวได้ปูพรมถล่มดินแดนนักต่อสู้แห่งนี้ จนราบเป็นหน้ากลอง พร้อมประกาศอย่างอหังการว่า ฏอลิบานได้ถึงยุคอวสานแล้ว พร้อมๆกับจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเขิดของตน ที่คอยเถลิงอำนาจและสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและพวกพ้อง บนคราบน้ำตาและความยากจนข้นแค้นของชาวอัฟกัน

แต่แล้วโลกทั้งใบต่างงงงวย เมื่อฏอลิบาน ไม่ได้อวสานตามที่ป่าวประกาศ แต่กลับผงาดบุกยึดกรุงคาบูลเบ็ดเสร็จเมื่อ 15/8/2021 โดยข่าวล่าสุดรายงานว่า ผู้นำรัฐบาลหุ่นเชิดได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านพร้อมสินทรัพย์มหาศาล ท่ามกลางสถานการณ์ความชุลมุนวุ่นวายในกรุงคาบูล สะท้อนถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของแผนการณ์พญาเหยี่ยว ที่แม้แต่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯออกโรงจี้ให้ประธานาธิบดีไบเดนลาออกจากตำแหน่ง เพราะถือเป็นต้นเหตุที่นำความพ่ายแพ้อย่างอัปยศที่สุดของสหรัฐฯทีเดียว

เราค่อยๆมาทำความรู้จักกับอัฟกันแบบค่อยเป็นค่อยไปน่ะครับ


โดย Mazlan Muhammad

ไกส์ สะอีด รัฐประหารในตูนิเซีย และการวิเคราะห์สถานการณ์

การเลือกตั้ง ไกส์ สะอิด สู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสาธารณรัฐตูนิเซียนั้นเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใด ๆ และไม่มีความรู้เรื่องงานการเมืองมาก่อน  คุณสมบัติทั้งหมดของเขาคือเขาเป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัย และพูดภาษาอาหรับในแบบที่ไม่ปกติสำหรับผู้พูดและผู้ปฏิบัติงานการเมืองในโลกอาหรับ

ผู้ที่เลือกไม่นึกว่าสะอีดจะนำตูนิเซียมาสู่สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แรงจูงใจหลักของชาวตูนิเซียคือการเปลี่ยนจากชนชั้นสูงทางการเมืองที่ปกครองแบบเดิมๆ ที่ชาวตูนิเซียเบื่อหน่าย มาเป็นโฉมหน้าใหม่ที่สามารถช่วยประเทศชาติจากความล้าหลังทางเศรษฐกิจ และการแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ ในทุกรูปแบบและอุดมการณ์

ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง สะอีดไม่ลังเลเลยที่จะวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นปกครอง และยังจุดชนวนความขัดแย้งด้วยการปฏิเสธกฎหมายว่าด้วยมรดกที่เท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง เขายังย้ำคำพูดของเขาว่า “ตุลาการอิสระดีกว่ารัฐธรรมนูญพันฉบับ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเชื่อว่าประชาชนเองควรพัฒนาแผนและยุทธศาสตร์ทางปัญญาและเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนประเทศชาติหลังการปฏิวัติ โดยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า อำนาจจะอยู่ในมือของประชาชน ผู้ตัดสินชะตากรรมและปกครองทางเลือกของตน”

โครงการของสะอีดได้กำหนดขึ้นเพื่อนำเสนอแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับสังคม และแนวความคิดนี้มีพื้นฐานมาจากท้องถิ่นสู่ระดับภูมิภาคและจากส่วนกลางเพื่อให้กฎหมายระดับชาติเป็นกฎหมายที่แสดงออกถึงเจตจำนงของประชาชน นอกจากนี้ สะอีดยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการต่อต้านการทุจริต

ทันทีที่มีอำนาจหลังชนะการเลือกตั้งในปี 2019 สะอีดต้องการพลิกโฉมวิถีทางการเมืองในแบบของตนเอง ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมืองในตูนิเซีย และปะทะกับพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคนะฮ์เฎาะฮ์ ซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และไม่สงบจนกระทั่งหลังจากที่สะอีดเลือกนายกรัฐมนตรีเอง ซึ่งสะอีดได้เลือกฮิชาม  มาชีชีย์ ผู้พิพากษาอาวุโส  ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของตนในทำเนียบประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในตูนิเซียไม่ได้มีเสถียรภาพ สะอีดปฏิเสธการแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยอ้างว่ามีบุคคลที่ทุจริตที่มาจากระบอบการปกครองก่อนหน้านี้ หลังจากนั้น สะอีดรู้สึกว่าถูกรัฐสภาและรัฐบาลมองข้าม และจบลง ด้วยการต่อต้านประชาธิปไตยในภาพรวม โดยเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา สะอีดได้บังคับนายกรัฐมนตรีที่เลือกมาเองให้ลาออก พร้อมระงับรัฐสภา 30 วัน และให้อำนาจสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรง อำนาจบริหารทั้งหมด  ทั้งฝ่ายประธานาธิบดีและฝ่ายรัฐบาล  ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุม

