100 ปี สนธิสัญญาโลซาน (ตอนที่ 1)

● เฉลียง ประวัติศาสตร์ : สนธิสัญญาโลซาน ข้อตกลงที่ก่อให้เกิดประเทศในตะวันออกกลางนั้นใกล้จะล่มสลายหรือไม่ ?

○ โดย อัลจาซีร่า

วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นโดยไม่หยุดยั้ง ความขัดแย้งทางความเชื่อและทางชาติพันธุ์ สงครามตัวแทนที่บีบบังคับให้คนย้ายถิ่นฐานเป็นจำนวนมากมายมหาศาล และการพลัดถิ่นของผู้พลัดถิ่นและผู้ลี้ภัยหลายสิบล้านคน พื้นที่บ่อเกิดการแบ่งแยกดินแดนและการก่อจลาจลในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่เท่ากับประเทศเช่นอังกฤษ ที่เกิดขึ้นในซีเรียตะวันออกเฉียงเหนือและอิรักตะวันตก

รถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ระเบิด การระเบิดพลีชีพ ที่ทำให้คนตายหลักสิบและหลักร้อยทุก ๆ สัปดาห์ และบางครั้งทุกวัน

การเดินขบวนประท้วง การวางเพลิงก่อความไม่สงบและการเผายางที่มีควันดำเพิ่มขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมท้องฟ้าของกรุงแบกแดดและเบรุต

นี่คือความเป็นจริงของภูมิภาคนี้ หลังจาก 100 ปีของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งตามมาด้วยการเจรจาและการตั้งถิ่นฐาน ที่นำไปสู่สนธิสัญญาโลซานน์ ครั้งที่ 2 ในปี 1923 ซึ่งรวมถึงข้อตกลง เซค-ปีโกต์ (Sykes-Picot) ระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ ในการกำหนดพรมแดนทางการเมืองของตะวันออกกลางสมัยใหม่ที่เรารู้ในวันนี้

วันนี้ใกล้ครบรอบ 100 ปี ของสนธิสัญญาโลซาน ครั้งที่ 2 ซึ่งได้ทำลายจักรวรรดิออตโตมัน ในวันนี้องค์ประกอบของภูมิภาคตะวันออกกลางได้พังพินาศ ตะวันออกกลางได้กลับคืนสู่สภาพคล้ายกับช่วงสนธิสัญญาโลซานน์ ในขณะที่ตุรกีได้กลับคืนสู่ภูมิภาคต่างๆ ที่ต้องถอนตัวออกไปภายหลังการลงนามในสนธิสัญญาโลซาน พร้อมด้วยกองกำลังทหารในสนามรบ ผ่านทางการปฏิบัติการทางทหารหรือข้อตกลงว่าด้วยการใช้กำลังทหาร ดังที่กระทำในลิเบียเมื่อเร็ว ๆ นี้ตามข้อตกลงกับรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติในตริโปลี ที่นำโดยฟายิซ สัรรอจ

และก่อนหน้านั้นในซีเรียผ่านปฏิบัติการ “โล่ห์ยูเฟรติส” ในปี 2560 และ “กิ่งมะกอก” ในปี 2561 และ “ต้นน้ำสันติภาพ” ในปี 2562 ตามด้วยปฏิบัติการทางทหารในอิดลิบปัจจุบัน ตลอดจนปฏิบัติการก่อนหน้านี้ในปี 2015 ในพื้นที่บะชีเกาะฮ์ทางเหนือของโมซุล ในอิรัก

ความขัดแย้ง สงครามกลางเมืองและระดับภูมิภาค การลุกฮือและการปฏิวัติ อันนำการแทรกแซงต่างๆ ในระดับประเทศและระดับภูมิภาค สะท้อนถึงความเปราะบางและความตึงเครียดของโครงสร้างในตะวันออกกลาง และแสดงให้เห็นถึงสูญญากาศเรื้อรังในเรื่องอำนาจ และการไม่มีตัวตนทางการเมืองที่แข็งแกร่งที่สามารถปกป้องโครงสร้างจากการหลุดกร่อน

บทความนี้จะพิจารณาภูมิหลังของสนธิสัญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาส่วนใหญ่ของตะวันออกกลางร่วมสมัย บางทีเราอาจเข้าใจภูมิหลังเกี่ยวกับการแทรกแซงทางทหารของตุรกีในภูมิภาคนี้อีกครั้งในประเทศอาหรับหลายๆ ประเทศ หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันเมื่อ 95 ปีก่อน

● จาก สนธิสัญญา“ Sever” ถึงสนธิสัญญาโลซาน

การสร้างรัฐชาติในตะวันออกกลางเกิดขึ้นหลังจาก มุศตอฟา กามาลอะตาเติร์ก ปฏิเสธสนธิสัญญา Sefer ซึ่งจัดทำโดยประเทศที่ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และบังคับใช้กับตุรกี หลังจากชนเชื้อชาติที่ไม่ใช่ตุรกีส่วนใหญ่ เช่น ชาวเคิร์ดได้รับเอกราช

อะตาเติร์กได้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับกรีซและประเทศพันธมิตร จบลงด้วยการลงนามในข้อตกลงใหม่ที่ โรงแรม “Beaurivage Place” ในโลซาน ในภาคใต้ของสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 1923 ระหว่างตุรกี อังกฤษและฝรั่งเศส แยกออกจากสนธิสัญญาโลซานครั้งแรก หรือข้อตกลง Oshi” ระหว่างอิตาลีและจักรวรรดิออตโตมัน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 1912

สนธิสัญญาโลซานน์ 2 เป็นใบมรณภาพอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิออตโตมันในระดับกฎหมายระหว่างประเทศ และใบแจ้งเกิดของสาธารณรัฐตุรกีร่วมสมัย ในปี พ. ศ. 2466 ก่อนที่จะมีการประกาศยกเลิกการปกครองของคอลีฟะฮ์ในปี 2467

สนธิสัญญาโลซาน มี 143 ข้อ เกี่ยวข้องกับสถานภาพใหม่ของตุรกีในกฎหมายระหว่างประเทศ และจัดการความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรที่ชนะในสงคราม ภูมิรัฐศาสตร์ของตุรกีสมัยใหม่ พรมแดนกับกรีซและบัลแกเรีย การสละสิทธิ์ของตุรกีในเรื่องสิทธิทางการเมือง สิทธิทางการเงิน และสิทธิในอธิปไตยในซีเรีย อิรัก อียิปต์ ซูดาน ลิเบียและไซปรัส นอกเหนือจากการจัดระบบควบคุมการใช้ช่องแคบตุรกีในยามสงครามและสันติภาพ

● สนธิสัญญาโลซานมีบทบาททางประวัติศาสตร์แบบเดียวกับบทบาทของสนธิสัญญา “เวสต์ฟาเลีย” ในปี 1648 [1]

หนึ่งในผลทางกฎหมายและการเมืองที่โดดเด่นที่สุดของสนธิสัญญาโลซานคือการเกิดขึ้นของแนวคิดของรัฐชาติ บนพื้นฐานของแนวคิด “รัฐ-ประชาชน”

สนธิสัญญาโลซานน์ได้กำหนดพรมแดนภูมิรัฐศาสตร์สำหรับทั่วทั้งตะวันออกกลางในช่วงทศวรรษหลังการลงนามในสนธิสัญญานั้น [1]

ในบริบทนี้ตุรกีถือเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่ได้ประโยชน์จากสนธิสัญญาดังกล่าว หลังจากรอดพ้นจากชะตากรรมการแบ่งแยกเขตแดนของกองกำลังที่กระทำโดยมหาอำนาจผ่านสนธิสัญญา Sevres ซึ่งตุรกียังคงเป็นประเทศเอกราชที่แท้จริงเพียงประเทศเดียวในหมู่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “รัฐอิสระ” ในขณะที่ความเป็นจริงแล้วยังคงเป็นเมืองขึ้น [2]

สนธิสัญญาโลซานน์กำหนดชะตากรรมของผู้อยู่อาศัยในภูมิภาคนี้ ตามหลัก 2 สองประการ คือหลักกำหนดเขตแดนทางการเมืองของชาติ และหลักการของสัญชาติซึ่งเชื่อมโยงกับ “อัตลักษณ์” ของรัฐใหม่ที่สนธิสัญญาสร้างขึ้น หรือเป็นผลมาจากสัญญานี้

ในบริบทนี้ เลบานอนและซีเรียจึงอยู่ภายใต้อาณัติของฝรั่งเศส ปาเลสไตน์และภาคตะวันออกของจอร์แดน ภายใต้อาณัติของอังกฤษ และราชอาณาจักรฮาชิไมซ์แห่งแคว้นหิญาซ ซึ่งปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาถูกโค่นไป หลังจากอังกฤษอนุญาตให้อับดุลอาซิซ อัลซาอุด ยึดครองดินแดนหิญาซ [3]

● โครงสร้างที่เป็นไปไม่ได้ของตะวันออกกลาง : โลกอาหรับหรืออิสลาม?

