เว็บไซต์ต้านข่าวลือภาคภาษาอาหรับ

เว็บไซต์ fatabyyano.net ก่อตั้งเมื่อปี 2014 มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบข่าวปลอมหรือข่าวลือที่เผยแพร่ในโชเชียลภาคภาษาอาหรับ พร้อมนำเสนอข่าวคราวที่ถูกต้องและมีแหล่งข้อมูลที่เป็นที่น่าเชื่อถือ

เว็บไซต์ดังกล่าวได้ระบุว่า ตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 (ไวรัสโคโรน่า) แพร่ระบาดในประเทศจีน มีข่าวเท็จมากมายที่ถูกนำเผยแพร่ในโลกโชเชียลภาคภาษาอาหรับที่ถูกเชื่อมโยงกับไวรัสร้ายนี้ ส่วนหนึ่งได้แก่

⁃ รัฐบาลจีนสั่งฆ่าผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ขยายเนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถรักษาได้

⁃ ชาวจีนจำนวน 20 ล้านคนรับอิสลาม หลังพบว่าชุมชนมุสลิมในประเทศจีนไม่มีการติดเชื้อไวรัสร้ายดังกล่าว

⁃ รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการอาซาน และละหมาดในมัสยิดทั่วประเทศ เพื่อให้มุสลิมขอพรระงับการเผยแพร่ของไวรัสร้ายนี้

⁃ ประธานาธิบดีจีนได้ตะเวนเยี่ยมมัสยิดต่างๆทั่วประเทศจีน เพื่อรณรงค์ให้ชาวมุสลิมขอพรต่อพระเจ้า

⁃ รัฐบาลจีนสั่งฆ่าสุกรและนกจำนวนมาก เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ข่าวในลักษณะนี้ถูกนำเสนอโดยมีภาพและคลิปวิดีโอประกอบ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ในความเป็นจริง ข่าวดังกล่าวล้วนเป็นข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนเลย

จึงขอความร่วมมือจากมุสลิมทุกคน ได้ระมัดระวังในการเสพข้อมูลต่างๆ และควรมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารตามคำสอนของหลักการอิสลามที่ได้กำชับมิให้มุสลิมตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม เพราะจะนำไปสู่การเป็นบุคคลที่เป็นจอมโกหกโดยไม่รู้ตัว

ทีมข่าวต่างประเทศ

Fake news | ชาวจีน 20 ล้านคนรับอิสลามหลังพบว่าชุมชนมุสลิมไม่มีใครติดไวรัสโควิด-19 (โคโรน่า)

สื่ออาหรับเผยแพร่ข่าวชาวจีนจำนวน 20 ล้านคน รับอิสลามหลังพบว่าชุมชนมุสลิมไม่มีใครติดเชื้อไวรัสซึ่งถือเป็นข่าวปลอมที่ไม่มีแหล่งข่าวทางการใดๆนำเสนอ

ในความเป็นจริงเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถติดเชื้อไปยังทุกคนโดยไม่เกี่ยวกับภาษา ศาสนาและชาติพันธ์ุแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ สื่ออินโดนีเซียเผยแพร่ข่าวระบุว่าชาวอังกฤษจำนวน 3 ล้านคนรับอิสลามคราวเดียวกัน ซึ่งถือเป็นข่าวลวงเช่นเดียวกัน

มุสลิมทุกคนดีใจเมื่อทราบข่าวการรับอิสลามของพี่น้องทั่วโลก แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องรับฟังข่าวปลอมหรือ เป็นผู้เผยแพร่ข่าวปลอมในเรื่องนี้

WHO ตั้งชื่อ”ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่” อย่างเป็นทางการ

WHO ตั้งชื่อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่อย่างเป็นทางการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกชื่อที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แบบเฉพาะเจาะจง

องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า “โควิด-19” (Covid-19) ย่อมาจาก “coronavirus disease starting in 2019” หรือโรคที่เกิดจากไวรัสโคโรนาที่มีการเริ่มต้นในปี 2019

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/865929?

สมาชิกรัฐสภาทั่วโลก ร่วมสัมมนาเครือข่ายสมาชิกรัฐสภาเพื่ออัลกุดส์ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

กัวลาลัมเปอร์, 8 กุมภาพันธ์ 2563 สมาชิกรัฐสภาโลกและผู้แทนองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกกว่า 500 คน ร่วมสัมมนานานาชาติครั้งที่ 3 “เครือข่ายสมาชิกรัฐสภาเพื่ออัลกุดส์” ระหว่างวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ One World Hotel, Petaling Jaya,KL, Malaysia.