ไกส์ สะอิด เชื่อว่าสิ่งที่ตนทำไม่ถือเป็นการทำรัฐประหารต่อต้านระบอบประชาธิปไตยหรือเป็นการละเมิดกฎหมาย และเห็นว่ากระทำการภายในขอบเขตที่มาตรา 80 ของรัฐธรรมนูญตูนิเซียกำหนด แต่ตีความด้วยวิธีของตนเองในการเป็นข้ออ้างการทำรัฐประหารเส้นทางประชาธิปไตย   ในขณะที่นักรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายส่วนใหญ่ในตูนิเซีย ประณามการตีความและการกระทำของเขาดังกล่าว ในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ผู้พิพากษา 45 คนได้ประณามอย่างรุนแรงต่อมาตรการที่ประธานาธิบดีประกาศเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่แล้ว โดยพิจารณาว่ามาตรการดังกล่าวผิดปกติและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  รวมถึงการจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวและการเดินทางของผู้พิพากษาเช่นเดียวกับพลเมืองคนอื่นๆ

ใครอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารของไกส์ สะอีด ต่อระบอบประชาธิปไตยของตูนิเซีย

ประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านระบอบประชาธิปไตยในตูนิเซียเป็นประสบการณ์เดียวที่รอดพ้นจากหายนะจากประสบการณ์ที่คล้ายกันซึ่งเริ่มต้นจาก “การปฏิวัติอาหรับสปริง” เมื่อกว่าสิบปีก่อน ขณะที่ประสบความสำเร็จในการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  รวมทั้งรัฐธรรมนูญที่ รับรองโดยฉันทามติและความยินยอมของสาธารณะ ตลอดจนประมุขแห่งรัฐซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และสภานิติบัญญัติที่เป็นตัวแทนของกระแสการเมืองและปัญญาชนส่วนใหญ่ในสังคมตูนิเซีย

ที่สำคัญที่สุด ระบอบประชาธิปไตยนี้สามารถ -แม้ว่าจะมีความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง- สร้างบรรยากาศของเสรีภาพสาธารณะและรับประกันสิทธิมนุษยชนที่ประเทศอาหรับและระบอบการปกครองอื่น ๆ ทั้งหมดต่างอิจฉา อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นปรากฎว่า ความพร้อมของกฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ของรูปแบบประชาธิปไตยในระบบการปกครองของตูนีเซียขณะนี้ไม่สามารถรับรองความแข็งแกร่งของรัฐที่ดำเนินการโดยระบบนี้ หรือประกันประสิทธิภาพที่จะทำให้ตูนิเซีย -โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการระบาดของโรคโคโรนาที่กำลังดำเนินอยู่ – สั่นสะเทือน ที่แสดงถึงการล่มสลายทางการเมือง สังคม และสุขภาพ ทำให้ประธานาธิบดีต้องใช้มาตรการพิเศษและการตัดสินใจที่เฉียบขาดตามความเห็นของตน

ข้อมูลชี้ว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารของประธานาธิบดี ไกส์  สะอีด ที่ต่อต้านรัฐธรรมนูญ เพราะอิมิเรตมุ่งมั่นที่จะยุติอาหรับสปริงซึ่งเริ่มขึ้นในตูนิเซียในปี 2011 และเป็นสิ่งที่อิมิเรตกระทำในอียิปต์ยุคประชาธิปไตย นี่คือสิ่งที่สะอีดอ้างถึงในคำกล่าวบางโอกาสว่า มีบางประเทศในภูมิภาคสนับสนุนทางการเงินและการทหาร

ล่าสุด อันวาร์ การ์กัช อดีตที่ปรึกษาทางการทูตของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ไปเยือนตูนีเซีย พร้อมกับคณะผู้แทนระดับสูง  เมื่อวันอาทิตย์ (8-8-2021) ซึ่งระบุว่า “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าใจและสนับสนุนการตัดสินใจทางประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ และยังตระหนักถึงความสำคัญในการปกป้องตูนิเซียและตอบสนองต่อเจตจำนงของประชาชน”

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้พยายามมาระยะหนึ่งแล้วที่จะปิดล้อมและต่อสู้กับกระแสอิสลามในทุกส่วนของโลกอาหรับ และไม่ได้ละเว้นความพยายามใดๆ เลยนอกจากจะทำมัน  และใช้เงินหลายพันล้านเหรียญเพื่อบรรลุเป้าหมาย และยังใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อขจัดอุดมการณ์อาหรับสปริงที่เริ่มต้นในตูนิเซียเช่นเดียวกัน

เป็นเรื่องแปลกที่ยูเออีเป็นหนึ่งในประเทศที่สานสัมพันธ์ปกติกับอิสราเอล ซึ่งประธานาธิบดีสะอีดในแถลงการณ์ “ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับคณะผู้แย่งชิงถือเป็นผู้ทรยศขั้นสูง” การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในแนวความคิดนี้จะเข้าใจได้อย่างไร และการสานสัมพันธ์กับอิสราเอลยังคงเป็นการทรยศสูงสุดสำหรับเขาหรือไม่ !

การเยือนไคโรของ ไกส์ ซาอีด ก่อนหน้านี้ เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการทำรัฐประหารเพื่อต่อต้านประสบการณ์ประชาธิปไตย ตราบใดที่กลุ่มอิสลามิสต์อยู่ข้างหน้าในฉากการเมือง และสิ่งนี้ได้รับการยืนยันจากการเยือนล่าสุดของ ซามิห์  ชุกรี รัฐมนตรีต่างประเทศอียิปต์  และการเฉลิมฉลองของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ในสื่ออียิปต์และเอมิเรตส์  โดยเห็นว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดีตูนิเซียครั้งนี้ เป็นการลุกฮือเพื่ออิสรภาพครั้งใหม่และการสลัดพ้นจากกลุ่มอิควานมุสลิมีน”