ในหนังสือสำคัญเกี่ยวกับการก่อตัวของแผนที่การเมืองของตะวันออกกลางสมัยใหม่ “Peace Beyond Peace” นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชาวอเมริกัน David Fromkin กล่าวว่า การยึดครองของอังกฤษทุกหนทุกแห่งในโลกได้ทำลายโครงสร้างทางการเมืองของชนพื้นเมืองและแทนที่ด้วยโครงสร้างใหม่ ตามรูปแบบของยุโรป ตามกฎหมายของยุโรป ไม่ว่าจะเป็นในอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์หรือทะเลทรายแอฟริกา ซึ่งไม่ได้แบ่งตามเผ่าชนอีกต่อไป แต่จะแบ่งออกเป็นประเทศต่างๆ ตามลักษณะการปกครองในยุโรป อย่างไรก็ตามDavid Fromkin หยุดอยู่ที่ส่วนหนึ่งของโลก เพราะสงสัยว่าการยึดครองของยุโรปทำให้เกิดผลที่ลึกและยั่งยืนเหมือนในที่อื่น ๆ หรือไม่? [4]

Fromkin กล่าวว่า ตะวันออกกลางได้เป็นดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้เพราะประเทศในยุโรปได้ก่อร่างขึ้นใหม่ หลังจากการปกครองของชาวออตโตมันในตะวันออกกลางที่พูดภาษาอาหรับ และทำลายโครงสร้างเดิมอย่างไม่อาจแก้ไขได้อีก และยุโรป หรือสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ยังได้กำหนดพรมแดนและแต่งตั้งผู้ปกครอง แบบที่พบได้ทั่วโลกในยุคอาณานิคม [5] ตามทัศนะของ Fromkin ในระหว่างช่วงเวลาระหว่าง 2457-2465 ได้มีการกำหนดข้อตกลงหลังสงคราม เพื่อยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลางในหมู่ผู้มีอำนาจในยุโรป แต่มันกลับส่งผลให้เกิดปัญหาตะวันออกกลาง ในหัวใจของตะวันออกกลางเอง

สิ่งที่แตกต่างของ “ปัญหาตะวันออก” ตามสิ่งที่ชาวยุโรปเรียกกันในช่วงก่อนการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน หรือปัญหาตะวันออกกลางที่เรารู้ในทุกวันนี้คือ มันแตกต่างจากความแตกต่างแบบดั้งเดิมที่เราพบในสถานที่อื่น ๆ ของโลก ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ปกครองและเขตแดน

แต่ ณ ที่นี้ ยังมีข้อเรียกร้องที่ยกมาจนถึงทุกวันนี้ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิดำรงอยู่ของประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเชื้อชาติยังคงแสวงหาสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตนเอง ดังนั้นตะวันออกกลางจึงยังคงเป็นภูมิภาคที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเนื่องจากสงครามบ่อยครั้งเพื่อการดำรงอยู่และสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตนเอง . [6]

เบื้องหลังปัญหาทั้งหมดที่ตะวันออกกลางร่วมสมัยกำลังประสบอยู่ เช่น ปัญหาอนาคตทางการเมืองของชาวเคิร์ด หรือชะตากรรมทางการเมืองของชาวปาเลสไตน์ยังคงเป็นคำถามที่ยังคงแสวงหาคำตอบ : ระบบการเมืองสมัยใหม่ในปัจจุบันนี้ที่ยุโรปโยกย้ายไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง จากประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์หลังสัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย จะสามารถดำรงอยู่ในตะวันออกกลางที่แตกต่างจากยุโรป รวมถึงลักษณะของการแบ่งดินแดนออกเป็นรัฐฆราวาสตามสัญชาติของคนในชาติ ซึ่งตรงกันข้ามของฐานรากต่างๆของจักรวรรดิออตโตมันที่กว้างไกลกินเนื้อที่ 3 ทวีป ที่ตั้งอยู่บนแนวคิดชุมชนพหุเชื้อชาติ [7]

อ่านตอนที่ 1 https://www.theustaz.com/?p=3001
อ่านตอนที่ 2 https://www.theustaz.com/?p=3073
อ่านตอนที่ 3 https://www.theustaz.com/?p=3116
อ่านตอนที่ 4 https://www.theustaz.com/?p=3124
อ่านตอนที่ 5 https://www.theustaz.com/?p=3127

อ่านต้นฉบับ
https://midan.aljazeera.net/intellect/history/2020/2/20/%d9%85%d8%a6%d8%a9-%d8%b9%d8%a7%d9%85-%d9%85%d9%86-%d8%a7%d9%84%d8%aa%d9%8a%d9%87-%d8%a7%d9%84%d8%b3%d9%8a%d8%a7%d8%b3%d9%8a?fbclid=iwar2cfyinwmstoyva1o2rl1t5qbblamx41afvlcrxhmomourfiasw09mzldo

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 7)

“สวนสัตว์มนุษย์” (Human Zoo) มีชื่อเรียกอย่างสวยหรูว่า “นิทรรศการชาติพันธุ์” ไม่มีหลักฐานแน่ชัดนักว่าเริ่มต้นแห่งใดเป็นที่แรก แต่ก็เริ่มมีขึ้นในประเทศแถบตะวันตกนับตั้งแต่ยุคการค้นพบทวีปอเมริกาของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นต้นมา (ราว ค.ศ.1500s) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการล่องเรือสำรวจและล่าอาณานิคม ก่อนจะกลายเป็นที่นิยมจัดแสดง “มนุษย์” กันอย่างครึกครื้น ในช่วงปี ค.ศ.1870s-1930s ส่วนใหญ่พบในประเทศแถบตะวันตกทั้งหลาย อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ รวมทั้งอเมริกา โดยนำชนพื้นเมืองทั้งผิวเหลืองและผิวสี จากพื้นที่หรือประเทศที่ตัวเองรุกรานยึดครองไว้ได้ ทั้งชาวแอฟริกา บรรดานิโกร ชนพื้นเมืองเอเชีย อาทิ ชาวเกาะชวา ชาวเกาะนิวกินี ฯลฯ ตลอดจนชนพื้นเมืองของอเมริกา มาแสดงโชว์ 

อ้างอิง : https://hilight.kapook.com/view/124501

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 6)

