มหัศจรรย์​แห่งผู้​สร้าง : อูฐ.. สุดยอดพาหนะ​แห่งทะเลทราย

ทะเลทรายดินแดนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 55 องศาเซลเซียส ไม่ต่างจากเตาอบขนาดใหญ่บนโลกใบนี้ พื้นทรายที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา นอกจากจะบรรจุความร้อนไว้เต็มที่แล้ว ก็ยังอาจมีพายุทรายที่พัดอย่างรุนแรง จนสามารถทำอันตรายต่อดวงตาได้ นอกจากนี้ พายุทรายยังอาจพัดทรายเข้าจมูกจนถึงหายใจไม่ได้อีกด้วย บางคนจึงเรียกทะเลทรายว่าแดนมรณะ ซึ่งก็น่าจะจริง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเดินทางฝ่าทะเลทราย

พาหนะที่ใช้ในทะเลทรายจำเป็นต้องถูกออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจง มีการป้องกันเป็นอย่างดี ถึงจะใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมอันหฤโหดเช่นนี้ มันจะต้องถูกออกแบบมาให้ใช้ได้ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดและมีการป้องกันไม่ให้ทรายเข้าไปสร้างความเสียหายได้เมื่อเกิดพายุทราย

นอกจากนี้ ผู้ที่คิดจะสร้างพาหนะที่เดินทางฝ่าทะเลทรายไปได้โดยลำพัง จะต้องทำให้มันเดินทางได้ไกลๆโดยใช้พลังงานเพียงน้อยนิดและไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อยๆ สิ่งที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสมดังกล่าวไม่ใช่ยานยนต์ชนิดใดๆเลย แต่เป็นสัตว์ที่เรียกว่า”อูฐ” นั่นเอง

อูฐรับใช้ชาวทะเลทรายมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายศตวรรษและเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของทะเลทราย

ความร้อนในทะเลทรายเปรียบเสมือนเพชฌฆาตที่คร่าทุกชีวิตได้อย่างง่ายดาย นอกจากกิ้งก่าและแมลงตัวเล็กๆแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะมีชีวิตอยู่รอดกลางทะเลทรายได้อีกนอกจาก​อูฐ

อูฐเป็นสัตว์ใหญ่ชนิดเดียวที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางความหฤโหดของสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ อัลเลาะห์ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสร้างอูฐให้มีคุณสมบัติพิเศษในการที่จะมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายสุดขีดแบบนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างมันขึ้นมาเพื่อประดับประดาทะเลทรายเท่านั้น แต่จะอำนวยให้มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากมันอย่างมากมาย ดังที่ทรงยกสิ่งถูกสร้างต่างๆมากล่าวไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานให้มนุษย์ได้คิดใคร่ครวญพิจารณาถึงการมีอยู่ของพระผู้ทรงสร้าง  หนึ่งในนี้คืออูฐ

(أَفلا يَنظُرُونَ إِلى الإِبِلِ كَيْفَ خُلِقَتْ)

พวกเขาไม่พิจารณาดูอูฐดอกหรือว่ามันถูกวันเกิดมาอย่างไร (อัล-ฆอซียะห์ : 17)

หากเราได้พิจารณาดูอูฐดังที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ จะพบว่าคุณสมบัติที่พระผู้สร้างมอบให้แก่มันนั้น มีความเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายอย่างน่าอัศจรรย์ เราจะเห็นถึงรายละเอียดต่างๆของความมหัศจรรย์แห่งการสร้างที่สำคัญที่สุดเพื่อใช้ชีวิตท่ามกลางความร้อนระอุก็คือการดื่มน้ำเพื่อดับกระหาย ซึ่งน้ำและอาหารคือสิ่งที่หาได้ยากยิ่งท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ฉะนั้นสัตว์ชนิดใดก็ตามที่จะมีชีวิตอยู่ได้ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ จะต้องมีความทนทานต่อความหิวความกระหายได้อย่างทรหดอดทนที่สุด และแน่นอนอูฐถูกสร้างให้เป็นสัตว์ที่มีความทรหดที่สุดชนิดหนึ่งในโลก

อูฐสามารถมีชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุโดยไม่ต้องกินและดื่มเลยติดต่อกันเป็นเวลา 8 วัน และเมื่อใดก็ตามที่มันไปเจอแหล่งน้ำอันแสนจะหายากกลางทะเลทราย มันก็มีความสามารถในการดื่มกินเข้าไปเป็นจำนวนมาก เพื่อสำรองไว้เป็นเสบียง อูฐสามารถกินน้ำได้มากมายคิดเป็นน้ำหนักถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักตัวของมันภายในเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้นนั่นหมายถึงว่ามันกินน้ำได้มากถึง 130 ลิตรภายในครั้งเดียว อวัยวะส่วนที่อูฐใช้เก็บน้ำก็คือโหนกซึ่งมีไขมันสะสมอยู่มากถึง 40 กิโลกรัม และโหนกนี้แหละที่ทำให้อูฐอยู่ในทะเลทรายได้เป็นวันๆโดยที่ไม่ต้องกินหรือดื่มอะไรเลย

อาหารกลางทะเลทรายส่วนใหญ่จะแห้งและมีหนามแหลมคม แต่พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงสร้างกระเพาะอาหารและระบบการย่อยอาหารของอูฐให้รองรับกับสภาพอาหารที่โหดร้ายต่ออวัยวะภายในเช่นนี้ได้ ฟันและปากของมันถูกสร้างมาให้เคี้ยวหนามที่แหลมคม กระเพาะก็ถูกออกแบบมาให้ทนทานและย่อยกิ่งไม้ได้แทบทุกชนิดที่มีในทะเลทราย

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ความอันตรายอีกประการหนึ่งของทะเลทรายก็คือพายุทราย เมื่อต้องเผชิญกับพายุทะเลทรายที่มีทรายเม็ดเล็กๆนับล้าน ซึ่งอาจทำให้ดวงตาบอดได้ แต่อัลเลาะห์ผู้​ทรงเมตตาได้สร้างระบบป้องกันดวงตาจากเม็ดทรายให้กับอูฐ โดยให้อูฐมีเปลือกตาที่พิเศษกว่าสัตว์อื่นคือ ให้เปลือกตาที่ปิดลงมากั้นทรายจำนวนมากจากพายุนั้นทนทานและปกป้องดวงตาของมันอย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นเปลือกตาของมันยังมีลักษณะโปร่งใส เพื่อให้มันสามารถมองเห็นได้ แม้ในขณะที่ปิดเปลือกตา ทั้งนี้เพื่อป้องกันเม็ดทรายมิให้เข้ามาทำลายดวงตา นอกจากนี้ยังให้มันมีขนตาที่ยาวและหนาเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่งด้วย

จมูกของอูฐก็ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษแบบที่สัตว์ชนิดอื่นไม่สามารถเลียนแบบได้อีกเช่นกัน โดยเมื่อมีความจำเป็นต้องเผชิญกับพายุทะเลทราย จมูกของมันจะสามารถยื่นมาปิดรูจมูกได้สนิทจนเม็ดทรายจากพายุไม่สามารถเล็ดลอดผ่านเข้าไปได้

สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดของพาหนะที่เดินทางในทะเลทรายก็คือการติดหล่ม ซึ่งทำให้เคลื่อนตัวไปไหนไม่ได้อีกต่อไปแต่อูฐปลอดจากความเสี่ยงนี้ ถึงแม้ว่าในบางครั้งมันต้องบรรทุกสัมภาระหนัก 100 กิโลกรัม

ทั้งนี้เพราะเท้าของอูฐได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อใช้เดินบนทรายโดยเฉพาะ โดยให้มีนิ้วเท้าที่มีขนาดใหญ่ซึ่งใช้งานได้เหมือนกับรองเท้าที่ใช้ใส่เดินบนหิมะ ทำให้เท้าของอูฐไม่จมลงในพื้นทราย ขาที่ยาวทำให้ลำตัวของอูฐอยู่ห่างจากพื้นทรายที่ร้อนระอุ ลำตัวของอูฐมีขนที่แข็งและดกหนาเพื่อป้องกันจากแสงแดดที่แผดเผา แล้วเมื่อตกค่ำก็ช่วยป้องกันมันจะอากาศที่หนาวเย็นลง บางส่วนบนผิวหนังของอูฐถูกสร้างให้มีความหนาเพื่อเป็นฉนวนกันความร้อน ทำให้มันสามารถนั่งอยู่บนผืนทรายที่ร้อนได้ จุดที่เป็นหนังหนาอยู่นี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากการนั่งหลายๆครั้ง จนเกิดเป็นหนังหนาด้านขึ้น แต่มันมีอยู่แล้วตั้งแต่มันคลอดออกมา การสร้างที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเฉพาะเจาะจงเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสมบูรณ์ของการสร้างของพระผู้สร้าง เมื่อเราพิจารณาถึงลักษณะเฉพาะของอูฐด้านต่างๆ เช่น ระบบพิเศษที่ถูกสร้างให้กับอูฐให้ทนต่อความกระหายน้ำ

โหนกที่ทำให้มันเดินทางได้โดยไม่ต้องกินอาหารและน้ำ

โครงสร้างของเท้าที่ทำให้เท้าไม่จมลงในทราย หนังตาที่ใสและขนตาที่ปกป้องดวงตาของอูฐจากเม็ดทราย

จมูกที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้ทรายที่พัดมากับพายุเข้าไปได้

โครงสร้างของริมฝีปากและฟันที่ทำให้อูฐกินกิ่งไม้ที่แข็งและแหลมคมได้ ระบบการย่อยที่สามารถย่อยได้ทุกอย่าง

หนังหนาที่เป็นเหมือนฉนวนกันผิวหนังจากความร้อนระอุของผืนทราย

ขนที่ถูกออกแบบสร้างมาอย่างพิเศษที่ช่วยป้องกันทั้งอากาศร้อนและหนาว

สิ่งต่างๆที่เป็นปรากฏการณ์เหล่านี้ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่เป็นหลักฐานอันชัดเจนที่ชี้ให้เห็นถึงความสามารถอันล้ำเลิศเหนือคำบรรยายใดๆ อัลลอฮ ซุบหานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงสร้างอูฐเพื่อให้มันเป็นสุดยอดพาหนะกลางทะเลทราย เพื่ออำนวยให้มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากมันด้วยความเมตตาของพระองค์และเพื่อเป็นหลักฐานอันแจ้งชัดถึงการมีอยู่และความยิ่งใหญ่ของพระองค์


อ้างอิง

http://midad.com/article/219378/%D8%A7%D9%84%D8%A5%D8%B9%D8%AC%D8%A7%D8%B2-%D8%A7%D9%84%D8%B9%D9%84%D9%85%D9%8A-%D9%81%D9%8A-%D9%82%D9%88%D9%84%D9%87-%D8%AA%D8%B9%D8%A7%D9%84%D9%89-%D8%A3%D9%81%D9%84%D8%A7-%D9%8A%D9%86%D8%B8%D8%B1%D9%88%D9%86-%D8%A5%D9%84%D9%89-%D8%A7%D9%84%D8%A5%D8%A8%D9%84-%D9%83%D9%8A%D9%81-%D8%AE%D9%84%D9%82%D8%AA?fbclid=IwAR1AysW1O51NBnRj-X-cYKKMfYKLn3JO_7A4agmEAJG5-FfOsrPYoHHQYRU

แปลโดย Ismail Rao

IZNOGOUD … วัฒนธรรมการสร้างความเกลียดชังของชาติยุโรปที่มีต่ออิสลาม

Iznogoud เป็นสำนวนฝรั่งเศส มีความหมายในภาษาอังกฤษคือ It’s no good หรือไม่มีอะไรดี เป็นซีรีส์การ์ตูนฝรั่งเศสที่มีตัวละครในตำนานซึ่งสร้างโดยนักเขียนการ์ตูน René Goscinny และศิลปินการ์ตูน Jean Tabary ซีรีส์การ์ตูนเล่าถึงชีวิตและช่วงเวลาของ Iznogoud ผู้สำคัญตนเป็นรองคอลีฟะฮ์แห่งกรุงแบกแดดในอดีต ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการแทนที่คอลีฟะฮ์

 Iznogoud เป็นวลีที่นำมาใช้ในภาษายุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศส เพื่อแสดงถึงลักษณะของคนที่ทะเยอทะยานมากเกินไป เขา ได้รับการสนับสนุนจากบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของเขาชื่อ Wa’at Alahf (What a laugh หรือไอ้ตัวตลก) ทั้งสองมีบุคลิกที่ดูซื่อบื้อ ทึ่มทื่อ ใฝ่สูง ชอบความหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ ใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินสนุกสนานกับเหล่านารี

