ประชาธิปไตยหลุดพ้นจากอิสลามหรือไม่ ? [ ตอนที่ 1 ]

โดย ศ.ดร.ยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวีย์ อดีตประธานสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ

■ คำถาม

มุสลิมบางกลุ่มมีทัศนะว่า ประชาธิปไตยนั้นเข้ากันไม่ได้กับอิสลาม บ้างเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบที่หลุดพ้นจากศาสนาอิสลามอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้ข้ออ้างว่า ประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองประชาชนโดยประชาชน อำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน แต่ในศาสนาอิสลามประชาชนไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่แท้จริง แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดคืออัลลอฮ์เท่านั้น ดังที่อัลกุรอานกล่าวความว่า “ ไม่มีการตัดสินใดๆ นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น “ (Al-An’am: 57)

ทำให้กลุ่มเสรีนิยมและผู้สนับสนุนเสรีภาพเห็นว่า ชาวมุสลิมเป็นศัตรูกับประชาธิปไตย และเป็นเครือข่ายผู้สนับสนุนเผด็จการทรราช

ดังนั้น จึงขอให้ท่านช่วยให้ความกระจ่างว่า อิสลามเป็นศัตรูกับประชาธิปไตยจริงหรือ และประชาธิปไตยนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการปฏิเสธศรัทธาหรือความชั่วร้ายตามที่มีผู้กล่าวอ้างหรือไม่ หรือเป็นเพียงการกล่าวเท็จต่ออิสลาม ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เราขอพรต่ออัลลอฮ์เพื่อช่วยให้ท่านเปิดเผยความจริง ชี้แจงหักล้างข้อโต้แย้ง ขอขอบคุณและขอให้อัลลอฮ์ตอบแทนท่านด้วยความดีงาม

■ คำตอบ

الحمد لله، والصلاة والسلام على رسول الله، وعلى آله وصحبه ومن والاه، وبعد

ข้าพเจ้าก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เกิดความสับสนอลหม่านระหว่างความจริงกับความเท็จในหมู่ผู้เคร่งครัดศาสนาโดยทั่วไปและในหมู่ผู้พูดในนามของศาสนาอิสลามบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นคำถามของพี่น้องที่ได้ระบุข้างต้น ถึงขั้นการกล่าวหาผู้คนว่า หลุดพ้นจากศาสนาหรือผิดศีลธรรมกลายเป็นเรื่องง่ายดาย ราวกับว่าพวกเขาไม่รับรู้ว่าในอิสลามถือว่า การกล่าวหาผู้คนว่าหลุดพ้นจากศาสนา เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงอุกฉกรรจ์ และจะย้อนกลับมาเข้าตัวผู้ที่กล่าวหาผู้อื่น ดังปรากฏในหะดีษศอฮีห์

คำถามที่พี่น้องผู้มีเกียรติถามนี้ จึงไม่แปลกสำหรับข้าพเจ้า เพราะพี่น้องของเขาจากแอลจีเรียได้ถามมาหลายครั้ง และด้วยคำถามชัดเจนว่า [ ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่หลุดพ้นจากอิสลามหรือไม่ ? ]

○ การตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นกิ่งก้านของความรู้แจ้งถึงสิ่งนั้น

ที่แปลกประหลาด บางคนฟันธงว่าประชาธิปไตยเป็นความเลวที่ชัดเจน หรือเป็นการปฏิเสธศาสนาอย่างชัดเจน ทั้งๆที่เขาไม่รู้ถึงแก่นแท้หรือแม้กระทั่งมโนทัศน์ในภาพรวมของมัน

หนึ่งในบรรดากฎที่นักวิชาการบรรพกาลของเรากำหนดไว้คือ การตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นกิ่งก้านของความรู้แจ้งถึงสิ่งนั้น

ดังนั้นใครก็ตามที่ชี้ขาดในบางสิ่งที่เขาไม่รู้ การตัดสินของเขาก็ถือว่าผิดพลาด แม้ว่าจะถูกต้องก็ตาม เพราะเป็นการยิงที่โดนเป้าโดยบังเอิญเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏในหะดีษว่า ผู้พิพากษาที่ตัดสินโดยไม่มีความรู้หรือรู้ความจริงแต่กลับไม่พิพากษาตามข้อเท็จจริง ล้วนถือว่ามีความผิดทั้งสิ้น

ประชาธิปไตยที่ประชาชนทั่วโลกเรียกร้องก็เช่นกัน มวลชนจำนวนมากในตะวันออกและตะวันตกกำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา

บางส่วนก็ได้มาหลังจากการต่อสู้กับทรราชอย่างขมขื่น คนหลายพันคน ถึงนับล้านๆคน ต้องหลั่งเลือดและตกเป็นเหยื่อ เช่นในยุโรปตะวันออกและที่อื่น ๆ ทำให้กลุ่มอิสลามบางส่วนยอมรับว่าประชาธิปไตยเป็นวิธีการหนึ่ง ในการยับยั้งการปกครองโดยบุคคล และสามารถตัดเขี้ยวเล็บของลัทธิเผด็จการทางการเมืองที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวมุสลิมของเรา

ดังนั้น ประชาธิปไตย ถือเป็นการหลุดพ้นจากศาสนาอิสลามอย่างที่พวกผิวเผินบางคนพูดหรือไม่

เราลองมาดูว่า อะไรคือแก่นแกนของประชาธิปไตย

แก่นแกนของประชาธิปไตย คือการให้ประชาชนเลือกผู้ที่จะมาปกครองบริหารพวกเขา และการไม่บีบบังคับประชาชนให้ยอมรับผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่พวกเขาเกลียดชัง ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบผู้ปกครองหากกระทำความผิด มีสิทธิ์ที่จะปลดผู้นำหากเบี่ยงเบน และไม่นำผู้คนไปสู่แนวทางเศรษฐกิจหรือทางสังคม วัฒนธรรมหรือการเมือง ที่พวกเขาไม่ยอมรับและไม่พอใจ แนวทางที่หากว่าประชาชนบางคนต่อต้านก็จะขับไล่ไสส่งและกระทำทารุณกรรม รวมถึงการทรมานและสังหาร

นี่คือแก่นแกนของประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งมนุษยชาติได้ค้นพบรูปแบบและวิธีการที่ใช้ได้จริง เช่น การเลือกตั้ง และการลงประชามติของประชาชน ความเหนือกว่าของเสียงข้างมาก ความหลากหลายของพรรคการเมือง สิทธิของคนส่วนน้อยในการเป็นฝ่านค้าน เสรีภาพของสื่อมวลชน ความเป็นอิสระของตุลาการ ฯลฯ

ถามว่า ประชาธิปไตย ในสาระสำคัญที่เรากล่าวถึงนั้น ขัดกับอิสลามหรือไม่การขัดกันนี้มาจากไหน มีหลักฐานบทไหนบ้างจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺที่บ่งชี้กรณีนี้

● แก่นแกนของประชาธิปไตยสอดคล้องกับศาสนาอิสลาม

ความจริงแล้ว หากพิจารณาแก่นแกนของประชาธิปไตยก็จะพบว่า สิ่งนี้คือแก่นแกนของศาสนาอิสลามเช่นกัน

อิสลามไม่ยอมรับผู้นำละหมาดที่ผู้ตามเกลียดชัง
ปรากฏในหะดีษว่า

ثلاثة لا ترتفع صلاتهم فوق رءوسهم شبرًا ..” وذكر أولهم : “رجل أم قومًا وهم له كارهون ..”