เช่นเดียวกับการเยือนตูนีเซียของฟัยซอล ฟัรฮาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งซาอุดิอาระเบีย  และประกาศว่าราชอาณาจักรจะยืนหยัดตามมาตรการของไกส์  สะอีด  ยังไม่รวมถึงความเงียบของประชาคมระหว่างประเทศเกี่ยวกับมาตรการเหล่านี้ ไม่ได้มองว่าเป็นละเมิดประชาธิปไตย และปูทางให้ระบบเผด็จการและการกดขี่ โดยไม่ได้ประณามใดๆ  รวมถึงบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ที่ยกย่องและสนับสนุน

สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นหลังรัฐประหารนิ่มๆ

การเคลื่อนไหวประหลาดของสะอีด เกิดขึ้นหลังจากการประท้วงต่อต้านรัฐบาลและกลุ่มนะฮ์เฎาะฮ์เพียงวันเดียว และหลังจากการติดเชื้อ ไวรัสโคโรน่าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตลอดจนความโกรธที่เพิ่มขึ้นต่อความไม่สมดุลทางการเมืองเรื้อรัง รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตูนิเซียหลังจากการปฏิวัติในปี 2011 ที่จุดชนวนให้เกิด “การปฏิวัติอาหรับ” และล้มล้างการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเพื่อสนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ล้มเหลวในการบรรลุความเจริญรุ่งเรือง

บางทีฉากทั่วไปในตูนิเซียจนถึงขณะนี้ สามารถคาดการณ์ได้ว่าอาจเกิดได้ 3 สถานการณ์ และผู้เขียนคิดว่า ประธานาธิบดีจะไม่ถอนการตัดสินใจ และวันและเดือนที่จะมาถึงจะเป็นพยานถึงการคาดการณ์นี้ :

สถานการณ์แรก: อาจเป็นการค้นหาทางออกตามรัฐธรรมนูญ และการลงประชามติเกี่ยวกับการตัดสินใจของประธานาธิบดี หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาก่อนกำหนด และเป็นเรื่องที่ความขัดแย้งก็ยังคงหมุนเวียนอยู่ต่อไป การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้หมายถึงการหวนคืนสู่จุดศูนย์และการดำรงอยู่ของวิกฤตทางการเมือง ทั้งด้านพลังทางการเมืองและพรรคการเมืองในทุกรูปแบบ ตลอดจนภาคประชาสังคม สถานการณ์นี้ถือว่าอันตรายน้อยที่สุด

สถานการณ์ที่สอง: ยืดเวลาวิกฤต กำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน และขัดขวางชีวิตทางการเมืองและพลเรือนระหว่างที่ซาอิดเป็นประธานาธิบดีตูนิเซีย ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับกองกำลังต่อต้านการปฏิวัติ  แต่สถานการณ์นี้จะก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองและสังคมในตูนิเซีย

สถานการณ์ที่สาม: การทำรัฐประหารโดยสมบูรณ์และชัดเจน เช่น แบบจำลองอียิปต์ การกดขี่เสรีภาพ และการปิดปาก ซึ่งถือเป็นการก่อรัฐประหารทางเศรษฐกิจและการเมือง และต้องใช้เงินทุนระยะยาว และฉันคิดว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ โดยเฉพาะ ด้วยการสนับสนุนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบียในการต่อต้านการปฏิวัติ ดังนั้นจึงต้องใช้ความโหดร้ายและการปราบปรามอย่างมาก และสิ่งนี้นำไปสู่ความโกลาหล เนื่องจากภาคประชาสังคมของตูนิเซียสามารถคัดค้านสถานการณ์นี้ได้ ข้าพเจ้าไม่ได้ตัดเรื่องนี้ออกไปเป็นการส่วนตัว เมื่อพิจารณาถึงสภาพการแก้แค้นที่ฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติชอบที่จะขจัดสิ่งที่เหลืออยู่ของการปฏิวัติอาหรับ

ชาวตูนิเซียจะมีความคิดเห็นที่ต่างออกไปและขัดขวางสถานการณ์เหล่านี้ทั้งหมดหรือไม่ โดยที่จะเป็นผู้มีอำนาจตัวจริงและมีความสามารถที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนเองไว้ได้หรือไม่ และฝ่ายการเมืองและพรรคการเมืองจะมองข้ามความแตกต่างที่เพิ่มมากขึ้นทุกวี่วัน และจะรวมตัวกันเพื่อเผชิญกับรัฐประหารครั้งนี้และกำหนดวาระร่วมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ ประชาธิปไตย หรือฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติที่สนับสนุนสะอีดจะมีชัยในที่สุด !

ฉันหวังว่า ชาวตูนิเซียจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด และทำให้เจ้าชายแห่งการปฏิวัติที่ต่อต้านการปฏิวัติผิดหวัง  อย่างที่เกิดขึ้นในตุรกี เมื่อชาวตุรกีลุกขึ้นเผชิญหน้ากับรัฐประหารในเดือนกรกฎาคม 15 ต.ค. 2016 และเสียสละเพื่อฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยของตนเองโดยไม่พึ่งพิงจากภายนอก และเชื่อว่าเสรีภาพไม่ใช่ของบริจาค แต่ต้องแย่งชิงมา

