ฟัตวาของโอไอซีว่าด้วยโคโรน่า [ตอนที่ 1]

องค์กรโอไอซี Organisation of Islamic Cooperation-OIC    เป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในโลกรองจากสหประชาชาติ มีสมาชิก 57 ประเทศ มีสถาบันฟิกฮ์ International Fiqh Academy ที่ประชุมที่ใหญ่ที่สุดในโลกของนักฟิกฮ์มุสลิมระดับตัวแทนของรัฐสมาชิก  จัดสัมมนาพิเศษเพื่อหารือเกี่ยวกับพัฒนาการของโคโรนาจากมุมมองทางศาสนา เมื่อ 16 เมษายน 2020 โดยมีสมาชิกคณะกรรมการฟัตวาและแพทย์เข้าร่วม 30 คน ในการประชุมแบบ“ออนไลน์”  โดยมีนักวิชาการผู้หญิงและแพทย์มีส่วนร่วม

ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับฟัตวาและแนวทางนิติศาสตร์อิสลามประมาณ 23 ข้อ เกี่ยวกับการระบาดใหญ่ของโคโรนา ในบรรดาฟัตวาที่โดดเด่นที่สุดเหล่านี้คือการอนุมัติให้ถอดอุปกรณ์ช่วยหายใจเมื่อจำเป็นออกจากผู้ที่ติดเชื้อไวรัส และอนุญาตให้แพทย์ละหมาดรวม รวมถึงการอนุญาตสัญญาการแต่งงาน “ออนไลน์” นอกเหนือจากการห้ามใช้กลไก “ภูมิคุ้มกันหมู่” ในการรักษา

ต่อไปนี้ เป็นบทสรุปฟัตวาที่สภาฟิกห์ International Fiqh Academy ตามคำแถลงที่ออกโดยสภาและองค์การความร่วมมืออิสลาม

1. คำจำกัดความของโรค

โรคโคโรนาไวรัส  2019 หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “โควิด-19” คือ การติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ และองค์การอนามัยโลกประกาศอย่างเป็นทางการว่าโรคระบาดนี้เป็นโรคระบาดใหญ่ทั่วโลกเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 ระดับการติดเชื้อมีตั้งแต่การเป็นพาหะไวรัสแต่ไม่มีอาการ  ไปจนถึงขั้นรุนแรง อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2 ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ แต่จะแตกต่างกันไปตามประเทศและความรุนแรงของอาการ ไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อนี้ได้ มาตรการควบคุมการติดเชื้อยังคงเป็นตัวหลักในการป้องกัน เช่น การล้างมือและการระงับอาการไอ การเว้นระยะห่างทางกายภาพของผู้ดูแลผู้ป่วย นอกเหนือจากสิ่งที่เรียกว่า social distancing ระหว่างผู้คน

 2. เป็นที่ทราบกันดีว่าหลักการอิสลามมีลักษณะเด่นหลายประการ ที่สำคัญที่สุดคือ การบรรเทาความยากลำบาก  การเปิดกว้าง การอำนวยความสะดวก การห่างไกลความลำบาก และการบังคับเพียงน้อย 

และหากพบว่ามีความยากลำบากและความจำเป็นแล้ว อัลลอฮ์ผู้ทรงฤทธานุภาพได้อนุญาตให้ทำสิ่งต้องห้าม และละทิ้งสิ่งที่จำเป็นต้องทำไปจนกระทั่งความจำเป็นดังกล่าวสิ้นสุดลง และนั่นคือความเมตตา ความเมตตากรุณาและความเอื้ออาทรจากอัลลอฮ์ที่มีต่อบ่าวของพระองค์

 3. ดังนั้นคนจึงมีความจำเป็นในการปกป้องชีวิตและสุขภาพ  มุสลิมต้องป้องกันตนเองจากโรคภัยไข้เจ็บให้มากที่สุด และหลักการอิสลามมีหน้าที่ในการช่วยชีวิตจากการถูกทำลาย และทำให้การมีชีวิตรอดเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน โดยการป้องกันโรคและความเจ็บป่วยก่อนที่จะเกิดขึ้นและโดยการรักษาหลังจากที่เกิดขึ้น ท่านศาสดามูฮัมหมัด ศอลฯ กล่าวว่า

“عباد الله، تداووا، فإنَّ الله تعالى لم يضع داءً إلا وضع له الدواء إلا داء واحداً: الهرَمُ”،

“บ่าวของอัลลออ์ จงแสวงหายา เพราะอัลลอฮ์ผู้ทรงฤทธานุภาพไม่ได้สร้างโรคโดยไม่ได้ให้มียารักษา ยกเว้นโรคเดียว : ชราภาพ”

รวมถึงไม่อนุญาตให้สิ้นหวังในความช่วยเหลือของอัลลอฮ์หรือสิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์ หากทว่าความหวังในการรักษาโรคให้หายควรคงอยู่  ดังนั้น ศาสนาอิสลามจึงปฏิเสธสิ่งที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่เรียกร้องให้ปล่อยให้โรคแพร่กระจายก่อน ซึ่งจะทำลายผู้ที่สมควรเสียชีวิต ทั้งผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เพราะถือเป็นความล้มเหลวในการปฏิบัติต่อสิ่งจำเป็นตามหลักการรักษาโรค

4. รัฐบาลอาจกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับเสรีภาพส่วนบุคคลในลักษณะที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการป้องกันการเข้าและออกจากเมือง เคอร์ฟิว กักกันพื้นที่ใกล้เคียง หรือการห้ามเดินทาง และอื่นๆ ที่จะช่วยยับยั้งไวรัส และป้องกันการแพร่ระบาด เพราะเป็นไปตามหลัก “การกระทำของผู้นำประเทศต้องรับผิดชอบต่อสังคม” เป็นไปตามกฎชารีอะฮ์ที่ระบุว่า

“تصرف الإمام على الرعية منوط بالمصلحة”

“การปฏิบัติของผู้นำต่อประชาชนเป็นไปตามอรรถประโยชน์”

5. ความสะอาดในศาสนาอิสลามเป็นศาสนกิจและการทำดีต่ออัลลอฮ์ประการหนึ่ง  ดังหลักฐานในเรื่องนี้ที่มีมากมาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลทั่วไปและข้อควรระวังเฉพาะสำหรับโรคระบาดนี้ อันได้แก่ การล้างมือด้วยสบู่และน้ำ การสวมใส่ หน้ากากอนามัย ถุงมือ และการปฏิบัติตามคำสั่งด้านสุขภาพที่ออกโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นหน้าที่ตามกฎหมายในการป้องกันไวรัส และอนุญาตให้ใช้เครื่องฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อฆ่าเชื้อที่มือและพื้นผิว ที่จับ ฯลฯ ได้ เนื่องจาก “แอลกอฮอล์ดังกล่าวไม่ใช่นะจิส-สิ่งสกปรก-ตามหลักการอิสลาม”