Iznogoud เป็นตัวละครที่ได้รับการดีไซน์ด้วยหน้าตาที่ค่อนข้างอัปลักษณ์ มีจะงอยปากคล้ายจะงอยปากนก มีเครายาวแหลม โพกสัรบั่นและเสื้อคลุมคล้ายชุดของคอลีฟะฮ์ ส่อเจตนาของผู้สร้างที่ต้องการโยงใยให้เป็นอัตลักษณ์ของคนอาหรับหรือชาวมุสลิม ซึ่งมีบุคลิกของคนที่มีนิสัยซื่อบื้อแต่ทะเยอทะยาน ใฝ่สูง บางครั้ง Iznogoud ถูกวาดพร้อมชูดาบที่มีหยาดเลือดและศพที่ถูกสังหารด้วยวิธีตัดคอ

ชาติยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศสจึงใช้บุคลิกของ Iznogoud เพื่อดูหมิ่นอิสลามจนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังลึกในเจตคติที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าในตำนาน ซึ่งต่อมามีการพัฒนาจนกลายเป็นการ์ตูนซีรีส์ และถูกเผยแพร่ไปยังทั่วโลก

ท่านผู้อ่านลองจินตนาการดูว่า หากมีประเทศอิสลามสร้างการ์ตูนซีรีย์ที่มีตัวละครใส่ชุดเหมือนกษัตริย์หรือบรรดาขุนนางยุโรปในอดีต แต่มีบุคลิกที่ดูซื่อบื้อ ตะกละ ใฝ่สูง มักมากในกาม ใจโฉดชั่ว แล้วนำไปเผยแพร่ทั่วโลก ถามว่า โลกตะวันตกจะมีปฏิกิริยาเช่นไร


ตัวอย่างซีรีส์ Iznogoud

อ้างอิง

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Iznogoud

โดย Mazlan Muhammad

ออตโตมันโฟเบีย : โรดแมปโลกใหม่ของอิสลาม ตุรกี อาหรับ และตะวันตก

***

ศาสตราจารย์ ดร.มุฮัมมัดฮาบีบ อัลมัรซูกีย์

นักคิดตูนีเซีย

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญตูนีเซีย

อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยตูนีเซีย

และมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติ มาเลเซีย

 ***

การที่ประเทศกรีซกลัวความก้าวหน้าและความทะเยอทะยานของตุรกีที่จะกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่และบทบาทเหมือนเช่นในอดีต เป็นที่เข้าใจได้  เพราะกรีซยังไม่ลืมว่าในอดีตยุคหนึ่งเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมัน แม้จะลืมไปว่าออตโตมันได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่พวกเขา อันเป็นไปตามหลักการศาสนาอิสลาม  ที่ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความคลั่งในศาสนาคริสต์ออโตด๊อกซ์ของพวกเขา

การที่ฝรั่งเศสหวาดกลัวตุรกีด้วยเหตุผลเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากฝรั่งเศสยังไม่ลืมว่าความใฝ่ฝันของบรรพบุรุษของพวกเขาจบลงพร้อมกับการเข้ามาของออตโตมัน แม้ว่าฝรั่งเศสจะลืมไปว่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้รับการคุ้มครองโดยอาณาจักรออตโตมันเช่นกัน

การที่โปรตุเกสกลัวตุรกีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะอาณาจักรออตโตมันเป็นผู้ขับไล่พวกเขาออกจากอ่าวอาหรับ ทะเลแดง และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

การที่เยอรมันกลัวออตโตมัน ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้ทำให้กษัตริย์ชาร์ล  ที่ 5 ผู้สถาปนายุโรปสมัยใหม่  ต้องถูกขับไล่พ้นไปจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และออตโตมันยังทำให้สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นกับอาหรับในแอนดาลุสเซียสิ้นสุดลง และยับยั้งแผนการของไกเซอร์ในภูมิภาคนี้

การที่ชนชาติเปอร์เซียกลัวตุรกีก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะว่าพวกเขาต่อต้านอิสลามสายสุนหนี่มาตลอด ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน และไม่มีใครกำหราบพวกเขาได้  ยกเว้นเซลจู๊กเติร์กในยุคแรก และออตโตมันเติร์กในยุคหลัง

แต่การที่อิสราเอลกลัวตุรกีเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้เลย ยกเว้นเรื่องของการ ไม่รู้จักบุญคุณคนและอันธพาลทางเชื้อชาติ เพราะว่าออตโตมันเป็นผู้คุ้มครองยิวในโลกในช่วงสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และสงครามศาสนาในยุคครูเสด

ที่ยิ่งไม่เข้าใจไปกว่านั้น คือการที่ชนชั้นปกครองของอาหรับกลัวตุรกี และมุ่งมาดปรารถนาที่จะต่อต้านทำลายตุรกี

เป็นปริศนาที่ยากจะเข้าใจ เป็นเรื่องที่ อาหรับคนหนึ่ง หากว่ามีความเป็นลูกผู้ชายแม้เพียงสักเศษเสี้ยว ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์อุมัยยะฮ์หลักและอุมัยยะฮ์สายย่อย หากว่าไม่มีเติร์กช่วยคุ้มครองไว้ อาหรับก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้มาถึงวันนี้

หากไม่มีออตโตมัน มุสลิมสุนหนี่และอาหรับก็จะไม่มีหลงเหลืออีก

หากไม่มีออตโตมัน ก็จะไม่มีมุสลิมสักคนคงเหลือในภูมิภาคอาหรับ เพราะว่า สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่เกิดขึ้นยุคนั้น-หมายถึงอาหรับในแอนดาลุสเซีย- ร้ายแรง ยิ่งกว่าสงครามครูเสดเพราะสงครามครูเสดเกิดขึ้นในยุคที่อิสลามเจริญสูงสุดและเข้มแข็งที่สุด ในขณะที่ สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้นับถือศาสนาอิสลามในแอนดาลุสเซีย เกิดขึ้นในช่วงที่อาหรับตกต่ำที่สุด ทั้งทางจิตวิญญาณและวิทยาการทางวัตถุ

หากว่าไม่มีออตโตมัน แน่นอนพื้นที่ทะเลในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด ก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของโรมันเหมือนเช่นในอดีต ที่ทะเลแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาโรมันว่า “ทะเลมารานุตรา” และกษัตริย์ชาร์ล ที่ 5 ต้องการเข้ามาปกครองเหมือนเช่นในอดีตอีกครั้ง

เขตทะเลอาหรับ ทะเลแดง และอ่าวเปอร์เซีย  ก็เช่นเดียวกัน  หากว่าข้อตกลงสัญญาพันธมิตรระหว่างซาฟาวิดและโปรตุเกส เกิดขึ้นจริงอย่างที่คาดหวัง แน่นอนอิหร่านปัจจุบันก็จะได้ครอบครองเขตพื้นที่ทั้งหมดที่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของเปอร์เซียโบราณก่อนอิสลาม รวมถึงเขตอาณานิคมของไบเซนไตน์

อิสราเอลปัจจุบัน มาแทนที่อาณาจักรไบแซนไทน์ในอดีต และรัสเซีย โดยวลาดิเมียร์ปูติน อาจวางแผนที่จะฟื้นคืนบทบาทไบเซนไทน์ในภูมิภาคนี้ในอดีตเช่นกัน

แต่ที่สามารถเข้าใจได้ก็คือ  จุดยืนของผู้ปกครองโลกอาหรับปัจจุบัน ย่อมเป็นจุดยืนโดยธรรมชาติของผู้ปกครองที่ อังกฤษแต่งตั้งขึ้น เพื่อการทรยศหักหลังออตโตมัน และเป็นพันธมิตรร่วมกันโค่นอาณาจักรออตโตมันในอดีต

และเข้าใจได้ว่าอาหรับชาตินิยมบางกลุ่ม และซากเดนของเผด็จการฟาสซิสต์ และกลุ่มซ้ายจัดที่เป็นทาสของเผด็จการทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในอาหรับอย่างเดียว

เข้าใจได้ที่คนเหล่านี้ล้วนหวาดกลัวต่อการหวนคืนของตุรกีสู่การเป็นอิสลามเหมือนเช่นบรรพบุรุษ รวมถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้หมายถึง  ความเพ้อฝันของอาหรับเหล่านั้น ที่จะใช้ชีวิต อย่างเกษมสำราญ บนเปลือกของเศษซากของอารยธรรม อ้างว่าเป็นความทันสมัยและวัฒนธรรมยุคใหม่ ทั้งๆที่ความจริงแล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของการแสวงหาความสุขสำราญไปวันๆ

ผู้เขียนไม่เคยเห็นชนชั้นนำของประเทศไหนที่โง่เง่าเช่นนี้ ที่เห็นว่าความทันสมัย คือการใช้ชีวิตในฐานะผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิตที่มีเกียรติศักดิ์ศรี  มีจิตวิญญาณเสรี และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ใด

สิ่งที่ไม่เข้าใจอีกประการหนึ่งคือ ทั้งๆ  ที่ตุรกีไม่มีอะไรน่ากลัวสำหรับชาวอาหรับ ถ้าหากพวกเขามีสมองเพียงเล็กน้อย เพียงแค่รวมรัฐเล็กๆ 4 รัฐในโลกอาหรับ ก็เพียงพอที่จะสามารถเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งอำนาจทางทหารที่ทัดเทียมกับตุรกีหรือมากกว่าเป็นเท่าตัว  เพราะรายได้มวลรวม GDP ของประเทศเหล่านั้นมีมากกว่าล้านล้านดอลลาร์

เพียงแค่พวกเขามีความใฝ่ฝันเหมือนบรรพบุรุษ ก็จะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นเด็กๆ ไร้สมองของพวกเขา เพราะรายได้จีดีพีของพวกเขาเหนือกว่าจีดีพีของตุรกี

จริงๆ แล้วอาหรับไม่จำเป็นต้องกลัวตุรกี แต่สามารถใช้เป็นที่พึ่ง ปกป้องประชาชาติอิสลามในโลกอาหรับรวมถึง ประชาชาติทั้งมวล ตั้งแต่อาหรับภาคตะวันตกไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย รวมถึงมุสลิมพลัดถิ่นในพื้นที่ต่างๆทั่วโลกหากว่าอาหรับผู้สถาปนารัฐอิสลามยุคแรกและตุรกีผู้พิทักษ์ยุคหลัง จับมือกันจริงๆ เหมือนเช่นในอดีต

หากทว่าในความเป็นจริง บรรดาผู้นำอาหรับ -ไม่รวมประชาชนชาวอาหรับ -ที่ไร้ความใฝ่ฝันกลับชอบที่จะแตกแยก

พวกเขามี 2 กลุ่ม  กลุ่มทาสและกลุ่มผู้อยู่ภายใต้อารักขา

ผู้นำอาหรับส่วนหนึ่งเป็นทาสของซาฟาวิด  บางส่วนเป็นทาสของไซออนิสต์ พวกเขาจ่ายค่าคุ้มครองอีก  2 เท่า ให้แก่รัสเซียและอเมริกา ตลอดจนแขนขาของทั้งสอง ทั้งอิหร่านและอิสราเอล  และมีความสุขอยู่กับการกลับไปสู่ความแตกแยกเหมือนชนเผ่าอาหรับโบราณ

สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้ปกครองอาหรับในวันนี้ กดขี่ประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ มีการอุปโลกน์ผู้นำจอมปลอมและพวกกเฬวรากให้กลายเป็นวีรบุรุษกลวงๆ ให้เป็นชนชั้นนำทางการเมืองและทางการศึกษา  ทั้งๆที่ ผู้นำเหล่านั้นนำพาประเทศไปสู่ความตกต่ำ ความใฝ่ฝันสูงสุดของผู้นำเหล่านั้นคือการรับเอาความเจริญรุ่งเรืองที่ผิดที่ผิดทาง  เนื่องจากพวกเขาคิดว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นสิ่งของสำเร็จรูปที่สามารถนำเข้ามาได้  พวกเขายังสับสน ยังเข้าใจผิดคิดว่านั่นเป็นความเจริญ

อัลลอฮ์สร้างคนมาหลากหลายประเภทจริงๆ


ถอดความโดย Ghazali Benmad

มุสลิมอุยกูร์…ชะตากรรมสีเทาบนแผ่นดินสีแดง ของชนชาติมุสลิมที่ถูกกลืน

เรามักได้ยินข่าวคราวของชาวมุสลิมอุยกูร์ที่ต้องเผชิญชะตากรรมลำบากในประเทศจีนอยู่บ่อยครั้ง แต่หลายคนอาจสงสัยว่าชาวอุยกูร์คือใคร? พวกเขาเป็นคนจีนแต่ดั้งเดิมหรือไม่? และหากเป็นคนจีน ทำไมพวกเขาถึงต้องถูกละเมิดสิทธิ์จากรัฐบาลของตัวเองด้วย? Gulnaz Uyghur นักเขียนและนักเคลื่อนไหวอิสระชาวอุยกูร์ มีเรื่องราวและข้อเท็จจริงของชาวอุยกูร์มาบอกเล่าให้ฟังกัน