เส้นทางแห่งธารน้ำตา

  • หลังจากการปฏิวัติอเมริกา ชีวิตของชาวอเมริกันพื้นเมืองจำนวนมากถูกกลืนหายไป โดยเฉพาะชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกา) ในปี ค.ศ. 1830 พระราชบัญญัติของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่เรียกว่า “The remove of the Five Civilized Tribes” (การเนรเทศ ‘ห้าอารยะชนเผ่า) 
  • 1.เผ่า Cherokee 21,500 คน
  • 2.เผ่า Chickasaw 5,000 คน
  • 3.เผ่า Choctaw 12,500 คน
  • 4.เผ่า Creek. 19,600 คน
  • 5.เผ่า Seminole 22,700 คน
  • ในระหว่าง ปี ค.ศ.1830 – ค.ศ.1838 เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางทำงานในนาม ของ “Cotton Growers” นอกจากนี้ยังมีชนเผ่าต่างๆ เช่น Odawa / Meskwaki / Shawnee/ และอื่นๆ รัฐบาลกลางได้ทำการบังคับให้ ชนเผ่าพื้นเมืองอินเดียน ร่วม 300,000 คน ออกจากบ้านเกิดของพวกเขา การเดินทางที่อันตรายจากรัฐทางใต้ ไปยังโอคลาโฮมา ปัจจุบันเรียกว่า”เส้นทางแห่งธารน้ำตา” ชนพื้นเมืองอเมริกัน ต้องเสียชีวิต ด้วยความหิวโหย ความหนาวเย็น และโรคภัย ในขณะที่อเมริกันผิวขาว ได้รุกร้ำขยายตัวไปทางทิศตะวันตก ด้วยความขัดแย้งที่รุนแรงบนแผ่นดินแม่ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของพวกเขา (ชาวพื้นเมืองอเมริกัน)
  • เส้นทางแห่งธารน้ำตา (อังกฤษ: Trail of Tears) หมายถึงการบังคับการโยกย้ายถิ่นฐานของชนพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกาที่รวมทั้งเชอโรคี, ชอคทอว์และอื่นๆ จากดินแดนบ้านเกิดไปตั้งถิ่นฐานยังเขตสงวนอินเดียน (Indian Territory) ใหม่ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกาที่ในปัจจุบันคือโอคลาโฮมา “เส้นทางธารน้ำตา” มาจากคำบรรยายการโยกย้ายของชนเผ่าชอคทอว์ (Choctaw)ในปี ค.ศ. 1831ชนพื้นเมืองอเมริกันที่ถูกโยกย้าย ต้องเผชิญกับสภาวะอากาศ เชื้อโรค และความอดอยากระหว่างการเดินทางไปยังจุดหมาย อันเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ที่รวมทั้งจำนวน 4,000 ผู้เสียชีวิต ของเผ่าเชอโรคีที่ต้องย้ายถิ่นฐาน
  • ในปี ค.ศ. 1831 เชอโรคี, ชิคาซอว์, ชอคทอว์, มัสคีกี (ครีค) และ เซมินโนล (Seminole) (บางครั้งรวมกันเรียกว่าเผ่าวัฒนธรรมห้าเผ่า (Five Civilized Tribes) ตั้งถิ่นฐานเป็นชาติอิสระในบริเวณที่เรียกว่าดีพเซาธ์ (Deep South) ของสหรัฐอเมริกา ขณะนั้นกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (เสนอโดยจอร์จ วอชิงตัน และ เฮนรี น็อกซ์) ได้รับการสนับสนุนอย่างแพร่หลายขึ้นโดยเฉพาะกับกลุ่มเชอโรคีและชอคทอว์ แอนดรูว์ แจ็คสัน เป็นประธานาธิบดีคนแรก ของสหรัฐอเมริกา ที่ใช้วิธีการโยกย้ายชาวพื้นเมืองอเมริกันตามรัฐบัญญัติ ว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน ของชาวอเมริกันอินเดียน(Indian Removal Act of 1830) ในปี ค.ศ. 1831ชอคทอว์เป็นชนกลุ่มแรกที่ถูกโยกย้ายและกลายเป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับการโยกย้ายกลุ่มอื่นๆ ต่อมา หลังจากเผ่าชอคทอว์แล้ว 
    • เผ่าเซมินโนล ก็เป็นกลุ่มต่อมาที่ถูกโยกย้าย ในปี ค.ศ. 1832, 
    • มัสคีกี (ครีค)ในปี ค.ศ. 1834,
    • ชิคาซอว์ ในปี ค.ศ. 1837 
    • เชอโรคี ในปีค.ศ. 1838
  • เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1837 ชาวพื้นเมืองอเมริกัน ก็ถูกโยกย้ายจากถิ่นฐานเดิมทางตอนใต้ที่ทำให้ที่ดินทั้งหมด 25 ล้านเอเคอร์กลายเป็นดินแดนสำหรับ การตั้งถิ่นฐานของชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรป ที่เข้ามาใหม่
  • การเพิ่มจำนวนและกระจายตัวของคนขาว ไปทางทิศตะวันตกของประเทศ หลังจากการปฏิวัติอเมริกา ส่งผลในการเพิ่มความกดดันในดินแดน ของชนพื้นเมืองอเมริกันสงคราม และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ. 1830 สภาคองเกรส สหรัฐฯ ผ่านพระราชบัญญัติการกำจัดอินเดีย, อำนาจของรัฐบาล ที่จะย้ายชาวอเมริกันพื้นเมืองออกจากบ้านเกิดของพวกเขา ภายในรัฐที่จัดตั้งขึ้น ในความต้องการดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของคนขาว นั้นส่งผลในการล้างเผ่าพันธุ์ ของหลายชนเผ่า ด้วยความโหดร้าย
  • (กรณีตัวอย่าง ความโหดร้ายของคนขาว ในระหว่างฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1838 ชนเผ่าเชอโรคี ก็เริ่มเดินทางพันไมล์ด้วยเครื่องนุ่งห่มที่บางไม่เหมาะสมกับสภาวะอากาศอันหนาวเย็น การเดินทางโยกย้ายเริ่มขึ้นจาก เรดเคลย์ ในเทนเนสซี ซึ่งเป็นที่ตั้ง ของเมืองหลวงทางตะวันออกสุดของเผ่าเชอโรคี เผ่าเชอโรคีได้รับผ้าห่มจากโรงพยาบาล ในเทนเนสซี ที่ก่อนหน้านั้นเกิดการระบาดของโรคฝีดาษ ชาวอินเดียนจึงติดเชื้อโรคตามไปด้วย ซึ่งทำให้ไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าไปในเมือง หรือหมู่บ้านตลอดทางที่เดินทางผ่าน และทำให้การเดินทางต้องเดินไกลไปกว่าที่จำเป็น เพราะต้องเดินอ้อมเมืองไปแทนที่จะลัดตรงได้
  • หลังจากที่ข้ามเทนเนสซี และเคนทักกี แล้วก็มาถึงกอลคอนดา ใน อิลลินอยส์เมื่อราววันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1838 ชาวอินเดียนแต่ละคนโดนเรียกเก็บค่าข้ามท่าโดย “เรือเบอร์รี” เป็นจำนวนหนึ่งเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตามปกติแล้วราคาเพียงสิบสองเซ็นต์ และไม่ได้รับการอนุญาติ ให้ข้ามจนกระทั่งลูกค้าอื่นข้ามกันไปหมดแล้ว ชาวอินเดียนจึงต้องไปหลบกันอยู่ภายใต้ “แมนเทิลร็อค” ทางด้านเคนทักกี ชาวอินเดียนหลายคนเสียชีวิตไปกับการคอยเรือข้ามฟากที่ “แมนเทิลร็อค” และอีกหลายคนถูกสังหารโดยผู้คนในท้องถิ่น ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็เมื่อฆาตกรหันไปยื่นเรื่องฟ้องรัฐบาลสหรัฐ ที่ศาลเมืองเวียนนา ในรัฐอิลลินอยส์ เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายค่าฝัง อินเดียนที่ถูกฆาตกรรมหัวละ $35 เหรียญ. ชาวเชอโรคีที่ถูกขับไล่ ก็เริ่มก็ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ทาห์เลควาห์ ในโอคลาโฮมา ความยุ่งเหยิงทางการเมืองที่มีสาเหตุมาจาก สนธิสัญญานิวอีโคตา และเส้นทางน้ำตา เป็นผลทำให้มีผู้นำของชาวอินเดียนที่ไปลงนามถูกลอบสังหารไปหลายคน ที่รวมทั้งเมเจอร์ริดจ์, จอห์น ริดจ์ และ อีไลอัส บูดิโนต์ นั่นคือความโหดร้ายของคนขาว ในเศษเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์)
  • ขณะที่การขยายตัวของคนขาว ได้นำมาซึ่ง การอพยพของคนงานเหมืองมา เพิ่มความขัดแย้ง ทำให้ชนเผ่าพื้นเมือง(หลายชนเผ่า) เหล่านี้ ต้องเร่ร่อน และถูกสังหาร สงครามระหว่างชนพื้นเมือง กับ คนขาว ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
  • ควาย Bison เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชนพื้นเมืองอเมริกัน พวกเขามีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับ Bison ที่ราบอินเดียน วัฒนธรรมของพวกเขาล้วนเกี่ยวข้องกับควายไบซัน ชนพื้นเมืองได้ประโยชน์ จาก ควายไบซัน ใน 52 วิธีที่แตกต่างกัน สำหรับอาหาร, อุปกรณ์สงครามและการดำเนินการดำเนินชีวิต ส่วนหนึ่งของควาย ใช้สำหรับการทำโล่ และ กลอง บางส่วนสำหรับการทำ เป็นกาว ได้อีกด้วย ควายจึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ของชนพื้นเมืองอินเดียน
  • การที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนขาว กลายเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า อินเดียนและคนขาว มองดูควายจากจุดที่แตกต่างกัน ในมุมมองของอินเดียนแดงได้เรียนรู้ที่จะล่าควายด้วยความชำนาญกับคันธนูและลูกศร และล่าเพื่อประทังชีวิตโดยไม่ส่งผลกระทบกับจำนวนของ ควายไบซัน ในขณะที่คนขาวล่าไบซัน ไปในเเนวทางเพื่อธุรกิจการค้า แสวงหากำไรจากไบซัน เป็นผลให้ควายถูกล่าและลดจำนวนลงอย่างมาก ผลกระทบจากจำนวนควายไบซันที่ลดลงจนเกือบสูญพันธ์นั้น รุนแรงต่อชนพื้นเมือง เพราะควายไบซัน คืออาหาร คืออุปกรณ์ดำรงชีพ และวิถีชีวิต (ในขณะที่การล่าเพื่อการกีฬา เพื่อความบันเทิงในกิจกรรมกลางแจ้ง โดยนักล่ามืออาชีพ ก็ได้เกิดขึ้นอีกด้วย) ในทางตรงกันข้ามอินเดียน กับควายไบซัน นั้นเป็นศูนย์กลางของชีวิต การหายไปของไบซัน ส่งผบให้อินเดียนมากมาย ต้องอดอยาก มีการประเมินว่าควายไบซันมีจำนวนมากถึง 60 ล้านตัว ก่อนการมาถึงของคนขาว ในตอนท้ายของยุค ควายไบซัน กำลังใกล้จะสูญพันธุ์ ไบซัน มีจำนวนลดลงอย่างน่าตกใจ จำนวนของไบซันเหลือเพียง 100 กว่าตัว ในปี ค.ศ. 1870 เพราะการขยายตัวอย่างรวดเร็วของคนขาว เรากำลังพูดถึงสัตว์ที่เกือบจะถูกลบออกจากโลกนี้
  • การตั้งถิ่นฐานของคนขาว เป็นตัวแทนของสาเหตุที่สำคัญสำหรับการทำลายควายไบซัน และอินเดียนได้รับผลกระทบโดยตรง ปัจจัยเหล่านี้ได้เกิดขึ้น และการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า การขยายตัวของคนขาว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงความสมดุลย์ ของธรรมชาติอย่างถาวร.
  • (ในปัจจุบัน มีควายไบซันเหลืออยู่ราว 400,000 – 500,000 ตัวในสองประเทศ จากการออกกฏหมายคุ้มครอง โดยรัฐบาลสหรัฐและแคนาดา)
  • ในปี ค.ศ.1848 รัฐแคลิฟอร์เนีย เกิดการตื่นทอง ทำให้อินเดียน 300,000 คน จะถูกขับไล่จาก แคลิฟอร์เนีย ไป ซานฟรานซิสโก นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นว่า ครั้งหนึ่ง รัฐแคลิฟอร์เนีย เคยเป็นพื้นที่หนาแน่นที่สุดของประชากรพื้นเมือง ด้วยชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองที่หลากหลาย ในดินแดนของสหรัฐ แต่การตื่นทองมีผลกระทบอย่างมากกับชีวิตของชนพื้นเมืองอเมริกัน ในด้านการดำรงชีวิตของชาวพื้นเมือง การล่าสัตว์แบบดั้งเดิม และการทำเกษตรกรรม ที่ไม่สามารถทำได้ในรูปแบบเดิมอีกต่อไป มีผลทำให้อินเดียนจำนวนมาก ต้องขาดแคลนอาหารและอดอยาก
  • ระหว่างการขยายตัวของคนขาว ที่รุกร้ำเข้าไปในชายแดนตะวันตก ของรัฐแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในความพยายามที่จะทำลายหลักวิธีชีวิต ของอินเดียน ที่เป็นความพยายามของรัฐบาลสหรัฐ ที่จะกีดกันชนพื้นเมืองออกไป หนึ่งในวิธีการที่สำคัญที่สุดคือการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ในการกีดกันความเป็นเจ้าของ ทั้งพืชไร่ พืชผล ต่างๆ เเละสิทธิเหนือที่ดิน และใช้วิธีการอื่นๆ ในการกีดกันอินเดียน ออกไป การหลั่งไหลของคนขาว จำนวนมากมาย ที่เข้าไปใน รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยแรงจูงใจจากที่ดินและทองคำ คลื่นมวลชนของผู้มาใหม่ ได้ถูกถาโถมเข้าไปในแคลิฟอร์เนียเข้าไปในหุบเขาที่ห่างไกลที่สุดและพื้นที่ของชนพื้นเมือง เพื่อหาทองคำ เพื่อตัดไม้และครอบงำที่ดินของคนพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างคนขาว กับชนพื้นเมือง คนขาวมีการกระทำที่น่ารังเกียจและโหดร้าย ต่อชนพื้นเมือง ชาวพื้นเมืองที่ตกเป็นเหยื่อของโศกนาฏกรรมที่นึกไม่ถึง ด้วยความอดอยาก และการเผชิญหน้าที่รุนแรง การค้าทาสค้าแรงงาน ส่งผลเกือบล้างเผ่าพันธ์ ประชากรอินเดียนแทบทั้งหมดในแคลิฟอร์เนีย อินเดียนลดลงจาก 300,000 คน เหลือเพียง 160,00 คน การจัดซื้อที่ดินและทรัพย์สิน สวม “สิทธิ” ของคนผิวขาว การทำเหมืองแร่และสิ่งปนเปื้อนที่เข้าสู่ระบบ ของชาวพื้นเมือง พื้นที่แหล่งน้ำปนเปื้อน และพืชพื้นเมืองเหี่ยวเฉา หนองน้ำที่อุดมไปด้วยทรัพยากรที่สำคัญที่เป็นอาหารของชนพื้นเมือง ได้กลายเป็นระบบชลประทานสำหรับพื้นที่เพาะปลูกของคนขาว