 6. การคัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสถือเป็นการปฏิบัติที่จำเป็นตามหลักการอิสลาม ดังที่ทราบกันทั่วไป และสำหรับบุคคลที่ต้องสงสัยว่าเป็นพาหะของไวรัสหรือแสดงอาการของโรคในระหว่างกักตัวอยู่บ้าน ต้องปฏิบัติตามที่เรียกว่า social distancing  ต่อครอบครัวและคนทั่วไปผู้ที่มาติดต่อสัมพันธ์กับเขา รวมทั้งไม่อนุญาตให้ผู้มีอาการ บิดบังอาการของโรคต่อหน่วยงานทางการแพทย์ที่มีอำนาจ ตลอดจนผู้ที่ติดต่อกับเขา  นอกจากนี้ยังจำเป็นสำหรับทุกคนที่รู้จักผู้ติดเชื้อที่ไม่ระมัดระวังเกี่ยวกับโรค ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ เพราะสิ่งนี้นำไปสู่การแพร่กระจายของโรคนี้และการขยายตัวของภัยอันตราย

7. แพทย์และผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า การชุมนุมทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงเหตุผลและหลีกเลี่ยงการชุมนุมในทุกรูปแบบ

อัลลอฮ์กล่าวว่า

يا أيها الذين آمَنُوا خُذوا حِذْرَكُم

“ท่านผู้ศรัทธาทั้งหลายพึงระวังตัว” (อันนิสา : 71)

และรวมถึงการอนุญาตให้ปิดมัสยิดไม่ให้ละหมาดวันศุกร์ การละหมาดจามาอะฮ์ ละหมาดตะรอวิฮ์ การละหมาดอีด  ระงับการประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ การระงับกิจการ การหยุดงาน  การขนส่ง เคอร์ฟิว ปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัย การใช้การศึกษาทางไกล และการปิดสถานที่ชุมนุมต่างๆ รวมถึงการปิดรูปแบบอื่น ๆ

8. เมื่อมัสยิด ที่ประชุมและกลุ่มต่างๆแล้ว  จำเป็นต้องรักษาการอะซาน เพราะเป็นหนึ่งในพิธีกรรมของศาสนาอิสลาม และมุอัซซินกล่าวในการเรียกร้องให้ละหมาด:

“صلوا في رحالكم أو في بيوتكم”

“ละหมาดในที่พักหรือในบ้านของพวกท่าน”

ตามหะดีษที่ท่านอิบนุอุมาร์และอิบนุอับบาส รายงานจากท่านศาสดามูฮัมหมัด ศอลฯ และอนุญาตให้ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ละหมาดจามาอะฮ์ได้ หากพวกเขาต้องการ โดยไม่เชิญเพื่อนบ้าน

 9. เมื่อมัสยิดปิดทำการ ผู้คนจะละหมาดซุห์รี่ที่บ้าน แทนการละหมาดวันศุกร์ ไม่อนุญาตให้ละหมาดวันศุกร์ที่บ้าน เพราะการละหมาดวันศุกร์ที่บ้านไม่สามารถทดแทนการละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดได้ นอกจากนี้ หน่วยงานผู้มีอำนาจอาจจัดให้มีการกล่าวคุตบะฮ์และละหมาดวันศุกร์ในมัสยิด  ตามเงื่อนไขสุขภาพเชิงป้องกันและเงื่อนไขทางหลักฟิกฮ์  และมีการเผยแพร่ทางโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต และวิทยุ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้น แต่ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติละหมาดวันศุกร์ที่บ้านตามอิหม่ามที่มัสยิด เนื่องจากมีระยะห่างระหว่างพวกเขา

 10. อนุญาตให้คนทำงานในสาขาสุขภาพและความมั่นคงและอื่นๆที่คล้ายกัน ในสภาวะการระบาดใหญ่นี้ ใช้ข้อผ่อนปรนด้วยการใช้วิธีการละหมาดรวม ทั้งรวมล่วงหน้าหรือรวมร่นไปภายหลัง โดยการเปรียบเทียบกับการเดินทาง  ด้วยเหตุผลความยากลำบากและความจำเป็น หรือการรวมในเชิงกายภาพ ตามทัศนะของฝ่ายที่เห็นว่าไม่อนุญาตการละหมาดรวม


 อ่านต้นฉบับ

https://www.oic-oci.org/topic/?t_id=23343&t_ref=13985&lan=ar

โดย Ghazali Benmad

ความรักที่มีต่อท่านนบีมูฮัมมัด

เราไม่ต้องการความรักต่อนบี เหมือนความรักของอะบูฏอลิบ รักและชื่นชมนบี แต่ไม่ตามนบี จนเสียชีวิตในสภาพปฏิเสธอิสลาม

เราไม่ต้องการละหมาดของอับดุลลอฮ์บินอุบัยย์ ที่ละหมาดตามหลังนบี แต่หัวใจร้อนรุ่มด้วยความเกลียดชังนบี

เราไม่ต้องความสัมพันธ์ทางเครือญาติของอะบูละฮับพร้อมภรรยากับนบี ที่ทั้งสองได้ประกาศเป็นศัตรูกับนบีจนถึงวาระสุดท้าย

แต่เราต้องการจุดยืนของอับดุลลอฮ์บินอับดุลลอฮ์บินอุบัยย์ อิกริมะฮ์บินอะบูญะฮัล คอลิดบินวะลีด อุมัรบินค็อฏฏอบ และเศาะฮาบะฮ์ท่านอื่นๆ ที่เปิดตำราหน้าหนึ่งของชีวิตด้วยความเคียดแค้นและเกลียดชังอิสลาม แต่หลังจากทบทวนและคลุกคลี พวกเขามีบทสรุปท้ายบทอันสวยงามและสูงส่ง ด้วยการศรัทธาต่อนบีและโลดแล่นเป็นหนึ่งในพลทหารผู้ปกป้องและเผยแพร่อิสลาม


โดย Mazlan Muhammad

การสร้างจิตสำนึกต่อสังคม

قال رجلٌ: يا رَسولَ اللهِ، إنَّ فُلانةَ يُذكَرُ مِن كَثرةِ صَلاتِها وصَدقَتِها وصيامِها، غيرَ أنَّها تُؤذي جيرانَها بِلِسانِها؟ قال: هيَ في النَّارِ، قال: يا رَسولَ اللهِ، فإنَّ فُلانةَ يُذكَرُ مِن قِلَّةِ صيامِها وصَدقَتِها وصَلاتِها، وإنَّها تَتَصدَّقُ بالأَثوارِ مِن الأَقِطِ، وَلا تُؤذي جيرانَها بِلسانِها؟ قال: هيَ في الجنَّةِ.

