ปาเลสไตน์ แผ่นดินไร้ประชาชาชน เพื่อทรชนที่ไร้ดินแดน

ไทม์ไลน์การกำเนิดของรัฐหนึ่ง พร้อมกับการสูญหายของอีกรัฐหนึ่ง ท่ามกลางการรู้เห็นของสหประชาชาติ การเงียบงันของโลกอิสลาม และความทุกข์ทรมานของชาวปาเลสไตน์

ปาเลสไตน์ ต้นกำเนิดแห่งวาทกรรม “แผ่นดินซึ่งผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ มอบให้กับผู้ไม่มีสิทธิครอบครอง”

จากคำประกาศบัลโฟร์ 1917 จนถึง ข้อตกลงแห่งศตวรรษ 2020

มหากาพย์แห่งการปล้นประเทศยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายตามมายาคติ ที่ ระบุว่าอิสราเอล คือ แผ่นดินจากไนล์ถึงยูเฟรทีส

ยอดผู้เสียชีวิตเหยื่อไวรัสโคโรน่าพุ่ง คนติดเชื้อกว่าหมื่นรายทั่วจีน

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน ( NHC) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 2,590 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 45 ราย ณ วันเสาร์(1ก.พ.)โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดถูกพบในมณฑลหูเป่ย์

การพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม ทำให้ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตเพราะไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในจีนเพิ่มเป็น 304 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 14,380 ราย

ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่จีนถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากประเทศต่างๆพากันคุมเข้มด้านการเดินทางของชาวจีนที่จะเข้าประเทศ แม้ว่าองค์การอนามัยโลก(WHO)จะออกประกาศคำแนะนำเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ออกมาและย้ำว่าขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะจำกัดการค้าขายหรือการเดินทางไปยังประเทศจีน

อ้างอิง https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/864621

สันนิบาตอาหรับประชุมฉุกเฉิน ปฏิเสธแผนสันติภาพสหรัฐฯ

สันนิบาตอาหรับได้ประชุมฉุกเฉิน ที่กรุงไคโร เมื่อวันที่ 1 กพ. 2563 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมาขิกสันนิบาตอาหรับเข้าร่วมประชุม ตามคำเชิญของนายมะห์มูด อับบาสผู้นำปาเลสไตน์ เพื่อกำหนดท่าทีหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯนายโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศแผนสันติภาพมอบปาเลสไตน์ให้แก่อิสราเอล

ที่ประชุมมีมติคัดค้านแผนสันติภาพดังกล่าวและถือว่าขัดแย้งกับข้อตกลงสันติภาพและกฎหมายสากลรวมทั้งฝ่าฝืนมติสหประชาขาติ

นายมะห์มูด อับบาส ผู้นำปาเลสไตน์ได้ประกาศจะตัดความสัมพันธ์กับอิสราเอลและรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเด็นความมั่นคง แต่ในขณะเดียวกันนายมะห์มูด อับบาส กล่าวว่าชาวปาเลสไตน์พร้อมประกาศให้ปาเลสไตน์เป็นเขตปลอดอาวุธตามข้อเสนอของทรัมป์ เพราะการใช้กองกำลังทางอาวุธไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

สันนิบาตอาหรับมักจะมีมติคัดค้านแผนสันติภาพสหรัฐฯ-อิสราเอลมาโดยตลอด แต่ทั่วโลกยังกังขาว่า มติดังกล่าวมีผลในภาคปฏิบัติหรือไม่ และสร้างแรงกดดันให้สหรัฐฯและอิสราเอลมากน้อยแค่ไหน

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

อ้างอิงจาก https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/2/1/%D9%81%D9%84%D8%B3%D8%B7%D9%8A%D9%86-%D8%B5%D9%81%D9%82%D8%A9-%D8%A7%D9%84%D9%82%D8%B1%D9%86-%D8%A7%D9%84%D8%AC%D8%A7%D9%85%D8%B9%D8%A9-%D8%A7%D9%84%D8%B9%D8%B1%D8%A8%D9%8A%D8%A9

แผนปล้นปาเลสไตน์ของกลุ่มสุดโต่ง

การร่วมมือจมหัวจมท้าย ระหว่างกลุ่มอีวานเจลิคัล Evangelicalism คริสต์อเมริกาขวาจัดกับยิวขวาจัด ในแผนปล้นแห่งศตวรรษ