กฏหมาย โดยรัฐบาลสหรัฐ ปี ค.ศ. 1862

  • -กฏหมาย homestead 
  • -กฏหมายการตั้งรกราก Ambitious (ไร่โฉนด) 
  • -กฏหมายที่ดิน Morrill (ลงนามในกฏหมายโดย ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอร์น 1862) และอื่นๆ
  • ทั้งหมดของกฎหมาย ต่างๆที่ออกมาบังคับใช้ มีไว้เพื่อประโยชน์ ในการตั้งถิ่นฐานของคนขาว ด้วยเหตุผลคือ
    • 1. ประชาชนแคลิฟอร์เนีย (คนขาว) ต้องการลบ ชนพื้นเมือง ออกจากแคลิฟอร์เนียได้โดยเร็วที่สุด 
    • 2. คนขาว ต้องการกีดกันชนพื้นเมืองออกจากพื้นที่ เพื่อการป้องกันการตั้งถิ่นฐานของคนขาว และคนงาน จากการถูกโจมตี จากพวกอินเดียน การปกป้องทรัพย์สินของคนขาวจากการสูญเสียหรือการโจมตีอินเดียน 
    • 3. รัฐบาลสหรัฐฯ มีนโยบายด้วยกฏหมาย ที่แตกต่างกัน ที่ชาวอเมริกันในทุกรัฐ ใช้จัดการกับพวกอินเดียนแดง : กฎหมายภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ปี ค.ศ.1787 มาตราของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ว่า การพาณิชย์และ การค้าของอินเดียน 

การกระทำของสนธิ ค.ศ. 1890

  • พระราชกฤษฎีกาภาคตะวันตกเฉียงเหนือค.ศ.1787 ที่กำหนดไว้ในลักษณะที่รัฐบาลสหรัฐจะจัดการกับอินเดียน มาตรา 14 มาตรา 3 ของกฎหมายประกาศว่า “ที่ดินและทรัพย์สินของพวกเขาจะไม่มีวันถูกพรากไปจากพวกเขา โดยปราศจากความยินยอมของพวกเขา และ ทรัพย์สินของพวกเขา สิทธิและเสรีภาพที่พวกเขา จะไม่สามารถบุกเข้าไปรบกวนได้ เว้นแต่เพียงในเวลาสงคราม ที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายโดยรัฐสภา **แต่กฎหมายที่ก่อตั้งขึ้นในความยุติธรรมและความเป็นมนุษย์นั้น จะมีเป็นครั้งคราวสำหรับการป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิด กับพวกเขา (ชนพื้นเมือง)ในการรักษาสันติภาพและมิตรภาพกับพวกเขา***
  • นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของแคลิฟอร์เนีย, Hubert Howe Bancroft สรุปการเมืองของรัฐบาล ที่มีต่ออินเดียน ในไม่กี่ประโยคสั้นๆ แต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว: 
  • “นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ ในช่วงต้น ระหว่างชาวอเมริกันพื้นเมืองและคนขาว (อเมริกันยุโรป) ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นไปในเวลาสั้นๆ แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย คนงานเหมืองเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ด้วยความโลภ และใจร้อน มันเป็นหนึ่งในการล่าของมนุษย์ ของอารยธรรมคนขาว และความรุนแรง และพวกเขาทั้งหมดส่วนใหญ่โหดร้าย “
  • ( Hubert Howe Bancroft นักประวัติศาสตร์แห่งแคลิฟอร์เนีย 1963: 474)

สรุปเนื้อหาสำคัญ ของคนขาว กับ ชนพื้นเมืองอเมริกา

  • 1. รัฐบาลสหรัฐ อเมริกา ตัดสินใจที่จะแก้ปัญหา “อินเดียน” ด้วยนโยบายของการบังคับใช้แรงงานทาส และ อาสาสมัครศาลเตี้ยที่มีหน้าที่ คือการฆ่าชาวอินเดียนท้องถิ่น
  • 2. นโยบายของรัฐ เกี่ยวกับอินเดียนแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกดำเนินงานโดยนโยบายของรัฐบาลกลาง และสำหรับอินเดียนทั้งหมดของอเมริกาเหนือ: การทำสนธิสัญญาการลบอินเดียน จากบ้านเกิดของบรรพบุรุษของพวกเขา
  • 3. ทัศนคติของรัฐบาลกลางเกี่ยวกับ “ปัญหาอินเดียน” ส่งผลให้นโยบายและ การกระทำที่มีผลกระทบอย่างมากสำหรับชาวอินเดียน :
    • -อินเดียนหลายชนเผ่า ส่วนใหญ่ ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลสหรัฐ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
    • -อินเดียนแคลิฟอร์เนีย ตกเป็นเหยื่อของนโยบาย การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ส่วนใหญ่ของชาวอินเดียน ที่อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียได้ถูกกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะบังคับให้ออกจากพื้นที่ของพวกเขา หรือพวกเขาก็ถูกฆ่าตาย
    • -ประชากรของอินเดียนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในปี ค.ศ.1850 จากจำนวน 100,000 คน ลดลงเหลือ 30,000 โดย ค.ศ. 1870 ตามการสำรวจสำมะโนประชากรแห่งชาติ ปี ค.ศ. 1900 เหลือเพียง 16,000 อินเดียนแดงที่ถูกบันทึกไว้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
  • 4. ประชาชนแคลิฟอร์เนียภาคเหนือ ตอบสนองต่อการบุกอินเดียน, ฆ่าอินเดียน และ แข่งขันทางเศรษฐกิจกับอินเดียน ด้วยการกระทำที่รุนแรงของศาลเตี้ย – โดยไม่มีใคร(คนขาว) ที่ถูกลงโทษโดยรัฐท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
  • สรุปผลที่ได้คือ หลายร้อยปี ที่ผลของความขัดแย้งจากสงคราม ความรุนแรงของอาณานิคม โดยการเข้าแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งนโยบายเลือกปฏิบัติของคนขาว ที่มีต่อชาวอเมริกันพื้นเมือง ได้ทำลายประชากรชาวอเมริกันพื้นเมืองจาก 18 ล้านชีวิต เหลือเพียง 16,000 ชีวิต (ในปี ค.ศ.1900)
  • ชาวพื้นเมืองเสียชีวิตจากความขัดแย้ง ความรุนแรง และความไร้เมตตา ที่ได้คร่าชีวิตชนพื้นเมืองอเมริกัน จนทั้งหมดเกือบจะสูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์. หากผมจะเรียกคนขาวที่เข้าไปยังแผ่นดินอเมริกาว่า Genocide คงไม่ใช่คำพูดที่เกินจริง!

ป.ล. ในปัจจุบันนี้ประชากรอเมริกันพื้นเมือง คิดเป็น 1.37% ของ ประชากรสหรัฐอเมริกา

อ้างอิง https://menu-58.blogspot.com/2015/11/4_28.html?m=1&fbclid=IwAR3xztAnEavoTCW__nuIR8kxgKLdTV5mYULkLFX-v0UqN8UHbR0s93zMnIw

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 5)

หลังจากที่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองและทำลายอารยธรรมของพวกเขากว่า 400 เผ่าพันธุ์ ตลอดระยะเกือบ 200 ปี (ศตวรรษที่ 17 และ 18) เชื่อว่าสหรัฐฯได้ฆ่าชาวพื้นเมืองไปแล้วกว่า 18 ล้านคน

ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ในศตวรรษที่ 19 และ 20 สหรัฐก็ยังสะสมแฟ้มอาชญากรรมไปทั่วโลก สรุปที่สำคัญๆดังนี้

#อาชญากรรมศตวรรษที่19 (ไม่นับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพื้นเมืองที่ได้กล่าวมาแล้ว)
1833 อเมริกาทำสงครามกับนิการากัว
1835 สงครามเปรู
1846 สงครามแม็กซิโก และยึดครองรัฐแท็ซัส คาลิฟอร์เนีย นิวแม็กซิโก
1855 สงครามอุรุกวัยและปานามา
1870 บุกถล่มโคลัมเบียหลายครั้ง
1888 ยึดครองไฮติ
1894 บุกนิการากัว
ตลอดจนปิดท้ายศักราชนี้ด้วยการบุกคิวบา

#อาชญากรรมศตวรรษที่20
1901 เปิดศักราชด้วยการบุกเกาะกวนตานาโม ยึดครองโคลัมเบียและฮอนดูรัส
1914 ยึดครองไฮติเป็นเวลา 19 ปี
1916 บุกโดมินิกัน และยึดครอง 8 ปี
1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติ อเมริการ่วมกับจัดสรรแผ่นดินร่วมกับอังกฤษและฝรั่งเศส
1932 ถล่มเซลวาดอร์
1945 สงครามโลกครั้งที่สองยุติ อเมริกาถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิ พลเรือนตาย 200,000 คน
1954 ยึดครองกัวเตมาลา
1961 บุกคิวบาอีกครั้ง
1960-1970 สงครามเวียดนาม ชาวเวียดนามเสียชีวิต 3 ล้านคน
1967 บุกโบลิเวีย
1973 ก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเซลวาดอร์และชีลี
1982 ส่งกองทัพเข้าเลบานอน เพื่อสนับสนุนอิสราเอล
1986 ถล่มลิเบีย
1989 ถล่มปานามา
1991 ถล่มอัฟกานิสถาน และโซมาเลีย
1991 เริ่มบุกอิรักและแซงชั่นอิรัก ทำให้ประเทศขาดแคลนอาหารและยา ประชาชนเสียชีวิต 200,000 คน บาดเจ็บ 500,000 คน
1999 อเมริกาและกองกำลังพันธมิตรได้บุกถล่มอีรักจนพินาศทั้งประเทศ พร้อมสร้างอืรักเป็นแดนมิคสัญญีที่มีความแตกแยกทางความเชื่อที่รุนแรงที่สุดจนกระทั่งปัจจุบัน ยอดผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตนับล้านคน