#รู้จักชาวอุยกูร์

ชาวอุยกูร์คือชนเชื้อสายเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม ครั้งหนึ่งในอดีตพวกเขาเคยมีประเทศเป็นของตัวเองที่รู้จักกันในนาม “เตอร์กิสถานตะวันออก” บรรพบุรุษของชาวอุยกูร์ร่ำรวยซึ่งวัฒนธรรม พวกเขารักการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันโดดเด่นที่มีลวดลายงดงามเป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ชาวอุยกูร์รักงานประพันธ์บทกลอนกวี ชื่นชอบการประดับตกแต่งมัสยิดให้สวยงามและน่าอยู่ พวกเขาเคร่งครัดในบัญญัติศาสนาอิสลาม มีความพิถีพิถันในศาสตร์การปรุงอาหาร และมีความสุขกับการใช้ชีวิตในดินแดนมาตุภูมิที่ร่ำรวยซึ่งอารยธรรมที่พวกเขาได้ดำรงรักษาด้วยหัวใจสืบทอดกันมา

แต่แล้ววันนี้ แผ่นดินมาตุภูมิแห่งเตอร์กิสถานตะวันออกกลับต้องตกอยู่ในสภาพที่บอบช้ำดั่งมีโซ่ตรวนมาล่ามไว้ อัญมณีล้ำค่าของแผ่นดินกลับถูกปล้นสะดม ความเรืองรองในอดีตถูกลบล้างด้วยหมึกสีแดง หมึกสีเลือดที่แปดเปื้อนด้วยฝีมือของรัฐบาลจีน

เหตุการณ์น่าสลดทั้งหมดเริ่มอุบัติขึ้นเมื่อปี 1949 เมื่อประธานาธิบดีเหมา เจ๋อ ตุง ได้ออกคำสั่งให้กองทัพปลดปล่อยประชาชน (People’s Liberation Army: PLA) เข้าไปบุกรุกดินแดนในประเทศเตอร์กิสถานตะวันออก แม้ว่าดินแดนแห่งนั้นจะมีความแตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่มากมายทั้งในด้านภาษา,วัฒนธรรมและวิถีชีวิต แต่สิ่งที่ทางการจีนหมายตาคือทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์บนแผ่นดินผืนนั้น ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรจากการล่าอาณานิคมทั่วไปที่ล้วนหมายปองความมั่งคั่งในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่ถูกยึดครอง นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งวันที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีหม่นเทา วันที่น้ำในบ่อเริ่มแห้งเหือดหายไป …

.

จากนั้นไม่นานทางการจีนก็เริ่มผลักไสไล่ส่งชาวอุยกูร์ให้ออกจากพื้นที่ที่เป็นบ้านเกิดของตนเอง เนื่องจากต้องการขยายอาณาเขตดังกล่าวให้เป็นแหล่งโรงงานของประเทศจีน บ้านเกิดเมืองนอนที่บรรพบุรุษของชาวอุยกูร์เคยหวงแหนและร่วมสร้างร่วมทุกข์สุขด้วยกันมา บ้านเมืองที่เคยรุ่งเรืองในอดีตเหล่านั้นกลับถูกลิดรอนไปด้วยน้ำมือของคนแปลกหน้า ชาวอุยกูร์ต้องยอมจำนนจากการถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากในดินแดนที่ตนไม่เคยรู้จักคุ้นชินเลย พวกเขาถูกกดดันให้ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

หลังจากบุกรุกดินแดนและบ้านเมือง ทางการจีนก็เริ่มบุกรุกวิถีชีวิตของชาวอุยกูร์เป็นลำดับ พวกเขาเริ่มสร้างข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในวิถีอิสลาม ชาวมุสลิมอุยกูร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้ไว้เครา ห้ามคลุมศีรษะด้วยฮิญาบ ห้ามสอนอัลกุรอานให้ลูกหลาน หรือห้ามแม้กระทั่งแต่งงานกันด้วยพิธีในแบบอิสลาม และที่แย่ที่สุดคือทางการจีนบังคับให้หญิงสาวชาวอุยกูร์แต่งงานกับหนุ่มชาวจีนเชื้อสายฮั่นเพื่อละลายชาติพันธุ์เดิม

.

จากนั้นไม่นานทางการจีนได้เริ่มออกนโยบายให้ชาวจีนเชื้อสายฮั่นเข้ามาตั้งรกรากอยู่อาศัยในถิ่นฐานของชาวอุยกูร์มากขึ้น ธุรกิจของชาวจีนเริ่มครองเมือง ร้านรวงของชาวอุยกูร์เริ่มได้รับผลกระทบจนส่งผลให้สภาวะเศรษฐกิจของพวกเขาเริ่มแย่ลง การประกอบอาชีพและช่องทางทำมาหากินก็เริ่มถูกจำกัดและร่อยหรอลง จนชาวมุสลิมอุยกูร์บางส่วนต้องยอมจำนนต่อการรุกล้ำของชนชาวจีนด้วยการยอมรับปรับใช้วัฒนธรรมและภาษาของพวกเขาในที่สุด

กลุ่มคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมาไล่ล่าเก็บชีวิตชาวอุยกูร์อย่างไม่เกรงกลัวใคร ราวกับว่าเป้าหมายเดียวที่ต้องทำให้ได้คือเปลี่ยนชาวอุยกูร์ให้กลายเป็นชาวจีนทั้งบาง กว่าล้านชีวิตที่สูญเสียจากโศกนาฏกรรมป่าเถื่อนครั้งนั้นล้วนเป็นชาวมุสลิมอุยกูร์แทบทั้งสิ้น เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของชาวอุยกูร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปีสถานการณ์รุนแรงในสังคมของชาวอุยกูร์ก็ดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงไปทุกที นักเคลื่อนไหวชาวอุยกูร์กว่าหลายชีวิตถูกฆาตกรรม ถูกจำนองกักขังอย่างไร้สาเหตุ บ้างต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ หรือถูกทางการจีนอุ้มหายตัวไปก็มี

ทางการจีนจับตามองชาวอุยกูร์แทบทุกลมหายใจ การปราบปรามที่รุนแรงในแต่ละครั้งล้วนมีศาสนาเป็นข้ออ้างพื้นฐาน เนื่องจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีนไม่ต้องการให้ประชาชนศรัทธาต่อสิ่งอื่นใดนอกจากพรรคของตน ทางการจีนต้องการให้ชาวอุยกูร์เคารพบูชา “สี จิ้นผิง” มากกว่า “อัลลอฮ” พระเจ้าของชาวมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งหากใครได้มีโอกาสไปเยือนเตอร์กิสถานในปัจจุบัน (หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม “ซินเจียง”) คุณจะเห็นทหารจีนยืนอยู่แทบทุกซอกทุกมุม ที่นั่นมีด่านตรวจทุกระยะ 100 เมตร มีทหารคอยยืนตรวจการอยู่ทั้งนอกและในบริเวณมัสยิด หลายครั้งที่ชาวอุยกูร์ถูกเรียกให้ตรวจดีเอ็นเอโดยไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาถูกยึดพาสปอร์ต ทางเดียวที่พวกเขาสามารถออกนอกประเทศได้คือลักลอบหนีออกมาอย่างเสี่ยงชีวิต ปัจจุบันหญิงชาวอุยกูร์ถูกสั่งห้ามไม่ให้สวมเสื้อคลุมยาวหรือกระโปรงยาว สิ่งที่เห็นมากกว่าการรุกล้ำดินแดน คือการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคล

และดูเหมือนว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นยังไม่สาแก่ใจจอมเผด็จการอย่าง “สี จิ้นผิง” เมื่อทางการจีนออกมาตรการจับชาวอุยกูร์มาคุมขังไว้ในแคมป์ที่ไม่ต่างอะไรจากคุกนาซี แคมป์โหดแห่งนี้เป็นรู้จักกันในนาม “แคมป์ปรับทัศนคติ” เป็นที่ที่ชาวอุยกูร์จะถูกล้างสมองให้ลืมอิสลามและอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนเอง ชาวอุยกูร์ถูกจองจำในคุกนรกแห่งนี้กว่าล้านชีวิต นอกจากชาวอุยกูร์แล้วยังมีชาวคาซักสถานที่ถูกคุมขังในแคมป์แห่งนี้ด้วย ผู้รอดชีวิตจากแคมป์นี้ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันถึงภาพอันสุดแสนทรมานของพี่น้องชาวอุยกูร์ที่อยู่ในนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีภาพหลุดถึงความป่าเถื่อนของคุกแห่งนี้ที่ถ่ายได้จากสัญญาณดาวเทียม แต่ทางการจีนกลับปฏิเสธถึงความจริงดังกล่าว

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ชาวอุยกูร์พลัดถิ่นที่อาศัยกระจัดกระจายทั่วโลกต่างร่วมมือร่วมใจกันออกมาประท้วงเพื่อให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่น้องชาวอุยกูร์ในประเทศจีน ทุกคนต่างเฝ้ารอและวิงวอนให้ทางการจีนยกเลิกมาตรการแคมป์นรกนั้นโดยเร็วที่สุด และคืนแผ่นดินมาตุภูมิให้ชาวอุยกูร์ในเร็ววัน

Gulnaz Uyghur ยังได้มีข้อเสนอแนะในฐานะคนทั่วไปที่เริ่มเข้าใจถึงความเป็นไปของเหตุการณ์ในอุยกูร์ ว่าเราสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไรบ้าง การเผยแพร่ข่าวสารและเรื่องราวของชาวอุยกูร์ให้รู้เป็นวงกว้างเป็นการช่วยเหลือในระดับหนึ่ง เพราะความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ มีคนจำนวนไม่มากนักที่รู้เรื่องราวความเป็นไปที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์ในเมืองจีน หลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีชนกลุ่มน้อยอย่างชาวอุยกูร์เป็นเพื่อนร่วมโลกใบนี้.

Gulnaz Uyghur เสนอให้ประชาชาติทั่วโลกร่วมยกประเด็นอุยกูร์เป็นวาระที่เราทุกคนควรมีส่วนรู้เห็นและร่วมกันแก้ปัญหา ร่วมกันปลุกจิตสำนึกแห่งความเป็นเพื่อนมนุษย์ ให้โลกได้รับรู้ถึงความป่าเถื่อนและเห็นแก่ได้ของรัฐบาลจีนที่รุกล้ำล่วงละเมิดสิทธิของเพื่อนร่วมโลกอีกกว่าล้านชีวิต

เสนอให้ทุกคนร่วมกันปกป้องชาวมุสลิมอุยกูร์ที่เข้ามาลี้ภัยในพื้นที่ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าชาวอุยกูร์ที่เข้าไปหลบภัยต่างแดนต้องเจอกับสภาวะเครียดและกดดันในชีวิตเป็นอย่างมาก ลองเข้าไปยื่นความช่วยเหลือด้วยการถามไถ่ทุกข์สุขหรือรับฟังปัญหาของพวกเขาอย่างเป็นมิตร แสดงน้ำใจด้วยการหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะสามารถทำได้

และเหนือสิ่งอื่นใด อย่าลืมพี่น้องชาวอุยกูร์ในดุอาอ์ ให้พวกเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในดุอาอ์ที่เราวิงวอนต่อพระเจ้าในฐานะเพื่อนพี่น้องร่วมสายเชือกเดียวกัน


แปลและเรียบเรียง : Andalas Farr

ที่มา

https://themuslimvibe.com/muslim-current-affairs-news/why-are-uyghur-muslims-protesting-all-over-the-world-and-what-can-you-do-to-help-them

อัตลักษณ์ 7 ประการของชีอะฮ์อิมาม 12

อัตลักษณ์ 7 ประการ ของชีอะฮ์อิมาม 12 มีดังต่อไปนี้ :


1. ทรยศหักหลัง

เรื่องราวการทรยศหักหลังในประวัติศาสตร์อิสลาม ล้วนแล้วแต่มีมือทมิฬของกลุ่มชีอะฮ์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น ตั้งแต่การทรยศท่านอะลี บินอะบีฎอลิบ ท่านหะซันบินอะลีหรือแม้กระทั่งท่านหุเซ็นบินอะลี رضي الله عنهم  กลุ่มชีอะฮ์ยังทรยศต่อราชวงศ์บะนีอุมัยยะฮ์ เป็นหนอนบ่อนไส้ให้แก่กองทัพมองโกลบุกถล่มราชวงศ์บะนีอับบาสิยะฮ์ที่กรุงแบกแดด ชีอะฮ์อุบัยดียะฮ์(ฟาฏิมียะฮ์)ได้ร่วมมือกับกองทัพครูเสดเพื่อทำสงครามกับกองทัพศอลาฮุดดีน ชีอะฮ์เกาะรอมิเฏาะฮ์ได้ปล้นหินดำที่กะอฺบะฮ์ในปีฮ.ศ. 294 และยึดอยู่ในครอบครองนานกว่า 20 ปี พร้อมสังหารผู้ประกอบพิธีฮัจญ์อย่างโหดเหี้ยม กษัตริย์อิสมาอีล เศาะฟะวีย์ได้ร่วมมือกับแม่ทัพโปรตุเกส ในความพยายามขุดทำลายสุสานนบี แต่ไม่สำเร็จ พวกเขายังได้ประสานความร่วมมือกับกองทัพออสเตรียเพื่อประกาศสงครามกับกองทัพอุษมานียะฮ์ พวกเขาคือหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงประชาชาติอิสลามทุกครั้งยามที่มีโอกาส หรือไม่ก็เป็นเม็ดกรวดในรองเท้าที่คอยสร้างอุปสรรคในการเดินทางของประชาขาติอิสลามตลอดเวลา