*
สรุปสาระสำคัญบทความเรื่อง Israel’s hard-right and US Evangelicals unite for the heist of the century ใน TRT WORLD โดย Antony Loewenstein นักข่าวอิสระ อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม
*

ประธานาธิบดีทรัมป์ของอเมริกาประกาศล่าสุด ถึงข้อตกลงแห่งศตวรรษเพื่อสร้างสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ที่เข้าข้างอิสราเอลอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ไม่ตอบรับข้อเสนอขั้นต่ำของชาวปาเลสไตน์ที่จะตั้งรัฐอิสระที่มีเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง

ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ประธานาธิบดีอเมริกาจะประกาศข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลและอาหรับ ในวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา อีลอน เลวี่ Eylon Levy นักข่าวชาวอิสราเอลได้โพสต์ข้อความว่า “จำเป็นจะต้องลดความคาดหวังสำหรับข้อเสนอที่จะมีขึ้น” อีลอน เลวี่ยังกล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดที่จะแก้ไขข้อพิพาทได้ เราหวังเพียงแต่ว่าข้อเสนอที่จะมีขึ้นนั้น สามารถลดข้อพิพาทลงบ้างเล็กน้อย”

อีลอน เลวี่ยังกล่าวว่า “การยึดครองจะไม่มีวันสิ้นสุดลง แต่จะลดน้อยลงบ้างหรือไม่เท่านั้น อย่าได้ถามว่าชาวปาเลสไตน์จะได้เสรีภาพหรือไม่ แต่จงถามว่าเพราะเขาจะมีเสรีภาพมากขึ้นหรือไม่ เราจะต้องคิดบนข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ไม่ใช่บนฐานการแบ่งแยกประเทศ”

สิ่งที่เลวี่เขียน ได้อธิบายหลักคิดชาวอิสราเอลมากมาย ทั้งในกลุ่มผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นสายกลางและต่อต้านแนวคิดตกขอบ

แผนสันติภาพของทรัมป์ จะเป็นที่พึงพอใจให้แก่ชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใดๆ สิทธิพิเศษของเขาจะไม่ลดลง พวกเขาสามารถเดินทางข้ามพรมแดนได้โดยอิสระ และมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองของพลเรือน

ทั้งยังจะได้รับการต้อนรับในเวทีนานาชาติ รัฐบาลและเผด็จการทั่วโลก จะชื่นชมกับวิถีของอิสราเอลในการในการยึดครองปาเลสไตน์ในลักษณะนี้

ในขณะเดียวกัน ชาวปาเลสไตน์ไม่มีโอกาสได้ใช้สิทธิ์ใดๆ เหมือนชาวอิสราเอลดังกล่าว

ความจริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า ข้อตกลงสันติภาพที่ทรัมป์ได้นำเสนอ ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้ที่ติดตามเส้นทางของรัฐบาลอเมริกาใน 3 ปีหลัง

ทรัมป์และนายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้เผยให้เห็นความฝันของกลุ่มอีวานเจลิคัล Evangelicalism คริสต์อเมริกาขวาจัดชาวอเมริกา และกลุ่มอิสราเอลหัวรุนแรง และกลุ่มนิคมชาวอิสราเอล และ เบนนี่ เกนทซ์ หัวหน้าฝ่ายค้านอิสราเอล ในเอกสารฉบับเดียว

แผนสันติภาพดังกล่าวได้ยืนยันว่า ชาวยิวทุกคนในนิคมชาวยิว จะยังคงอยู่ในบ้านของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนิคมที่มีการพัฒนาโดยสมบูรณ์ หรือว่าที่กำลังเริ่มก่อสร้างอย่างเร่งด่วยในเขต West Bank ที่อิสราเอลจะทำการยึดในอนาคตหลังจากนี้ และอัลกุดส์จะตกอยู่ภายใต้ อำนาจของอิสราเอลโดยสมบูรณ์

แต่ปัญหาอยู่ที่ชาวปาเลสไตน์ไม่มีความหวังใดๆ ที่จะได้รับความยุติธรรมในข้อเรียกร้องที่ชอบธรรม และผู้นำอาหรับส่วนใหญ่จะปฏิเสธแผนสันติภาพนี้ในทางพิธีการ แม้ว่าพวกเขายังต้องการที่จะร่วมมือกับอิสราเอลในการทำสงครามทางอุดมการณ์กับอิหร่าน