Said Ibrahim Said Nuh ประธานจัดสัมมนากล่าวว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้สอดคล้องกับช่วงจังหวะที่ประเทศมาเลเซียและองค์การความร่วมมืออิสลามหรือโอไอซี ได้ประกาศจุดยืนปฏิเสธแผนสันติภาพทรัมป์ที่ประกาศยกปาเลสไตน์ให้แก่อิสราเอล หรือที่เป็นที่รู้จักในนาม”ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” (Deal of the Century)

“ในฐานะเจ้าภาพจัดสัมมนาครั้งที่ 3 และครั้งแรกของประเทศมาเลเซีย เราต้องขอขอบคุณที่มาเลเซียได้รับการคัดเลือกเป็นเจ้าภาพจัดสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นโอกาสดีเปิดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์เพื่อหามาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ชาวปาเลสไตน์อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” Said Ibrahim Said Nuh กล่าว

ดร. ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการมุสลิมศึกษาสถาบันเอเชียศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในนักวิชาการจากประเทศไทยที่เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ได้เขียนใน Facebook ส่วนตัว เล่าบรรยากาศตอนเปิดพิธีโดย ตุน ดร. มหาเธร์ โมฮัมมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานในพิธีเปิด ว่า

“มานั่งฟัง “พี่ใหญ่” แห่งอาเซียนพูดถึงสถานการณ์ปาเลสไตน์ หลังทรัมป์เปิดเผยแผนสันติภาพตะวันออกกลาง หรือ Deal of the Century ท่านกล่าวตอนหนึ่งว่า ไม่มีอะไรหรอก แค่ผู้นำสหรัฐอเมริกาชอบทำเรื่องผิดกฏหมายให้เป็นเรื่องถูกกฏหมาย หรือ “Legalize the illegal”

ดร. ศราวุฒิ อารีย์ ได้ยกคำพูดของนายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซียด้วยข้อความภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความหมายว่า

“แผนสันติภาพนี้ เป็นการยอมรับการยึดครองของอิสราเอล แต่เพิกเฉยต่อสิทธิของชาวปาเลสไตน์ผู้ถูกกดขี่”
————–
ตุน ดร. มหาเธร์ โมฮัมมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

นายแพทย์อนันตชัย ไทยประทาน รองประธานสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี เปิดเผยว่า เครือข่ายสมาชิกรัฐสภาเพื่ออัลกุดส์ ก่อตั้งเมื่อปี 2016 มีสมาชิกรัฐสภาทั่วโลกกว่า 70 ประเทศเป็นสมาชิก มีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือสมาชิกรัฐสภาทั่วโลก ในการปกป้องกันอัลกุดส์ ช่วยเหลือปัญหาปาเลสไตน์ต่อต้านการยึดครอง และแผนการสถาปนาอัลกุดส์ให้เป็นเมืองยิว ตลอดจนแก้ไขปัญหาการละเมิดด้านสิทธิมนุษยชนที่อัลกุดส์และปาเลสไตน์

“ขอขอบคุณเครือข่ายสมาขิกรัฐสภาเพื่ออัลกุดส์และขอชื่นชมรัฐบาลมาเลเซียที่แสดงความจริงใจปกป้องอัลกุดส์และชาวปาเลสไตน์ด้วยความมุ่งมั่นมาโดยตลอด ในนามสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี จะนำประสบการณ์จากการสัมมนาครั้งนี้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับประเทศ ในการทำหน้าที่ปกป้องอัลกุดส์ต่อไป” นายแพทย์ อนันตชัย ไทยประทานกล่าวทิ้งท้าย

หากชาวผิวขาวให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนที่แท้จริง ทำไมชนพื้นเมืองดั้งเดิมต้องสาปสูญไป

ออสเตรเลียเริ่มฟื้นฟูภาษาเเละวัฒนธรรมชาวอะบอริจินหลังจากหายภาษาชนพื้นเมืองสาบสูญไปเเล้วกว่าร้อยภาษา

ในอดีต รัฐบาลออสเตรเลียเคยจงใจที่จะกำจัดภาษาชนพื้นเมืองในประเทศให้หมดไป โดยมองว่าภาษาชนเผ่าของออสเตรเลียต่ำต้อยกว่าภาษาอังกฤษ