แม้กระทั่งโคมัยนีผู้เคยประกาศว่าสหรัฐอเมริกาคือซาตานที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อปีค.ศ. 1985 โคมัยนีได้สร้างข่าวฉาวระดับโลกในคดี Iran – Contra Affair  ที่จับได้ว่าสหรัฐอเมริกาแอบส่งขีปนาวุธอันทันสมัยผ่านอิสราเอลให้เเก่อิหร่าน เพื่อสนับสนุนอิหร่านทำสงครามกับอิรัก ปีค.ศ. 1982 กลุ่มก่อการร้ายชีอะฮ์”อะมัล “(ความหวัง) แห่งเลบานอน ได้ร่วมมือกับกองทัพคริสเตียนสุดโต่ง ด้วยการสนับสนุนจากยิวสังหารชาวปาเลสไตน์ที่ค่ายอพยพศ็อบรอและชาติลลา เลบานอน หลังจากที่พวกเขาโอบล้อม ปิดตายค่ายนี้เพื่อสังหารชาวมุสลิมเป็นเวลานานถึง 3 วัน

ในปีค.ศ. 2003 กองทัพชีอะฮ์ได้กรีธาทัพบุกอิรักและเข่นฆ่าชาวสุนนะฮ์อิรักร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาออกมาขื่นชมว่า หากไม่มีกองหนุนจากอิหร่าน สหรัฐฯคงไม่มีโอกาสรับชัยชนะในสมรภูมิอิรัก

ในปีค.ศ. 2013 กองทัพชีอะฮ์บดขยี้กรุงดามัสกัสและเมืองต่างๆทั่วซีเรียจนแหลกลาญ แม้กระทั่งที่เยเมน กบฏชีอะฮ์ฮูซีย์ได้สร้างวีรกรรมเถื่อน จนเยเมนทั้งประเทศกลายเป็นรัฐแห่งความหวาดกลัวและสยดสยอง

ที่กล่าวมา เป็นเพียงแค่บางเสี้ยวบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รายงานทั้งหมด

2. เบี่ยงเบนทางเพศที่รุนแรง

ภายใต้กรอบศาสนาที่บิดเบี้ยว พวกเขาสามารถเป่าหูบรรดาสาวกให้เชื่อว่าการผิดประเวณีคือหนึ่งในการเคารพภักดีอันสุดประเสริฐ ภายใต้วาทกรรม”มุตอะฮ์” ชีอะฮ์สามารถประดิษฐ์ชุดความเชื่อที่โน้มน้าวให้บรรดาสาวกจมปลักในทะเลอารมณ์ทางเพศอย่างเบิกบานสบายอุรา

“น้ำแต่ละหยดที่ชาวมุตอะฮ์ใช้เพื่ออาบน้ำญะนาบะฮ์ จะกลายเป็น 1 มะลาอิกะฮ์ที่กล่าวขออภัยโทษแก่ผู้ทำมุตอะฮ์จนกระทั่งวันกิยามะฮ์ “ มีในตำราชีอะฮ์ที่อุปโลกน์คำพูดของนบีที่กล่าวความว่า “ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 1 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฮุเซ็น ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 2 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าหะซัน ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 3 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าอะลี และผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 4 ครั้ง เขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฉัน”

ถามว่า แล้วหากมีคนทำมุตอะฮ์มากกว่า 5 ครั้ง เขาจะประเสริฐยิ่งกว่านบีเชียวหรือ (ขอให้อัลลอฮ์ทรงคุ้มครองจากความเชื่ออันพิเรนท์นี้ด้วยเถิด)

https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=ymvJ-CAFcTs

(อ่าน http://www.alkalema.net/sharaf/sharaf4.htm)

นี่คือข้ออ้างบางส่วนที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำอันผิดจรรยาบรรณของความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศาสนาไหนสั่งสอน ยกเว้นลัทธิโซโรเอสตอร์ที่มีอิทธิพลยุคเปอร์เซียในอดีตเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ปัญหาโสเภณีและเรื่องการนอกใจระหว่างสามีภรรยา จึงเป็นเหตุการณ์ปกติในสังคมชีอะฮ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาได้จาบจ้วงและใส่ร้ายครอบครัวของนบีว่า มีภรรยาใจคดและไม่ซื่อสัตย์ต่อนบี ดังนั้นอัลลอฮ์จึงลงโทษให้ครอบครัวของพวกเขาเป็นผู้แบกรับการใส่ร้ายนี้ไว้บนบ่าของพวกเขาเอง ซึ่งถือเป็นการลงโทษอันสาสมแล้ว เพราะการตอบแทนจะคู่ควรกับผลการกระทำเสมอ والجزاء من جنس العمل

3. อาฆาตแค้นต่อชาวอาหรับ

พวกเขาถือว่าชาวอาหรับเป็นสาเหตุที่ทำให้อาณาจักรเปอร์เซียอันยิ่งใหญ่ในอดีตต้องล่มสลาย เริ่มต้นตั้งแต่นบีฯ บรรดาเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน ราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ และราชวงศ์บนีอับบาสิยะฮ์ล้วนแล้วแต่เป็นชาวอาหรับที่ลบล้างอดีตอันรุ่งโรจน์ของอาณาจักรเปอร์เซีย ความอาฆาตเเค้นนี้เปรียบเสมือนไฟที่ไม่เคยดับมอด จนกระทั่งกลายเป็นกองเพลิงที่พร้อมเผาไหม้ชาวอาหรับทุกคนให้แหลกเป็นจุณ ในตำราของพวกเขาระบุว่า ภารกิจแรกของอิมามมะฮ์ดี เมื่อฟื้นคืนชีพจากหลุมสิรดาบที่อิรักแล้ว เขาจะนำทัพไปหลั่งเลือดชาวอาหรับจำนวน 100 เผ่าพันธุ์ทันที อิมามมะฮ์ดีของพวกเขาจะไปขุดหลุมสุสานของนางอาอิชะฮ์ และทำให้นางฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพื่อให้โอกาสแก่อิมามมะฮ์ดี เฆี่ยนโบยนางจำนวน 100 ครั้ง ในข้อหาลอบมีชู้สมัยนบีโดยที่นบีไม่ทันลงโทษนาง (ขออัลลอฮ์คุ้มครองจากคำอุปโลกน์นี้ด้วยเถิด)

แม้กระทั่งอ่าวอาหรับ ชาวอิหร่านปฏิเสธและขยะแขยงใช้ชื่อนี้ แต่เลือกเรียกใช้ชื่ออ่าวเปอร์เซียแทน ถึงแม้จะเสนอให้เรียกอ่าวอิสลามก็ตาม ผลพวงของการเกลียดชังชาวอาหรับเข้ากระดูกดำเช่นนี้ อัลลอฮ์จึงประทับตราบนลิ้นและหัวใจของพวกเขาด้วยความรู้สึกเกลียดชังอัลกุรอาน ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่า บรรดาผู้รู้ระดับอะยาโตลาฮ์ อ่านอัลกุรอานด้วยน้ำเสียงที่ผิดเพี้ยนและติดสำนวนเปอร์เซียมากกว่า

ชีอะฮ์จึงไม่ค่อยเน้นการเปิดและพัฒนาสถาบันท่องจำอัลกุรอาน และไม่ค่อยมีนักท่องจำอัลกุรอานเหมือนในสังคมชาวสุนนะฮ์ ซึ่งมีนักท่องจำอัลกุรอานทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งในกลุ่มคนตาบอดหรือคนพิการ หากมีบ้าง ก็จะมุ่งแต่การอ่านอัลกุรอานด้วยท่วงทำนองที่ฟังไพเราะเสนาะหู เพื่อตบตาชาวสุนนะฮ์ ทั้งๆที่การอ่านอัลกุรอานของพวกเขา ไม่เคยข้ามผ่านลูกกระเดือกของตนเอง

4. ใช้อารมณ์เหนือปัญญา

พวกเขาใช้น้ำตาของพี่น้องนบียูซุฟ มากลบเกลื่อนความบิดเบือนความเชื่อที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมา เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนโกหกเจ้าเล่ห์ ที่มักใช้น้ำตาเป็นอาวุธ เพื่อปกปิดความปลิ้นปล้อนมดเท็จของตนเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าในรอบปี ชีอะฮ์มีพิธีกรรมมากกว่า 30 ประเภทที่สามารถบีบน้ำตาสาวกได้อย่างแนบเนียนชนิดดาราเจ้าน้ำตายังต้องชิดซ้าย

บรรดาผู้รู้จึงจำเป็นต้องควบคุมสมองของชาวชีอะฮ์ทั่วไป มิให้ถูกขับเคลื่อนอย่างปกติ เพราะหากพวกเขาคิดได้ แม้เพียงเสี้ยววินาที พวกเขาจะรู้ได้ทันทีว่าแท้จริง พวกเขาถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อปกป้องระบบคุมุส (20%) นั่นเอง

5. โกหกปลิ้นปล้อน (ตะกียะฮ์)

ชีอะฮ์ไม่เชื่อว่าโกหกแล้วได้โล่อย่างเดียว แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาศรัทธาว่า โกหกยังได้บุญอันมหาศาลและเป็นหลักสำคัญทางศาสนาอีกด้วย

พวกเขาใส่ร้ายอิมามญะอฺฟัรโดยระบุว่าอิมามญะอฺฟัรเคยกล่าวว่า “9ใน10 ของศาสนานี้อยู่ในการตะกียะฮ์ และไม่มีศาสนาสำหรับผู้ที่ไม่ตะกียะฮ์”

ตะกียะฮ์คือการอำพรางตัวตนที่แท้จริงและแสดงออกพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งก็คือการโกหกปลิ้นปล้อนนั่นเอง แต่พวกเขาเลี่ยงใช้คำนี้ เหมือนเลี่ยงใช้คำว่า ซินา โดยเรียกมุตอะฮ์แทน

พวกเขาแสดงตัวตนว่าจะปกป้องพิทักษ์อัลกุดส์และปาเลสไตน์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาด่าทอและสาปแช่งบรรพชนที่พิชิตปาเลสไตน์ โดยเฉพาะท่านอุมัร อัลค็อฏฏอบ อัมร์บินอ้าศ และมุอาวิยะฮ์บินอะบูสุฟยาน رضي الله عنهم และในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยทำสงครามกับกองทัพครูเสดหรือชาติตะวันตกเพื่อกอบกู้อัลอักศอ แม้เพียงครั้งเดียว

พวกเขาแอบอ้างภราดรภาพแห่งอิสลามและต่อต้านการเชิญชวนสู่ความคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์และความเชื่อ ทั้งๆที่พวกเขาคือแกนหลักที่ทำให้เกิดไฟฟิตนะฮ์และสงครามยืดเยื้อระหว่างมุสลิมด้วยกัน ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน

ส่วนการโกหกในเรื่องศาสนา โดยเฉพาะหะดีษนบี ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของชีอะฮ์ที่คนอื่นเลียนแบบได้ยากมาก บรรดาอุละมาอฺชาวสุนนะฮ์ต่างตักเตือนให้ประชาขาติมุสลิมระมัดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อของความบิดเบือนของชีอะฮ์ มาโดยตลอด (ดู https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436 )

6. ฝังใจเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

จากอัตลักษณ์ข้อ 4. ทำให้ชีอะฮ์กลายเป็นชนที่หมกมุ่นในเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

ฐานความเชื่อสำคัญที่สุดของชีอะฮ์ คืออิมามมะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย โดยชีอะฮ์เชื่อว่ามีทารกน้อยชื่อมูฮัมมัด อัลอัสการีย์ ซึ่งมีบิดาเป็นอิมามคนที่ 11 เกิดจากมารดาคริสเตียน ได้หลบซ่อนในถ้ำสิรด้าบที่อิรัก ตั้งแต่ปี ฮ.ศ. 260 จนกระทั่งปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 1,182 ปีแล้ว พวกเขาสร้างนิยายอันแปลกพิสดาร ที่เชื่อว่าทารกคนนี้ได้หลบซ่อนเร้นกาย เพราะหนีจากการไล่ล่าของทหารราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ในขณะนั้น ทั้งๆที่ในความเชื่อของพวกเขาถือว่าทารกคนนี้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารมากมายเหนือมนุษย์มนายิ่งกว่าในละครจักร์ๆวงศ์ๆ แต่ทำไมต้องหลบซ่อนยาวนานถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ก็ได้ล่มสลายไปตามกาลเวลาแล้ว ประกอบด้วยปัจจุบันชีอะฮ์มีศักยภาพที่เข้มแข็งที่เสริมด้วยอาวุธปรมาณูและนิวเคลียร์ที่สร้างความหวาดกลัวทั่วคาบสมุทรอาหรับในขณะนี้ แต่แปลกใจ อิมามมะฮ์ดียังไม่ปรากฏตัวซะที