الراوي : أبو هريرة | المحدث : الألباني | المصدر : صحيح الترغيب

الصفحة أو الرقم: 2560 | خلاصة حكم المحدث : صحيح |

ความว่า :

ชายคนหนึ่งถามเราะซูลุลลอฮ์ว่า สตรีนางหนึ่งได้รับการกล่าวขานว่านางละหมาด ถือศีลอดและบริจาคทานเป็นจำนวนมาก เพียงแต่นางชอบทำร้ายเพื่อนบ้านของนางด้วยวาจา นบีจึงตอบว่า นางอยู่ในนรก ชายคนนั้นถามเราะซูลุลลอฮ์อีกว่า สตรีอีกนางหนึ่งได้รับการกล่าวขานว่านางละหมาด ถือศีลอดและบริจาคทานเป็นจำนวนน้อยนิด แต่นางไม่เคยทำร้ายเพื่อนบ้านของนางด้วยวาจาเลย นบีจึงตอบว่า นางอยู่ในสวรรค์

ข้อคิดจากหะดีษ

          1.       อันตรายของการสร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่นด้วยวาจา

          2.       การที่คนๆหนึ่งชอบละหมาด ถือศีลอดและบริจาคทานเป็นสรณะ ไม่สามารถการันตีได้ว่า คนๆนั้นมีมารยาทดีเสมอไป โดยเฉพาะเรื่องการใช้วาจา ตราบใดที่เขาไม่สามารถซึมซับและประยุกต์ใช้ปรัชญาความดีเหล่านั้นในภาคปฏิบัติ

          3.       ภาพรวมของสตรีต่อการใช้ลิ้นและการปฏิบัติต่อเพื่อนบ้าน

          4.       การรู้จักรักษาความดีงาม มิให้ถูกทำลายด้วยพฤติกรรมเชิงลบของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่ง การทำความดีเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการรู้จักทะนุถนอมความดีมิให้สูญเปล่า

          5.       ความสัมพันธ์ระหว่างการทำอิบาดะฮ์ส่วนตัวกับจิตสาธารณะ

          6.       ความสำคัญของการปลูกฝังจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม การไม่สร้างความเดือดร้อนแก่สังคมรอบข้าง ซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการละหมาดสุนัต การถือศีลอดสุนัต และการบริจาคทานสุนัตด้วยซ้ำ

          7.       ความสมบูรณ์ของอิสลามระหว่างความดีในระดับปัจเจกบุคคล กับผลกระทบระดับสาธารณะ

          8.       อิสลามปฏิเสธการสร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่ม ต้นเหตุหรือการตอบโต้


โดย Mazlan Muhammad

อัลลอฮฺจะเมินเฉยและละเลยกับการกระทำอันต่ำตมเช่นนี้หรือ

رواه ابن ماجه من حديث البراء مرفوعاً : لزوال الدنيا أهون عند الله من قتل مؤمن بغير حق. والنسائي من حديث عبد الله بن عمرو رفعه مثله لكن قال: من قتل رجل مسلم

ดูเพิ่มเติม :

‏https://www.islamweb.net/…/%D8%B1%D8%AA%D8%A8%D8%A9-%D8…

ความหมาย

“แน่แท้ การสูญหายโลกนี้ทั้งใบ ณ อัลลอฮ์แล้ว ยังมีฐานะด้อยยิ่งกว่าการสังหารผู้ศรัทธาคนเดียวโดยไม่ชอบธรรม”

บางรายงานระบุว่า “ยิ่งกว่าการสังหารชายมุสลิม”

บางรายงานเริ่มต้นด้วย “ แน่แท้การถล่มกะอฺบะฮ์ ทีละชิ้น ทีละก้อน…”

หะดีษเหล่านี้ เพื่อยืนยันถึงคุณค่าของชีวิตผู้ศรัทธา ณ อัลลอฮ์ ที่สูงส่งยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ แม้กระทั่งกะอฺบะฮ์ก็ตาม  จนกระทั่งสิ่งเหล่านี้แทบไม่มีราคาใดๆเลย เมื่อเทียบกับชีวิตของผู้ศรัทธาเพียงคนเดียว

ก่อนหน้านี้ ทั่วโลกชื่นชมรัฐบาลอิยิปต์ที่เป็นสื่อกลางยุติสงคราม 11 วันที่กาซ่า และส่งกองกำลังช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้แก่พี่น้อง จนมีข่าวว่าอิยิปต์เตรียมทุ่มงบหลายร้อยล้านดอลล่าร์เพื่อบูรณะซ่อมแซมความสูญเสียจากสงครามครั้งนี้

แต่ช่วงนี้กลับมีข่าวว่า ศาลอิยิปต์ตัดสินประหารชิวิตแกนนำประท้วงอิยิปต์ 12 คน โดยมีผลบังคับใช้ทันทีเมื่อนายซีซีย์ลงนามรับรองคำคัดสินนี้

ทั่วโลกและเสรีชนต่างเฝ้ารอการตัดสินสุดท้ายครั้งนี้อย่างเต้นระทึก

แต่สำหรับผู้ศรัทธา หะดีษข้างต้นจะระทึกยิ่งกว่า

ต่อให้นายซีซีย์ร่วมพัฒนา สร้างความเจริญให้แก่โลกนี้ทั้งใบ หรือสร้างมัสยิดทั่วทวีปและแว่นแคว้น แต่เขาไปตั้งใจสังหารชีวิตมุสลิมโดยอธรรมเพียงคนเดียว ความดีงามของเขาไม่มีค่าใดๆ ณ อัลลอฮ์ เหยื่ออธรรมของเขา จะกอดแน่นตัวเขาในขณะเลือดสาดพร้อมร้องเรียนต่อหน้าอัลลอฮ์ว่า ข้าแต่พระองค์ ถามเขาด้วยว่า เขาสังหารฉัน เพราะเหตุผลอันใด