ปล. นอกจากอิหร่าน อิสราเอลและยุโรปแล้ว ในโลกนี้มีประเทศไหนบ้างที่ปลอดภัยจากอาชญากรรมของสหรัฐอเมริกา

ประเทศที่เต็มด้วยประวัติอาชญากรรมเช่นนี้ เป็นไปได้หรือที่จะเป็นเจ้าภาพจัดรางวัลโนเบลแห่งสันติภาพ และเป็นไปได้หรือไม่ที่ประชาคมโลกจะได้รับการปกป้องด้านสิทธิมนุษยชน

ทีมข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 4)

หนูทดลองโรคซิฟิลิส (The Tuskegee Syphilis Study)

กรมสาธารณสุขอเมริกา ได้จัดโครงการวิจัยโรคซิฟิลิสระหว่างปี 1932-1972 ที่เมืองทัสเคจี (Tuskegee) รัฐอลาบามา สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีชาวแอฟริกาอพยพอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้เข้าร่วมทดลองเป็นชายผิวสีจำนวน 399 ราย โดยโรคซิฟิลิสถูกปล่อยให้ผู้ป่วยตายลงช้าๆโดยไม่รักษา เพื่อสังเกตการพัฒนาของโรคแต่ละราย

ความเลวร้ายของการทดลองที่ใช้เวลา 40 ปีครั้งนี้ อยู่ที่ผู้วิจัยไม่ได้แจ้งแก่ผู้ป่วยว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง นอกจากหลอกว่า พวกเขามีเลือดเป็นพิษ และจะทำการรักษาให้ฟรี รวมถึงอุดหนุนค่าเดินทาง อาหารและฝังศพฟรีกรณีเสียชีวิต

การรักษาโรคซิฟิลิสสมัยนั้น ทำโดยการให้สารพิษเข้าไปทำลายโรค ทว่าเป็นวิธีการที่อันตรายและไม่สามารถยืนยันได้ว่าผลการรักษาจะออกมาดีหรือไม่ ถึงแม้ทีมวิจัยจะค้นพบเพนิซิลินรักษาโรคซิฟิลิสในปี 1940 แต่หนูทดลองทั้ง 399 คนกลับไม่ได้รับการรักษา แถมถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆโดยไม่มีการดูแลจากรัฐบาล

หลังจากที่มีการเปิดโปงโครงการวิจัยที่ไร้มนุษยธรรมนี้ในปี 1972 รัฐบาลสหรัฐจึงยุติโครงการนี้ พร้อมกับรายงานผลการวิจัยว่า ในจำนวน 399 ตัวอย่าง มีผู้ที่รอดชีวิตเพียง 74 ราย เสียชีวิตจากโรคซิฟิลิส 28 ราย ที่เหลือเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อน ขณะที่ภรรยาของผู้ป่วย 40 รายติดเชื้อซิฟิลิสจากสามี และส่งผลให้ทารก 19 รายคลอดออกมาติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด

40 ปีของการทดลองที่ทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์ จะมีองค์กรไหนในโลกนี้ กล้าทวงถามให้เจ้าของโครงการรับผิดชอบบ้างไหม และประเทศที่เป็นเจ้าภาพโครงการนี้ เหมาะสมที่จะเป็นต้นแบบของการปกป้องสิทธิมนุษยชนหรือไม่

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Tuskegee_syphilis_experiment
http://hathairat2011.blogspot.com/2015/06/blog-post_12.html?m=1

ทีมข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 3)

การยึดครองดินแดนของคนขาวดำเนินไปเกือบ 2 ศตวรรษ จนกระทั่งเกิดปฏิวัติอเมริกาสำเร็จในวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 ซึ่งถือเป็นวันอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา และราชอาณาจักรบริเทนใหญ่รับรองเอกราชเมื่อปี 1783 มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญเมื่อปี 1787 และรัฐต่างๆให้สัตยาบันในปี 1788 จอร์จ วอชิงตันเป็นประธานาธิบดีคนแรกในปี 1789

ในช่วงศตวรรษที่ 18 นี้ จึงเป็นศตวรรษของการรวมชาติของอเมริกัน ซึ่งฟังแล้วดูดีและเรียบง่าย แต่ในความเป็นจริงคือการปล้นดินแดน เข่นฆ่า ขับไล่ โดยที่ชนพื้นเมืองถูกกำหนดให้เป็นผู้พ่ายแพ้ตามปรัชญาเทพลิขิต(Manifest destiny) ที่รัฐบาลอเมริกายัดเยียดความเชื่อนี้แก่ชนพื้นเมืองว่า พระเจ้าได้กำหนดให้อเมริกามีแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่ทุกคนต้องยอมจำนน

ทุกประเทศในอดีต ต้องผ่านการทำสงครามภายในเพื่อสร้างชาติให้เป็นหนึ่งเดียว แต่ความแตกต่างของการสร้างชาติของสหรัฐอเมริกา คือการเดินทางข้ามทวีปของคนขาวเพื่อยึดครองแผ่นดินและทำลายล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมืองดั้งเดิม

ชาติตะวันตกสร้างเรื่องว่าอิสลามเผยแพร่ด้วยคมดาบ อิสลามได้แผ่ขยายไปทั่วโลกทั่วแอฟริกา อันดาลูเซีย เปอร์เซีย ประเทศหลังแม่น้ำแถบอดีตสหภาพโซเวียต จีน ฯลฯ แต่น่าแปลกที่ชาวอาหรับไม่เคยไปสร้างอาณาจักรของตนเองในดินแดนเหล่านี้ ด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนพื้นเมือง จะมีแต่ชาวพื้นเมืองต่างหากที่ยอมรับวัฒนธรรมอิสลามด้วยความสมัครใจ จนกระทั่งยอมละทิ้งวัฒนธรรมของตนเอง เคียงคู่กับการสร้างอารยธรรมใหม่ภายใต้แสงอรุณแห่งอิสลาม เราจึงเห็นชาวอันดาลูเซีย ชาวแอฟริกา ชาวจีน และชาวอื่นๆ ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิม ที่ยังคงเป็นประชากรหลักของแต่ละประเทศ

สงครามสามารถยึดครองประเทศก็จริง แต่ไม่มีทางยึดครองหัวใจของผู้คนได้

ทีมข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 2)

ดินแดนแห่งอเมริกา มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่ทุกวันนี้ แท้จริงแล้ว เป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองอเมริกันมาแต่ก่อนไม่รู้กี่ชั่วคน แต่คนขาวอุปโลกน์เรื่องราวของโคลัมบัส ลวงชาวโลกให้เข้าใจว่าเป็นผู้ค้นพบโลกใหม่ ทั้งที่ ณ ดินแดนแห่งนั้น มีเจ้าของอาศัยอยู่แล้วนับพันๆปี แต่ด้วยความบิดเบือนทางประวัติศาสตร์พวกเขากลับกลายเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะประวัติศาสตร์คือคำบันทึกของผู้ชนะเสมอ

ความกระหายในดินแดนและเศรษฐกิจของคนขาว ได้ทำลายอารยธรรมและอิสรภาพของชนพื้นเมืองอเมริกันที่มีจำนวน 566 เผ่า ทั้งๆที่เมื่อแรกๆที่คนขาวอพยพมา ชนพื้นเมืองได้ให้การต้อนรับด้วยมิตรไมตรียิ่ง ให้ที่อยู่อาศัย ให้อาหารและสอนให้รู้จักการดำรงชีวิตในโลกใหม่แก่คนขาวด้วยหัวใจที่ใสซื่อและใจกว้าง ซึ่งเป็นนิสัยดั้งเดิมของชาวอินเดียนแดงปฏิบัติต่อแขกผู้มาเยี่ยมเยือน แม้กระทั่งในคำบันทึกของโคลัมบัสที่รายงานต่อกษัตริย์สเปนในสมัยนั้น ก็ยังได้พูดถึงการมีใจอันงดงามของชนพื้นเมือง แต่พวกเขาได้รับการตอบแทนด้วยการคร่าชีวิต ถูกปฏิบัติเยี่ยงสัตว์และกลายเป็นทาสรับใช้ เมื่อคนขาวเริ่มอพยพเข้ามาด้วยจำนวนมากขึ้น พวกเขาเริ่มแสดงตัวตนของนักปล้นที่แท้จริง จึงเกิดสงครามที่ยาวนาน แต่ท้ายสุดชนพื้นเมืองต้องพ่ายแพ้ต่อเทคโนโลยี่ที่เหนือกว่าของศัตรูผู้บุกรุก จนกระทั่งถูกกักกันให้อยู่ในเขตสงวนอันน้อยนิด กันดารและแห้งแล้ง เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่คนขาวตั้งใจมาแพร่เชื้อ พวกเขาถูกหลอกลวงด้วยสติปัญญาและเทคโนโลยีที่เอารัดเอาเปรียบและจิตใจอันต่ำทราม พร้อมๆกับถูกมอมด้วยเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด การพนัน ค้ามนุษย์และธุรกิจบันเทิงทั้งหลาย จนเคลิบเคลิ้มลืมเลือนอดีตอันเจ็บปวดของเหล่าบรรพบุรุษ

ชนพื้นเมืองอเมริกัน มหากาพย์แห่งดวงตะวัน เรื่องราวการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและคุณค่าของมนุษย์บนแผ่นดินของตนเอง

ทีมข่าวต่างประเทศ

สหรัฐอเมริกา_อารยธรรมแห่งอาชญากรโลก (ตอนที่ 1)

กล่าวกันว่า นับตั้งแต่ก่อนการประกาศจัดตั้งสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งปัจจุบัน คนผิวขาวที่อพยพเข้าสู่โลกใหม่ในทวีปอเมริกาได้เข่นฆ่าชาวโลกแล้วจำนวน 112 ล้าน ที่ครอบคลุมกว่า 400 ชนชาติและอารยธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ทั่วโลกพากันยกย่องประเทศลุงแซมว่าเป็นต้นแบบประเทศประชาธิปไตยและต้นตำรับของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