“ บุคคล 3 ประเภทที่ละหมาดของเขา จะไม่ถูกยกขึ้นไปสูงกว่าศีรษะของพวกเขาแม้เพียงหนึ่งกระเบียดนิ้ว .. ” และกล่าวถึงคนแรกว่า:“ ชายคนหนึ่ง นำละหมาดผู้คน ในขณะที่ผู้คนรังเกียจเขา”

(หะดีษรายงานโดยอิบนุมาจะฮ์ เลขหะดีษ 971 /ศอฮีห์)

นี่เป็นกรณีละหมาด แล้วในเรื่องวิถีชีวิตและการเมืองการปกครองจะเป็นเช่นไร

มีหะดีษกล่าวว่า

خير أئمتكم ـ أي حكامكم ـ الذين تحبونهم ويحبونكم، وتصلون عليهم ـ أي تدعون لهم ـ ويصلون عليكم، وشرار أئمتكم الذين تبغضونهم ويبغضونكم، وتلعنونهم ويلعنونكم” (رواه مسلم عن عوف بن مالك).

ผู้นำที่ดีที่สุดของพวกท่าน คือผู้ที่พวกท่านรักพวกเขาและพวกเขารักพวกท่าน และพวกท่านขอพรให้พวกเขา และพวกเขาขอพรให้พวกท่าน และผู้นำของพวกท่านที่ชั่วร้ายที่สุดคือผู้นำที่พวกท่านรังเกียจพวกเขาและพวกเขารังเกียจพวกท่าน พวกท่านสาปแช่งพวกเขาและพวกเขาสาปแช่งพวกท่าน (หะดีษรายงานโดยมุสลิม จากเอาฟ์ บินมาลิก)

อัลกุรอานรณรงค์ต่อต้านผู้ปกครองที่สถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้า

อัลกุรอานได้รณรงค์อย่างรุนแรงต่อผู้ปกครองที่สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าในโลกนี้ และถือเอามนุษย์เป็นข้าทาส เฉกเช่น กษัตริย์นัมรูด ( แห่งดินแดนเมโสโปเตเมียในบรรพกาล ) รวมถึงท่าทีของนัมรูดต่อนบีอิบริอฮีม และท่าทีของอิบรอฮีมต่อนัมรูด ว่า

‎أَلَمْ تَرَ إِلَى الَّذِي حَاجَّ إِبْرَاهِيمَ فِي رَبِّهِ أَنْ آتَاهُ اللَّهُ الْمُلْكَ إِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّيَ الَّذِي يُحْيِي وَيُمِيتُ قَالَ أَنَا أُحْيِي وَأُمِيتُ ۖ قَالَ إِبْرَاهِيمُ فَإِنَّ اللَّهَ يَأْتِي بِالشَّمْسِ مِنَ الْمَشْرِقِ فَأْتِ بِهَا مِنَ الْمَغْرِبِ فَبُهِتَ الَّذِي كَفَرَ ۗ وَاللَّهُ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ

“ท่าน (มุฮัมมัด) มิได้พิจารณาดูผู้ที่โต้แย้งต่ออิบรอฮีมในเรื่องพระเจ้าของเขาเนื่องจากการที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานอำนาจแก่เขาดอกหรือ ขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า “พระเจ้าของฉันนั้นคือผู้ที่ให้ชีวิตและให้ความตาย” เขากล่าวว่า “ข้าก็ให้ชีวิตและให้ความตายได้” อิบรอฮีมกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ์นั้นนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออก ท่านจงนำมันมาจากทิศตะวันตกเถิด” แล้วผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นก็อับจนปัญญา และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ประทานแนวทางอันถูกต้องแก่ผู้อธรรมทั้งหลาย” ( อัลบะกอเราะห์ : 258 )

ทรราชนี้อ้างว่าเขาให้ชีวิตและหยิบยื่นความตายได้เช่นเดียวกับที่พระเจ้าของอิบรอฮีม – ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าของโลก – ให้ชีวิตและความตาย ดังนั้นผู้คนควรนับถือเขาเหมือนกับการที่พวกเขานับถือต่อพระเจ้าของอิบรอฮีม และเขาก็อวดดีถึงขั้นอ้างว่าให้ชีวิตและให้ความตาย โดยการนำชายสองคนจากท้องถนนและตัดสินประหารชีวิตโดยไม่มีความผิด และดำเนินการลงโทษคนหนึ่งในนั้นทันที พร้อมกล่าวว่า “ดูเถิดคนนี้ข้าให้ความตาย และยกโทษให้อีกคนหนึ่ง แล้วพูดว่า “ดูเถิด ข้าให้ชีวิตเขาแล้ว ! ฉันไม่ได้ให้ชีวิตและความตายกระนั้นหรือ!