ละครอิมามมะฮ์ดี จึงกลายเป็นละครซีรีย์ที่ถูกแสดงยืดเยื้อยาวนานหลายศตวรรษด้วยประการฉะนี้แล

ยังไม่รวมชุดอภินิหารและสิ่งงมงายมากมายที่มาพร้อมกับความเชื่อของผลไม้และสิงสาราสัตว์ที่ยอมรับการเป็นอิมามและที่ปฏิเสธอิมาม เช่นแตงโมที่มีเนื้อสีแดงคือแตงโมที่ยอมรับการเป็นอิมาม ส่วนแตงโมที่มีเนื้อสีอื่นนั้นคือแตงโมที่ปฏิเสธการเป็นอิมาม แม้กระทั่งฆาตกรที่ลอบสังหารท่านอุมัรที่มะดีนะฮ์ แต่กลับมีสุสานที่ได้รับการบูชาเป็นวีรบุรุษที่อิหร่าน มีคนตั้งประเด็นว่า ในสมัยนั้นฆาตกรถูกส่งตัวไปที่อิหร่านได้อย่างไร เพราะในช่วงนั้นที่อิหร่านยังไม่มีผู้นับถือลัทธิชีอะฮ์ พวกเขาจึงอุปโลกน์เรื่องราวว่า หลังจากที่อะบูลุลุอะฮ์ ได้สังหารท่านอุมัร์สำเร็จแล้ว เขาจึงรีบไปขอความช่วยเหลือจากท่านอะลี ซึ่งท่านอะลีจึงรีบตบอะบูลุลุอะฮ์จนปลิวว่อนไปตกในเมืองแห่งหนึ่งที่อิหร่านในปัจจุบัน บางรายงานระบุว่าท่านอะลีจึงกระทืบอะบูลุลุอะฮ์ แรงกระทืบของท่านอะลีทำให้อะบูลุลุอะฮ์จมหายในดินจนกระทั่งไปโผล่ที่เมืองแห่งหนึ่งในอิหร่าน ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิต

หากท่านผู้อ่านยังสงสัยว่า ชาวชีอะฮ์เขื่อเรื่องงมงายนี้ได้อย่างไร ก็ลองไปอ่านอัตลักษณ์ข้อ 4. อีกครั้ง

7. จอมซาดิสม์กระหายเลือด

มีบางคนเชื่อว่า การที่ชีอะฮ์ทรมานร่างกายตัวเองจนถึงขั้นเลือดอาบอย่างน่าหวาดเสียว เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่สื่อถึงความเศร้าอกเสียใจที่พวกเขาทรยศหักหลังท่านหุเซ็น ซึ่งถือเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะที่อันตรายมากกว่านั้นคือผลวิจัยของนักจิตวิทยาที่ค้นพบว่า ผู้ใดที่มีความคุ้นชินกับการหลั่งเลือดตัวเองด้วยวิธีสยดสยองแล้ว จะเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขาที่จะหลั่งเลือดคนอื่นเพราะมันเป็นการสะสมพฤติกรรมซาดิสม์ที่สนุกสนานกับเชือดเฉือนเลือดเนื้อ ดั่งสุนัขที่ดมคาวเลือดอยู่ตลอดเวลา มันจะกลายเป็นสุนัขที่ดุร้าย ที่พร้อมขย้ำผู้คนได้ทุกเมื่อ เราจึงไม่แปลกที่เกิดเหตุการณ์ชวนให้ขนลุกที่เกิดขึ้นกับพี่น้องสุนนะฮ์ชาวซีเรีย อิรัก เลบานอนและเยเมนที่เกิดจากพฤติกรรมซาดิสม์ของกองกำลังชีอะฮ์

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่า อิมามมะฮ์ดีจะปรากฏตัว ท่ามกลางทะเลเลือดของชาวสุนนะฮ์ ดังนั้น ยิ่งเลือดชาวสุนนะฮ์ถูกไหลหลั่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้อิมามมะฮ์ดีปรากฏตัวเร็วมากขึ้นเท่านั้น

นี่คือคุณสมบัติ 7 ประการที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชีอะฮ์เท่านั้น

วิธีเดียวที่จะทำให้อัตลักษณ์ทั้ง 7 ประการนี้ถูกคลุกเคล้า จนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับชีอะฮ์ คือการด่าทอเศาะฮาบะฮ์ โดยเฉพาะเหล่ามารดาผู้ศรัทธาตลอดจนบิดเบือนอัลกุรอานและสุนนะฮ์

ด้วยกรรมวิธีนี้เท่านั้น ที่จะดึงให้คนๆหนึ่งกลายเป็นชีอะฮ์โดยบริบูรณ์

https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436&fbclid=IwAR2mN8q7Fuo983KrxV77pggb_bBB2lpvVrc5W0q0XhxCFdZXPshzrAlWgsU


โดย ทีมงานวิชาการ

Machiavellian …. วงจรอุบาทว์ในวิถีการเมือง

นิคโคโล มาเคียเวลลี่ (เสียชีวิตปี 1527) นักปรัชญาและนักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลียุคเรเนซองส์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์สมัยใหม่  และเป็นศาสดาสำหรับเจ้าผู้ปกครอง มีชื่อเสียงจากงานเขียนเรื่องสั้นการเมืองเรื่อง”เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ซึ่งต่อมานามสกุลของเขาได้กลายเป็นคำศัพท์ในทางการเมืองว่า “มาเคียเวลลี่” (ผู้เฉียบแหลมมีปฏิภาณ) และ “มาเคียเวลเลี่ยน” (การใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายในการเมือง)

The Prince คือ ชุดคุณธรรมที่เป็นสายธารนักคิดจากตะวันตกที่ว่ากันว่าเป็นตำราที่ชนชั้นปกครองทั่วโลกต้องอ่านเสมือนคัมภีร์และดูเหมือนว่ายังทรงอิทธิพลอยู่ไม่เสื่อมคลาย ตลอดจนยังคงแทรกซึมอยู่กับทุกสังคม บางคนเชื่อว่านี่เป็นการอธิบายมนุษย์ด้วยสายตาที่เป็นจริง เพราะนี่คือสันดานที่แท้จริงของมนุษย์ เมเคียเวลลี่เพียงแค่อธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือที่กระจ่างชัดเท่านั้น

หนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่หลังจากผู้เขียนเสียชีวิตแล้ว เป็นหนังสือที่ถูกมองว่าเป็นต้นน้ำของความโหดร้ายอำมหิต ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย สายธารทางความคิดของหนังสือเล่มนี้ สามารถตกผลึกประยุกต์ใช้ในวิถีการเมืองส่วนหนึ่งได้แก่

                ⁃              ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเอื้อเฟื้อหากไม่นำไปสู่การรักษารัฐ

                ⁃              ผู้นำสามารถผิดสัจจะหรือผิดคุณธรรมได้ทันที หากเป็นเรื่องประโยชน์ของรัฐชาติ

                ⁃              เป้าหมายสามารถทำให้วิธีการที่สกปรกมีความชอบธรรมได้

                ⁃              บุคคลสามารถใช้วิธีการไหนก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งการรักษารัฐชาติ

                ⁃              ผู้ปกครองสามารถใช้ความโหดร้ายอำมหิตเข้าตำรา “ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” โดยไม่ต้องใช้หลักคุณธรรมและจริยธรรม

ผลจากการแทรกซึมอุดมการณ์ก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ในวิถีการเมือง ส่วนหนึ่งได้แก่

– การซื้อสิทธิ์ขายเสียง

– คอร์รัปชั่น

– ไร้ธรรมาภิบาล

– คดโกง หักหลัง ทรยศ

– มุ่งแต่เป้าหมายแห่งชัยชนะ โดยไม่คำนึงวิธีการที่ถูกต้อง

– เสนอ(หน้า) ตัวเอง เพื่อได้รับตำแหน่ง ทั้งๆที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ

– วัฒนธรรมการโจมตี ใส่ร้าย และสร้างข่าวลวงเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ หรือแม้กระทั่งสังหารคู่ต่อสู้

– ผลิตวาทกรรมสวยหรู แต่ไร้น้ำหนักในภาคปฏิบัติ

-ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพเหนือกว่าสร้างบุญ

-ไม่สนใจด้านคุณธรรม จริยธรรม

-สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและพวกพ้อง

ทฤษฎีการเมืองชุดนี้คือ”วาทกรรมแห่งซาตาน”ที่แท้จริง เป็นต้นตำรับของลัทธิก่อการร้ายที่ปฏิบัติการโดยเจ้าผู้ปกครองโดยใช้ข้ออ้าง”รักชาติ” และมองชีวิตประชาชนเป็นผักเป็นปลา เป็นทฤษฎีที่อธิบายมนุษย์ในมิติของความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ละโมบโลภมาก คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ ชอบสร้างศัตรู โหดร้ายอำมหิต ใช้กำลังตัดสินความเห็นต่างและเห็นแก่ตัวที่สุด เสี้ยมสอนผู้คนให้ทำตัวเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์และสิงโตที่โหดร้ายในเวลาเดียวกัน

ทั้งๆที่มนุษย์โดยสัญชาติญาณดั้งเดิมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรักทั้งต่อตนเองและพวกพ้อง มีความเอื้ออาทร ใฝ่หาสันติและสร้างสรรค์ความเจริญ มนุษย์มีส่วนที่เป็นวิญญาณที่ถวิลหาสวนสวรรค์ อันเป็นที่อยู่ครั้งแรกของอาดัมและฮาวา บรรพบุรุษคู่แรกของมนุษย์

ชาติตะวันตกกรอกหูชาวโลกว่า อิสลามคือศาสนาก่อการร้าย อัลกุรอานคือวาทกรรมแห่งซาตาน นบีมูฮัมมัดคือผู้นำจอมเผด็จการ คลั่งสงคราม ทั้งๆที่โลกได้ประจักษ์พยานว่า อิสลามได้นำความเจริญรุ่งเรืองให้กับชาวโลกมากน้อยแค่ไหน นบีมูฮัมมัดกลายเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวโลกสร้างอารยธรรมสูงสุดของมนุษยชาติ มากน้อยเพียงใด ในขณะที่อัลกุรอานได้นำพามนุษย์พบกับสันติสุขอันแท้จริง

ที่สำคัญ นบีมูฮัมมัดได้ลงมือปฏิบัติคำสอนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ในทุกแง่มุมชีวิต เป็นเวลานานกว่า 23 ปี และได้นำพาชาวเบดูอีนที่อาศัยในทะเลทราย ให้กลายเป็นผู้นำโลก พร้อมสร้างอารยธรรมที่สูงส่งให้แก่มนุษยชาติมาแล้ว

ในขณะเดียวกัน ขาติตะวันตกสร้างบิดารัฐศาสตร์ยุคใหม่อย่าง”มาเคียเวลลี่ “ จนกระทั่งเรียกชื่อนามสกุลเขาเคียงคู่กับผู้เฉียบแหลมมีปฏิภาณ แถมบัญญัติคำว่า “มาเคียเวลเลี่ยน” คือการใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายทางการเมือง พร้อมยกย่องเชิดชู The Prince ถึงขนาดยกเป็นคัมภีร์สำหรับเจ้าผู้ปกครองทุกคนต้องอ่าน ทั้งๆที่ในความเป็นจริง หนังสือดังกล่าว หาใช่อื่นใดนอกจากเสียงกระซิบของซาตานที่ต้องการปลูกฝังความเป็นสัตว์เดรัจฉานในตัวมนุษย์เรืองปัญญา เชิญชวนผู้คนสลัดทิ้งคุณธรรมจริยธรรมที่เป็นสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ปลุกเร้าอารมณ์มนุษย์ให้เสน่หากับอำนาจ เสวยสุขในอารมณ์ใฝ่ต่ำ ใช้ความโหดร้ายอำมหิตเพื่อบังคับขู่เข็ญผู้อ่อนแอ พร้อมพ่นพิษแห่งความเจ้าเล่ห์เพทุบายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และตัดขาดเยื่อใยแห่งจริยธรรมอันดีงามเพื่อรักษาและปกป้องอำนาจ