แล้วหากเหยื่อสังหารของเขาคือผู้ศรัทธา ดาอีย์ผู้เขิญชวนผู้คนสู่ความสวยงามของอิสลาม บุคคลผู้ที่ริมฝีปากของเขาพร่ำซิกิร์และอ่านพจนารถของอัลลอฮ์ ใบหน้าที่ถูกชโลมด้วยน้ำละหมาดอยู่เป็นนิจ หน้าผากที่ก้มสุญูดต่ออัลลอฮ์ และหัวใจที่น้อมรำลึกถึงพระองค์เป็นสรณะ

ถามว่า พระองค์จะเมินเฉยและละเลยกับการกระทำอันต่ำตมเช่นนี้หรือ


โดย Mazlan Muhammad

เส้นทางสองเส้น

ผิดแล้วเตาบัตที่มีองค์ประกอบทั้ง 3 ประการคือตัดใจ เสียใจและตั้งใจไม่หวนทำอีก อันนี้คือปกติวิสัยของศรัทธาชน แม้กระทั่งนบีอาดัม ก็เคยประสบกับตนเองมาแล้ว ท่านและภรรยา จึงกล่าวประโยคทองที่เป็นอุทาหรณ์แก่ลูกหลานกล่าวเป็นแบบอย่าง ซึ่งถูกจารึกในอัลกุรอาน ว่า

 قَالَا رَبّنَا ظَلَمْنَا أَنْفُسنَا وَإِنْ لَمْ تَغْفِر لَنَا وَتَرْحَمنَا لَنَكُونَنَّ مِنْ الْخَاسِرِينَ

-الأعراف/٢٣

ทั้งนบีอาดัมและนางฮาวา จึงกลับไปสู่สวรรค์อันสุขสถาพรนิรันดร์กาล

แต่หากกระทำผิดด้วยความดื้อดึง ขัดขืน ไม่เชื่อฟัง แถมภูมิใจกับการกระทำของตน ไม่สำนึกผิด กล่าวโทษคนอื่น แค้นเคือง ไฟสุมอก มองโลกในแง่ร้าย หมดหวังในความเมตตาของอัลลอฮ์ พร้อมเผยแพร่ความผิดของตนไปยังผู้อื่น อันนี้คือมรดกบาปของอิบลีสที่ถูกสาปแช่งและโดนขับไล่ไสส่งออกจากสวรรค์พร้อมๆกับความโกรธกริ้วของพระองค์มาแล้ว

อิบลีสและพลพรรค จึงถูกทรมานในนรกชั่วกัลป์

จะนำบทเรียนของนบีอาดัมและนางฮาวา

หรือจะสานต่อมรดกบาปของอิบลีสที่ถูกสาปแช่ง

#เลือกเอาเองครับ


โดย Mazlan Muhammad

บุคคล 3 ประเภทที่เข้านรกก่อนเพื่อน

เราควรให้ความสำคัญกับการทำงานของหัวใจมากกว่าอวัยวะภายนอก

การทำงานของหัวใจ ณ ที่นี้หมายถึงการรักษาความรู้สึกให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น มีความบริสุทธิ์ใจ ไม่โอ้อวด หรือต้องการเสียงชื่นชมเยินยอ

การทำงานของคนๆหนึ่งที่ปราศจากความบริสุทธิ์ใจ นอกจากไม่มีคุณค่าใดๆ ณ อัลลอฮฺแล้ว ยังเป็นสาเหตุของการทรมานในนรกอีกด้วย ถึงแม้เขาจะฝากผลงานที่ยิ่งใหญ่สักปานใดก็ตาม

พี่น้องลองศึกษาหะดีษนี้ดูครับ

(คณะบุคคลชุดแรกที่เข้านรก (นะอูซุบิลลิฮฺมินซาลิก

นักกอรีอ่านอัลกุรอาน –

 ผู้บริจาคทาน –

ผู้เสียชีวิตเนื่องจากต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ –

إن الله إذا كان يوم القيامة ينزل إلى العباد ليقضي بينهم , وكل أمة جاثية , فأول من يدعو به رجل جمع القرآن , ورجل قتل في سبيل الله , ورجل كثير المال,فيقول الله للقارىء : ألم أعلمك ما أنزلت على رسولي قال : بلى يا رب قال : فماذا عملت فيما علمت ؟ قال : كنت أقوم به آناء الليل وآناء النهار , فيقول الله له : كذبت , وتقول له الملائكة : كذبت , ويقول الله له : بل أردت أن يقال فلان قارىء , فقد قيل ذلك . ويؤتى بصاحب المال فيقول الله له : ألم أوسع عليك حتى لم أدعك تحتاج إلى أحد ؟ قال : بلى يا رب , قال : فماذا عملت فيما آتيتك ؟ قال : كنت أصل الرحم , وأتصدق , فيقول الله له : كذبت , وتقول الملائكة : كذبت , ويقول الله : بل أردت أن يقال : فلان جواد , فقد قيل ذلك , ويؤتى بالذي قتل في سبيل الله فيقول الله : فيماذا قتلت ؟ فيقول : أمرت بالجهاد في سبيلك فقاتلت حتى قتلت , فيقول الله له : كذبت , وتقول الملائكة : كذبت , ويقول الله : بل أردت أن يقال فلان جريء , فقد قيل ذلك . يا أبا هريرة أولئك الثلاثة أول خلق الله تسعر بهم النار يوم القيامة .

الراوي: أبو هريرة المحدث: الألباني  – المصدر: صحيح الجامع – الصفحة أو الرقم: 1713