ในขณะที่สหภาพยุโรปเองก็มีความแตกแยก แต่จะมีเสียงสนับสนุนอิสราเอลในการตั้งอาณานิคมมากขึ้น แม้ว่าอาจจะได้ยินเสียงคัดค้านจากประเทศที่สำคัญเช่น เบลเยี่ยม แต่จะเห็นการสนับสนุน โดยสมบูรณ์จากประเทศอื่นๆ ที่มีแนวคิดเช่นเดียวกับอิสราเอล รวมถึงอังกฤษ

ซึ่งรัฐบาลปาเลสไตน์และกลุ่มฮามาสก็ได้ปฏิเสธแผนดังกล่าวแล้ว

ถึงกระนั้น ชาวยิวในนิคมหัวรุนแรงก็ยังปฏิเสธแผนของทรัมป์ เช่นกลุ่มผู้หญิงเขียว ที่สนับสนุนการตั้งนิคมชาวยิว แถลงว่า แผ่นดินของอิสราเอลเป็นแผ่นดินเฉพาะสำหรับชาวยิว และจะไม่อนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่โดยเสรีในแผ่นดินนี้

แผนสันติภาพของทรัมป์ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสันติภาพ หรือสร้างความพึงพอใจให้กับชาวปาเลสไตน์ซึ่งไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมการประกาศข้อตกลงดังกล่าวที่มีขึ้นในทำเนียบขาว ซึ่งเชลดอน อะเดลสัน พวกขวาจัดนายทุนใหญ่ของพรรครีพับลิกัน ผู้ที่ต้องการโจมตีอิหร่านด้วยนิวเคลียร์ นั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วย กลุ่มผู้ต่อต้านอิสลามและอาหรับ กลุ่มบ้าสงคราม นักสร้างความเกลียดชัง ตลอดจนกลุ่มอีวานเจลิคัล Evangelicalism คริสต์อเมริกาขวาจัด นายคนนี้คือหัวโจกการปล้นแห่งศตวรรษที่ทรัมป์ได้นำเสนอขณะนี้

มาไรฟ์ ซอนส์เซน นักเขียนยิวชาวอเมริกาคนดังได้โพสต์ข้อความ เมื่อได้สังเกตเห็นผู้เข้าร่วมในห้องเพื่อฟังคำปราศรัยของธรรมและเนทันยาฮูว่า “จดจำภาพนี้ไว้ให้ดี ภาพของไซออนิสต์อีวานเจลิคัลผู้นี้ ผู้ที่เชื่อว่าจะเกิดวันอวสานของโลกและการกลับมาของพระเยซูครั้งที่ 2 ที่จะนำไปสู่การทำลายล้างชาวยิวทั้งหมด เขานั่งอยู่กลางห้องที่รายรอบไปด้วยชาวยิว เขาปรบมือยามที่ผู้นำชาวยิวได้แสดงกิริยาท่าทางต่างๆ ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนไซออนิสต์แอนตี้เซมิติกผู้ต่อต้านยิว”

ทั้งนี้ เชลดอน อะเดลสัน ผู้นี้เป็นคริสต์ไซออนิสต์ระดับแกนนำ ผู้ข่มขู่ทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด

ถึงกระนั้น ในอิสราเอลก็ยังมีเสียงคัดค้าน ฮาไจ อิลอาด Hagai El Ad ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารข้อมูลสิทธิมนุษยชนในแผ่นดินที่ถูกยึดครอง Executive Director of Btselem เขียนหลังจากทรัมป์ได้ประกาศแผนดังกล่าวว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้ จะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงหรือไม่

เวลานี้มีคน 14 ล้านคน อาศัยอยู่ระหว่างแม่น้ำจอร์แดนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน 4 ล้านคนเป็นชาวปาเลสไตน์ ที่ไม่มีสิทธิทางการเมืองใดๆเลย เราอยู่ที่นี่ เรายังคงอยู่ที่นี่ภายใต้รัฐบาลในเยรูซาเล็ม รัฐบาลที่ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการที่จะให้การสนับสนุนชนชาติหนึ่ง ให้เอาเปรียบอีกชนชาติหนึ่ง ท่ามกลางการละเมิดสิทธิ์ที่ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

แล้วในอนาคต สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ในวันนี้ที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ หรือประเทศ แต่อยู่ในประเทศที่แบ่งแยกเชื้อชาติโดยสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดจะมาลบล้างความอดสูหรือความจริงอันนี้ได้ แต่ความจริงอันเจ็บปวดวันนี้ ทำให้เกิดความหวังขึ้นในอนาคต ความหวังเดียวที่จะทำให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริง อนาคตที่ไม่มีกลุ่มชนหนึ่งเหนือกว่ากลุ่มชนหนึ่ง และกดขี่อีกกลุ่มชนหนึ่ง แต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์ มีสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีให้กับทุกคนโดยเท่าเทียมกัน”