และที่สำคัญ มาเคียเวลลี่ ได้เสียชีวิต ก่อนที่หนังสือของตัวเองถูกเผยแพร่ด้วยซ้ำ ประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยบันทึกว่า เขาเคยปกครองอิตาลีจนประสบผลสำเร็จมากมาย จนกลายเป็นต้นแบบของการปกครองประเทศยุคนั้น นอกจาก หนังสือเล่มนี้แล้ว เขาแทบไม่มีผลงานอะไรที่โลกควรแก่จดจำ

น่าแปลก ด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียว ชาติตะวันตกยกย่องเขาเป็นบิดาทางรัฐศาสร์ยุคใหม่ถึงขั้นศาสดา

ในศตวรรษที่ผ่านมา โลกได้เป็นพยานของการปฏิบัติใช้ลัทธินี้ ที่ได้ทำให้ผู้คนล้มตายนับร้อยล้านคนในนามรักขาติของเจ้าผู้ปกครอง ประเทศต้องล่มสลายกลายเป็นบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนทั้งทวีปต้องใช้ชีวิตที่ศูนย์อพยพ หาใช่เป็นเพราะเจ้าผู้ปกครองแทรกซึมคำสอนแห่งซาตานที่ปรากฏใน The Prince ดอกหรือ

จงไตร่ตรองเถิด โอ้มนุษย์เรืองปัญญา


โดย Mazlan Muhammad

แหล่งอ้างอิง

https://www.the101.world/the-prince-2019/

https://th.m.wikipedia.org/wiki/นิกโกเลาะ_มาเกียเวลลี

เบื้องลึกความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียกับกลุ่มอิควาน

เปิดตำนานรักซ่อนแค้น เบื้องลึกความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและกลุ่มอิควาน

● สัมพันธภาพระหว่างซาอุดีอาระเบียและกลุ่มอิควานเริ่มต้นจากการเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นในช่วงทศวรรษ 1930 จนมาสู่การเผชิญหน้าเต็มรูปแบบในปัจจุบัน

คำฟัตวาขององค์กรอุลามาอ์อาวุโสล่าสุด เกี่ยวกับกลุ่มอิควาน ไม่ใช่เป็นครั้งแรก และคาดว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ที่ภาพรวมส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางที่ดี

จุดเริ่มต้น กษัตริย์อับดุลอาซิซ ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซะอูด ได้พบปะเจรจากับหะซัน อัลบันนา ผู้สถาปนากลุ่มอิควานมุสลิมีนเป็นครั้งแรก ในปี 1936 และความใกล้ชิดก็ได้งอกเงยเพิ่มขึ้นตามลำดับ ในระยะนี้กลุ่มอิควานได้พึ่งพาอาศัยซาอุดิอาระเบียในการหลบหนีจากความโหดร้ายของนัสเซอร์  ในขณะที่ซาอุดิอาระเบียที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกได้อาศัยอิควานเป็นตัวหลักของกลุ่มอัฟกันอาหรับในการเผชิญหน้ากับการยึดครองอัฟกานิสถานของโซเวียต รวมถึงลัทธิชาตินิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอียิปต์ ที่ได้แรงสนับสนุนจากโซเวียต

ในระยะนี้ สื่อหลักพาดหัวข้อข่าว “เจ้าชายฟัยศอล(ยศก่อนเป็นกษัตริย์) กล่าวว่า “กลุ่มอิควานมุสลิมีน เป็นวีรบุรุษ ที่ต่อสู้แบบถวายชีวิตและทรัพย์สินเพื่ออัลลอฮ์…”

การสถาปนาอาณาจักรใหม่ของราชวงศ์ซาอูดบนกองเงินกองทองในระยะนี้ ต้องอาศัยแรงงานและวิสัยทัศน์ในการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านยุทธศาสตร์การศึกษา และการปฏิรูปคำสอนทางศาสนา กลุ่มอิควานจากประเทศต่างๆในช่วงนี้ได้เข้าไปมีบทบาทในหน่วยงานต่างๆของซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างในด้านการศึกษา ที่จุดยืนของกลุ่มอิควานสอดรับกับแนวคิดของสะละฟีย์  ทั้งสองฝ่ายจึงร่วมมือกันอย่างลงตัว ตลอดช่วงการปกครองของนัสเซอร์และซาดัตที่อิยิปต์

หลังสิ้นสุดยุคนัสเซอร์ ซาอุดิอาระเบียมีส่วนทำให้ผู้นำกลุ่มอิควานพ้นคุกอียิปต์และให้แกนนำบางคนได้เข้ามาอาศัยในประเทศอย่างมีเกียรติเป็นอย่างสูง

ในช่วงสงครามอัฟกัน ซาอุดิอาระเบีย ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกาได้ร่วมก่อตั้งอัฟกันอาหรับ ด้วยเป้าหมายที่สอดคล้องกันในการช่วยเหลือพี่น้องมุสลิม กลุ่มอิควานจึงเข้าไปมีบทบาทที่โดดเด่นในการจัดกองกำลัง การจัดองค์กร การฝึกทางการทหาร และการรวบรวมเงินบริจาค

ปัจจัยความขัดแย้งเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล [ รวมถึงสถานการณ์การต่อสู้การยึดครองอัฟกานิสถานที่ความสำคัญของกลุ่มอิควานเริ่มลดลง – ผู้แปล ] ภายหลังการเสียชีวิตของกษัตริย์ฟัยศอล  ผู้ปกครองคนต่อมา ได้ตั้งข้อสงสัยต่อเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนที่จัดทำโดยกลุ่มอิควาน เนื่องจากเล็งเห็นแนวโน้มของฝ่ายค้านรัฐที่เข้มแข็งขึ้นในประเทศที่แนวการเมืองต้องจงรักภักดีต่อราชวงศ์โดยดุษณี รวมถึงรูปแบบความขัดแย้งในลักษณะอื่นๆ เช่น  ท่าทีที่สวนทางกันในกรณีสงครามอ่าวครั้งแรก ระหว่างอิรัก-อิหร่าน รวมทั้งอิควานปฏิเสธแนวทางการพึ่งพากองทัพตะวันตกในการกอบกู้เอกราชของคูเวตจากการยึดครองของอิรัก

วิกฤติความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายถึงขีดสุด ได้ก่อตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อมีคณะหนึ่งเรียกกันว่า มะชายีคเศาะฮ์วะฮ์ (คณะชัยค์ฝ่ายฟื้นฟู) นำโดย ชัยค์สะฟัร หะวาลีย์ ซึ่งได้ส่งเอกสารเรียกว่า  مذكرة النصيحة  (เอกสารให้คำแนะนำ)แก่กษัตริย์  ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนไปจากจารีตทางการเมืองในซาอุดิอาระเบียที่ต้องภักดีต่อราโชบายโดยดุษณีแบบเดิมๆ และเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงอิทธิพลของกลุ่มอิควานในซาอุดิอาระเบีย

รวมถึงปัจจัยการกลับคืนมาตุภูมิของกลุ่มอาหรับอัฟกัน ที่พกพาอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยแนวทางที่คุ้นเคยในอัฟกานิสถาน นั่นคือการจัดตั้งกลุ่มคนและการใช้กำลังอาวุธ  รวมถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ที่นำโดยอุซามะฮ์ บินลาเด็น ชาวซาอุดีอาระเบีย ตามมาด้วยเหตุการณ์วางระเบิด  และการจับกุมเครือข่ายญิฮาดในเมืองต่างๆของซาอุดิอาระเบีย  ปัจจัยต่างๆดังกล่าวมีส่วนในการสร้างความบาดหมางระหว่างรัฐบาลซาอุดิอาระเบียกับกลุ่มอิสลามการเมืองที่นำโดยอิควานมุสลิมีน

● การปะทะแบบไม่โจ่งแจ้ง

เหตุการณ์ 11 กันยาฝุ่นยังไม่ทันจาง  แต่ในซาอุดิอาระเบียได้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อกลุ่มอิควานแล้ว ด้วยการกดดันอย่างหนักจากสหรัฐอเมริกา รัฐบาลซาอุดิอาระเบียงดสนับสนุนการเงินต่อองค์กรอิสลามต่างๆที่ถูกจัดเป็นเครือข่ายกลุ่มอิควาน รวมถึงการเปิดฉากสงครามสื่ออย่างรุนแรง

นายิบ บินอับดุลอาซิซ รมต.มหาดไทยกล่าวกับวารสารการเมืองของคูเวต  ในปี 2002 ว่า อิควานถือเป็นต้นตอของความวุ่นวายต่างๆ ในโลกอาหรับและโลกมุสลิม

● การปะทะเต็มรูปแบบ

หนึ่งทศวรรษกับความอึมครึมผ่านไป ก้าวสู่ยุคอาหรับสปริงที่เปลวไฟยิ่งเพิ่มดีกรีองศาเดือด ที่ซาอุดิอาระเบียแสดงจุดยืนชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอาหรับสปริง ตลอดจนความพยายามช่วยเหลือยับยั้งการล้มของรัฐบาลอียิปต์และเยเมน  รวมทั้งการแสดงจุดยืนเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลังจากยุคปฏิวัติอาหรับ รวมถึงการสนับสนุนการโค่นรัฐบาลมุรซีย์ในอียิปต์ และสถานการณ์ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนพัฒนาไปสู่การขึ้นบัญชีกลุ่มอิควานเป็นกลุ่มก่อการร้ายพร้อมๆกับอีกบางกลุ่มในที่สุด

ความจริงก่อนหน้านี้ซาอุดิอาระเบีย ไม่ค่อยปลื้มกับการเข้าสู่อำนาจของกลุ่มเครือข่ายอิควานในซูดาน ตุรกีและปาเลสไตน์มาแล้ว

ภายหลังการขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ๆ ของกษัตริย์ซัลมาน ทั้งสองฝ่ายเริ่มมีท่าทีที่ดีต่อกัน  สะอูด อัลฟัยซอล อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวว่า ซาอุดิอาระเบียไม่มีปัญหากับกลุ่มอิควาน เพียงแต่มีปัญหากับบางส่วนของสมาชิกกลุ่มเท่านั้น  และรัฐบาลซาอุดิอาระเบียก็ได้ต้อนรับการมาเยือนของบุคคลสำคัญที่รู้กันว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม ได้แก่ ดร.ยูซุฟ  อัลเกาะเราะฎอวีย์ ชัยค์รอชิด ฆอนนูชีย์ และคอลิด  มิชอัล

นอกจากนั้น องค์การอุลามาอ์อาวุโสแห่งซาอุดิอาระเบียหรือฮัยอะฮ์กิบารอุลามาอ์ ก็กล่าวถึงกลุ่มอิควานไปในทางบวก โดยกล่าวว่า กลุ่มอิควานเป็นนักกิจกรรม

รัฐบาลซาอุดิอาระเบียยังมีความสัมพันธ์ไมตรีอันแน่นแฟ้นกับพรรคอิศลาห์ของเยเมน อันเป็นกลุ่มอิควานสาขาเยเมน แม้ว่าจะเป็นความสัมพันธ์พิเศษที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ก็ตาม

● อิควานกับองค์การอุลามาอ์อาวุโส – ฮัยอะฮ์กิบารอุลามาอ์- ของซาอุดิอาระเบีย

องค์การอุลามาอ์อาวุโส – ฮัยอะฮ์กิบารอุลามาอ์-  เป็นหน่วยงานศาสนาอย่างเป็นทางการของซาอุดิอาระเบีย เคยมีคำฟัตวาจัดให้กลุ่มอิควานเป็นกลุ่มหนึ่งที่ใกล้ชิดกับกลุ่มที่ถูกต้อง แต่ยามเมื่อสายลมการเมืองเปลี่ยนทิศ องค์การอุลามาอ์อาวุโส ก็มีคำฟัตวาใหม่ ระบุว่า อิควานไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่เป็นกลุ่มที่ใช้แนวทางก่อกบฏต่อผู้นำ แม้ว่าจะไม่ทำในตอนแรกเริ่ม แต่ก็ทำในตอนหลังๆ


อ้างอิง

[http://www.aljazeera.net/news/reportsandinterviews/2018/4/4/الإخوان-والسعودية-احتضنهم-الأجداد-وانقلب-عليهم-ابن-سلمان](http://www.aljazeera.net/news/reportsandinterviews/2018/4/4/%D8%A7%D9%84%D8%A5%D8%AE%D9%88%D8%A7%D9%86-%D9%88%D8%A7%D9%84%D8%B3%D8%B9%D9%88%D8%AF%D9%8A%D8%A9-%D8%A7%D8%AD%D8%AA%D8%B6%D9%86%D9%87%D9%85-%D8%A7%D9%84%D8%A3%D8%AC%D8%AF%D8%A7%D8%AF-%D9%88%D8%A7%D9%86%D9%82%D9%84%D8%A8-%D8%B9%D9%84%D9%8A%D9%87%D9%85-%D8%A7%D8%A8%D9%86-%D8%B3%D9%84%D9%85%D8%A7%D9%86?fbclid=IwAR36iwOgCmpPJcqbER9IVIltXBwfy13KjHoUX7NAoYwgehEPKJhuzYPeoNw)