โดยสรุป ฉันขอพูดว่า: การปกครองแบบเผด็จการคือการกำหนดเจตจำนงของคนบางคนและเครือข่ายของเขา ทำลายเจตจำนงของปวงชน ทำลายจิตวิญญาณของประชาชน ทำลายความเป็นไปได้ของความก้าวหน้าของพวกเขา กำจัดเจตจำนงของประชาชน ยกเลิกเหตุผลสำหรับการดำรงอยู่ของพวกเขา ลิดรอนทรัพย์สิน  เกียรติ สติปัญญา ปิดปาก ริบเสรีภาพ และเคียงคู่มากับการทุจริตที่จะทำลายบ้านเมืองให้พังพินาศย่อยยับ

บทความโดย: ดร.จามาล นัศศอร์ กรรมการสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ


แปลสรุปโดย Ghazali Benmad

อ่านต้นฉบับ

https://bit.ly/3jMZXGM

ปรัชญาฮัจญ์

ฮัจญ์ คือ การรวมตัวของมนุษยชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่สามารถรวบรวมประชาคมโลกที่ก้าวพ้นพรมแดนแห่งชาติพันธุ์ ภาษาและวัฒนธรรม มุสลิมทุกคนต้องประกอบพิธีฮัจญ์แม้ครั้งเดียวในชีวิต หากมีความสามารถ ฮัจญ์คือเทศกาลประจำปีระดับนานาชาติที่เชิญชวนและเรียกร้องมนุษยชาติให้หวนรำลึกและฟื้นฟูบรรยากาศแห่งอีมาน การตักวา การยึดมั่นในคำสอน การฝึกฝนความเป็นน้ำหนึ่งเดียว รับทราบ ศึกษาและร่วมแก้ไขวิกฤติปัญหาที่เกิดขึ้น ตลอดจนสร้างความเชื่อผมั่นในศักยภาพและศักดิ์ศรีของอิสลามและมุสลิม

            มุสลิมทุกคนจึงใฝ่ฝันที่จะประกอบพิธีฮัจญ์และมีใจที่ผูกพันกับบัยตุลลอฮฺทุกอณูชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับฮัจญ์มับรูรฺ ที่ไม่มีผลตอบแทนใดๆ ที่คู่ควรเว้นแต่สรวงสวรรค์ของอัลลอฮฺเท่านั้น

ฮัจญ์มับรูรฺจึงแฝงด้วยปรัชญาอันมากมาย ส่วนหนึ่งสรุปได้ดังนี้

1. ฮัจญ์คือสัญลักษณ์ความเป็นเอกภาพ

            เอกภาพด้านการศรัทธา ซึ่งผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์เพียงเพื่ออัลลอฮฺและมุ่งมั่นสืบสาน จริยวัตรของนบีมูฮัมมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) เท่านั้น

            เอกภาพด้านการปฏิบัติ ซึ่งผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขต่างๆ ของฮัจญ์ด้วยรูปแบบที่เหมือนกัน ในช่วงเวลาอันเดียวกัน ณ สถานที่แห่งเดียวกัน ลักษณะการแต่งกายที่เหมือนกัน ภายใต้การนำแห่งต้นแบบของผู้นำคนเดียวกันคือนบีมูฮัมมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) โดยผ่านการอรรถาธิบายของนักวิชาการมุสลิมที่ได้รับการยอมรับ

2. ฮัจญ์คือภาพสะท้อนแห่งสาสน์สากลของอิสลาม

                การก่อร่างสร้างประภาคารแห่งอิสลามได้เริ่มต้นด้วยบรรยากาศแห่งสากล ดังจะเห็นได้จากบรรดา  เศาะหาบะฮฺรุ่นแรกที่เป็นเสาหลักแห่งการเผยแผ่อิสลามซึ่งประกอบด้วยอะบูบักร์ที่มาจากตระกูลกุเรชอาหรับ      ศุฮัยบฺจากกรุงโรม บิลาลทาสผู้เสียสละจากอะบิสสิเนีย ซัลมานผู้ดั้นด้นแสวงหาสัจธรรมจากเปอร์เซีย ตลอดจนชาวอาหรับที่คลั่งไคล้และยึดมั่นในเผ่าพันธุ์วงศ์ตระกูล อิสลามสามารถผนวกรวมผู้คนเหล่านั้นให้อยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งอิสลาม และเลื่อมใสศรัทธาคำสอนของนบีมูฮัมมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ที่กล่าวไว้ความว่า “ท่านทั้งหลาย จงเป็นบ่าวของอัลลอฮฺฉันท์พี่น้องกันเถิด”(บุคอรีและมุสลิม)

            คลื่นมหาชนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศที่กำลังเฏาะวาฟรอบๆ บัยตุลลอฮฺ ทำให้เรานึกถึงดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยจักรวาลซึ่งล้วนเป็นบริวารที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ในขณะที่ดวงอาทิตย์ก็เป็นเพียงดาวเคราะห์เพียงดวงหนึ่งในระบบแกแล็กซี่อันกว้างไพศาลที่ต้องโคจรตามระบบที่ถูกกำหนดไว้ เช่นเดียวกันกับมนุษย์บนโลกนี้ ที่ต้องโคจรตามระบบบัยตุลลอฮฺ ไม่ว่าขณะเฏาะวาฟหรือขณะดำรงละหมาดที่มุสลิมทั่วโลกต่างผินหน้าไปยังบัยตุลลอฮฺเป็นประจำอย่างน้อย 5 ครั้งต่อวัน ในขณะที่บัยตุลลอฮฺก็เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งที่แสดงถึงความนอบน้อมและศิโรราบภายใต้อำนาจของอัลลอฮฺผู้บริหารสากลจักรวาล