อิสราเอลวันนี้และพรุ่งนี้ จะยังคงเดินหน้าทำลายหมู่บ้านอาหรับเบดุอินต่อไป และจะยังคงกล่าวร้ายต่อนักการเมืองชาวปาเลสไตน์ และชาวปาเลสไตน์ในลุ่มน้ำจอร์แดนจะยังคงต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง โดยที่ไม่มีการทำร้ายต่อทหารและผู้ถิ่นฐานในนิคมชาวยิว

แม้ว่าทรัมป์อาจจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งในปีนี้ แต่ความคาดหวังก็เกี่ยวกับข้อเสนอของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตให้แก่ชาวปาเลสไตน์ก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น เพราะว่าประวัติของโจ บายเด้น มีเรื่องที่น่าวิตกกังวลอย่างมากมาย แม้ว่าจะมีความหวังอยู่บ้างกับ เบอร์นี่ เซนเดอรส์ ก็ตาม

แต่เราจะสิ้นหวังหรือไม่ ไม่มีวัน เพราะมีสงครามภายในสังคมยิวอเมริกา เกี่ยวกับความเห็นที่ว่าผู้ใดจะเป็นตัวแทนชาวยิวยุคใหม่ ซึ่งการต่อสู้นี้จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ขณะสิ้นสุดการแถลงข่าวของทรัมป์และเนทันยาฮูในกรุงวอชิงตัน จะได้ยินเสียงดนตรีในเพลง What a Wonderful World “โลกนี้ช่างแสนงามเหลือเกิน” ประกอบบรรยากาศท่ามกลางแขกเหรื่อกำลังแสดงความยินดีต่อกัน อันแสดงถึงการดูถูกดูแคลนชาวปาเลสไตน์อย่างชัดเจน

เขียนโดย Ghazali Benmad

อ่านบทความต้นฉบับ https://www.trtworld.com/opinion/israel-s-hard-right-and-us-evangelicals-unite-for-the-heist-of-the-century-33315

ปธน. ตูนีเซียระบุแผนสันติภาพทรัมป์คือ “อธรรมแห่งศตวรรษ”

ประธานาธิบดีตูนีเซีย นาย ไกส์ สะอีด ได้ให้สัมภาษณ์เนื่อง 100 วันหลังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีกรณีแผนสันติภาพทรัมป์ ว่า “ ข้อตกลงแห่งศตวรรษนี้ความจริงคือ อธรรมแห่งศตวรรษ ที่เป็นผลของการยึดครองของอิสราเอลต่อแผ่นดินปาเลสไตน์ที่ต่อเนื่องกันมา”

ประธานาธิบดีตูนีเซียยังยืนยันว่า การสร้างความสัมพันธ์อย่างปกติกับอิสราเอลถือเป็นการทรยศ และข้อตกลงนี้จะถูกปฏิเสธโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะปาเลสไตน์ไม่ใช่ไร่นาที่จะมีการซื้อขายได้ตามอำเภอใจของใครผู้ใด

อ้างอิง https://www.facebook.com/178851562816716/posts/493827284652474/?d=n

รายละเอียดข้อตกลงแห่งศตวรรษ (Deal of the Century)

ประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ แถลงรายละเอียดข้อตกลงแห่งศตวรรษ 10 ข้อเพื่อสร้างสันติภาพอิสราเอล -ปาเลสไตน์ พร้อมยืนยันว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีฝ่ายที่ยอมเสียสละ ซึ่งสหรัฐฯไม่ประสงค์ให้อิสราเอลเสียสละในเรื่องใดๆกรณีนี้

รายละเอียด 10 ข้อมีดังนี้
1.นิคมสร้างตนเองของอิสราเอลที่อยู่ในเขตเวสต์แบงค์ จะต้องผนวกรวมเข้าไปในเขตครอบครองของประเทศอิสราเอลเท่านั้น

2.ลุ่มแม่น้ำจอร์แดนที่อิสราเอลอ้างว่ามีความสำคัญต่อความมั่นคงของอิสราเอล ต้องเป็นเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิสราเอลเท่านั้น

3.อัลกุดส์จะต้องเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการแบ่งแยกฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกและเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลหนึ่งเดียวเท่านั้น