خلاصة حكم المحدث: صحيح

เมื่อถึงวันกิยามะฮฺ อัลลอฮฺจะลงมายังมวลมนุษย์เพื่อตัดสินความ และกลุ่มชนทุกชาติอยู่ในสภาพคุกเข่า คนแรกที่ถูกเรียกคือ1) คนที่รวบรวมศึกษาอัลกุรอาน 2) คนที่ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ 3) คนที่มีทรัพย์สินมากมาย อัลลอฮฺกล่าวแก่คนอ่านอัลกุรอานว่า ข้าได้สอนเจ้าเกี่ยวกับอัลกุรอานที่ข้าได้ประทานแก่เราะซูลของข้าใช่ไหม ชายคนนั้นตอบว่าใช่ อัลลอฮฺถามต่อว่า แล้วเจ้าปฏิบัติตามที่เจ้าได้เรียนรู้อย่างไรบ้าง ชายคนนั้นตอบว่า ฉันอ่านอัลกุรอานในละหมาดทั้งกลางวันและกลางคืน อัลลอฮฺกล่าวว่า เจ้าโกหก มะลาอิกะฮฺก็กล่าวแก่ชายคนนั้นเช่นกันว่า เจ้าโกหก อัลลอฮฺกล่าวว่าความจริงแล้วเจ้าอยากให้คนอื่นชื่นชมเจ้าว่าเป็นบุคคลที่อ่านอัลกุรอานได้ไพเราะดี และเจ้าก็ถูกกล่าวแล้ว  จากนั้นชายที่มีทรัพย์สินมากมายก็ถูกเรียก อัลลอฮฺถามเขาว่า ข้าได้ทำให้เจ้าอยู่กินอย่างสบายและเจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้นใช่หรือไม่ ชายคนนั้นตอบว่าใช่ อัลลอฮฺถามว่าแล้วเจ้าไปทำอะไรกับทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ชายคนนั้นตอบว่าฉันได้สานสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติและบริจาคทาน อัลลอฮฺกล่าวว่า เจ้าโกหก บรรดามะลาอิกะฮฺก็กล่าวว่า เจ้าโกหก อัลลอฮฺกล่าวว่าความจริงแล้วเจ้าประสงค์ให้คนอื่นชื่นชมเจ้าว่าเป็นคนใจบุญ ชอบทำกุศลทาน และเจ้าได้ถูกเรียกเช่นนั้นแล้ว  จากนั้นชายที่เสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺก็ถูกเรียก และอัลลอฮฺถามเขาว่าเจ้าเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร ชายคนนั้นตอบว่า ฉันได้รับคำสั่งให้ต่อสู้ในหนทางของพระองค์ ฉันจึงได้ต่อสู้จนกระทั่งฉันถูกฆ่าเสียชีวิต อัลลอฮฺกล่าวว่า เจ้าโกหก บรรดามะลาอิกะฮฺกล่าวว่า เจ้าโกหก อัลลอฮฺกล่าวว่า ความจริงแล้วเจ้าประสงค์ให้ผู้คนกล่าวชื่นชมเจ้าว่าเป็นคนกล้าหาญ และเจ้าถูกเรียกเช่นนั้นแล้ว (นบีกล่าวว่า)โอ้อะบูฮูร็อยเราะฮฺ บุคคลสามประเภทนี้คือกลุ่มคนชุดแรกที่ถูกไฟนรกเผาผลาญในวันกิยามะฮฺ


โดย Mazlan Muhammad

ชัยคุลอิสลามแห่งตูนีเซีย

ท่านคือชัยคุลอิสลามแห่งตูนีเซีย เป็นทั้งอิมามใหญ่ยามิอฺซัยตูนะฮ์ มุฟตีและกอฎีชัรอีย์ (ผู้พิพากษาสูงสุดแห่งกฎหมายอิสลาม) ผู้มีนามว่า มูฮัมมัด ฏอฮิร บินอาชูร (มีชีวิตระหว่างปีค.ศ. 1879-1973) สายตระกูลของท่านเป็นชาวอพยพมาจากอันดาลูเซีย นอกจากนี้ท่านยังดำรงตำแหน่งคณบดีคณะนิติศาสตร์อิสลามและอุศูลุดดีนของมหาวิทยาลัยซัยตูนะฮ์  มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอิสลาม

ช่วงนั้นรัฐบาลตูนิเซียโดยประธานาธิบดีบูรฆีบาห์ รณรงค์ให้สตรีตูนีเซียถอดฮิญาบ โดยครั้งหนึ่งนายบูรฆีบาห์ ได้ลงจากรถ แล้วไปถอดฮิญาบของสตรีนางหนึ่งในใจกลางเมืองตูนิเซีย พร้อมกล่าวว่า ยุคมืดได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ทำให้ชัยคุลอิสลามมูฮัมมัดฏอฮิร บินอาชูร อ่านคุตบะฮ์สั้นๆด้วยประโยคว่า “สตรีมุสลิมะฮ์นางหนึ่งได้มาร้องเรียนยังข้าพเจ้า” ท่านทวนประโยคนี้ 2 ครั้งแล้วนั่งลง และลุกใหม่ พร้อมกล่าวว่า “ละหมาดของท่านไม่สร้างความดีงามใดๆ ตราบใดที่ภรรยาและลูกสาวของท่านเปลือยกาย(ไม่ใส่ฮิญาบ)” จงละหมาดเถิด

นายบูรฆีบาห์ได้รณรงค์ไม่ให้ชาวตูนิเซียถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งเขาถือว่า การถือศีลอดเป็นเหตุให้เศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่ ทำให้ผู้คนเกียจคร้านทำงาน เขาจึงดื่มน้ำและสูบซิการ์ในรัฐสภาช่วงเดือนรอมฎอน เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนไม่ถือศีลอด

เท่านั้นยังไม่พอ เขาได้ไปหาชัยคุลอิสลามอิบนุอาชูร์ ในฐานะมุฟตีและบุคคลสัญลักษณ์ทางศาสนา ผู้มีบทบาทสูงในขณะนั้น พร้อมขอร้องให้ออกคำฟัตวาเรื่องการถือศีลอดให้เป็นไปตามนโยบายอันชั่วร้ายของเขา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับด้วยดีจากท่านมุฟตี โดยมีเงื่อนไขว่า รัฐบาลจะต้องเชิญชวนผู้คนมารวมตัวกันเพื่อฟังคำฟัตวานี้

เมื่อถึงเวลาที่กำหนด รัฐบาลได้เกณฑ์ผู้คนจำนวนมากมาย เพื่อฟังคำชี้ขาดทางศาสนาที่มีความสำคัญนี้ หลังจากที่นายบูรฆีบาห์ให้โอวาทเสร็จ ชัยคุลอิสลามจึงถูกเชิญให้คำฟัตวา ชัยค์จึงพูดว่า

โอ้ชาวมุสลิมทั้งหลาย แท้จริงการทานอาหารในกลางวันรอมฎอน โดยไม่ใช่เป็นการผ่อนปรนทางศาสนา ถือเป็นบาปใหญ่ เพราะการถือศีลอดเป็นหลักปฏิบัติตามศาสนบัญญัติที่สำคัญประการหนึ่งในอิสลาม ผู้ใดที่ปฏิเสธหลักศาสนบัญญัติข้อนี้ ผู้นั้นย่อมเป็นคนตกศาสนาโดยปริยาย พร้อมอ่านอายัตกุรอาน

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا كُتِبَ عَلَيْكُمُ الصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِن قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ (البقرة/١٨٣)