#อินเดียนแดง_ชาวพื้นเมืองผู้ทรนง

หลังจากที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือชาวเจนัวเมืองท่าทางทะเลที่สำคัญของอิตาลี่ ได้ค้นพบโลกใหม่ในหมู่เกาะทะเลแคริบเบียนเมื่อปี 1492 และพบเจอชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่เดิมนับพันๆปีแล้ว แต่กลับเข้าใจผิดว่าเป็นดินแดนอินเดีย จึงเรียกชาวพื้นเมืองนี้ว่า Indian แต่เมื่อความจริงปรากฏ ชาวตะวันตกจึงเรียกแก้เขินว่า อินเดียนแดง เพื่อแยกแยะกับชาวอินเดียที่แท้จริง ปัจจุบันคำนี้ถูกเลิกใช้และถือว่าเป็นคำที่ไม่สุภาพ จึงเรียกคำใหม่ว่า Native American (ชนพื้นเมืองอเมริกัน) นับแต่นั้นมา ซึ่งในบทความต่อไปนี้ ผู้เขียนขออนุญาตใช้คำสุภาพว่า”ชนพื้นเมืองอเมริกัน” แทน ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ถูกเข่นฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีที่สุดป่าเถื่อน พวกเขาประกอบด้วยชนหลายเผ่าพันธุ์จำนวน 566 เผ่าที่แยกกันอยู่ตามบริเวณต่างๆของทวีปนี้ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 40-90 ล้านคน แต่ผลของสงครามล้างเผ่าพันธุ์อันยาวนานระหว่างปลายศตวรรษที่ 15 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 (กว่า 400 ปี) เชื่อว่าชนพื้นเมืองอเมริกันถูกฆ่าเป็นเหยื่อสังเวยการสถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวน 18 ล้านคน ส่วนที่เหลือก็กระจัดกระจายตามประเทศต่างๆแถบลาตินอเมริกา ปัจจุบันชนพื้นเมืองอเมริกันมีประชากรในสหรัฐอเมริกา 1.7% ของประชากรทั้งหมด หรือจำนวน 5.2 ล้านคน

ตลอดระยะเวลาดังกล่าวพวกเขาถูกไล่ล่า ทำลายบ้านเรือน ฆ่าถลกหนัง หรือแม้กระทั่งการปล่อยเชื้อโรคคร่าชีวิตและถูกอพยพไล่ที่ให้ต่อสู้กับชีวิตตามลำพังท่ามกลางความอดอยากจนตายทั้งเผ่าอย่างทรมาน

และสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่าการเข่นฆ่า คือการบิดเบือนทางประวัติศาสตร์และใส่ร้ายป้ายสีว่า พวกเขาคือกลุ่มชนที่ป่าเถื่อน กระหายเลิอด เป็นมนุษย์กินคน เป็นกลุ่มชนที่ได้รับการวิวัฒนาการจากลิงตามทฤษฎีดาร์วิน ด้วยเหตุนี้ความเชื่อเริ่องเหยียดผิวของคนขาว จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดความคิดที่ฝังใจจนเป็นเนื้อเดียวกันชนิดที่แยกไม่ออกทีเดียว

ในช่วงปี 1622 – 1924 ได้มีการกำหนดขยายดินแดนของชาวอเมริกัน ทำให้ชาวอินเดียนแดงถูกขับไล่ออกไปอยู่บริเวณส่วนตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ทุรกันดารที่เรียกว่า เขตสงวนชนพื้นเมืองอเมริกัน ท่ามกลางนโยบายกลืนชาติ (Assimilation) และปรัชญาเทพลิขิต (Manifest destiny) ที่ดำเนินไปควบคู่กับการต่อสู่เพื่อความอยู่รอดของชนพื้นเมือง

เรื่องราวของชนพื้นเมืองอเมริกัน จึงเป็นเรื่องราวที่เหี้ยมโหด สยดสยอง ที่กระทำทารุณโดย คนขาวที่อพยพครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานในโลกใหม่อย่างไร้ปรานี ในขณะเดียวกัน เรามักถูกนำเสนอภาพของวีรกรรมของคนขาวที่ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนและครอบครัว ในขณะที่ชนพื้นเมืองอเมริกัน กลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ก่อการร้ายไปโดยปริยาย ใครที่เคยดูหนังคาวบอยในอดีต ที่มีพระเอกเป็นคนขาวที่มีตำแหน่งเป็นนายอำเภอ ยิงปืนแม่น ขี่ม้าอย่างชำนาญ ที่ทางการส่งมาเพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายผิวสี ก็จะเข้าใจจิตวิทยามอมเมาชาวโลกของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการบิดเบือนประวัติศาสตร์ของชนพื้นเมืองอเมริกันผ่านสื่อภาพยนต์ได้เป็นอย่างดี

ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ชนพื้นเมืองอเมริกันถูกรุกรานจากคนขาวเนื่องจากพวกเขาเป็นเจ้าของทุ่งกว้างและดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งทวีปอเมริกาต่างหาก

ทีมข่าวต่างประเทศ

แหล่งอ้างอิง
http://www.kabbos.com/index.php?darck=402
https://docs.google.com/file/d/0B5ouQ_Ym2-loaDNqcC1nZkxYY0E/edit
https://th.m.wikipedia.org/wiki/ประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

10 กุมภาพันธ์ รำลึกวันเสียชีวิตสุลต่านอับดุลหะมีดที่ 2 แห่งอาณาจักรออตโตมัน : ตอน สัมผัสชีวิตสายสกุลออตโตมันในปัจจุบัน

บทสัมภาษณ์จากวารสารอัลมุจตามะ المجتمع ของคูเวต ฉบับ 2139 ประจำเดือน มกราคม 2020

เจ้าชายฮารูน เหลนของสุลต่านอับดุลฮามิด กล่าวกับวารสารอัลมุจตามะ : เราพบกับความยากลำบากเป็นอย่างยิ่งในการขอสัญชาติตุรกี

เจ้าชายฮารูน บินอับดุลการีม หลานชายของสุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 กล่าวว่าสถานการณ์สายสกุลออตโตมันในปัจจุบันภายใต้รัฐบาลแอร์โดฆาน ดีกว่าเมื่อก่อน พร้อมขอยกย่องชมเชยความสนใจและความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ตุรกีของประธานาธิบดีแอร์โดฆาน

เจ้าชายฮารูน บินอับดุลการีม กล่าวในบทสนทนากับ “วารสารอัลมุจตามะ” ในการเดินทางเยือนคูเวตครั้งล่าสุดว่าสุลต่านมีทรัพย์สินในเมืองคอร์คุก อิรัก เมืองกอมิชลี และเดรซูร ทางตอนเหนือของซีเรีย เรื่องทรัพย์สินเป็นปัญหายุ่งยากมาก จากการที่ออตโตมันพ่ายแพ้สงคราม ดังนั้นทรัพย์สินเหล่านั้นจึงสูญเสียไปบนโต๊ะเจรจา