3. ฮัจญ์คือการปฏิเสธความเหลื่อมล้ำและวรรณะของมนุษย์

อิสลามปฏิเสธระบบที่วางมนุษย์บนขั้นบันไดของชนชั้นวรรณะ อิสลามสอนว่าทุกคนไม่มีสิทธิวางก้ามแสดงตนเหนือคนอื่นเนื่องจากความแตกต่างด้านชาติพันธุ์หรือสีผิว ไม่มีความเหลื่อมล้ำระหว่างยาจกกับมหาเศรษฐี ชนผิวขาวกับชนผิวดำ นายหรือบ่าวไพร่ เจ้าหน้าที่หรือประชาราษฎร์ ทุกคนจะอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกันหมด เมื่อผู้ประกอบพิธีฮัจญ์เริ่มตั้งใจอิหฺรอมที่มีก็อต ( Miqat หมายถึง จุดพรมแดนที่ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ต้องตั้งใจและปฏิบัติตามเงื่อนไขของฮัจญ์) โดยการห่มกายด้วยผ้าขาวสองผืน ซึ่งเปรียบเสมือนแม่น้ำลำคลองจำนวนล้านๆ สายที่ไหลบรรจบเข้าสู่มหาสมุทรซึ่งกลายเป็นน้ำทะเลที่มีลักษณะเดียวกันหมด ฉันใดฉันนั้น ผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเป็นจำนวนล้านๆ คน ก็จะกลายเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันเมื่อเข้ามาบรรจบ ณ มีก็อต(Miqat) เพื่อหลอมรวมเข้าสู่มหาสมุทรแห่งกระบวนการฮัจญ์อย่างพร้อมเพรียงกัน

ทุกคนไม่มีสิทธิแอบอ้างความเป็นอภิสิทธิชน เว้นแต่ด้วยการตักวา(การยำเกรงต่อพระเจ้า)เท่านั้น

4. ฮัจญ์คือโอกาสให้มุสลิมหวนรำลึกประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของอิสลาม

ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์จะได้ประจักษ์ด้วยสายตาถึงแหล่งกำเนิดของอาทิตย์อุทัยแห่งทางนำและรัศมีอิสลามที่ได้เจิดจรัสทั่วสากล ซึ่งจุดประกายโดยนบีมูฮัมมัด(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ได้สัมผัสร่องรอยการเสียสละของบรรดาเศาะหาบะฮฺ(เหล่าสาวก) ตลอดจนหวนรำลึกการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของสามพ่อแม่ลูก(นบีอิบรอฮีม นบีอิสมาอีลและฮาญัร)ซึ่งกลายเป็นต้นตำรับของการประกอบพิธีฮัจญ์ที่มีการสืบสานมาโดยอนุชนรุ่นหลังเป็นเวลานับพันๆ ปี และจะยังคงอยู่จวบจนสิ้นฟ้าแผ่นดิน บรรดาฮุจญาจสามารถอ่านตำราเล่มใหญ่นี้ด้วยการพินิจพิเคราะห์จากสถานที่จริง เพื่อนำเป็นบทเรียน เติมเต็มกำลังใจและข้อเตือนสติตลอดไป

5. ฮัจญ์ คือ กระบวนการพัฒนาจิตวิญญาณและขัดเกลาจิตใจ

ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ได้รับโอกาสพัฒนาและขัดเกลาจิตใจให้สูงส่ง ตัดขาดจากความโกลาหลของโลก    ดุนยา พวกเขาสวมใส่ผ้า 2 ผืนที่ไม่มีการเย็บถักปักรอย ไม่สามารถแม้กระทั่งใส่น้ำหอม หรือร่วมหลับนอนกับภรรยาของตนเอง ผู้ที่กำลังประกอบพิธีฮัจญ์นั้น พวกเขากำลังสลัดทิ้งการใช้ชีวิตอย่างปกติ สู่การเป็นบ่าวของอัลลอฮฺที่สำรวม หัวใจที่ยำเกรง ลิ้นที่หมั่นเปล่งเสียงตัลบียะฮฺ ดุอา ซิกิร อ่านอัลกุรอาน เพื่อป่าวประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ มีจิตใจที่สำรวมและสำนึกในความผิดพลาดของตนเอง

บรรยากาศของผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ที่กำลังสะอีย์ระหว่างเขาเศาะฟาและเขามัรวะฮฺจำนวน 7 รอบนั้น เป็นการเสี้ยมสอนให้มุสลิมตระหนักว่า ในโลกแห่งความป็นจริง หากมุสลิมเดินบนเส้นทางอันเที่ยงตรงควบคู่กับการยึดมั่นธงนำที่ถูกต้องแล้ว มุสลิมจะก้าวสู่หลักชัยและไม่มีวันหลงทางเป็นอันขาด

เส้นทางอันเที่ยงตรงสำหรับมนุษยชาติคืออิสลาม ในขณะที่ธงนำที่ได้รับการประกันความถูกต้องคือ  อัลกุรอานและสุนนะฮฺ ที่ผ่านการอรรถาธิบายจากบรรดานักวิชาการมุสลิมที่ได้รับการยอมรับ

6. ฮัจญ์ คือ การสัญจรสู่ถนนแห่งอาคิเราะฮฺ

ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนซึ่งจำต้องห่างเหินกับครอบครัว พี่น้องผองเพื่อนและบ้านเกิด เปรียบเสมือนผู้ที่พรากจากโลกดุนยา ซึ่งต้องสูญสิ้นทุกอย่างแม้แต่คนรัก ในขณะที่การอาบน้ำ หรือการอาบน้ำละหมาดและการหุ้มกายด้วยผ้า 2 ผืน ก็เปรียบเสมือนการห่อหุ้มศพของผู้เสียชีวิตที่ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ต้องดำเนินการให้แก่ตนเองก่อนที่จะให้คนอื่นดำเนินการแทนในลักษณะเช่นนี้เมื่อสิ้นชีวิตไป