อัลลอฮ์ตรัสจริงเสมอ

บูรฆีบาห์ต่างหากคือจอมโกหก

บูรฆีบาห์ต่างหากคือจอมโกหก

บูรฆีบาห์ต่างหากคือจอมโกหก

นายบูรฆีบาห์หน้าแตกยับเยินชนิดหมอไม่รับเย็บ

หลังจากนั้นท่านจึงถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งที่ท่านดำรงอยู่ รวมทั้งรัฐบาลยังได้สั่งปิดมหาวิทยาลัยซัยตูนะฮ์เป็นเวลาหลายปี

เกือบ 50 ปีแล้วที่ท่านเสียชีวิต แต่ชาวตูนิเซียก็ยังคงกล่าวดูอาให้กับท่านด้วยดีมาโดยตลอด ชีวประวัติของท่านถูกกล่าวขานอย่างสง่างามต่อไป

แต่สำหรับนายบูรฆีบาห์ ทาสผู้ซื่อสัตย์ของกรุงปารีส ถึงแม้เขาจะเถลิงอำนาจอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีตูนิเซียนานถึง 30 ปี และเพิ่งปิดฉากตำนานแห่งความชั่วร้ายในปี 2000 ที่ผ่านมา ในประเทศตูนีเซียปัจจุบัน เชื่อว่าไม่มีใครคนไหนที่สดุดีและชื่นชมเขา นอกจากชาวเซคิวล่าร์ สาวกแห่งกรุงปารีส ผู้ชิงชังต่ออิสลามและประชาชาติมุสลิมเท่านั้น


โดย Mazlan Muhammad

ว่าด้วยการสร้างภาพและเล่นการเมือง [ตอนที่ 3]

นี่คือผลสรุปของกลุ่มมนุษย์ประเภทหนึ่งที่มีต่อผลงานของเขาที่ได้ทุ่มเทมากว่า40ปี

-เขาคือจอมหลอกลวง

-ในกระเป๋าถือของเขา เต็มด้วยเงินนับล้านที่คอยแจกให้ชาวบ้านคนเอาวามที่เป็นเหยื่อ

-เขาคือนักฉวยโอกาสตัวยง หาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง นักสร้างภาพ ฯลฯ

-เขาคือจอมฟิตนะฮ์ หน้าไหว้หลังหลอก หน้าซื่อใจคด ( ประโยคหลังนี้ได้ยินมากับหูเลยครับ)

-เขาคือเด็กสร้างของยิว สุนัขรับใช้ ผู้ขัดขวางอุดมการณ์

-เขาคือผู้สร้างความแตกแยก ผู้เกลียดชังและทำลายภาพลักษณ์อุละมาอฺรุ่นก่อน

– ที่อาบน้ำละหมาด(กอเลาะฮ์) ในปอเนาะ เขามีคาถาพิเศษ หากใครคนไหนที่อาบน้ำละหมาดที่นั่น เขาจะเป็นคนเหมือนโดนเวทย์มนต์ที่คอยสะกดให้เชื่อ

ฟังเขาพูดอย่างว่านอนสอนง่ายทันที

-ห้ามฟังคำสอนของเขา ไม่ว่าฟังสด จากเทปคาสเส็ท วิทยุหรือสื่อต่างๆ เพราะหากฟังแม้ครั้งเดียว จะติดใจเหมือนคนเสพติด

-เขาคือวะฮ์ฮาบีตัวพ่อที่มีอะกีดะฮ์ผิดเพี้ยน ลุ่มหลง และเป็นหมานรก

نعوذ بالله من ذلك

اللهم اهد قومنا فإنهم لا يعلمون

ลองหายใจลึกๆแล้วมองบนท้องฟ้า

มองรอบๆตัวเอง แล้วคิดว่า

หากเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ แสดงว่า

– เขาคงมีคดีฉ้อโกงมากมายที่มีคนฟ้องร้องทั่วประเทศ

– ต่างชาติโดยเฉพาะประเทศอ่าวอาหรับคงไม่โง่พอที่จะสนับสนุนคนฉ้อโกงมโหฬารแบบนี้มาอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปีแล้ว

– 40 กว่าปีที่อาสากลับทำงานในบ้านเกิดเมืองนอน เขาสามารถกอบโกยสะสมเงินทองกี่ร้อยล้าน มีเงินฝากในธนาคารกี่สิบล้าน มีที่ดินจัดสรรรอบๆมหาวิทยาลัยและที่อื่นๆกี่ร้อยไร่

– กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดิเอสไอ) เคยรับเรื่องสอบสวนเขากี่คดีแล้ว

– เราเคยมีผู้หลอกลวง อะกีดะฮ์เพี้ยนคนไหนบ้างในประเทศนี้และในโลกนี้ที่มีผลงานเช่นเขา

ทำไมเราไม่เคยมองคุณูปการอันอเนกอนันต์ที่เขาสร้างมาตลอดระยะเวลาดังกล่าว อาทิ

– มัสยิดนับร้อยทั่วประเทศที่เขาช่วยประสานติดต่อและให้การรับรอง ที่บางคนมองว่าเป็นแหล่งสร้างฟิตนะฮ์และความแตกแยก แต่สำหรับอิสลามถือว่า ผู้ใดสร้างมัสยิด 1 หลัง เขาจะได้รับผลบุญเทียบเท่ากับสร้างบ้านในสวรรค์ทีเดียว

– เขาให้ใบรับรองแก่เยาวชนจำนวนนับพันๆคนเพื่อศึกษาต่อในระดับต่างๆทั้งในและต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยหลายสิบแห่งทั่วโลกก็ยังคงต้องการใบรับรองจากเขา (หากเขาเก็บค่าธรรมเนียมใบรับรองคนละ 100-200 เชื่อว่าน่าจะสามารถสร้างบ้านหลังเล็กๆให้ลูกหลานได้หลังหนึ่ง)

– เขาคือสะพานเชื่อมให้องค์กรระหว่างประเทศโดยเฉพาะองค์กรสาธารณกุศลจากประเทศอาหรับมาให้ความช่วยเหลือและพัฒนาสังคมด้วยโครงการต่างๆนับพันโครงการ

– สร้างมหาวิทยาลัยด้วยงบประมาณ 0 บาทจนกลายเป็นพันๆล้านบาทจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการประเมินฯในทุกขั้นตอน

– เขาสร้างภาพได้อย่างไรให้นักธุรกิจจากมาเลเซีย อินโดนีเซียและอื่นๆสนใจร่วมลงทุนในโครงการมะดีนะตุสสลาม