  • วารสารอัลมุจตะมะ : ก่อนอื่นเรายินดีต้อนรับท่าน และเรามีความสุขมากกับบทสนทนานี้
  • เจ้าชายฮารูน : ขอให้อัลลอฮ์อวยพรให้คุณ และผมก็พอใจกับการพบกับพี่น้องที่ดีของผมในประเทศที่ดีนี้ และรู้สึกราวกับว่าอยู่ระหว่างครอบครัวและตระกูลของผม
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ผลทางจิตใจของการเป็นหลานชายของสุลต่านอับดุลฮามิดที่สอง มีอะไรบ้างครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีรากเหง้าอันยาวนานนี้ และตั้งแต่วัยเด็ก ตอนที่เราอยู่ในช่วงวัยเด็ก เราได้รับการบอกว่า เธอต้องรู้ว่าเธอเป็นใคร และปู่ย่าตายายของเธอเป็นใคร เราถูกอบรมแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ รวมถึงบอกถึงผู้รักหรือผู้ที่เกลียดชังเราในตุรกี
  • วารสารอัลมุจตะมะ : รัฐบาลตุรกีปัจจุบันปฏิบัติต่อท่านอย่างไร ในฐานะลูกหลานของสุลต่านอับดุลฮามิด?
  • เจ้าชายฮารูน : เรามาที่ตุรกีในปี 1977 รัฐบาลในเวลานั้นไม่สนใจเรา ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเรา และไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับเรา และเรารู้สึกแปลกแยกและห่างเหิน และเรากลายเป็นคนแปลกหน้าในประเทศของเรา ด้วยความค่อยเป็นค่อยไปและความอดทน เราเริ่มเรียนรู้สังคมตุรกีและวิธีที่จะจัดการกับมัน เพื่อให้เราสามารถกู้คืนสิทธิของเราคืนมา ที่สำคัญที่สุดคือการคืนสัญชาติตุรกีที่เราถูกกีดกันอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และเราพบปัญหามากมายในขั้นตอนนี้ โดยคุณพ่อเป็นผู้เดินเรื่องเพื่อขอรับสัญชาติอย่างลำบากยากเย็น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1977-1985 และเมื่อประธานาธิบดีตุรฆุต โอซาล ของตุรกี ในเวลานั้น รู้เรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของเราในการขอสัญชาติตุรกี ท่านก็ได้เข้าแทรกแซง และมอบสัญชาติให้เราภายในเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้น
    สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของเรา ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีรอญับ ตอยยิบ แอร์โดฆาน ดีกว่ามาก – เราขอสรรเสริญต่ออัลลอฮ์- สำหรับเรื่องนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประธานาธิบดีสนใจประวัติศาสตร์ตุรกี รู้สึกภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์โบราณนี้ และพยายามรักษาไว้ เราจึงรู้สึกเคารพเป็นอย่างสูงต่อท่าน อันเนื่องจากนโยบายที่ถูกต้องและให้ความยุติธรรมต่อสายสกุลออตโตมาน เพราะท่านมีนโยบายให้สัญชาติแก่บุคคลใดก็ตามในตระกูลออตโตมานที่ยังไม่ได้สัญชาติตุรกี ให้มีสิทธิที่จะได้รับในทันทีโดยไม่ต้องรอเวลา 6 เดือน ผู้ใดก็ตามที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของออตโตมานที่อาศัยอยู่นอกประเทศตุรกี ให้ยื่นเรื่องต่อสถานทูตตุรกีในประเทศนั้นๆ เพื่อขอสัญชาติ และภายในไม่กี่วันก็ได้สัญชาติในทันที
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างระบอบการปกครองก่อนหน้านี้ที่ท่านอยู่ กับระบอบการปกครองแบบแอร์โดฆานหรือไม่?
  • เจ้าชายฮารูน : ใช่ มีความแตกต่างกันมาก ประธานาธิบดีแอร์โดฆานรักราชวงศ์ออตโตมาน และยกย่องประวัติศาสตร์ออตโตมันโบราณ ทั้งยังเป็นนักอ่านประวัติศาสตร์ที่ดี ดังนั้น เราจึงชื่นชมและเคารพต่อท่าน และเราตอบสนองต่อการเรียกร้องของท่านเกี่ยวกับวันครบรอบการเสียชีวิตของสุลต่านอับดุลฮามิด รวมถึงการรำลึกการก่อตั้งอาณาจักรออตโตมัน และโอกาสอื่นๆ แต่เราก็ตระหนักถึงสถานการณ์ดี เราเห็นใจและเข้าใจเหตุผล หากมีบางอย่างบกพร่อง
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ชีวิตของท่านเป็นอย่างไรบ้างครับ เมื่อตอนที่ท่านอยู่นอกประเทศตุรกี ?
  • เจ้าชายฮารูน : คุณพ่อถือสัญชาติซีเรียและเลบานอน ท่านทำงานเป็นพนักงานเล็กๆ ในกระทรวงการสวัสดิการของเลบานอน ชีวิตของพวกเราค่อนข้างลำบาก ส่วนคุณปู่และคุณทวดของผม ท่านอับดุลการิม อาฟันดี และท่านซาลิม อาฟันดี พ่อของท่าน มีชีวิตที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง ท่านทั้งสองยอมขายเหรียญตรา และเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อนำเงินมาใช้ ปัจจุบันเรายังคงได้รับความยากลำบากเหล่านี้ขณะที่เราอาศัยอยู่ในประเทศตุรกีของเรา เราทำงานด้วยแรงของเรา เราทำงานอย่างหนักเพื่อให้เราสามารถมีชีวิตที่เหมาะสมสำหรับเรา และลูก ๆ ของเรา รัฐบาลตุรกีไม่ได้ให้เงินใดๆ แก่เรา และเราเองก็ไม่ได้ร้องขอให้รัฐบาลอุ้มชูเอา เพียงแค่นี้เราก็ยังรู้สึกขอบคุณต่ออัลลอฮ์ เรารู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองของประเทศที่มีสถานะอันยิ่งใหญ่ของเรา ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์สายสกุลอันมีเกียรติของเรา และการได้ทำงานสุจริตในประเทศของเรา
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านมีทรัพย์สินในตุรกีหรือไม่ครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : ใช่ เรามีทรัพย์สินในตุรกี และจนถึงตอนนี้เรายังไม่ได้อ้างสิทธิ์ สิ่งที่เราขอจากรัฐบาลได้แก่ การระบุทายาทของสุลต่านอับดุลฮามิด – ขอให้อัลลอฮ์ทรงเมตตาท่าน – และในอนาคตเราจะเดินเรื่องขอคืนที่ดินของเราที่ถูกยึดครองโดยตระกูลใหญ่บางตระกูลในตุรกี
  • วารสารอัลมุจตะมะ : สุลต่านอับดุลมาจิด อาศัยอยู่ในซาอุดิอาระเบียและถูกฝังในอัลบะเกียะ ตระกูลสุลต่านอับดุลฮามิดเป็นอย่างไรบ้าง ? มีการพบปะกันบ้างไหม?
  • เจ้าชายฮารูน : สายสกุลของสุลต่านอับดุลฮามิด กระจัดกระจายอยู่ในหลายส่วนของโลก วันเวลาได้ทำร้ายต่อพวกเขา ชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนไป และสภาพของพวกเขาเปลี่ยนไป บางคนอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร บางส่วนอยู่ในเยอรมนี และขอบคุณต่ออัลลอฮ์ ที่ปู่ของผมเลือกที่จะอยู่ในเลบานอน ดินแดนอิสลาม ภายใต้บรรยากาศอิสลาม
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านตอบโต้การใส่ร้ายป้ายสีต่อสุลต่านอับดุลฮามิดและอาณาจักรคอลีฟะฮ์ออตโตมันหรือไม่?
  • เจ้าชายฮารูน : อิลฮาน สุลตอน ลูกสาวของผม ได้เขียนหนังสือ 3 เล่ม และกีฮาน พี่ชายของผม เขียนหนังสือ 2 เล่มเพื่อตอบโต้ต่อการใส่ร้ายป้ายสี ในวงการสื่อ เราเป็นที่รู้จักกันดี เราได้ดำเนินคดีต่อศาลฟ้องร้องผู้ที่ดูหมิ่นสุลต่านอับดุลหะมีด ลูกสาวของผมชนะมาแล้ว 4 คดี
  • วารสารอัลมุจตะมะ : แล้วเรื่อง “ซีรี่ส์สุลต่านอับดุลฮามิด”?
  • เจ้าชายฮารูน : ผมเป็นที่ปรึกษาในการทำซีรีย์นี้ และเราใส่ข้อมูลเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่แท้จริงในช่วงเวลานั้นมากกว่า 60% ของซีรี่ส์ ส่วนเหตุการณ์ที่เหลือของซีรีส์ มาจากจินตนาการของการละคร
  • วารสารอัลมุจตะมะ : สุลต่านอับดุลฮามิด มีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อชาวยิวเป็นอย่างมาก ดังนั้น ตอนนี้ท่านมองสถานการณ์ของชาวยิวอย่างไรในปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง?
  • เจ้าชายฮารูน : จุดยืนเหล่านี้ของท่านสุลต่าน เริ่มขึ้นในปลายศตวรรษที่สิบเก้าต่อมา หลังจากปี 1917 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และออตโตมันต้องออกจากปาเลสไตน์และประเทศอาหรับอื่นๆ ผู้นำอาหรับหรือผู้นำอิสลามก็ไม่สามารถรักษาปาเลสไตน์เอาไว้ได้เหมือนกับที่ออตโตมันรักษาไว้เป็นเวลานานหลายศตวรรษ จุดยืนของแอร์โดฆานกับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาก็เป็นจุดยืนที่น่ายกย่องที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้อย่างภาคภูมิใจในตัวผู้นำมุสลิมท่านนี้ และแน่นอนว่าเราจะไม่เปรียบเทียบท่านกับสุลต่านอับดุลฮามิด ในการเผชิญหน้ากับกลุ่มไซออนิสต์ที่นำโดยเฮอร์เซิล และการปฏิเสธที่จะให้ปาเลสไตน์แก่พวกเขา
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านได้ทำสารคดีเกี่ยวกับสุลต่านอับดุลฮามิดหรือไม่ ?
  • เจ้าชายฮารูน : ผมได้ทำสารคดีในเรื่องนี้ 2 ตอน ระยะเวลาของแต่ละตอน 22 นาที และผมได้ลงใน YouTube สารคดีนี้พูดถึงชีวิตของสุลต่านอับดุลฮามิด ผมสัมภาษณ์อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่สุดในประวัติศาสตร์ของตุรกี 14 ท่าน และการสัมภาษณ์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านมีทรัพย์สินในปาเลสไตน์หรือไม่ครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : สำหรับเรื่องทรัพย์สิน มันเป็นหัวข้อที่ยืดยาว และเป็นประเด็นทางการเมือง และการเจาะลึกเข้าไปในประเด็นนี้จะสร้างปัญหาใหญ่ให้แก่เรา ความจริง ดินแดนรอบ ๆ เยรูซาเล็มเป็นสมบัติของสุลต่านอับดุลฮามิด และท่านสุลต่านยังมีทรัพย์สินอยู่ในเมืองเคอร์คุกในอิรัก และกอมิชลี และเดรซูร์ ในภาคเหนือของซีเรีย สุลต่านรู้ว่าดินแดนนี้มีน้ำมันและก๊าซ และท่านซื้อโดยไม่แน่ใจว่ามันมีน้ำมันหรือก๊าซหรือไม่ แต่ความรู้สึกเป็นแรงบันดาลใจให้ซื้อมัน และเรามีเอกสารยืนยันกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเหล่านั้น และท่านสุลต่านยังมีทรัพย์สินในฉนวนกาซาอีกด้วย
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านสามารถเรียกร้องทรัพย์สินเหล่านั้นคืนมาได้หรือไม่ครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : เราไม่สามารถเรียกร้องได้ แม้แต่ศาลระหว่างประเทศก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ เพราะว่า -ด้วยความเสียใจอย่าง- ในช่วงเวลาที่ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี จักรวรรดิออตโตมันก็พ่ายแพ้ในการสู้รบทางทหาร และทำให้ต้องสูญเสียไปบนโต๊ะเจรจา ในขณะที่การดำเนินคดีในศาลระหว่างประเทศ ต้องใช้สำนักงานทนายความใหญ่ๆ จึงจะดำเนินคดีได้
  • วารสารอัลมุจตะมะ : ท่านได้รับการต้อนรับจากชาวคูเวตอย่างไรบ้างครับ ?
  • เจ้าชายฮารูน : จริง ๆนะครับ ผมรู้สึกประหลาดใจกับการต้อนรับที่ดี และมันก็เป็นความประหลาดใจที่มีเกียรติสำหรับผม ! ผมเห็นความรักอันยิ่งใหญ่ในหัวใจคนมากมาย และผมยังคงจดจำช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความรักและความเสน่หาที่เราได้รับ และผมขอแสดงความเคารพต่อประชาชนชาวคูเวตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ และในอดีตระหว่างผมและกษัตริย์จาบีร – ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาท่าน- มีการติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงการบุกของอิรัก ผมส่งจดหมายไปให้แก่พระองค์ บอกว่า ผมเป็นหลานชายของสุลต่านอับดุลฮามิด และบอกว่า ผมเสียใจที่พระองค์ต้องออกจากคูเวต พระองค์ได้ตอบจดหมายของผมด้วยดี และผมยังคงเก็บไว้จนถึงตอนนี้