และในทำนองเดียวกัน ฟาโรห์ผู้ซึ่งประกาศก้องในหมู่ประชาชนของเขาว่า
أَنَا رَبُّكُمُ الْأَعْلَىٰ
“ ฉันคือพระเจ้าผู้สูงสุดของพวกท่าน” (อันนาซิอาต : 24)

และกล่าวด้วยความองอาจว่า :
‎ يَا أَيُّهَا الْمَلأُ مَا عَلِمْتُ لَكُمْ مِنْ إِلَهٍ غَيْرِي

โอ้ผู้คนทั้งหลาย ฉันไม่รับทราบว่ามีพระเจ้าอื่นของจากฉัน” ( อัลกอศ็อศ : 38)

คัมภีร์กุรอานได้เปิดเผยขั้วพันธมิตรสามานย์ 3 ฝ่าย ได้แก่

ฝ่ายแรก คือผู้ปกครองที่สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้า มีอำนาจบาตรใหญ่เหนือประชาชน ฝ่ายนี้มีฟาโรห์เป็นตัวแทน

ฝ่ายที่ 2 คือนักการเมืองผู้แสวงผลประโยชน์ ซึ่งทุ่มเทสติปัญญาและประสบการณ์ของเขา เพื่อรับใช้และพิทักษ์รักษาฐานอำนาจของทรราช และทำให้ผู้คนเชื่องยอม พร้อมถวายความจงรักภักดีต่อฟาโรห์ ฝ่ายนี้มีฮามานเป็นตัวแทน

และฝ่ายที่ 3 คือกลุ่มนายทุนหรือกลุ่มอำมาตย์ผู้ได้รับประโยชน์จากการปกครองของทรราช พวกเขาสนับสนุนทรราชด้วยการใช้จ่ายเงินของตนบางส่วนเพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากหยาดเหงื่อและเลือดของประชาชน ฝ่ายนี้มีกอรูนเป็นตัวแทน

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึงขั้วพันธมิตรของทั้ง 3 กลุ่มนี้ในเรื่องการฝ่าฝืนศีลธรรมและการล่วงละเมิด ตลอดจนการเผชิญหน้ากับสาส์นของมูซา จนกระทั่งอัลลอฮ์จัดการกับฟาโรห์อย่างน่าสมเพช

‎وَلَقَدۡ أَرۡسَلۡنَا مُوسَىٰ بِـَٔايَـٰتِنَا وَسُلۡطَـٰنٍ۬ مُّبِينٍ * إِلَىٰ فِرۡعَوۡنَ وَهَـٰمَـٰنَ وَقَـٰرُونَ فَقَالُواْ سَـٰحِرٌ۬ ڪَذَّابٌ۬

“และแน่นอน เราได้ส่งมูซามาพร้อมด้วยสัญญาณต่าง ๆ ของเราและหลักฐานอันชัดแจ้ง ไปยังฟาโรห์ และฮามาน และกอรูน แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า (มูซาเป็น) มายากลนักโกหกตัวฉกาจ”
(ฆอฟิร : 23, 24)

‎وَقَٰرُونَ وَفِرۡعَوۡنَ وَهَٰمَٰنَۖ وَلَقَدۡ جَآءَهُم مُّوسَىٰ بِٱلۡبَيِّنَٰتِ فَٱسۡتَكۡبَرُواْ فِي ٱلۡأَرۡضِ وَمَا كَانُواْ سَٰبِقِينَ

และ (เราได้ทำลาย) กอรูน ฟาโรห์และฮามาน และโดยแน่นอนมูซาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง แต่พวกเขาหยิ่งผยองในแผ่นดิน และพวกเขาก็หาได้รอดพ้นไปจากเราไม่ ( อัลอังกะบูต : 39)

สิ่งที่น่าแปลกก็คือ กอรูนมีเชื้อชาติเดียวกับมูซา และคนละเชื้อชาติกับฟาโรห์ แต่เขากลับทรยศต่อชนเชื้อชาติเดียวกัน และเข้าร่วมกับฟาโรห์ ซึ่งเป็นศัตรูของพวกเขา โดยฟาโรห์ก็ยอมรับเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลประโยชน์ทางวัตถุเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามารวมกันได้แม้จะแตกต่างกันทางเชื้อชาติและเชื้อสายก็ตาม

คัมภีร์อัลกุรอานเชื่อมโยงการปกครองแบบเผด็จการและการทุจริต

ในบรรดาความโดดเด่นของคัมภีร์อัลกุรอาน คือการเชื่อมโยงการกดขี่กับการแพร่กระจายของการคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชาติล่มสลาย

พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพกล่าวว่า:

‎أَلَمْ تَرَ كَيْفَ فَعَلَ رَبُّكَ بِعَاد (6) إِرَمِ ذَاتِ الْعمَادِ (7) الَّتِى لَمْ يُخْلَقْ مِثْلُهَا فِى الْبِلَـدِ (8) وَثَمُودَ الَّذِينَ جَابُواْ الصَّخْرَ بِالْوَادِ (9) وَفرِعَوْنَ ذِى الأَوْتَادِ (10) الَّذِينَ طَغَوْا فِى الْبِلَـدِ (11) فَأَكْثَرُواْ فِيهَا الْفَسَادَ (12) فَصَبَّ عَلَيهِمْ رَبُّكَ سَوْطَ عَذَاب (13) إِنَّ رَبَّكَ لَبِالْمِرْصَادِ (14)

“เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า พระเจ้าของเจ้ากระทำต่อพวกอ๊าดอย่างไร
อิรอม มีเสาหินสูงตระหง่าน
ซึ่งไม่มีสิ่งก่อสร้างที่เทียบเท่าได้ตามหัวเมืองต่าง ๆ
และพวกซะมูดผู้สกัดหิน ณ หุบเขา
และฟิรเอานฺ เจ้าแห่งหมุดต่างๆ
พวกเขาได้กดขี่ทั่วแว่นแคว้นต่าง ๆ
แล้วก่อความเสียหายอย่างมากมายในหัวเมืองเหล่านั้น
ดังนั้นพระเจ้าของเจ้าจึงกระหน่ำการลงโทษนานาชนิดบนพวกเขา
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นทรงเฝ้าดูอย่างแน่นอน”
[อัลฟัจร์ : 6-14]

คัมภีร์อัลกุรอานอาจแทนคำว่า “ทรราช” الطغيان ด้วยคำว่า “การเหิมเกริม” العلو ซึ่งหมายถึง ความเย่อหยิ่งและการใช้อำนาจเหนือสรรพสิ่ง ด้วยการสร้างความอัปยศอดสูและการกดขี่ข่มเหง

ดังที่อัลลอฮ์กล่าวถึงฟาโรห์ว่า

‎إِنَّهُۥ كَانَ عَالِيٗا مِّنَ ٱلۡمُسۡرِفِينَ

“แท้จริงเขาเป็นหนึ่งที่ใฝ่สูงในบรรดาผู้ละเมิด” (อัดดุคอน: 31)

‎إِنَّ فِرۡعَوۡنَ عَلَا فِي ٱلۡأَرۡضِ وَجَعَلَ أَهۡلَهَا شِيَعٗا يَسۡتَضۡعِفُ طَآئِفَةٗ مِّنۡهُمۡ يُذَبِّحُ أَبۡنَآءَهُمۡ وَيَسۡتَحۡيِۦ نِسَآءَهُمۡۚ إِنَّهُۥ كَانَ مِنَ ٱلۡمُفۡسِدِينَ