 การวุกุฟที่อะเราะฟะฮฺที่ควบคู่กับการรำลึกและดุอาต่อเอกอัลลอฮฺ ก็เสมือนสภาพของมนุษย์ที่ถูกฟื้นคืนชีพในวันกียามะฮฺที่ทุกคนกลับไปหาสู่อัลลอฮฺโดยอาศัยเสบียงแห่งตักวาและอีมานเท่านั้น มุสลิมได้รับการฝึกฝนให้ยอมรับสภาพของการกลับหาสู่อัลลอฮฺในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่เขาจะกลับสู่อัลลอฮฺอย่างแท้จริงเมื่อสิ้นชีวิตแล้ว

ช่างเป็นบรรยากาศที่มีความหมายอันลึกซึ้งที่สามารถเตือนสติแก่ผู้มีปัญญาทั้งหลาย

7. ฮัจญ์คือเวทีภาคปฏิบัติจรรยามารยาทอันสูงส่ง

ตลอดระยะเวลาของการทำฮัจญ์ ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ต้องฝึกฝนให้อยู่ในระเบียบวินัย รู้จักควบคุมอารมณ์ เชื่อฟังผู้นำผู้ทรงคุณธรรม บากบั่นต่อสู้กับความยากลำบากและความเหนื่อยล้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ทักทายผู้คนด้วยสลาม ให้อาหาร ใช้วาจาที่สุภาพอ่อนโยน การมีมารยาทอันสูงส่ง และยับยั้งอารมณ์ตนเองมิให้พลาดพลั้งกระทำสิ่งต้องห้ามและสิ่งอบายมุขต่างๆโดยเฉพาะการร่วมหลับนอนกับภรรยาและสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศการกระทำอบายมุข และการทะเลาะเบาะแว้ง ตลอดจนหมั่นกระทำความดีทั้งหลาย ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญของฮัจญ์มับรูรฺ เพื่อนำไปปฏิบัติเป็นวิถีชีวิตยามกลับสู่มาตุภูมิต่อไป

8.  ฮัจญ์คือการประยุกต์ใช้สาสน์แห่งสันติภาพ

ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์คือผู้ใฝ่สันติ เขาไม่สามารถสร้างความเดือดร้อนใดๆไม่ว่าต่อตนเอง ผู้อื่นสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เหล่าสิงสาราสัตว์แม้กระทั่งกิ่งก้านหรือใบไม้เล็กๆ ก็ตาม ช่วงเวลาการทำฮัจญ์คือช่วงเวลาแห่งสันติ ในขณะที่มักกะฮฺคือดินแดนและอาณาบริเวณที่สันติสุข ดังนั้นผู้ประกอบพิธีฮัจญ์จึงซึมซาบบรรยากาศของสันติภาพทั้งเงื่อนไขแห่งเวลาและสถานที่ เพื่อฝึกฝนให้มุสลิมสร้างความคุ้นเคยในภาคปฏิบัติสู่การประยุกต์ใช้วิถีแห่งสันติในชีวิตจริงต่อไป

สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของปรัชญาฮัจญ์มับรูรฺ ที่ผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ต้องศึกษาเรียนรู้และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง รู้จักประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อกลับสู่มาตุภูมิ หาไม่แล้วฮัจญ์ก็เป็นเพียงทัศนาจรราคาแพงที่มีการเก็บออมและลงทุนทั้งชีวิต แต่ไม่สามารถเกิดดอกออกผลในชีวิตจริง สังคมมุสลิมก็ตกในวังวนแห่งการบูชาพิธีกรรมและเทศกาลที่ไม่มีผลต่อระบวนการพัฒนาเลย วัลลอฮฺ อะอฺลัม.


โดย Mazlan Muhammad

กิยามะฮ์และต้นกล้า

นบีมูฮัมมัด صلى الله عليه وسلم กล่าวว่า

روى أحمد (12902) ، والبخاري في “الأدب المفرد” (479) ، وعبد بن حميد في “مسنده” (1216) ، والبزار في “مسنده” (7408) عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ( إِنْ قَامَتِ السَّاعَةُ وَفِي يَدِ أَحَدِكُمْ فَسِيلَةٌ، فَإِنِ اسْتَطَاعَ أَنْ لَا تَقُومَ حَتَّى يَغْرِسَهَا فَلْيَغْرِسْهَا ) .

ولفظ أحمد : ( إِنْ قَامَتْ عَلَى أَحَدِكُمُ الْقِيَامَةُ ، وَفِي يَدِهِ فَسِيلَةٌ فَلْيَغْرِسْهَا ) .

وصححه الألباني في “الصحيحة” (9) .