แปลสรุปโดย Ghazali benmad

อาณาจักรมด อัศจรรย์แห่งอัลกุรอาน (ตอนจบ)

อัลลอฮฺตรัสว่า

وَحُشِرَ لِسُلَیۡمَـٰنَ جُنُودُهُۥ مِنَ ٱلۡجِنِّ وَٱلۡإِنسِ وَٱلطَّیۡرِ فَهُمۡ یُوزَعُونَ ، حَتَّىٰۤ إِذَاۤ أَتَوۡا۟ عَلَىٰ وَادِ ٱلنَّمۡلِ قَالَتۡ نَمۡلَةࣱ یَـٰۤأَیُّهَا ٱلنَّمۡلُ ٱدۡخُلُوا۟ مَسَـٰكِنَكُمۡ لَا یَحۡطِمَنَّكُمۡ سُلَیۡمَـٰنُ وَجُنُودُهُۥ وَهُمۡ لَا یَشۡعُرُونَ ، فَتَبَسَّمَ ضَاحِكࣰا مِّن قَوۡلِهَا وَقَالَ رَبِّ أَوۡزِعۡنِیۤ أَنۡ أَشۡكُرَ نِعۡمَتَكَ ٱلَّتِیۤ أَنۡعَمۡتَ عَلَیَّ وَعَلَىٰ وَ ٰ⁠لِدَیَّ وَأَنۡ أَعۡمَلَ صَـٰلِحࣰا تَرۡضَىٰهُ وَأَدۡخِلۡنِی بِرَحۡمَتِكَ فِی عِبَادِكَ ٱلصَّـٰلِحِینَ

ความว่า

 “และไพร่พลของเขา(นบีสุลัยมาน)ที่เป็นญิน มนุษย์และนก ได้ถูกให้มาชุมนุมต่อหน้าสุลัยมาน และพวกเขาถูกจัดให้เป็นระเบียบ จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึงทุ่งที่มีมดมาก (ณ เมืองชาม) มดตัวหนึ่งได้พูดว่า “โอ้พวกมดเอ๋ย! พวกเจ้าจงเข้าไปในรังของพวกเจ้าเถิด เผื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว เขา (สุลัยมาน) ยิ้มแกมหัวเราะต่อคำพูดของมันและกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์กระทำความดีเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยมัน และทรงให้ข้าพระองค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ดีทั้งหลาย”(อันนัมลุ 27,17-19)

อายัตข้างต้นได้อธิบายบทหนึ่งในซูเราะฮฺอันนัมลุ (มด) ที่ได้ระบุว่า ไพร่พลของนบีสุลัยมานซึ่งประกอบด้วยมนุษย์ ญินและสิงสาราสัตว์รวมทั้งนกชนิดต่างๆ ได้ถูกเกณฑ์เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญ เหล่าทหารจึงเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบและเดินทางตามคำสั่งของนบีสุลัยมาน จนกระทั่งพวกเขาได้เดินทางถึงบริเวณทุ่งที่มีมดมากมายอาศัยอยู่ หัวหน้ามดจึงรู้อันตรายที่จะเกิดขึ้น เลยออกคำสั่งให้ประชากรมดหลบเข้าไปในรัง เพื่อความปลอดภัยและไม่ถูกนบีสุลัยมานและไพร่พลของเขาบดขยี้โดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว ซึ่งหัวหน้ามดทราบดีว่า กองทัพนี้มีมารยาทอันสูงส่ง และไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆ แม้ต่อมดตัวเดียวก็ไม่เคยทำร้าย แต่กลัวว่า พวกเขาไม่รู้ตัวว่าอยู่ในบริเวณทุ่งมด เลยอาจเหยียบมดโดยไม่ตั้งใจก็ได้ นบีสุลัยมานได้ฟังคำสนทนาของหัวหน้ามดนี้ก็อมยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมขอดุอาต่ออัลลอฮฺให้พระองค์ชี้นำเขาสู่เส้นทางอันเที่ยงตรง อย่าให้อำนาจอันล้นฟ้าที่อัลลอฮฺประทานให้เป็นสาเหตุให้เขาเหิมเกริม เย่อหยิ่งลำพองตนไปเลย

การตั้งชื่อซูเราะฮฺอันนัมลุ ซึ่งมีความหมายว่ามดนี้ ทำให้เราทราบว่า อัลกุรอานให้ความสำคัญต่อสัตว์ตัวเล็กๆนี้ได้เป็นอย่างดี และเป็นการส่งสัญญาณแก่ศรัทธาชนให้ศึกษาสัตว์ประเภทนี้ เพื่อนำเป็นอุทาหรณ์เตือนใจสำหรับการดำเนินชีวิตที่ประสบผลสำเร็จต่อไป

มดเป็นหนึ่งในสัญญาณของอัลลอฮฺที่เป็นปรากฏการณ์ (آيات الله الكونية) ในขณะที่อัลกุรอานคือสัญญาณของอัลลอฮฺที่เป็นลายลักษณ์ (آيات الله المقروءة) ดังนั้นทั้ง 2 สัญญาณนี้ไม่มีทางขัดแย้งกัน เพราะล้วนมาจากแหล่งอันเดียวกันคืออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

เราลองมาดูความมหัศจรรย์ของ 2 สัญญาณนี้ว่ามีความสอดคล้องกันอย่างไรบ้าง

1. อัลกุรอานได้ฟันธงว่า หัวหน้ามดที่ออกคำสั่งให้ประชากรมดหลบเข้ารังนั้นเป็นเพศเมีย (قالت نملة) ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาปัจจุบันพบว่า มดนางพญาเป็นมดที่มีอิทธิพลที่สุดเป็นเสมือนราชินีที่มีหน้าที่คอยบงการประชากรมดทั้งหมดตามที่ได้เขียนในบทความก่อนหน้านี้

2. มดมีภาษาเฉพาะที่ใช้สื่อสารระหว่างกัน (قالت نملة) หมายถึง “หัวหน้ามดกล่าวว่า” ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบในปัจจุบันว่า สัตว์แต่ละประเภทมีภาษาเฉพาะของมัน โดยเฉพาะมดที่มีระบบสื่อสารอันยอดเยี่ยมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

3. ประชากรมดมีบ้านประจำของมัน (مساكنكم)หมายถึง “บ้านอันมากมายของเจ้า” ซึ่งการศึกษาปัจจุบันพบว่า ประชากรมดจะอาศัยเป็นอาณาจักรใหญ่ บางชนิดมีรังต่างๆที่เชื่อมโยงติดต่อกันถึง45,000 รังทีเดียว

4. อาณาจักรมดมีอาณาบริเวณที่กว้างมาก บางชนิดคลุมเนื้อที่กว่า 2.7 ตร.กม. ซึ่งศัพท์

อัลกุรอานใช้คำว่า(وادي النمل) อันหมายถึงทุ่งหรือลานกว้างภายในอาณาจักรนี้มีห้องหับมากมายแยกเป็นสัดส่วน อาทิ ประตูเข้าชั้นนอก ประตูเข้าชั้นใน โรงเก็บอาหาร ห้องกินอาหาร ศูนย์ยามรักษาความปลอดภัย ห้องประทับราชินี ห้องวางไข่ ห้องปฐมพยาบาลลูกอ่อน ห้องฝังศพมด ห้องพักผ่อน และอื่นๆอีกมากมาย

5. อัลกุรอานยังบอกถึงความเฉลียวฉลาดของมดที่สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ร้ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำโดยในอายัตนี้นางพญามดได้แจ้งให้ประชากรมดทราบถึงภยันตรายของกองทัพนบีสุลัยมานที่อาจเหยียบพวกมันโดยไม่รู้ตัว แสดงว่ามดสามารถคาดเดาเส้นทางของกองทัพนบีสุลัยมานว่า จะผ่านเส้นทางที่เป็นที่สร้างของอาณาจักรของมันได้อย่างถูกต้อง มดจึงเป็นหนึ่งในจำนวนสัตว์ที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ธรรมชาติได้อย่างแม่นยำ และพวกมันสามารถหามาตรการในการรับมือกับเหตุร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

6.คำว่า لا يحطمنكم سليمان وجنوده หมายถึง เผื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า

คำว่า “ไม่บดขยี้” ฟังอย่างผิวเผินแล้วเหมือนกับมดแตกเป็นเสี่ยงๆ คล้ายกับการแตกของวัสดุประเภทคริสตัลหรือกระจก ทั้งๆที่มดก็เป็นสัตว์ธรรมดา ซึ่งตามความเข้าใจเบื้องต้นอาจพูดได้ว่า อัลกุรอานน่าจะใช้คำที่มีความหมายว่า “ไม่ถูกเหยียบ” มากกว่า “ไม่บดขยี้” แต่ผลจากการวิจัยพบว่า องค์ประกอบส่วนใหญ่ของมดเป็นส่วนผสมของสารเคมีที่มีลักษณะคล้ายคริสตัลหรือกระจก ดังนั้นคำที่เหมาะสมในที่นี้คือ “ไม่บดขยี้” มากกว่า

นี่คือ 6 ประการสำคัญที่อัลลอฮฺพูดถึงเกี่ยวกับมดในอายัตเดียว คืออายัตที่ 18 ของซูเราะฮฺอันนัมลุ ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นการกล่าวที่น้อยไปหากเปรียบเทียบกับชื่อซูเราะฮฺ แต่ในเมื่ออายัตนี้เป็นของผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณ นั่นหมายถึงทุกถ้อยคำที่บรรจงเลือกให้เป็นส่วนประกอบของอายัตนี้จึงเต็มสะพรั่งไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งที่ยิ่งค้นไปเท่าไหร่ก็ยิ่งพบเจอองค์ความรู้อันมากมายมหาศาล

สำหรับผู้ศรัทธาและผู้ถวิลหาสัจธรรม อายัตเดียวก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับใช้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ

ก่อนจากกัน ขอตั้งคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบดังนี้ครับ

– พี่น้องเคยอ่านชีวประวัติของนบีมูฮัมมัดว่า นบีเคยศึกษาเรื่องมดจากใครที่ไหนมาบ้าง หากตอบว่านบีไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อน แล้วท่านสามารถอธิบายความลี้ลับเหล่านี้ได้อย่างไร

– ชาร์ล ดาร์วิน เคยพูดถึงมดบ้างไหม คาร์ล มาร์กซ์ เลนิน หรือ เพลโต โซเครติส หรือแม้กระทั่ง เหมา เจ๋อ ตุง เคยเขียนตำราว่าด้วยมดบ้างหรือเปล่า หากมีตำรา เนื้อหาเป็นอย่างไรบ้าง หากไม่มี แล้วบังอาจมาจัดระเบียบให้กับมนุษย์และสร้างทฤษฎีสังคมอันจอมปลอมให้มนุษย์ปฏิบัติได้อย่างไรทั้งๆที่ตนเองไม่มีความรู้แม้กระทั่งเรื่องมด

– สุดท้าย อ่านเรื่องมดแล้ว พี่น้องได้บทเรียนอะไรบ้างและมีแนวทางพัฒนาตนเองโดยใช้หลักปรัชญามดได้อย่างไร วัสสลาม

والله أعلم وهو الموفق والهادي إلى سواء السبيل


เขียนโดย Mazlan Muhammad

แหล่งอ้างอิง

http://midad.com/article/197775/الإعجاز-العلمي-للقرآن-في-النمل

https://www.masrawy.com/islameyat/others-e3gaz/details/2014/10/7/361535/معجزة-النمل-في-القرآن-الكريم

อาณาจักรมด อัศจรรย์แห่งอัลกุรอาน [ตอนที่2]

การวางผังเมือง การจัดระเบียบสังคมที่มีผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกันตามเมืองใหญ่ๆนับล้านคน พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณูปโภค เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด มนุษย์ต้องอาศัยกฎหมายและกติกาทางสังคมมาบังคับใช้ เพื่อสร้างสังคมที่สันติสุข แต่มนุษย์โดยสันดานแล้วชอบล่วงละเมิด ฝ่าฝืน เอาใจตัวเอง เอาเปรียบคนอื่น ทำงานโดยหวังกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ส่วนความสุขสบายของคนอื่นจะเป็นเรื่องรอง ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนนับวันยิ่งห่างไกลไปทุกที เราจึงมีแต่สังคม 2 ประเภทเท่านั้นคือกลุ่มที่ไม่รู้จะกินอะไร และกลุ่มที่ไม่มีอะไรจะกิน หรือรวยกระจุก จนกระจาย จะมีน้อยคนที่ยอมเหน็ดเหนื่อยและยากลำบากเพื่อความสุขสบายของผู้อื่น หากมีคนบอกเราว่ามีสังคมมนุษย์ที่มีแต่ความเอื้ออาทร สมัครสมานสามัคคี ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แต่ละคนทำงานเพื่อความสุขของส่วนรวม ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่อิจฉาริษยา เราจะบอกได้เลยว่านั่นเป็นสังคมในอุดมคติหรือเป็นสังคมยุคนบีและเศาะฮาบะฮฺเท่านั้น มันไม่มีทางเกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน

ณ โอกาสนี้ เราขอบอกว่ายังมีชุมชนหนึ่งที่เป็นต้นแบบของการเสียสละ ความร่วมมือ ความสมานสามัคคี ความขยัน ไม่ย่อท้อและไม่เบื่อหน่าย รักและห่วงแหนสถาบัน ยอมปกป้องสถาบันแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม แต่ที่น่าพิศวงอย่างยิ่งคือสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะด้วยการบังคับทางกฎหมายใดๆ แต่เป็นความสมัครใจของบรรดาสมาชิก มันคืออาณาจักรมดนั่นเองครับ

สังคมมดอาศัยอยู่เป็นแสนๆตัว บางชนิดเป็นล้านตัว แต่ละตัวในสมาชิกต่างรับผิดชอบต่อหน้าที่และบทบาทของตนอย่างขยันขันแข็ง ทุกตัวต้องทำงานเพื่อรักษาอาณาจักรของตน ในสังคมนี้จะไม่มีผู้อดอยาก ไม่มีผู้ขัดสนแม้แต่ตัวเดียว พวกมันรู้จักแบ่งปันอาหารแม้กระทั่งน้ำดื่มเพียงหยดเดียว ไม่มีตัวไหนที่คอยเอาเปรียบเพื่อน กินแรงเพื่อนหรือเอาแต่ได้ ในชุมชนของมันไม่มีผู้ร้ายแม้แต่ตัวเดียว แต่ละตัวทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งตลอด 24 ชม. สังคมมดจึงเป็นสังคมแห่งความเอื้ออาทรที่เป็นความน่าทึ่งของพระผู้ทรงสร้างอย่างแท้จริง

เราเคยสังเกตจังหวะเดินของมดบ้างไหม มีช่วงไหนบ้างที่มันเดินอย่างเลื่อนลอย ไร้จุดหมาย หรือเดินแบบคนคอตกที่หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต เราไม่เคยเจอเลย แต่ละตัวมีแต่ความมุ่งมั่น กระฉับกระเฉงและใฝ่หาตลอดเวลา ไม่เชื่อพี่น้องลองสังเกตดู

ในป่าทึบแห่งหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย มีมดพันธุ์หนึ่ง เรียกว่า มดจักรเย็บ เพราะมันจะสร้างอาณาจักรโดยการถักทอใบไม้และมาตัดต่อเป็นรังด้วยกรรมวิธีทางเคมีที่แปลกประหลาดมาก

มดบางประเภทในป่าอะเมซอน รู้จักทำเกษตรเพื่อตุนเป็นอาหารยามคับขันหรือยามข้าวยากหมากแพง (มดคงไม่กินหมากน่ะครับ)ให้แก่ประชากรในอาณาจักรของมัน โดยเริ่มจากการตัดใบไม้และกิ่งก้านพร้อมลำเลียงเข้าไปในอาณาจักร มันจะทำงานหนักอย่างนี้ตลอดเวลา 24 ชม. การลำเลียงใบไม้ในลักษณะนี้ เสมือนที่ชายคนหนึ่งแบกของน้ำหนัก 250 กก. แล้ววิ่งด้วยความเร็ว 1.5 กม./ชั่วโมง โดยไม่หยุดพัก พวกมันสร้างถนนเส้นต่างๆ เพื่อความสะดวกในการลำเลียงของงานบรรทุก และสิ่งที่น่าทึ่งมากกว่านี้ คือ จะมีฝ่ายซ่อมแซมถนนหรือฝ่ายขจัดสิ่งกีดขวางตามถนนเพื่อให้การลำเลียงดำเนินไปอย่างสะดวกที่สุด(ไม่สะดุดกิ่งไม้จนหัวคะมำได้) บางส่วนก็ทำหน้าที่เป็นสะพานมีชีวิตให้บรรดานักลำเลียงสามารถส่งของตามเวลาและจำนวนที่กำหนดโดยการร้อยเรียงจับตัวกันเป็นสะพานให้เพื่อนข้ามอย่างสะดวก นับเป็นภาพแห่งความเสียสละที่หาไม่ได้อีกแล้ว มดลำเลียงเหล่านี้มีจำนวนประมาณ 500,000 ตัว ทำงานไม่หยุดหย่อนตลอด 24 ชม. โดยไม่รู้จักคำว่าย่อท้อและเบื่อหน่าย

มนุษย์ตัดต้นไม้โดยใช้เครื่องจักรช่วย แต่มดพันธุ์นี้จะตัดด้วยอวัยวะของมันที่ทำหน้าที่เสมือนเลื่อยที่มีประสิทธิภาพที่สุด และเพื่อให้การตัดใบไม้ดำเนินไปอย่างสะดวก เลื่อยของมันจะปล่อยน้ำมันหล่อลื่นตลอดเวลา

มดจะสร้างอาณาจักรภายในรังของมัน พวกมันจะใช้ใบไม้เหล่านี้เข้าไปในรังเพื่อจัดทำสวนเฉพาะ หลังจากมดลำเลียงมอบใบไม้ แก่มดเกษตรแล้ว จะมีอีกกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อใบไม้ มันจะทำความสะอาดใบไม้จนกระทั่งมั่นใจว่าปลอดจากสารพิษต่างๆที่อาจติดอยู่กับใบไม้ จากนั้นมดเกษตรก็เริ่มทำสวนด้วยกรรมวิธีที่น่าทึ่งยิ่ง จากนั้นเยื่อใยที่ไม่มีประโยชน์ก็จะถูกขนย้ายออกจากรังเพื่อเป็นการทำความสะอาดรังครั้งใหญ่ (Big Cleaning Day)

มดทหารจะทำหน้าที่ปกป้องอาณาจักรแม้นต้องแลกด้วยชีวิต นับเป็นการเสียสละที่เกินบรรยายจริงๆ

หากเราสังเกตที่มดลำเลียงใบไม้ จะพบว่ามีมดตัวหนึ่งที่ประจำการเกาะติดใบไม้เพื่อทำหน้าที่อารักขาจากการจู่โจมทางอากาศที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ มันทำหน้าที่คล้ายทหารอารักขาความปลอดภัยของคาราวานกองทัพที่ลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ มดอารักขานี้จะทำหน้าที่อารักขาใบไม้อย่างกล้าหาญแม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

ความสลับซับซ้อนของอาณาจักรมดในลักษณะนี้เป็นสิ่งยืนยันถึงการมีอยู่ของพระผู้ทรงสร้าง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดโดยการบังเอิญ ตามความหลอกลวงของทฤษฎีวิวัฒนาการที่อุตริโดยชาร์ล ดาร์วิน

ต่อภาค [3]


เขียนโดย Mazlan Muhammad

อาณาจักรมด อัศจรรย์แห่งอัลกุรอาน [ตอนที่ 1]

มดเป็นสัตว์ในวงศ์ Formicidae อันดับ Hymenoptera มีมากกว่า 12,000 ชนิด คาดกันว่ามีประชากรมดในโลกนี้จำนวนกว่า 1 พันล้านล้านตัว อาณาจักรมดที่ใหญ่ที่สุดที่ค้นพบคือที่บริเวณลุ่มแม่น้ำ Ishikari รัฐ Hokkaido ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีประชากรมดอาศัยอยู่ในอาณาจักรนี้จำนวน 306 ล้านตัว มีนางพญามดถึง 1 ล้านตัว อาศัยอยู่ในรังต่างๆที่เชื่อมโยงติดต่อกันถึง 45,000 รัง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2.7 ตร.กม. มดบางชนิดสามารถขุดดินทำรังได้ลึกถึง 8 เมตร กว้าง 7 เมตร ขนดินทิ้งข้างนอกด้วยปริมาณดินที่มีน้ำหนักกว่า 40 ตัน

การสร้างอาณาจักรมดในลักษณะนี้ แสดงว่ามดเป็นแมลงสัตว์สังคม (Social Insect) คือมักทำรังไปในทิศทางเดียวกัน ในแต่ละรังก็มีการแบ่งวรรณะอย่างชัดเจน ประกอบด้วย

1) มดนางพญา ผู้เป็นราชินี ไม่ทำงานอะไรทั้งสิ้น อยู่ติดรัง คอยออกไข่ตามจำนวนที่รังต้องการ

2) มดลูกตัวเมียมีปีก สืบพันธุ์ได้ รับภาระใหญ่คือสืบพันธุ์ของรังต่อไป

3) มดตัวเมียไม่มีปีก เป็นหมัน มีชื่ออื่นว่ามดงาน คือทำทุกอย่างตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ดูแลไข่และบริบาลตัวอ่อน ปรนนิบัติราชินี หาอาหาร ทำความสะอาดรัง ลำเลียงศพมดตัวผู้ที่ตายในรัง เป็นทหารป้องกันอันตรายซึ่งจะมีตัวกำยำกว่ามดอื่นๆ มีการแบ่งงานทำหน้าที่อย่างมีระบบตามอายุขัย มดบางพันธุ์มีหน้าที่เป็นเกษตรกรปลูกไร่นาในรังผลิตอาหารให้กับประชากรมด ซึ่งมดงานที่มีตำแหน่ง สว.(สูงวัย) จะทำหน้าที่หาอาหารจากภายนอกรังในฐานะผู้มากประสบการณ์ ดังนั้นมดที่เรามักเจอเพ่นพ่านตามที่ต่างๆ น่าจะเป็นมดไม้ใกล้ฝั่ง จวนเจียนจะตายตามอายุขัย แต่ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความภูมิใจ และ

4) มดตัวผู้ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย มีอายุสั้นที่สุดในจำนวนประชากรมดทั้งหลาย มีหน้าที่ผสมพันธุ์กับนางพญาเพียงครั้งเดียว แล้วก็ตายจากไปอย่างไร้ศักดิ์ศรีที่สุด

นางพญามดเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุด มีหน้าที่วางไข่และควบคุมจำนวนประชากรมดในฐานะผู้ให้กำเนิดประชากรมดในอาณาจักรของตน เป็นศูนย์บัญชาการควบคุมทิศทางของรัง เมื่อใดที่มดนางพญาตาย เมื่อนั้น หมายถึงอวสานของประชากรมดทั้งรัง จะกลายเป็นรังร้าง เพราะมดงานจะกระจัดกระจายไปที่อื่นเหมือนบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะฉะนั้น ประชากรมดจึงให้ความสำคัญและทะนุถนอมมดนางพญามาก มดนางพญาจึงมีอายุยาวนานที่สุด บางพันธุ์มีอายุ 5 ปี แต่บางชนิดอายุยืนถึง 25 ปีทีเดียว

มดมีความสามารถสื่อสารระหว่างกันได้อย่างน่าทึ่งด้วยการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า “ฟิโรโมน”ออกจากนอกกายแทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของมดตัวอื่นๆนับล้านตัว ด้วยใช้ระบบนี้ มดนับล้านตัวจะร้องอุทาน ร้องไห้หรือดีใจพร้อมกันนับล้านตัวได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการสื่อสารด้วยระบบไฮเทคก้าวล้ำเป็นอย่างยิ่ง

มดมีพลังอันมหาศาล และน่าเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังที่แข็งแรงที่สุดในโลก เพราะมันสามารถยกสิ่งของที่หนักกว่าน้ำหนักของตัวมันถึง 20 เท่า ในขณะที่แชมป์ยกน้ำหนักระดับโอลิมปิกสามารถยกน้ำหนักไม่เกิน 5 เท่าของน้ำหนักตนเองเท่านั้น

นี่คือเสี้ยวหนึ่งของความมหัศจรรย์ของมดที่ถูกค้นพบโดยมนุษย์ยุคเทคโนโลยีในปัจจุบัน

หากมีคนบอกท่านผู้อ่านว่า กว่า 1,400 ปีมาแล้ว มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ประกาศโดยชายคนหนึ่งที่ไม่มีการศึกษา ไม่เคยศึกษาจากใครที่ไหนมาก่อน แถมยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้อีกต่างหาก ที่สำคัญไม่มีการบันทึกในประวัติส่วนตัวของชายคนนี้ว่าท่านมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องมด แต่แล้วในหนังสือเล่มนี้พูดถึงเรื่องมดได้อย่างน่าทึ่งทั้งความลี้ลับในสาระเนื้อหาและความถูกต้องตามหลักวิชาการที่ค้นพบในปัจจุบัน ท่านจะเชื่อไหม อะไรคือข้อพิสูจน์ และจะพิสูจน์กันอย่างไร


เขียนโดย Mazlan Muhammad

อ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/มด