“แท้จริง ฟาโรห์ได้เหิมเกริมในแผ่นดิน และแบ่งแยกประชาชนออกเป็นกลุ่มๆ ทำให้กลุ่มหนึ่งอ่อนแอ ฆ่าลูกชายของพวกเขา และไว้ชีวิตผู้หญิงของพวกเขา เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้างความเสื่อมเสีย” (อัลกอศ๊อศ : 4)

ดังนั้นเราจึงเห็น “ความเหิมเกริม” และ “การสร้างความเสื่อมเสีย” จะอยู่คู่กัน

คัมภีร์อัลกุรอานได้ตำหนิอย่างรุนแรงต่อชนชาติที่เชื่อฟังทรราช

คัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้ตำหนิเฉพาะกลุ่มทรราชแต่เพียงผู้เดียว แต่ยังรวมถึงประชาชนและผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขา ยอมคุกเข่าให้กับพวกเขา โดยถือว่า เป็นการร่วมรับผิดชอบกับพวกเขาด้วย

อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจกล่าวถึงกลุ่มชนของนบีนุห์ว่า

‎قَالَ نُوحٌ رَبِّ إِنَّهُمْ عَصَوْنِي وَاتَّبَعُوا مَنْ لَمْ يَزِدْهُ مَالُهُ وَوَلَدُهُ إِلَّا خَسَارًا

นุห์กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของฉัน พวกเขาไม่เชื่อฟังฉันและทำตามผู้ที่ทรัพย์สินและลูกชายของเขาไม่ได้เพิ่มพูนอะไรนอกจากการสูญเสียเท่านั้น ( นุห์ : 21)

และอัลลอฮ์มหาบริสุทธิ์กล่าวถึงชนเผ่าของนบีฮูดว่า

‎وتلك عاد جحدوا بآيات ربهم وعصوا رسله واتبعوا أمر كل جبار عنيد

และชาวเผ่าอ๊าดเหล่านี้ปฏิเสธสัญญาณของพระเจ้าของพวกเขา และฝ่าฝืนศาสนทูตของเขา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีอำนาจผู้ดื้อรั้นทุกคน “(ฮูด: 59)

และกล่าวถึงชนชาติของฟาโรห์ว่า

‎فَٱسۡتَخَفَّ قَوۡمَهُۥ فَأَطَاعُوهُۚ إِنَّهُمۡ كَانُواْ قَوۡمٗا فَٰسِقِينَ

เขา(ฟาโรห์) ก็พาลกับชนชาติของเขา และพวกเขาก็เชื่อฟังต่อเขา พวกเขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์(อัซซุครุฟ : 54)

‎ فَاتَّبَعُوا أَمْرَ فِرْعَوْنَ ۖ وَمَا أَمْرُ فِرْعَوْنَ بِرَشِيدٍ
‎يَقۡدُمُ قَوۡمَهُۥ يَوۡمَ ٱلۡقِيَٰمَةِ فَأَوۡرَدَهُمُ ٱلنَّارَۖ وَبِئۡسَ ٱلۡوِرۡدُ ٱلۡمَوۡرُودُ

ดังนั้น พวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของฟาโรห์ ทั้งๆสิ่งที่ฟาโรห์ทำนั้นไม่มีเหตุผล เขา(ฟาโรห์)จะนำหน้ากลุ่มชนของเขาในวันกิยามะฮฺ และนำพวกเขาลงในไฟนรก และมันเป็นทางลงที่ชั่วช้าที่พวกเขาได้ลงไป (ฮูด : 97 – 98 )

การที่คนทั่วไปถูกถือว่าเป็นผู้ร่วมรับผิด หรือเป็นส่วนหนึ่งของความผิดดังกล่าว เพราะพวกเขาเป็นผู้สร้างทรราชขึ้นมาเอง ดังวลีที่กล่าวว่า มีคนถามฟาโรห์ว่า ท่านเป็นฟาโรห์ได้เพราะอะไร ฟาโรห์ตอบว่า เพราะฉันไม่พบใครขัดขวางฉัน

ทหารและเครื่องมือของทรราชร่วมรับผิดชอบเช่นกัน

ผู้ที่แบกรับความรับผิดชอบกับทรราชคือ“ เครื่องมือแห่งอำนาจ” ที่อัลกุรอานเรียกว่า“ ทหาร” ซึ่งหมายถึง“ กำลังทหาร” อันเป็นเขี้ยวเล็บของอำนาจทางการเมือง ที่คอยเป็นแส้คอยลงโทษและคุกคามมวลชน หากพวกเขากบฏหรือคิดจะกบฏ

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า
‎ إِنَّ فِرۡعَوۡنَ وَهَٰمَٰنَ وَجُنُودَهُمَا كَانُواْ خَٰطِـِٔينَ

“แท้จริงฟาโรห์และฮามาน และไพร่พลของเขาทั้งสองเป็นพวกที่มีความผิด” (อัลกอศ๊อศ : 8 )

‎فَأَخَذۡنَٰهُ وَجُنُودَهُۥ فَنَبَذۡنَٰهُمۡ فِي ٱلۡيَمِّۖ فَٱنظُرۡ كَيۡفَ كَانَ عَٰقِبَةُ ٱلظَّـٰلِمِينَ

“ดังนั้น เราได้ลงโทษเขาและไพร่พลของเขา เราได้โยนพวกเขาลงไปในทะเล จงพิจารณาเถิด บั้นปลายของพวกอธรรมเป็นเช่นไร” (อัลกอศ๊อศ : 40 )


บทความต้นฉบับ https://www.al-qaradawi.net/node/3775

แปลสรุปโดย Ghazali Benmad

อิสลามกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

เนื่องจากมีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติจากน้ำมือของมนุษย์ และการทำลายนั้นมีความรวดเร็วและรุนแรงเกินกว่าธรรมชาติจะฟื้นฟูด้วยตัวเอง ดังนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีการรณรงค์ให้ทุกคนในสังคมช่วยกันอนุรักษ์ และมีจิตสำนึกอย่างจริงจังก่อนที่จะส่งผลกระทบเลวร้ายไปกว่านี้

          ในทัศนะอิสลาม มนุษย์มีหน้าที่บริหารจัดการโลกนี้ให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จรรโลงสังคมสู่การพัฒนาและความเจริญ ถึงแม้มนุษย์จะมีสติปัญญาและมีสามัญสำนึกในการทำความดี แต่บางครั้งมักถูกชักจูงด้วยอารมณ์ใฝ่ต่ำ และความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุด เป็นเหตุให้มนุษย์ทำลายสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง หรือแม้กระทั่งตนเอง อัลลอฮ์ ได้ตรัสในอัลกุรอานความว่า :