ความว่า :

หากผู้ใดประสบกับกิยามะฮ์ (ความอลหม่าน ปั่นป่วน) และในมือของเขามีต้นกล้า เขาจงปลูกมันเถิด

บทเรียนจากหะดีษนี้

       1.    กิยามะฮ์ ณ ตรงนี้อาจหมายถึงวันกิยามะฮ์ที่เป็นที่รู้กัน และอาจหมายถึงภาวะความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว สังคมหรือประเทศ สังเกตได้จากสำนวนหะดีษที่ว่า  إن قامت الساعة (หากวันกิยามะฮ์เกิดขึ้น) إن قامت على أحدكم القيامة (หากวันกิยามะฮ์เกิดขึ้นกับผู้ใด)

       2.    จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจุบัน ทุกคนเห็นพ้องกันว่า นี่คือภาวะความสับสนอลหม่านอันหนักหน่วงที่สุดที่รุมเร้ามนุษยชาติทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว สังคม ประเทศ ภูมิภาคและสากล  เราทุกคนรู้ดีหรืออาจประสบด้วยตนเอง

       3.    ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของสังคมโลก นบีแห่งอิสลามได้สอนให้ผู้ศรัทธารู้จักใช้สติ มองอนาคตด้วยความหวัง มองโลกในแง่ดี ปลุกจิตสำนึกและเพิ่มพลังบวก ด้วยการแนะนำให้”ปลูกต้นกล้า” ให้งอกเงยไปทั่วโลกหล้า

       4.    “ต้นกล้า” ณ ที่นี้ หาใช่เป็นเพียงหน่อไม้หรือต้นอ่อนเพียงชนิดเดียว หากยังรวมถึง “ต้นกล้าแห่งความดีงาม” ที่เป็นต้นทุนซึ่งอาจถูกซุกซ่อนในแต่ละคนหรือสังคม เป็นต้นกล้าหรือเมล็ดพันธุ์ที่พร้อมงอกเงยอย่างสมบูรณ์ เมื่อถูกปักหรือหว่านลงในดินอันอุดมสมบูรณ์

       5.    มนุษย์ทุกคนมี “ต้นกล้า” ที่เขาสามารถปักลงบนดินเพื่อแพร่ขยายความดีงามให้อนุชนรุ่นหลังสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งเป็นทรัพย์สมบัติ ความรู้ ประสบการณ์ ผลงานและความดีงามต่างๆ ที่เขาสามารถแปลงเป็นเศาะดะเกาะฮ์ ญาริยะฮ์ (กุศลทานอันไหลริน)

       6.    นบีแห่งอิสลามไม่เคยสอนให้เราเป็นคนท้อแท้ สิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย โทษคนอื่นและงอมืองอเท้ารับมือโชคชะตาโดยไม่พยายามแก้ไขปัญหาอย่างสุดความสามารถ ทว่า สอนเราให้รู้จักใช้สถานการณ์วิกฤตให้เป็นโอกาส หมั่นเพาะปลูกต้นกล้าแห่งความดี แม้ว่าจะอยู่ในภาวะคับขันอันแสนสาหัสสักปานใดก็ตาม

       7.    จึงขอเชิญชวนพี่น้องที่กำลังประสบกับภาวะกิยามะฮ์แห่งโควิดขณะนี้ ลองสำรวจในตัวท่านและรอบๆตัวท่านว่า มี”หน่อไม้” หรือ “เมล็ดพันธุ” ชนิดไหนบ้างที่อยู่ในมือท่าน ที่ท่านพอมีความสามารถหว่านหรือปักมันลงในดินแห่งความดี วันนี้ท่านได้ใช้ทรัพย์สิน เงินทอง ตำแหน่งหน้าที่ ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ เพื่อเป็นกุศลทานให้ลูกหลานในวันข้างหน้าหรือยัง

#กิยามะฮ์เกิดขึ้นแล้ว

#แต่ในมือท่าน_ยังมีต้นกล้า


โดย Mazlan Muhammad

เกณฑ์การพิจารณาคน

อยากให้พี่น้องอ่านบทความนี้อย่างน้อย 5 จบครับ

(บทความ 3 ภาษา)

—————————-

قال الشيخ محب الدين الخطيب في مقدمته على ‘العواصم’ لابن العربي:

“والتاريخ الصادق لا يريد من أحد أن يرفع لأحد لواء الثناء والتقدير، لكنه يريد من كل من يتحدث عن رجاله أن يذكر لهم حسناتهم على قدرها، وأن يتقى الله في ذكر سيئاتهم فلا يبالغ فيها ولا ينخدع بما افتراه المغرضون من أكاذيبها.

نحن المسلمين لا نعتقد العصمة لأحد بعد رسول الله – صلى الله عليه وسلم -، وكل من ادعى العصمة لأحد بعد رسول الله – صلى الله عليه وسلم – فهو كاذب. فالإنسان إنسان، يصدر عنه ما يصدر عن الإنسان، فيكون منه الحق والخير، ويكون منه الباطل والشر.

وقد يكون الحق والخير في إنسان بنطاق واسع فيعد من أهل الحق والخير، ولا يمنع هذا من أن تكون له هفوات. وقد يكون الباطل والشر في إنسان آخر بنطاق واسع، فيعد من أهل الباطل والشر، ولا يمنع هذا من أن تبدر منه بوادر صالحات في بعض الأوقات.

يجب على من يتحدث عن أهل الحق والخير إذا علم لهم هفوات، أن لا ينسى ما غلب عليهم من الحق والخير، فلا يكفر ذلك كله من أجل تلك الهفوات.

ويجب على من يتحدث عن أهل الباطل والشر إذا علم لهم بوادر صالحات، أن لا يوهم الناس أنها من الصالحات من أجل تلك الشوارد الشاذة من أعمالهم الصالحات.”

مقدمة العواصم (46 – 47).