ย้อนไปในตอนที่ชาวอังกฤษเข้าไปตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลียในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีภาษาชนพื้นเมืองอยู่ถึง 250 ภาษา เเต่มาในปัจจุบัน มีภาษาชนพื้นเมืองหลงเหลืออยู่เพียงเเค่กึ่งหนึ่งเท่านั้น

บรรดานักรณรงค์กล่าวว่า การกอบกู้ภาษาชนพื้นเมืองออสเตรเลียไม่ได้เป็นการย้อนอดีต เเต่เป็นการอนุรักษ์ความภูมิใจทางวัฒนธรรม เเละความเป็นเอกลักษณ์ของชาวอะบอริจิน

Sarah Mitchell รัฐมนตรีด้านกิจการชนเผ่าอะบอริจิน เเห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่า กฏหมายใหม่ที่ออกมาบังคับใช้จะช่วยให้ภาษาและวัฒนธรรมชนพื้นเมืองได้รับการดูแลเเเละฟื้นฟูขึ้นมาใหม่

กฏหมายใหม่เหล่านี้จะร้องขอให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางภาษาชนพื้นเมืองช่วยให้คำเเนะนำด้านนโยบายของทางการ เเละยังจะมีการตั้งศูนย์เพื่อความยอดเยี่ยมเเห่งใหม่ขึ้นมารองรับอีกด้วย

Ray Kelly นักวิชาการด้านภาษาชนพื้นเมืองอะบอริจิน ที่มหาวิทยาลัย New Castle ในออสเตรเลีย กล่าวว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญมาก เพราะคนในออสเตรเลียได้ถกกันมานานแล้วถึงสิทธิ์ทางภาษา เเละการปกป้องภาษาชนเผ่าอะบอริจิน

เเต่บรรดาคนชาวพื้นเมืองสูงวัยต่างเตือนว่าไม่ควรใช้อำนาจของตนมากเกินไปในการควบคุมการอนุรักษ์ภาษาชนเผ่า

Murray Butcher กล่าวว่าสำคัญมากที่อำนาจในการอนุรักษ์อยู่กับชุมชนของชนพื้นเมือง ไม่ใช่รัฐสภา ออสเตรเลียควรเริ่มต้นทำในสิ่งที่ถูกต้องเสียที
เเละช่วยกันอนุรักษ์ภาษาพื้นเมืองของประเทศ มอบอำนาจให้กับประชาชนทำหน้าที่ปกป้องรักษาภาษาพื้นเมืองของพวกเขา เเละให้อำนาจคนพื้นเมืองมีสิทธิ์ในการตั้งเป้าหมายอนาคตของตนเอง

ภาษาชนพื้นเมืองอะบอริจินมีอายุย้อนไปนับหลายพันปี เเละไม่ได้ใช้เป็นเพียงเเค่เครื่องมือในการสื่อสาร เเต่สะท้อนถึงความเชื่อและธรรมเนียมโบราณ และเป็นส่วนสำคัญมากของประวัติศาสตร์ที่ยังคงอยู่ของคนออสเตรเลียชนเผ่าอะบอริจิน

คนออสเตรเลียเชื้อสายชนพื้นเมืองถูกเรียกว่า First Nations people นับเป็น 3 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดของออสเตรเลีย คนชนเผ่าอะบอริจินประสบกับปัญหาทางสุขภาพมากกว่าคนออสเตรเลียผิวขาว มักเสียชีวิตก่อนวัย ประสบปัญหาว่างงานสูง และมีจำนวนมากที่ถูกจองจำในคุก

(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)

ที่มา : https://www.voathai.com/a/australia-aboriginal-language/4085134.html?fbclid=IwAR0V8aBBIWfS6pRF1Is5IYUmazEb-ZZZjxL1vw-J2aLZ8hP_nKxGRVhprUc

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

ค่าเงินซูดานดิ่งตกเป็นประวัติการณ์

อัลจาซีร่าห์รายงานค่าเงินปอนด์ซูดานดิ่งตกเป็นประวัติการณ์ โดยอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 45 ปอนด์ซูดานต่อ 1 ดอลล่าร์ ขณะที่ในตลาดมืด มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่าง 95-100 ปอนด์ซูดานต่อ 1 ดอลล่าร์ ซึ่งถือเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนระดับอ่อนค่าที่สุดในประวัติการณ์ของซูดาน ส่งผลให้สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาแพงขึ้นอีกเท่าตัว

ซูดานเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างหนัก หลังประกาศแยกเป็นประเทศใหม่ของซูดานทางภาคใต้ในปี 2011 พร้อมกับการสูญเสีย 3/4 แหล่งผลิตน้ำมัน ซึ่งถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศ

ทางด้านนายกรัฐมนตรีซูดาน นายอับดุลลอฮ์ ฮัมดูกแถลงว่า ประเทศซูดานไม่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันให้กับค่าเงินในประเทศ

ในสมัยรัฐบาลอุมัร บาขีร์ (ปี 2561) ค่าเงินซูดานอยู่ที่ 30 ปอนด์ซูดานต่อ 1 ดอลล่าร์ ขณะที่ในตลาดมืดมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่าง 45-50 ปอนด์ซูดานต่อ 1 ดอลล่าร์ ทำให้ทหารลุกขึ้นปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลอุมัร บาขีร์ โดยอ้างว่าจะแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศในขณะนั้น แต่ปัจจุบัน ซูดานประสบวิกฤติทางเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าเดิม

อ้างอิง
http://mubasher.aljazeera.net/news/%D9%84%D9%85%D8%A7%D8%B0%D8%A7-%D9%8A%D8%B3%D8%AA%D9%85%D8%B1-%D8%A7%D9%84%D8%AC%D9%86%D9%8A%D9%87-%D8%A7%D9%84%D8%B3%D9%88%D8%AF%D8%A7%D9%86%D9%8A-%D9%81%D9%8A-%D8%A7%D9%84%D9%87%D8%A8%D9%88%D8%B7%D8%9F

มุสลิมอเมริกันคนแรกที่ได้รับตำแหน่งผู้กำกับตำรวจ

Ibrahim Mike Baycora มุสลิมอเมริกันเชื้อสายตุรกีเข้าพิธีสาบานตนต่อหน้าผู้ว่าราชการเมืองเพเทอร์สัน สหรัฐอเมริกาเพื่อรับตำแหน่งผู้กำกับตำรวจประจำเมือง

Ibrahim Mike Baycora ถือเป็นมุสลิมคนแรกในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับตำแหน่งนี้

เมืองเพเทอร์สัน เป็นเมืองหนึ่งในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่ชาวอาหรับและมุสลิมทั่วโลกอยู่อาศัยเป็นจำนวนมากจนถูกขนานนามว่าเป็นเมืองอาหรับในสหรัฐอเมริกา

รู้จักเมืองแพเทอร์สัน เมืองอาหรับในสหรัฐอเมริกา

ปธน. ทรัมป์โดนฉีกหน้า เมื่อประธานสภาสหรัฐฯ “ฉีกคำปราศรัย” หลังจบแถลงนโยบายประจำปี

อัลจาซีร่าห์ – ประธานรัฐสภา แนนซี เปโลซี ฉีกสำเนาคำแถลงนโยบายประจำปีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการแสดงออกทางการเมืองหลังจากเม้มปากนั่งฟังประธานาธิบดีโอ้อวดความสำเร็จของเขาต่อสภาคองเกรส

ความตึงเครียดระหว่างทรัมป์และคู่กัดของเขาจากพรรคเดโมแครตเห็นได้ชัดมาตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากเธอได้ยื่นมือเพื่อขอจับมือ แต่ประธานาธิบดีไม่ยอมยื่นมือกลับ

เมื่อถูกนักข่าวถามถึงเหตุผลที่ทำอย่างนั้น เปโซลี ตอบว่า “เพราะว่ามันเป็นการกระทำที่สุภาพแล้ว เมื่อพิจารณาจากหลายๆ ตัวเลือก ”

ในทวีตหลังจากนั้น เปโลซี วัย 79 ปี กล่าวว่า “พรรคเดโมแครตจะไม่หยุดมองหาพันธมิตรเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ”

ทรัมป์ถูกลงมติถอดถอนโดยสภาล่างที่พรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากเมื่อหกสัปดาห์ก่อน และการแสดงออกของเปโลซีเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนที่วุฒิสภาสหรัฐฯ จะโหวตให้ทรัมป์พ้นจากข้อกล่าวหาใช้อำนาจโดยมิชอบและขัดขวางกระบวนการยุติธรรม


ดูเพิ่มเติม https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/2/5/%d8%a7%d9%84%d9%88%d9%84%d8%a7%d9%8a%d8%a7%d8%aa-%d8%a7%d9%84%d9%85%d8%aa%d8%ad%d8%af%d8%a9-%d8%af%d9%88%d9%86%d8%a7%d9%84%d8%af-%d8%aa%d8%b1%d8%a7%d9%85%d8%a8-%d9%86%d8%a7%d9%86%d8%b3%d9%8a-%d8%a8%d9%8a%d9%84%d9%88%d8%b3%d9%8a-%d8%ae%d8%b7%d8%a7%d8%a8-%d8%ad%d8%a7%d9%84%d8%a9-%d8%a7%d9%84%d8%a7%d8%aa%d8%ad%d8%a7%d8%af?fbclid=iwar3fljw_rczyu3vefyypst3eok2letwvtji5lc41gtxzaamd2jbudppi46c