“และหากว่าความจริงได้คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาแล้ว ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินรวมทั้งบรรดาสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นต้องเสียหายอย่างแน่นอน”

(อัลกุรอาน 23:71)

          จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีกฎกติกาเพื่อสามารถโน้มน้าว ให้รู้จักการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม และวิถีชีวิตอย่างกลมกลืนและยั่งยืน


อิสลามจึงเป็นกฏสากลที่วางกรอบให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ดังต่อไปนี้


          1. อิสลามให้มนุษย์ได้รับรู้ต้นกำเนิดของตนเอง และรับรู้ภารกิจหลักในการกำเนิดมาบนโลกนี้ เขาไม่มีสิทธิที่จะแสดงอำนาจตามอำเภอใจและสร้างความเดือดร้อนแก่สิ่งรอบข้างแม้กระทั่งตนเอง ภารกิจประการเดียวของมนุษย์บนโลกนี้คือการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ทุกกิจการงานไม่ว่าทั้งเปิดเผยและที่ลับ ส่วนตัวหรือส่วนรวม ล้วนแล้วต้องมีความโยงใยและสอดคล้องกับคำสอนของอัลลอฮ์ เพราะการกระทำจะเป็นตัวชี้วัด ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่แท้จริง ในขณะเดียวกัน การศรัทธาจะเป็นกุญแจดอกแรกสำหรับไขประตูสู่การยอมจำนนเป็นบ่าวผู้เคารพภักดี


          2. ความรู้ที่ถูกต้องคือสะพานเชื่อมที่ทำให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในฐานะบ่าวของอัลลอฮ์   ความรู้ที่ถูกต้องจะไม่ขัดแย้งกับสติปัญญาอันบริสุทธิ์ ในขณะที่สติปัญญาและความรู้ จำเป็นต้องได้รับการชี้นำจากคำวิวรณ์ของอัลลอฮ์ ที่ได้รับการขยายความและประมวลสรุปโดยจริยวัตรของนะบีมุฮัมมัด 

          ดังนั้นการแสวงหาความรู้จึงเป็นหน้าที่หลักของมุสลิมโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ ช่วงอายุ เวลา สถานที่และสถานการณ์ ความรู้ที่ถูกต้องและสติปัญญาได้เป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตร่วมกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย อ่อนน้อมถ่อมตน และความพอเพียงที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการสันติภาพอันแท้จริง

          พึงทราบว่า การภักดีต่ออัลลอฮ์  โดยปราศจากความรู้ (ไม่ว่าในระดับใดก็ตาม) ย่อมเกิดโทษมหันต์ ยิ่งกว่าก่อประโยชน์อันอนันต์ โดยเฉพาะหากการภักดีต่ออัลลอฮ์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องและสร้างผลกระทบกับผู้คนส่วนรวม 


          3. มนุษย์มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือสรีระร่างกาย สติปัญญา และจิตวิญญาณ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแยกส่วน อิสลามได้คำนึงถึงองค์ประกอบด้วยมุมมองที่สมดุลย์และยุติธรรม ทุกองค์ประกอบจะต้องได้รับการดูแลพัฒนาอย่างเท่าเทียม แม้แต่แนวคิดเล็กๆ ที่จุดประกายโดยเศาะฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่งมีแนวคิดที่จะปลีกตัวออกจากสังคม  กลุ่มหนึ่งไม่ยอมแต่งงาน กลุ่มสองจะถือศีลอดตลอดทั้งปี และกลุ่มสามจะดำรงการละหมาดตลอดเวลาโดยไม่พักผ่อน เพื่อจะได้มีเวลาในการบำเพ็ญตนต่ออัลลอฮ์โดยไม่มีสิ่งอื่นรบกวนทำลายสมาธิ แต่เมื่อนะบีมุฮัมมัด  ทราบข่าวจึงเรียกเศาะฮาบะฮ์ทั้งสามกลุ่มนั้นมาเพื่อตักเตือนและสั่งสอนพวกเขาว่า

 “ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ แท้จริงฉันเป็นผู้ยำเกรงอัลลอฮ์มากที่สุดในหมู่สูเจ้า ฉันถือศีลอดแต่บางวันฉันก็ทานอาหาร ฉันละหมาดและฉันผักผ่อน และฉันแต่งงาน ใครก็ตามที่ไม่ประสงค์ดำเนินรอยตามจริยวัตรของฉัน เขาเหล่านั้นมิใช่เป็นส่วนหนึ่งของฉัน”

(รายงานโดย มุสลิม)

          อิสลามจึงให้ความสำคัญในการรักษาความสมดุลย์ในร่างกายมนุษย์ องค์ประกอบทุกส่วนต้องได้รับสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน มีหน้าที่ที่สอดคล้องกับสัญชาติญานโดยไม่มีการรุกล้ำหรือสร้างความเดือดร้อนซึ่งกันและกัน


          4. มนุษย์คือส่วนหนึ่งของสังคมที่ไม่สามารถปลีกตัวออกจากกันได้ หน้าที่สำคัญนอกเหนือจากความรับผิดชอบต่อตนเองแล้ว เขาต้องรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์ในสังคมที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ไม่ว่าด้านบวกหรือด้านลบ ย่อมมีผลกระทบต่อสมาชิกในสังคม ดังหะดีษบทหนึ่งที่นะบีมุฮัมมัด กล่าวไว้ความว่า

“ได้อุปมาผู้คนในสังคมที่มีหน้าที่ปกป้องบทบัญญัติของอัลลอฮ์ เสมือนผู้ที่อยู่ในเรือลำเดียวกัน ผู้ที่อยู่ชั้นล่างมักขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ชั้นบนในการให้น้ำเพื่อบริโภค จนกระทั่งผู้ที่อยู่ชั้นล่างเกรงใจ เลยฉุกคิดว่าหากเราทุบเรือเป็นรูโหว่เพียงเล็กน้อยเพื่อสะดวกในการรับน้ำก็จะเป็นการดี เพราะเพื่อนๆ ที่อยู่ชั้นบนจะไม่เดือดร้อน ซึ่งหากผู้คนชั้นบนไม่หักห้ามหรือทักท้วงการกระทำดังกล่าว พวกเขาก็จะจมเรือทั้งลำ แต่ถ้ามีผู้คนหักห้ามไว้ พวกเขาก็ปลอดภัยทั้งลำเช่นเดียวกัน”

(รายงานโดยบุคอรี)