– นี่คือผลงานของชาวนรก ผู้มีอะกีดะฮ์ผิดเพี้ยนลุ่มหลงกระนั้นหรือ

แต่มีมนุษย์แมลงวันบางประเภท คอยตอกย้ำความผิดพลาดของมือขวาของเขาที่ครั้งหนึ่ง ไปสัมผัสนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศ เพื่อประกาศให้สังคมจดจำว่านี่คือบาปอันใหญ่หลวงที่เขาได้กระทำที่ต้องกระชากให้เข้านรกให้จงได้

ไม่รู้ว่าใช้จิตใจส่วนไหนไปจินตนาการ และสมองซีกไหนไปคิด

โดยปิดตาและมองข้ามสองมือของเขา ที่ยกมือขอดุอาให้อัลลอฮ์ยกโทษยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและช่วงเวลาและโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาอันประเสริฐสุดขณะเข้าในอาคารกะอฺบะฮ์ในเดือนรอมฎอน

ด้วยมือขวาอันเดียวกัน เขาเคยสัมผัสบุคคลระดับองค์ประมุขของประเทศ ผู้นำ อุละมาอฺ นักวิชาการระดับโลกมากมายนับไม่ถ้วน

ด้วยมือขวาอันเดียวกัน ที่เขาจรดปากกาเขียนตำรา หนังสือ บทความทางวิชาการในหัวข้อต่างๆมากกว่า 150 ชื่อเรื่อง หนึ่งในนี้คืออัซการ์เช้าเย็น ที่เขาเขียนเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ที่คนเรียนศาสนาบางคนในยุคนั้นแทบไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร นับประสาอะไรกับคนเอาวาม

ด้วยมือขวาอันเดียวกัน ที่เขาเริ่มเขียนตำราเรียนระดับตาดีกาและอิบติดาอีย์สมัยที่เขามีอายุเพียง 17 ปี และยังคงใช้เป็นตำราเรียนในหลายโรงเรียนจวบจนปัจจุบัน ซึ่งอาจมีบางคนที่กำลังด่าทอเขาขณะนี้ อาจเคยร่ำเรียนจากตำราที่เขาเขียนมาก็ได้

ด้วยมือขวาเดียวกัน เขาเคยลูบสัมผัสเด็กกำพร้า คนยากจน เยาวชนและผู้คนจากทั่วสารทิศ

ด้วยสองมือนี้ เขาคือส่วนหนึ่งในจำนวนผู้พลิกแดนระเบียงมักกะฮ์ที่แห้งเหือดที่แม้กระทั่ง ในยุคหนึ่ง สังคมที่นี่มองว่า การสอนตัฟซีร สอนหะดีษคือความลุ่มหลง การใส่ฮิญาบดำของมุสลิมะฮ์คืออาภรณ์ของชาวนรก จนเกิดกระแสผีขนุนที่สร้างความหวาดกลัวในสังคมยุคนั้น การเอี้ยะติก้าฟทำให้มัสยิดสกปรกด้วยน้ำลายและมัสยิดไม่ใช่เป็นที่ซุกหัวนอน ให้กลายเป็นดินแดนที่กระชุ่มกระชวยด้วยทางนำและการปฏิบัติสุนนะฮ์นบีอย่างกว้างขวาง

ด้วยสองมือนี้ เขาได้มีส่วนพัฒนาสังคมโดยเฉพาะด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่แม้แต่นักการเมืองระดับชาติบางคนก็ยังไม่สามารถทำดีได้เท่า

بعد التوفيق والكرم والمنة من الله تعالى

เราไม่เคยยกย่องเขาว่า เป็นผู้วิเศษวิโสที่สามารถหายตัวไปละหมาดวันศุกร์หน้ากะอฺบะฮ์ทุกอาทิตย์

เพราะเขาคือปุถุชนที่มีความอ่อนแอและความผิดพลาดมากมาย ที่เราหวังว่าอัลลอฮ์ยกโทษให้เขาและเราทั้งปวง

เพียงแต่เราอยากขอบคุณ ให้กำลังใจและร่วมคาราวานพร้อมกับเขาในการเดินหน้าร่วมพัฒนาสังคมตามกำลังความสามารถและโอกาส

เพราะอิสลามสอนว่า

“จะไม่ใช่เป็นผู้ขอบคุณอัลลอฮ์ สำหรับคนที่ไม่รู้จักขอบคุณเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”

คนที่กล่าวหา ใส่ร้ายและฟิตนะฮ์เขาในวันนี้

ลองถามตัวเองหน่อยไหมว่า

คุณสะสมความดีมากมายแค่ไหน ที่จะชดเชยให้เขาในวันกิยามะฮ์

ความผิดพลาดและบาปของเขาที่คุณเที่ยวตอกย้ำอย่างเป็นระบบและเทศกาล คุณพร้อมที่จะแบกรับมันใช่หรือไม่

#โปรดหายใจลึกๆ

#แล้วมองไปยังฟ้ากว้างอีกครั้ง

أعوذ بالله من الشيطان الرجيم

قُلْ هَٰذِهِ سَبِيلِي أَدْعُو إِلَى اللَّهِ ۚ عَلَىٰ بَصِيرَةٍ أَنَا وَمَنِ اتَّبَعَنِي ۖ وَسُبْحَانَ اللَّهِ وَمَا أَنَا مِنَ الْمُشْرِكِينَ (يوسف/١٠٨)


โดย Mazlan Muhammad

ว่าด้วยเรื่องการสร้างภาพและการเมือง [ตอนที่ 2]

นอกจากคนไทย 3 คนจากประเทศไทยในฐานะทีมช่างทำประตูกะอฺบะฮ์ ซึ่งนำโดยอ. อับดุลลอฮ์ นาคนาวาในฐานะล่าม ที่ได้รับโอกาสเข้ากะอฺบะฮ์เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว (ดู http://islamhouse.muslimthaipost.com/article/21931 และแอดมินมีโอกาสสัมภาษณ์ ตลอดจนพูดคุยกับอ. อับดุลลอฮ์ นาคนาวาเมื่อ 6-7 ปีแล้วที่รีสอร์ทของท่านก่อนถึงเขายายเที่ยง โคราช) แอดมินยังไม่ทราบว่ามีชาวไทยคนไหนบ้างที่ได้รับเกียรติเข้ากะอฺบะฮ์ในฐานะแขกพิเศษของกษัตริย์ผู้อุปถัมภ์มัสยิดหะเราะมัยน์อันทรงเกียรติ