เขียนโดย Ghazali Benmad

อ่านต้นฉบับ
http://mugtama.com/reports/item/97442-2020-01-06-06-19-00.html?fbclid=IwAR2WZJRl_3xiallr530mr9HcMxTSB4hoFtOmzr3jKDHOObILcWUdiQcMKaU

เรื่องเล่าชายแดนใต้ (1)

ผมเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อไอกูบูหมู่ที่ 1 ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ติดถนนจารุเสถียร ห่างจากเมืองนราธิวาสไปทางสุไหงปาดีประมาณ 40 กม. ในอดีตหมู่ที่ 1 ประกอบด้วย 3 หมู่บ้านคือตลิ่งสูง ไอกูบูและป่าหวาย

อาจเป็นเพราะไอกูบูตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้าน ทำให้ทางการเลือกแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านที่มาจากหมู่บ้านไอกูบู โดยมีคุณตาเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ปัจจุบันทั้ง 3 หมู่บ้าน ได้แยกส่วนบริหารต่างหากแล้ว

ไอกูบูมีประชากรมุสลิม 100 % แต่มีช่วงหนึ่งที่บริษัทโรงโม่หินจากสุไหงโกลก มาตั้งบริษัทระเบิดหิน ซึ่งห่างจากบ้านผมไม่ถึง 100 เมตร ผมจึงโชคดีที่ได้ยินเสียงระเบิดหินจากภูเขาหลังบ้านดังตูมตามวันละ 2 ครั้ง ทั้งเที่ยงและเย็นมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งสะเก็ดหินได้ตกมาหน้าบ้านพอทำให้ตกใจเล่น ส่วนเสียงโม่หินจากโรงงานนั้น ก็ได้สร้างสีสันดังครึกโครมทั้งวัน หากวันไหนโรงงานหยุด จะรู้สึกเงียบเหงาชอบกล ราวกับว่าใช้ชีวิตบนโลกอีกใบ

ครอบครัวผมและเพื่อนบ้าน จึงได้รับมลพิษทางเสียง อากาศและสภาพจิตใจนานเกือบ 30 ปีจนกระทั่งบริษัทเลิกกิจการไป เพราะไม่มีหินให้ระเบิด

ตลอดระยะเวลาดังกล่าว มีชาวบ้านเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่เป็นลูกจ้างบริษัทนี้ คนงานส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธที่มาจากภาคใต้ตอนบนกว่า 10 ครอบครัว บางครอบครัวมาจากอีสาน

บ้านป่าหวายในอดีต มีชาวพุทธอาศัยเกือบ 100% ส่วนบ้านตลิ่งสูงเป็นหมู่บ้านพหุวัฒนธรรมโดยแท้จริง เพราะมีมุสลิมและพุทธอาศัยอยู่ในอัตราส่วน 80 : 20 ชาวพุทธที่เป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านนี้ จึงสามารถพูดภาษามลายูท้องถิ่นได้คล่องแคล่ว บางคนมีชื่ออิสลามที่ชาวบ้านตั้งให้ เช่น เจ๊ะดือราแม เจ๊ะเต๊ะ เป็นต้น

เจ๊ะดือราแม เป็นชาวตลิ่งสูงโดยกำเนิดจึงสามารถพูดมลายูได้ดี ส่วนเจ๊ะเต๊ะ มีบ้านเกิดที่ป่าหวาย พูดมลายูไม่ได้แต่ฟังมลายูรู้เรื่อง ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อที่พูดไทยไม่ได้ แต่ฟังคนแหลงใต้รู้เรื่อง

ผมยังจำได้ว่าทุกครั้งที่ 3 เกลอนี้เจอกันซึ่งส่วนใหญ่จะใช้แคร่หน้าบ้านเป็นที่นัดพบ ผมจะได้ยินเสียงภาษาสนทนาที่แปลกประหลาดมาก คนหนึ่งพูดมลายูท้องถิ่นในฐานะเจ้าภาพ อีกคนแหลงใต้เสียงดังฟังชัด และอีกคนพูดมลายูท้องถิ่นสำเนียงใต้

ยิ่งบางวันที่ สองเกลอต่างถิ่น นัดขี่จักรยานมาชวนคุยหน้าบ้านในสภาพที่ทั้งสองหน้าแดงก่ำพร้อมกลิ่นเหล้าฟุ้งกระจาย บรรยากาศก็จะเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

ผมจึงมีโอกาสซึมซับบรรยากาศความผูกพันของสหายรักต่างศาสนิกตั้งแต่เยาว์วัย

ทั้ง 3 หมู่บ้านนี้มีโรงเรียนประถมที่สร้างขึ้น ณ ที่ดินที่อยู่ระหว่างหมู่บ้านไอกูบูกับหมู่บ้านตลิ่งสูง โดยที่ดินของโรงเรียนอยู่ในเขตหมู่บ้านตลิ่งสูงจึงตั้งชื่อว่าโรงเรียนบ้านตลิ่งสูง อยู่ใกล้บ้านประมาณ 800 ม.

ผมเรียนระดับประถม ป.1 ถึง ป.4 ที่โรงเรียนแห่งนี้ สมัยนั้นมีครูวิบูลย์ บุญรอด เป็นครูใหญ่ (ชาวบ้านเรียกติดปากว่าครูแดง มีภรรยาเป็นครูเช่นกัน ชาวบ้านเรียกว่าครูแมะแย) ทั้งสองพูดภาษามลายูได้คล่องแคล่ว และค่อนข้างสนิทสนมกับคุณพ่อเช่นกัน

ตั้งแต่ ป.1 ถึง ป.4 ทุกครั้งที่เปิดเรียนวันแรก คุณพ่อจะต้องลางานประจำคือกรีดยาง เพราะต้องจูงผมไปห้องเรียนแต่เช้าและคุยกับครูประจำชั้นว่า ขอเลือกที่นั่งให้ลูกชายนั่งข้างหน้าสุดและขอให้มีเพื่อนที่เป็นเด็กพุทธนั่งข้างๆ ด้วย ผมจึงนั่งติดกับเด็กชายสมนึก ลินิน (เพื่อนๆเรียกไอ้หมึก) จากบ้านตลิ่งสูง จนกระทั่งจบป. 4 จำได้ว่าตลอดการเรียน เราผลัดกันได้ที่ 1 ที่ 2 ของห้องมาโดยตลอด

ครั้งหนึ่ง ช่วงเรียน ป.4 ผมได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนนักเรียนแข่งขันประจำอำเภออ่านบทร้อยกรองทำนองเสนาะ เรื่องรามเกียรติ์ โดยสามารถเอาชนะไอ้หมีกได้ ทั้งๆที่ในโรงเรียนมีครูที่มีนามสกุลลินินกันหลายคน

ท่อนที่ว่า บัดนั้น พระยาพิเภกยักษี เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี …….ทั้งท่อน ผมจึงสามารถท่องขึ้นใจจนกระทั่งปัจจุบัน

ผมจึงมีโอกาสพูดคุยและสนทนาโดยใช้ภาษาไทยมากกว่าเพื่อนๆในห้อง ซึ่งถือเป็นผลพวงของยุทธศาสตร์อันเเยบยลของคุณพ่อนั่นเอง

ในอดีต ขณะที่สังคมยังไม่รู้จักคำว่าพหุวัฒนธรรม สังคมสมานฉันท์และเอื้อ อาทร แต่วิถีชีวิตของเราได้กลมกล่อมจนซึมซับความหมายเหล่านั้นให้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตโดยไม่รู้ตัว

แต่ทุกอย่างได้ผันแปรไปตามกาลเวลา คำว่าสังคมพหุวัฒนธรรมนำสันติสุข เป็นเพียงวาทกรรมที่ถูกกล่าวถึงในเวทีสัมมนาที่เมืองกรุงหรือที่รีสอร์ทตามชายหาดเท่านั้น

เราอาจทะเลาะ จนถึงขั้นชกต่อยกันบ้างตามประสาเด็กๆในวัยเรียน แต่พรุ่งนี้ เราก็กอดคอเล่นเป่ายางเส้นกันเช่นปกติ เหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้นมาก่อน

เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง ได้รับการบ่มเพาะอย่างกว้างขวาง ที่นับวัน ยิ่งแตกกิ่งก้านขยายผลอย่างน่ากลัว

จากเพื่อนบ้านเรือนเคียงที่ใช้ชีวิตอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยและยิ้มแย้มถามไถ่ระหว่างกัน บัดนี้อุดมด้วยความหวาดระแวงและลอบทำร้าย จนกระทั่ง ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่า บางฝ่ายกำลังจงใจจุดไฟด้วยการสร้างข่าวลือ ข่าวเท็จ ปลุกปั่น ปั้นน้ำเป็นตัวด้วยความอคติและอวิชา บาดแผลที่ไหลรินอย่างยาวนานอยู่แล้ว กลับถูกซ้ำเติมอย่างไร้จรรยาบรรณที่สุด

ถึงกระนั้นก็ตาม ผมจะไม่มีวันลืมบรรยากาศเก่าๆอันสวยงามที่เคยสัมผัสในวัยเด็ก และหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า สักวันมันจะหวนกลับมาอีกครั้ง

ยกเว้นเสียงระเบิดของโรงโม่หินหลังบ้าน

พร้อมนี้ ใคร่เชิญชวนพี่น้องร่วมรับฟังอนาชีด Airkubu : Desaku tercinta ที่อธิบายถึงการเติบโตของเยาวชนไอกูบู ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์และความสวยงามของธรรมชาติ การถ้อยทีถ้อยอาศัยและความสามัคคีของชาวบ้าน จนเกิดชุมชนสันติสุขและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