          อิสลามจึงห้ามมิให้มีการรุกรานหรือสร้างความเดือด ทรัพยากรมนุษย์จำเป็นต้องได้รับการรักษาและอนุรักษ์ไว้โดยไม่คำนึงถึงศาสนา ชนชาติ และเผ่าพันธุ์ อิสลามถือว่าการมลายหายไปของโลกนี้ยังมีสถานะที่เบากว่าบาปของการหลั่งเลือดชีวิตหนึ่งที่บริสุทธิ์ อิสลามจึงประณามการกระทำที่นำไปสู่การทำลายในทุกรูปแบบ ดังอัลลอฮ์  ได้กล่าวไว้ ความว่า

 “และเมื่อพวกเขาหันหลังไปแล้ว เขาก็เพียรพยายามในแผ่นดินเพื่อก่อความเสียหายและทำลายพืชผลและเผ่าพันธุ์ และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบการก่อความเสียหาย”

(อัลกุรอาน 2 : 205 )


          5.  การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้านสังคมและสุขภาพ อิสลามส่งเสริมให้มนุษย์กระทำคุณงามความดีและสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม ดังปรากฏในหะดีษ ความว่า

“อีมานมี 70 กว่า หรือ 60 กว่าสาขา สุดยอดของอีมาน คือคำกล่าวที่ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์

และอีมานที่มีระดับต่ำสุดคือ การเก็บกวาดสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บนถนนหนทาง”

( รายงานโดยมุสลิม )

          การเก็บกวาดขยะสิ่งปฏิกูลและสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้บนถนนหนทาง ถึงแม้จะเป็นขั้นอีมานที่ต่ำสุด แต่หากผู้ใดกระทำอย่างบริสุทธิ์ใจและหวังผลตอบแทนจากความโปรดปรานของอัลลอฮ์  แล้ว เขาจะได้รับการอภัยโทษจากอัลลอฮ์  และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเข้าสวรรค์  ดังหะดีษบทหนึ่งความว่า  อบูฮุร็อยเราะฮ์เล่าว่า ฉันได้ยินท่านนะบีมุฮัมมัด  กล่าวว่า

 “แท้จริงฉันเห็นชายคนหนึ่งกำลังพลิกตัวในสวรรค์ เนื่องจากเขาเคยตัดทิ้งต้นไม้ที่ล้มทับบนถนน เพื่อมิให้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนที่สัญจรไปมา”

(รายงานโดยมุสลิม)

          อิสลามห้ามมิให้ทิ้งสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทั้งน้ำนิ่งหรือน้ำไหล การถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะในแหล่งน้ำ ถือเป็นการกระทำที่ถูกสาปแช่ง ดังหะดีษที่เล่าโดยมุอาซบินญะบัลเล่าว่า นะบีมุฮัมมัด กล่าวว่า

“จงยำเกรงสถานที่ที่เป็นสาเหตุของการสาปแช่ง ทั้ง 3 แห่ง คือ การถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะใน(1)แหล่งน้ำ (2)บนถนนที่ผู้คนสัญจรไปมา และ(3)ใต้ร่มเงา” 

( รายงานโดยเฏาะบะรอนีย์ )

     ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ทุกกิจการของมนุษย์จะต้องอยู่ภายใต้กฏกติกาที่นะบีมุฮัมมัด  ได้กำหนดว่า

“ไม่มีการสร้างความเดือดร้อนและไม่มีการตอบโต้ความเดือดร้อนด้วยการสร้างความเดือดร้อนทดแทน” 

( รายงานโดยอีมามมาลิก)


          6. อิสลามกำชับให้มุสลิมทุกคนมีจิตใจที่อ่อนโยน ให้เกียรติทุกชีวิตที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะชีวิตมนุษย์ อิสลามจึงห้ามการทรมานสัตว์ และการฆ่าสัตว์โดยเปล่าประโยชน์ อิสลามสอนว่า

 “หญิงนางหนึ่งต้องเข้านรกเพราะทรมานแมวตัวหนึ่งด้วยการจับขังและไม่ให้อาหารมัน จนกระทั่งแมวตัวนั้นตายเพราะความหิว”

( รายงานโดยบุคอรีและมุสลิม)

ในขณะเดียวกัน

“ชายคนหนึ่งเข้าสวรรค์เนื่องจากรินน้ำแก่สุนัขจรจัดที่กำลังกระหายน้ำ อิสลามถือว่า การให้อาหารแก่ทุกกระเพาะที่เปียกชื้น ( ทุกสิ่งที่มีชีวิต ) เป็นการให้ทานประการหนึ่ง”

( รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)

          มุสลิมไม่กล้าแม้กระทั่งฆ่านกตัวเดียวโดยเปล่าประโยชน์ เพราะตามหะดีษที่รายงานโดยอันนะสาอีย์และอิบนุหิบบาน กล่าวไว้ความว่า

“ใครก็ตามที่ฆ่านกตัวหนึ่งโดยเปล่าประโยชน์ นกตัวนั้นจะร้องตะโกนประท้วงในวันกิยามะฮ์ พร้อมกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ ชายคนนั้นได้ฆ่าฉันโดยไม่มีวัตถุประสงค์อื่นใด เขาฆ่าฉันโดยมิได้หวังประโยชน์อันใดจากฉันเลย”

          เคาะลีฟะฮ์อบูบักรเคยสั่งเสียแก่จอมทัพอุซามะฮ์ ก่อนที่จะนำเหล่าทหารสู่เมืองชามว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ตัดทำลายต้นไม้ที่ออกดอก ออกผล อย่าเข่นฆ่าแพะ วัว หรืออูฐ เว้นแต่เพื่อการบริโภคเท่านั้น”

          มนุษย์ผู้ซึมซับคำสอนเหล่านี้ จะไม่เป็นต้นเหตุของการทำลายป่าไม้ การตายของปลานับล้านตัวในแม่น้ำหรือทะเล หรือสร้างความเดือดร้อนแก่สรรพสัตว์ที่ใช้ชีวิตในป่า เพราะถ้าเขาสามารถใช้อิทธิพลหลบหลีกการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีบนโลกนี้ แต่เขาไม่มีทางหลบพ้นการถูกสอบสวนจากอัลลอฮ์  ผู้ทรงเกรียงไกรในวันอาคิเราะฮ์อย่างแน่นอน

          อิสลามยังกำชับให้มุสลิมตระหนักและให้ความสำคัญกับการปลูกต้นไม้ การเพาะปลูก ณ ที่ดินร้าง การพัฒนาที่ดินเพื่อเป็นแหล่งประกอบอาชีพ โดยยึดหลักความยุติธรรม ความสมดุล และความพอเพียง


          7. อิสลามประณามการใช้ชีวิตที่สุรุ่ยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ โดยถือว่าการสุรุ่ยสุร่ายเป็นญาติพี่น้องของชัยฏอน ( เหล่ามารร้าย ) นะบีมุฮัมมัด ได้ทักท้วง สะอัดที่กำลังอาบน้ำละหมาดโดยใช้น้ำมากเกินว่า

 “ทำไมถึงต้องใช้น้ำมากถึงขนาดนี้โอ้สะอัด ?