4.ประชาชนทุกศาสนามีอิสระเดินทางไปยังสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณอัลกุดส์ และจะยังอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจอร์แดนต่อไป

5.เมืองหลวงของชาวปาเลสไตน์ในอนาคต จะถูกกำหนดขึ้นใหม่ทางภาคตะวันออกหรือภาคเหนือของกำแพงที่ล้อมรอบอัลกุดส์ สถานที่แห่งใหม่นี้อาจตั้งชื่ออัลกุดส์ หรือชื่อใหม่ที่กำหนดโดยรัฐบาลปาเลสไตน์ในอนาคต

6.องค์กรฮามาสจะต้องปลดอาวุธ เช่นเดียวกับเขตกาซ่าและรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต จะต้องเป็นเขตปลอดอาวุธเช่นกัน

7.ถนนหรืออุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมระหว่างเขตเวสต์แบงค์และกาซ่า จะถูกสร้างขึ้นโดยให้อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของอิสราเอลเท่านั้น

8.ทั้งสองฝ่ายต้องให้การยอมรับรัฐปาเลสไตน์ใหม่ว่าเป็นรัฐของชาวปาเลสไตน์ และยอมรับรัฐอิสราเอลว่าเป็นรัฐของชาวอิสราเอลเท่านั้น

9.อิสราเอลจะไม่ดำเนินการก่อสร้างใดๆ ในเขตนิคมสร้างตนเองแห่งใหม่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิสราเอลเป็นเวลา 4 ปี พร้อมจะได้รับงบสนับสนุนเพื่อการพัฒนาจำนวน 50,000 ล้านดอลล่าร์

10. ชาวปาเลสไตน์ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องกลับสู่มาตุภูมิเดิม

อ้างอิง
https://arabic.cnn.com/middle-east/article/2020/01/29/here-are-key-points-trumps-plan

เนทันยาฮูขอบคุณชาติอาหรับ 3 ประเทศที่เป็นสักขีพยานข้อตกลงแห่งศตวรรษ (Deal of the Century)

นายกรัฐมนตรีอิสราเอลขอบคุณประเทศอาหรับ 3 ประเทศที่ร่วมเป็นสักขีพยานในข้อตกลงแห่งศตวรรษที่นำเสนอโดยประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เพื่อสร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง ที่ทำเนียบขาว เมื่อ 28 มกราคม 2563 พร้อมกล่าวชื่นชมแผนการดังกล่าวว่าเป็นแผนการสันติภาะแห่งประวัติศาสตร์

3 ประเทศที่นายเนทันยาฮูกล่าวขอบคุณคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมานและบาห์เรน ที่ได้ส่งทูตของตนที่ประจำกรุงวอชิงตันเข้าร่วมเป็นสักขีพยานครั้งนี้

อ้างอิง https://arabic.sputniknews.com/world/202001281044210807-%D9%86%D8%AA%D9%86%D9%8A%D8%A7%D9%87%D9%88-%D9%8A%D8%B4%D9%83%D8%B1-%D8%B3%D9%81%D8%B1%D8%A7%D8%A1-3-%D8%AF%D9%88%D9%84-%D8%B9%D8%B1%D8%A8%D9%8A%D8%A9-%D8%AD%D8%B6%D8%B1%D9%88%D8%A7-%D8%A5%D8%B9%D9%84%D8%A7%D9%86-%D8%AA%D8%B1%D8%A7%D9%85%D8%A8-%D8%B5%D9%81%D9%82%D8%A9-%D8%A7%D9%84%D9%82%D8%B1%D9%86-%D9%81%D9%8A-%D8%A7%D9%84%D8%A8%D9%8A%D8%AA-%D8%A7%D9%84%D8%A3%D8%A8%D9%8A%D8%B6/

ข้อตกลงแห่งศตวรรษ 2020 (Deal of the Century) รื้อฟื้นคำประกาศบัลโฟร์ 1917

สำนักข่าวอัลจาซีร่ารายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยแผนการตะวันออกกลางต่อสาธารณชนในวันที่ 28 ม.ค. 2020 ที่ทำเนียบขาวภายหลังรัฐบาลของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้เวลาร่างแผนดังกล่าวถึง 2 ปี โดยแผนการตะวันออกกลางจะเป็นแนวทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์

โดยปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้หารือถึงรายละเอียดของแผนการสันติภาพกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 ม.ค. 2020) โดยภายหลังการหารือดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวชื่นชมแผนการดังกล่าวว่าเป็นแผนการสันติภาพแห่งประวัติศาสตร์

แผนสันติภาพหรือข้อตกลงแห่งศตวรรษครั้งนี้ ทำให้โลกอิสลามนึกถึงคำประกาศบัลโฟร์ที่รัฐบาลอังกฤษโดยรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษสมัยนั้น นายอาเธอร์ บัลโฟร์ได้พิมพ์ข้อความจำนวน 67 คำส่งไปยังบิดาแห่งไซออนนิสต์ นายธิวดอร์ เฮิรติเซิล ซึ่งมีสาระหลักมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิว สร้างตำนาน ”สัญญาจากผู้ที่ไม่ใช่เป็นเจ้าของมอบให้กับผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง” ที่กลายเป็นปฐมเหตุแห่งความขัดเเย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อจนกระทั่งปัจจุบัน

ช่วงแถลงข่าว ประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดเผยว่า แผนสันติภาพที่มีเนื้อหา 80 หน้านี้ ถือเป็นหลักไมล์สำคัญของการสร้างสันติภาพและมีความแตกต่างกับแผนการที่ผ่านมา เรามีวิสัยทัศน์อันชัดเจนว่า อัลกุดส์คือเมืองหลวงของอิสราเอลอันเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น เขายืนยันว่า สันติภาพมีความจำเป็นที่คู่กรณีต้องเสียสละ แต่เราจะไม่เรียกร้องให้อิสราเอลเสียสละใดๆเพื่อสร้างสันติภาพ

ทรัมป์ได้กล่าวถึงผลงานตนเองที่สร้างคุณประโยชน์มากมายให้แก่อิสราเอลอาทิ ย้ายสถานทูตสหรัฐฯไปยังอัลกุดส์รวมทั้งยอมรับที่ราบสูงโกลานให้เป็นกรรมสิทธิ์ถาวรของอิสราเอล

ทรัมป์เปิดเผยว่าตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมาแผนสันติภาพดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามาก บัดนี้ได้เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชาวปาเลสไตน์ที่จะปกครองแผ่นดินโดยสมบูรณ์ที่สามารถขยายเพิ่มขึ้นมากมายหลายเท่า

ทรัมป์ได้สัญญาจะมีการลงทุนเพื่อพัฒนาปาเลสไตน์ด้วยวงเงินจำนวน 50,000 ล้านดอลล่าร์ พร้อมยืนยันว่ากลุ่มต่อต้านแผนสันติภาพนี้โดยเฉพาะกลุ่มฮามาสและญิฮาดอิสลามจะต้องยุติบทบาทลง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อตกลงนี้จัดขึ้น ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิสราเอลที่ทำเนียบขาว โดยไม่มีคู่กรณีสำคัญคือผู้แทนของชาวปาเลสไตน์เข้าร่วมแม้แต่คนเดียว ซึ่งทำให้เรานึกถึงสัญญาบัลโฟร์ที่เกิดขึ้นในปี 1917 หลังเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อกว่า 100 ปีที่ผ่านมา

ข้อตกลงแห่งศตวรรษครั้งนี้ มีชาติอาหรับส่งผู้แทนระดับเอกอัครราชทูตร่วมเป็นสักขีพยาน 3 ประเทศคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรนและโอมาน ส่วนประเทศอาหรับอื่นๆต่างส่งสัญญาณที่ดีและชื่นชมกับความสำเร็จของข้อตกลงครั้งนี้ ในขณะที่สันนิบาตอาหรับ องค์การความร่วมมืออิสลามหรือโอไอซี ยังไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ

ทั้งนี้ทางสหรัฐไม่สามารถหาข้อยุติของรายละเอียดแผนการสันติภาพได้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากอิสราเอลมีปัญหาทางด้านเสถียรภาพทางการเมือง โดยส่งผลให้นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ไม่สามารถรวมเสียงข้างมากเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งส่งผลต่อความล่าช้าในการหาข้อสรุปต่อแผนการดังกล่าว

จากการขาดผู้ชนะที่เด็ดขาดในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ส่งผลให้อิสราเอลจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีนี้ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่าปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมืองยังคงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อต่อไป ดังนั้นทางสหรัฐฯ จึงเชิญผู้นำทางการเมืองของอิสราเอลมาหารือ เพื่อให้การจัดทำแผนสันติภาพสามารถหาข้อยุติได้

ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังต้องการสร้างหลักประกันว่า ตนสามารถรักษาตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในการเลือกตั้งสมัยหน้า

ทางด้านประธานาธิบดีแอร์โดอานแห่งตุรกีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลตุรกี ได้แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับแผนสันติภาพนี้ พร้อมยืนยันว่าอัลกุดส์คือเส้นแดงที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้

โดยทีมงานต่างประเทศ

ลิงค์อ้างอิง
https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/1/28/%d8%a3%d9%85%d9%8a%d8%b1%d9%83%d8%a7-%d8%b5%d9%81%d9%82%d8%a9-%d8%a7%d9%84%d9%82%d8%b1%d9%86-%d8%ae%d8%b7%d8%a9-%d8%aa%d8%b1%d8%a7%d9%85%d8%a8-%d9%81%d9%84%d8%b3%d8%b7%d9%8a%d9%86-%d8%a5%d8%b3%d8%b1%d8%a7%d8%a6%d9%8a%d9%84?fbclid=iwar1ftjkghfniwd4jegjeevlb18_uc3ucrvj55oguzmfrf2gkgwfdwvixbu0

https://www.bbc.com/thai/international-41862209?fbclid=IwAR3l8_v5hTy26HyNcpLUx2m-VkCJn3uJcutfdAdEgrEgZHeLPEQuHHIOn5M

กงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ให้การต้อนรับ รศ.ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดี มฟน.

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 เวลา 15.00 น. นายสรจักร บูรณะสัมฤทธิ กงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์ ได้ให้การต้อนรับ รศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี และคณะ ณ ที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ฯ

โดยทั้งสองฝ่ายได้สนทนาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในด้านความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยฯ กับสถานกงสุลใหญ่ฯ ทั้งนี้ กงสุลใหญ่ได้แสดงความขอบคุณอธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี ที่รับนักศึกษาที่สำเร็จหลักสูตรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษจากศูนย์การเรียน กศน. ณ เมืองเจดดาห์ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสถานกงสุลใหญ่ฯ จำนวน 2 คน เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฯ ในระดับอุดมศึกษา

ซึ่งอธิการบดีฯ ได้กล่าวชื่นชมสถานกงสุลใหญ่ฯ ที่จัดโครงการด้านการศึกษาแก่บุตรหลานและเยาวชนไทยที่อาศัยอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศซาอุดีอาระเบีย ทำให้เยาวชนไทยเหล่านี้มีโอกาสได้ไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของทางมหาวิทยาลัยฯ ที่ต้องการยกระดับให้เยาวชนไทยมุสลิมได้มีการศึกษาที่สูงและในหลากหลายสาขาวิชามากยิ่งขึ้น

ที่มา : The Royal Thai Consulate-General in Jeddah

รัฐบาลตุรกีร่างกฏหมายให้ผู้ชายข่มขืนสตรี อายุต่ำกว่า 18 ปี โดยไม่ผิดกฎหมายจริงหรือ?

การแพร่ข่าวลวงที่แฝงด้วยความอคติ อันตรายยิ่งกว่าไวรัสโคโรน่า (ไวรัสอู่ฮั่น)

จากกรณีเพจที่ใช้นามว่า CatDumb News ได้แพร่ข่าวที่อ้างจากสำนักข่าว The sun, Mirror,The Guardian,Independent และ Dailystar ซึ่งล้วนเป็นสำนักข่าวออนไลน์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศอังกฤษ ที่อคติต่อประชาชาติอิสลามและเป็นแหล่งที่มาของข่าวลวงที่ทำลายความน่าเชื่อถือและสร้างความปั่นป่วนในประเทศอิสลามโดยเฉพาะประเทศตุรกีมาโดยตลอด

โดยในครั้งนี้เพจ CatDumb News ซึ่งอ้างจากแหล่งข่าวดังกล่าวระบุว่า ตุรกีร่างกฏหมายใหม่ว่า “ผู้ชายสามารถหลีกเลี่ยงโทษข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีได้ ถ้าหากว่าแต่งงานกับเหยื่อ “ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียลที่ได้มีการคอมเม้นตท์ด่าทอประเทศตุรกีด้วยถ้อยคำรุนแรง หยาบคายและเต็มไปด้วยความอคติ

theustaz.com เห็นว่า การนำเสนอข่าวที่ไม่รอบด้านในลักษณะนี้ จะส่งผลร้ายต่อองค์ความรู้ของชาวไทยที่นอกจากทำลายภูมิปัญญาอันดีงามแล้ว ยังเป็นบ่อเกิดแห่งความอวิชชาและสะสมความเกลียดชังในสังคมอีกด้วย

theustaz.com จึงได้สัมภาษณ์อาจารย์อับดุลเอาวัล ศิดดีก Abdulevvel Siddiq ดีกรีปริญญาโทจาก Marmara University และเคยใช้ชีวิตในกรุงอิสตันบูลเกือบ 20 ปีเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว ผลการสัมภาษณ์สรุปได้ดังนี้