หากกวาดสายตาไปยังลูกหลานฟาฏอนี แดนระเบียงมักกะฮ์ด้วยแล้ว ด้วยความรู้อันน้อยนิดของแอดมิน ยังไม่ทราบว่ามีลูกหลานชาวฟาฏอนี ระเบียงมักกะฮ์ คนไหนบ้างที่มีโอกาสสุดพิเศษนี้ (หากมี ช่วยส่งข้อมูลด้วยครับ)

แต่ที่แน่ๆ ชายวัยเฉียด 70 ปีคนหนึ่ง ซึ่งชาวดินแดนระเบียงมักกะฮ์ส่วนหนึ่งขับไล่ไส่ส่งเขา ด่าทอและสาปแช่งเขา ฟิตนะฮ์และใส่ร้ายเขาตลอดเวลา แม้กระทั่งเด็กอมมือและนักเลงคีย์บอร์ดยังริจาบจ้วงเขาทุกยามเมื่อชนิดไม่หยุดหย่อน

เขาเคยถูกตัดต่อภาพสีเป็นรูปพระใส่จีวรเหลือง แลัวใส่รูปของเขาที่โกนหัวแทน เพื่อสื่อว่า แท้จริงเขาตกมุรตัดแล้ว (เป็นเหตุการณ์เกิดเมื่อราว 20 ปีแล้วในตัวเมืองของจังหวัดแห่งหนึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ในช่วงรอมฎอน) พร้อมคำใส่ร้ายด้วยฉายาอื่นๆมากมาย

คนๆเดียวกันนี้ ได้รับเขิญจากกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย กษัตริย์คูเวต เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ รัฐบาลโอมาน รัฐบาลมอร็อคโกให้เดินทางละศีลอดร่วมกับแขกพิเศษ 40-50 คนทั่วโลก พร้อมได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติในนามแขกรัฐบาล

ที่สำคัญที่สุด เขาได้รับโอกาสเข้าในกะอฺบะฮ์และรับของขวัญผ้าชิ้นส่วนกะอฺบะฮ์จากผู้แทนกษัตริย์มาจำนวนมากกว่า 3 ครั้ง

(ผ้าชิ้นส่วนกะอฺบะฮ์ เป็นธุรกิจซื้อขายที่ได้รับความสนใจในหมู่ลูกหลานชาวระเบียงมักกะฮ์มาก โดยเฉพาะสายเปย์มือหนักๆ ถึงขั้นยอมควักจ่ายเงินเป็นแสนเพื่อได้ชิ้นส่วนผ้ากะอฺบะฮ์ ซึ่งไม่มีใครรับรองว่าเป็นของแท้ ดีไม่ดีกลายเป็นเม็ดอินชวาก็มีถมไป แต่พกกลับบ้านอย่างสบายอุรา)

เราไม่ทราบว่า เขาดุอาอะไรบ้างในอาคารกะอฺบะฮ์อันทรงเกียรตินั้น แต่เราแอบหวังว่า เราคือหนึ่งในดุอาของเขา เราพอใจแล้ว

ส่วนจะมีโอกาสเข้าในกะอฺบะฮ์เหมือนเขาบ้างนั้น แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ลำพังแค่จูบหินดำและดุอาใต้รางทอง ก็กลายเป็นตำนานที่เล่าขานให้ลูกหลานไม่รู้จบแล้ว

เขาสร้างภาพเลอเลิศแค่ไหน ที่ได้โอกาสสุดพิเศษเยี่ยงนี้

#ถามจริง


โดย Mazlan Muhammad

ว่าด้วยการสร้างภาพและเล่นการเมือง [ตอนที่ 1]

น่าจะเป็นตำราวิชาการเล่มแรกกระมังที่เป็นผลงานเขียนของชาวฟาฏอนีในยุคนี้ ที่ได้รับการตีพิมพ์จำนวน 7 ครั้งในรอบกว่า 30 ปีโดยสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงสำนักหนึ่ง ณ ดินแดนกิบลัตแห่งความรู้อย่างอิยิปต์

ตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกจนกระทั่งพิมพ์ครั้งล่าสุด ท่านยังคงใช้ชื่อที่พ่วงท้ายด้วยคำว่า فطاني ย้ำครับว่า فطاني ที่มี ط ไม่ใช่ ت ตามที่ทุกคนเข้าใจนั่นแหละครับ

ที่มาของตำราเล่มนี้คือวิทยานิพนธ์ป.เอก ที่คณะกรรมการสอบคือปรมาจารย์ชั้นยอดด้านกฎหมายอิสลามในซาอุดิอาระเบียในขณะนั้น ซึ่งมีมติเอกฉันท์ให้คะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 ประเภทดีเลิศ พร้อมได้รับการแนะนำให้พิมพ์เผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ประชาคมโลก ซึ่งในวงการวิชาการถือว่าเป็นการให้คุณค่าและเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงยิ่งแก่เจ้าของวิทยานิพนธ์

จนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์มาแล้ว 7 ครั้ง และถูกวางจำหน่ายไปยังร้านหนังสือทั่วโลกอาหรับและโลกอิสลาม รวมทั้งห้องสมุดมหาวิทยาลัยอิสลามชั้นนำกว่า 100 สถาบันการศึกษาทั่วโลก แม้กระทั่งบุคคลระดับดร. ยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวีย์ ยังใช้เป็นหนึ่งในหนังสืออ้างอิงในหนังสือของท่าน فقه الجهاد ที่ท่านได้ทุ่มเท ฝังตัวเองในบ้านและห้องสมุดเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้นานกว่า 5 ปี และที่สำคัญดร. อัลเกาะเราะฎอวีย์ได้ให้เกียรติด้วยการมอบหนังสือ فقه الجهاد อันทรงคุณค่านี้ให้กับนายฟาฏอนีคนนี้ด้วยมือของท่านเองเมื่อราว 7-8 ปีที่แล้ว พร้อมลงลายมือชื่อแทนความรักและการให้เกียรติที่มีต่อกัน

นี่คือเสี้ยวหนึ่งของการสร้างภาพและเล่นการเมืองของนายฟาฏอนีคนนี้ครับ

ปล.  เขาเริ่มสร้างภาพด้วยการใช้คำว่า “ฟาฎอนี” ที่ลงท้ายชื่อตัวเองเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว สมัยที่ใครบางคนยังอยู่ในโลกวิญญาณด้วยซ้ำ

جزاه الله كل خير  وبارك في جهوده وحفظه ورعاه وكثر أمثاله


โดย Mazlan Muhammad