สะอัดจึงถามกลับว่าการใช้น้ำมาก ๆ เพื่ออาบน้ำละหมาด ถือเป็นการฟุ่มเฟือยกระนั้นหรือ ? 

นะบีมุฮำหมัด  จึงตอบว่า ใช่ ถึงแม้ท่านจะอาบน้ำละหมาดในลำคลองที่กำลังไหลเชี่ยวก็ตาม”

( รายงานโดยฮากิม )

          หากการใช้น้ำมากเกินเพื่ออาบน้ำละหมาดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำอิบาดะฮ์ (การเคารพภักดี ) ยังถือว่าฟุ่มเฟือย ดังนั้นมุสลิมทุกคนพึงระวังการใช้น้ำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

          คำสอนของอิสลามได้กล่าวถึงการจัดระเบียบ ให้มนุษย์รู้จักการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับตนเอง  สังคม สิ่งแวดล้อม โดยถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ และร่วมมือกันปกป้องอนุรักษ์ เพื่อพัฒนาชีวิตที่ครอบคลุมและสมบรูณ์ มีความผูกพันอย่างแนบแน่นกับผู้ทรงสร้างสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารจัดการและผู้จัดระเบียบสากลจักรวาลอันเกรียงไกร อิสลามเชื่อว่าผู้ที่สามารถทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมก็คือ “มนุษย์” นั่นเอง ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ความว่า

 “การบ่อนทำลาย ได้เกิดขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ เนื่องจากการกระทำด้วยน้ำมือของมนุษย์”

( อัลกุรอาน 30 : 41 )

          ภารกิจหลักของมุสลิม คือการเอื้ออำนวยให้เกิดระบบและกระบวนการสันติสุขบนโลกนี้ที่สามารถสัมผัสได้ในชีวิตจริง ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์อันสูงส่งของอิสลาม ดังอัลกุรอานได้กล่าวไว้ ความว่า

“และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลจักรวาล”
(อัลกุรอาน21: 107)


เรียบเรียงโดย อ.มัสลัน  มาหะมะ

Pemergian – การจากไป

Dunia yang cerah ceria.
Menjadi gerhana duka.
Wajah-wajah yang riang gembira.
Bertukar muram, penuh hiba.

โลกที่เคยสดใส
กลายเป็นเสมือนสุริยุปราคา
ใบหน้าที่เคยแจ่มสุข
กลับหมองคล้ำ สลดเศร้า

Terputuslah gema wahyu Ilahi
Permata suci telah hilang sirna.
Yang menyeri dunia lara.
Dengan perginya Rasul tercinta.
(Rasulullah)

วิวรณ์แห่งพระเจ้าได้ขาดสะบั้น
แสงมณีได้อันตรธานหายไป
ที่เคยส่องแสงโลกหล้า
เพราะการจากไปของรอซูลผู้เป็นสุดที่รัก

Pemilik keagungan yang tiada tara.
Berakhlak luhur dan qudwah mulia.
Sebagai contoh untuk warga dunia.
Menabur rahmat ke semesta raya.
(Rasulullah)

คือมหาบุรุษที่ไม่มีใครเทียบเท่า
มีจริยธรรมที่สูงส่งและแบบอย่างที่ดี
คือต้นแบบของชาวโลกหล้า
โปรยความเมตตาแก่สากลจักรวาล

Saat pemergianmu. (Rasulullah)
Kota Madinah bersedih pilu.
Tiada lagi senyum tawa.
Tiada lagi gurau senda.
Yang ada, hanya air mata darah.

(ท่อนฮุก)
(Rasulullah)

วินาทีการจากไปของท่าน
มะดีนะฮ์ทั้งเมืองตกอยู่ในอาการภวังค์
ไม่มีแล้วรอยยิ้มและเสียงหัวร่อ
ไม่มีอีกแล้วการหยอกล้อ
มีเพียงน้ำตาที่หลั่งเป็นเลือด

Meskipun jasadmu telah pergi.
Kembali menemui kekasih sejati.
Namun pusakamu dijulang tinggi.
Kerana mu Rasulullah.
Rasulullah.

แม้นท่านได้จากไปแล้ว
กลับไปหาสุดที่รักที่แท้จริง
ทว่ามรดกของท่านยังได้รับการเชิดชู
เพราะท่านคือรอซูลุลลอฮ์


Ibnu Desa
11 Safar 1442 (28/8/2020)
Narathiwat Airport

เป็นการสะท้อนบรรยากาศในวันที่นบีมูฮัมมัด صلى الله عليه وسلم ได้จากโลกนี้ไปอย่างนิรันดร์ หลังจากที่ท่านได้ปฏิบัติภารกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ท่ามกลางความโศกเศร้าของบรรดาเศาะฮาบะฮ์ที่รักท่านเหนือสิ่งใดในโลกนี้แม้กระทั่งชีวิต ท่านจากไปแล้ว แต่มรดกของท่านยังคงอยู่ตราบจนวันกิยามะฮ์ صلى الله عليه وسلم

ลุกมานสอนลูก : บทเรียนและแนวปฏิบัติ

ความหมายอัลกุรอานซูเราะฮฺ ลุกมาน โองการ 12-19

12. และโดยแน่นอน เราได้ให้ฮิกมะฮฺ แก่ลุกมานว่า จงขอบพระคุณต่ออัลลอฮฺ และผู้ใดขอบคุณแท้จริงเขาก็ขอบคุณตัวของเขาเอง และผู้ใดปฏิเสธแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงร่ำรวยและทรงได้รับการสรรเสริญ

13. และจงรำลึกเมื่อลุกมานได้กล่าวแก่บุตรของเขา โดยสั่งสอนเขาว่า “โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ตั้งภาคีใดๆต่ออัลลอฮฺ เพราะแท้จริงการตั้งภาคีนั้นเป็นความผิดอย่างมหันต์โดยแน่นอน

14. และเราได้สั่งการมนุษย์เกี่ยวกับบิดามารดาของเขา โดยมีมารดาของเขาได้อุ้มครรภ์เขาอ่อนเพลียลงครั้งแล้วครั้งเล่า และการหย่านมของเขาในระยะเวลาสองปี เจ้าจงขอบคุณข้า และบิดามารดาของเจ้า ยังเรานั้นคือการกลับไปสู่