เขียนโดย ทีมข่าวต่างประเทศ

โอไอซี ปฏิเสธแผนสันติภาพสหรัฐหรือข้อตกลงแห่งศตวรรษ

องค์การความร่วมมืออิสลาม(โอไอซี)ได้ประชุมฉุกเฉินระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิก ที่กรุงเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2020 พร้อมปฏิเสธแผนสันติภาพในมายาคติของสหรัฐฯ ที่เป็นที่รู้จักในนามข้อตกลงแห่งศตวรรษ

โอไอซี ได้เรียกร้องบรรดาประเทศสมาชิกงดให้ความร่วมมือใดๆ กับรัฐบาลสหรัฐฯในเรื่องนี้ และได้ออกคำแถลงการณ์ว่า เราปฏิเสธข้อตกลงนี้เนื่องจากเป็นข้อตกลงที่ไม่ตอบสนองสิทธิขั้นพื้นฐานของชาวปาเลสไตน์ และขัดแย้งกับแหล่งอ้างอิงทางศาสนาว่าด้วยการสร้างสันติภาพ

ที่ประชุมถือว่า ข้อตกลงแห่งศตวรรษนี้ มีเนื้อหาที่สอดรับกับนิยายปรัมปราของอิสราเอลและเป็นการสร้างความชอบธรรมผนวกดินแดนปาเลสไตน์ภายใต้ข้ออ้างสร้างความมั่นคงแต่รัฐอิสราเอลเท่านั้น ทั้งๆ ที่ขัดแย้งอย่างชัดเจนกับกฎหมายระหว่างประเทศ อนุสัญญาสหประชาชาติและข้อตกลงอนุภาคีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

ที่ประชุมยืนยันว่า สันติภาพในตะวันออกกลางจะไม่มีทางเกิดขึ้นจนกว่าจะยุติการครอบครองแผ่นดินโดยอธรรม และการถอนกองกำลังจากแผ่นดินปาเลสไตน์ อัลกุดส์ รวมทั้งพื้นที่ยึดครองปี 1967

ที่ประชุมได้ย้ำว่า ปัญหาปาเลสไตน์คือศูนย์กลางปัญหาของประชาชาติอิสลามสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อยุติการยึดครองเท่านั้น พร้อมระบุว่าอัลกุดส์คือเมืองหลวงถาวรของชาวปาเลสไตน์

องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organization of the Islamic Cooperation,OIC) เป็นองค์การระหว่างประเทศของชาติมุสลิม มีสมาชิกราว 57 ประเทศ ประชากรรวมกว่า 1.2 พันล้านคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมสรรพกำลัง ปกป้องผลประโยชน์ของชาติสมาชิก รวมถึงการพูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องสำคัญ ๆ ในเวทีสากล

โอไอซี ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2512 โดยมีการประชุมระดับผู้นำครั้งแรกที่กรุงราบัต ประเทศโมร็อคโก หลังมัสยิดอัลอักศอถูกวางเพลิงได้รับความเสียหายจากฝีมือยิวสุดโต่ง ปัจจุบัน ชัยค์ยูซุฟ อัล-โอซัยมีน ชาวซาอุดิอาระเบียดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการคนที่ 11

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

ยอดผู้เสียชีวิตเหยื่อไวรัสโคโรน่าพุ่ง คนติดเชื้อกว่าหมื่นรายทั่วจีน

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน ( NHC) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 2,590 ราย และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 45 ราย ณ วันเสาร์(1ก.พ.)โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดถูกพบในมณฑลหูเป่ย์

การพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม ทำให้ขณะนี้จำนวนผู้เสียชีวิตเพราะไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ในจีนเพิ่มเป็น 304 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 14,380 ราย

ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่จีนถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากประเทศต่างๆพากันคุมเข้มด้านการเดินทางของชาวจีนที่จะเข้าประเทศ แม้ว่าองค์การอนามัยโลก(WHO)จะออกประกาศคำแนะนำเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ออกมาและย้ำว่าขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะจำกัดการค้าขายหรือการเดินทางไปยังประเทศจีน

อ้างอิง https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/864621