1. การสมรสในประเทศตุรกีมี 2 ประเภทคือ 1) การสมรสที่มีการจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมายซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมายว่าด้วยครอบครัวและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งคือการกำหนดอายุของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง 2) การสมรสโดยยึดจารีตประเพณี ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสังคมอาหรับ แม้กระทั่งสังคมมลายูที่อนุญาตให้ลูกสาวแต่งงานได้ถึงแม้ยังไม่ถึงอายุ 18 ปีตามที่กฎหมายกำหนดก็ตาม

2. ประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์คือการสมรสในประเภทที่ 2 ซึ่งรัฐบาลตุรกีพยายามจัดระเบียบใหม่ด้วยการร่างกฏหมายคุ้มครองเด็กหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ถูกกระทำชำเราหรือล่วงละเมิดทางเพศ โดยผู้กระทำผิดสามารถแต่งงานกับผู้ถูกกระทำอย่างถูกต้องตามกฏหมายโดยคำพิจารณาของศาล ถึงแม้เด็กหญิงจะมีอายุต่ำกว่า 18 ปีก็ตาม ซึ่งในกฎหมายทั่วไปจะไม่เปิดช่องว่างนี้เลย

3. เมื่อทั้งคู่เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว หากเกิดการหย่าร้างภายหลัง ฝ่ายชายต้องรับผิดชอบอุปการะค่าเลี้ยงดูอดีตภรรยาของตนเอง จนกระทั่งนางเสียชีวิตหรือมีสามีคนใหม่ โดยอาศัยอำนาจการพิจารณาของศาลทั้งสิ้น

4. ในสังคมตุรกี มีหลายกรณีด้วยกันที่สามีถูกฟ้องร้องจนกระทั่งถูกศาลตัดสินให้เป็นคนล้มละลาย เพราะไม่สามารถจ่ายค่าเลี้ยงดูอดีตภรรยาตนเอง

5. กฎหมายตุรกียังระบุอีกว่า ภรรยามีสิทธิ์ฟ้องร้องสามีได้ หากนางเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยในชีวิตหรือถูกคุกคาม

6. การเปิดช่องว่างเรื่องอายุ ถือเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาลตุรกีที่จะลดปัญหาเรื่องการชู้สาว ปัญหาท้องก่อนแต่ง แม้กระทั่งปัญหาโสเภณี ซึ่งขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของกฎหมายเซคิวล่าร์ที่ต่อต้านการสมรสแต่กลับเพิกเฉยเรื่องการผิดประเวณี

7. สื่อตะวันตกไม่เคยเปิดโปงสตรีที่ถูกคุกคามทางเพศ จนกลายเป็นธุรกิจค้ากาม ธุรกิจค้ามนุษย์ที่มีอยู่เกลื่อนในสังคมโลก โดยเฉพาะสังคมยุโรป แต่กลับใส่สีตีไข่ในข้อปลีกย่อยของกฎหมายประเทศตุรกี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นการคุ้มครอง และปกป้องสตรีต่างหาก

8. แม้กระทั่งกฎหมายไทยที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาหน้า 129 เล่ม 136 ตอนที่ 69 ก ที่ระบุว่า “ให้ศาลพิจารณาให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้ “ ถามว่า รัฐบาลไทยสนับสนุนให้ผู้ชายข่มขืนหรือกระทำชำเราเด็กหญิงหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้แหล่ะ ที่รัฐบาลตุรกีกำลังแก้ไขอยู่

9. ขอฝากไปยังสังคมไทยและประชาชนชาวไทย ควรมีสติในการเลือกบริโภคข่าวในลักษณะนี้ เพราะจะเป็นการปลูกฝังความอคติและความเกลียดชังด้วยข้อมูลบิดเบือนและไม่รอบด้าน

ลิ้งค์ข่าวลวง https://www.facebook.com/CatDumbNews/posts/2885206004855503