🍒🍒🍒🍒🍒🍒🍒🍒🍒

‎بركات الشيخ محب الدين الخطيب رحمه الله دالم مقدمة بليو كفد العواصم  كاريا ابن العربي رحمه الله

‎سجاره يڠ بنر، تيدق ممرلوكن ڤوجي- ڤوجين دري سسياڤ ڤون، تاڤي اڤ يڠ دڤرلوكن اياله اڬر كيت سموا مڠنڠ جاس دان كبايكن ڤارا توكوه سيلم مڠيكوت قدر سومبڠن يڠ تله مريك چورهكن . تاكوتله

‎كڤد الله دالم مڽبوت كبوروقكن مريك ، جاڠن كترلالوان دان جاڠن ڤول ترتيڤو دڠن بريتا – بريتا ڤلسو حاصل چيڤتأن ڤارا ڤندوستا

سباڬي سئورڠ مسلم ، كيت برايمان بهاوا تياد سياڤ ڤون يڠ معصوم سلأين درڤد رسول الله صلى الله عليه وسلم، سياڤ يڠ مڠاكو ديريڽ مميليكي كإيستيميوأن اين ، مك دي اداله سبنرڽ ڤندوستا . مأنسي اداله تتڤ مأنسي ، دي اكن برتيندق سڤرت مأنسي بياس برتيندق . مك دي اكن ملاكوكن كبنرن دان كبأيكن ، سڤرتيمان دي اكن ملاكوكن كباطلن دان كجاهتن.

تركادڠ ،

دالم ديري سبهاڬين مأنسي  ، اد ترداڤت  سيسي بنر دان بأيكڽ  يڠ بڬيتو باڽق، لالو كيت  ملتقكن دي سباڬي مأنسي يڠ بأيك دان صالح ،  مسكيڤون دي موڠكين ڤرنه ملاكوكن كسيلڤن. دان  سبهاڬين مأنسي ، اد تردافت سيسي باطل دان بوروقڽ يڠ بڬيتو باڽق ، لالو دي دڬولوڠكن سباڬي اورڠ جاهت دان باطل ، مسكيڤون دي جوڬ ملاكوكن كبأيكن  .

‎ اوله حال دمكين ، باڬي مريك يڠ مڽبوت تنتڠ اورڠ يڠ بنر دان صالح ، دكالا برلاكو ڤداڽ ببراڤ كسيلڤن ريڠن، مك جاڠنله دي ملوڤأي كبنرن دان كبايكنڽ يڠ باڽق ايت ، جاڠنله سكالي-كالي كبايكنڽ منجادي سيا-سيا اوليه كران كسيلڤنڽ يڠ امت سديكيت

‎دمكين جوڬ اڤبيل سسئورڠ برچاكڤ تنتڠ سي باطل دان جاهت، والوڤون اي مميليكي چيري- چيري كبايكن ، مك جاڠن سكالي-كالي اي مڠليروكن مأنسي كو

نونڽ دي اداله اورڠ صالح،دڠن سبب عمالن بأيكڽ يڠ أمت سديكيت ايت

🍒🍒🍒🍒🍒🍒🍒🍒🍒🍒

ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ไม่ต้องการให้ใครยกธงสรรเสริญเยินยอใคร แต่ต้องการให้ทุกคนกล่าวถึงวีรบุรุษในประวัติศาสตร์ของพวกเขาด้วยคุณงามความดี ตามผลงานของพวกเขาและจงยำเกรงพระเจ้าในการกล่าวถึงความชั่วร้ายของพวกเขา ดังนั้น จงอย่าพูดเกินจริงและอย่าให้ถูกหลอกลวงโดยคำโกหกของคนคิดร้ายประดิษฐ์ขึ้น

ในฐานะมุสลิม เราเชื่อศรัทธาว่า นอกจากเราะซูลุลลอฮ์แล้ว ไม่มีผู้ใดที่ปลอดภัยจากการพลาดพลั้งและทำบาป

ผู้ใดคิดว่าตนมีสิทธิ์พิเศษนี้ คนนั้นคือจอมโกหก มนุษย์คือมนุษย์ ที่อาจแสดงพฤติกรรมในฐานะมนุษย์ปุถุชน เขาอาจแสดงออกถึงสัจธรรมและความดีงาม เฉกเช่นที่เขาอาจกระทำสิ่งมดเท็จและความชั่วร้าย

คนๆหนึ่งอาจมีส่วนของสัจธรรมและความดีงามในตัวเขามากมาย เราจึงนับเขาว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม ถึงแม้เขาอาจพลั้งพลาดในบางครั้งก็ตาม และคนๆหนึ่ง อาจมีส่วนของความมดเท็จและความชั่วร้ายอยู่มากมาย เขาจึงถูกนับอยู่ในกลุ่มคนมดเท็จและชั่วร้าย แม้ในบางครั้งบางคราว เขาอาจทำความดีบ้างก็ตาม

ดังนั้น สำหรับผู้ที่พูดถึงคนดีมีคุณธรรม ซึ่งอาจเกิดความบกพร่องหรือพลาดพลั้ง เขาจำเป็นต้องให้น้ำหนักกับสัจธรรมและความดีงามอันมากมายของเขา อย่าให้ความดีงามของเขากลายเป็นสิ่งไร้ค่าด้วยความผิดพลาดอันน้อยนิดของเขา

เข่นเดียวกันกับ คนที่พูดถึงคนมดเท็จและชั่วช้า เมื่อรู้ว่าเขาเคยทำความดีมาบ้าง ก็อย่าทำให้ผู้คนสับสนว่าเขาเป็นคนดีมีคุณธรรม จนกระทั่งกลบเกลื่อนความชั่วร้ายอันมากมาย เมื่อเทียบกับเสี้ยวหนึ่งความดีของเขา


โดย Mazlan Muhammad