15. และถ้าเขาทั้งสองบังคับเจ้าให้ตั้งภาคีต่อข้า โดยที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น เจ้าอย่าได้เชื่อฟังปฏิบัติตามเขาทั้งสอง และจงอดทนอยู่กับเขาทั้งสองในโลกนี้ด้วยการทำความดีและจงปฏิบัติตามทางของผู้ที่กลับไปสู่ข้า และยังเรานั้นคือทางกลับของพวกเจ้า ดังนั้น ข้าจะบอกแก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไว้

16.โอ้ลูกเอ๋ย แท้จริง (หากว่าความผิดนั้น) มันจะหนักเท่าเมล็ดผักสักเมล็ดหนึ่ง มันจะซ่อนอยู่ในหิน หรืออยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายหรืออยู่ในแผ่นดิน อัลลอฮฺก็จะทรงนำมันออกมาแท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง

17. โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดและจงใช้กันให้กระทำความดี และจงห้ามปรามกันให้ละเว้นการทำความชั่ว และจงอดทนต่อสิ่งที่ประสบกับเจ้า แท้จริง นั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่หนักแน่น มั่นคง

18. และเจ้าอย่าหันแก้ม (ใบหน้า) ของเจ้าให้แก่ผู้คนอย่างยะโส และอย่าเดินไปตามแผ่นดินอย่างไร้มารยาท แท้จริง อัลลอฮฺ มิทรงชอบทุกผู้หยิ่งจองหอง และผู้คุยโวโอ้อวด

19.และเจ้าจงก้าวเท้าของเจ้าพอประมาณและจงลดเสียงของเจ้าลง แท้จริง เสียงที่น่าเกลียดยิ่งคือเสียง (ร้อง) ของลา

ลุกมานคือใคร ?

  • คือบุคคลที่อัลลอฮฺกล่าวถึงในอัลกุรอาน และเป็นชื่อซูเราะฮฺลำดับที่ 31
  • ลุกมานเป็นทาสชาวเอธิโอเปีย มีอาชีพเป็นช่างไม้ (ความเห็นของ Ibnu Abbas)
  • ลุกมานเป็นชาวซูดาน มีร่างกายที่แข็งแรง อัลลอฮฺทรงประทานฮิกมะฮฺ(วิทยปัญญา)แก่เขา แต่ไม่แต่งตั้งเขาให้เป็นนบี (ความเห็นของ Said bin Musayyab)
  • ลุกมานเป็นทาสที่ศอลิหฺ ไม่ใช่นบี มีริมฝีปากหนา เท้าใหญ่และเป็นผู้ตัดสินคดี (ผู้พิพากษา) ชาวบะนีอิสรออีล (ความเห็นของ Mujahid) ในสมัยนบีดาวูด
  • เจ้านายเคยสั่งใช้ให้ลุกมาน เชือดแพะตัวหนึ่งและให้เขาเก็บเนื้อที่ดีที่สุดจำนวน 2 ชิ้น ลุกมานจึงเก็บลิ้นและหัวใจ พอเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เจ้านายได้สั่งให้เขาเชือดแพะอีกตัวหนึ่งพร้อมสั่งให้เก็บเนื้อที่ไม่ดีที่สุดจำนวน 2 ชิ้น ลุกมานจึงเก็บลิ้นและหัวใจ เช่นเดียวกัน เมื่อเจ้านายถามเหตุผลของการกระทำดังกล่าว ลุกมานจึงตอบว่าไม่มีอวัยวะอื่นใดที่ประเสริฐสุดมากกว่าลิ้นและหัวใจ ถ้าหากทั้งสองอยู่ในสภาพดี และไม่มีอวัยวะอื่นใดที่ชั่วช้ามากกว่าลิ้นและหัวใจ หากทั้งสอง อยู่ในสภาพที่ชั่วร้าย

คุณสมบัติของลุกมานอัล-หะกีม

  • เป็นคนที่ศอลิห
  • อัลลอฮฺทรงประทานฮิกมะฮฺให้แก่เขา ซึ่งทำให้เขามีสติปัญญาอันเฉียบแหลม มีความรู้ที่ลุ่มลึก และมีคำพูดที่เต็มไปด้วยสาระและความหมาย
  • มีอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง เข้าใจในศาสนา
  • ฐานสำคัญของการอบรมลูก
1. ฐานแห่งอะกีดะฮฺ
2. ฐานแห่งอิบาดะฮฺ
3. ฐานแห่งคุณธรรมจริยธรรม

จากรากฐานทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้น ลุกมานได้สั่งเสียแก่ลูกให้ยึดมั่นคำสอน 10 ประการดังนี้

1) จงอย่าตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • พ่อแม่ต้องสั่งสอนและอบรมลูกให้มีอะกีดะฮฺที่ถูกต้อง มอบความรักต่ออัลลอฮฺ รักท่านนบี วงศ์วานของท่านนบี และรักการอ่านอัลกุรอาน ดังหะดีษที่รายงานโดยอัต-เฏาะบะรอนี ความว่า “ท่านจงอบรมบรรดาลูกๆของท่านใน 3 ประการ คือให้มีความรักต่อนบีของพวกท่าน ให้มีความรักต่อวงศ์วานของนบี และให้มีความรักในการอ่านอัลกุรอาน”
  • การอะซานและอิกอมะฮฺแก่ทารกแรกเกิด
  • จงเปิดหูลูกน้อยของท่านด้วยคำกล่าวว่า “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)” (รายงานโดยอัล-หากิม)
  • การป้องกันกลลวงและภัยคุกคามจากชัยฏอนด้วยวิธีการดังนี้ :

* อ่านดุอาก่อนมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา
* ดุอาให้แก่ลูก
* อ่านซูเราะฮฺอิคลาศ อัลฟะลัก และอันนาส พร้อมเป่าทั่วร่างกายของลูก
* ระมัดระวังไม่ให้ลูกออกจากบ้านในเวลาค่ำคืนโดยเฉพาะช่วงพลบค่ำเพราะช่วงดังกล่าวญินมักกระจายเพ่นพ่านเป็นจำนวนมาก(ความหมายหะดีษรายงานโดยอัล-บุคอรี)
* หลีกเลี่ยงจากความเชื่อและประเพณีที่นำไปสู่ชิรกฺ อาทิ ความเชื่อในโชคลาง เวทมนต์ ไสยศาสตร์ หมอดู ประเพณีต่างๆที่นิยมปฏิบัติช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอดที่ขัดกับอิสลาม ความเชื่อในการตั้งชื่อที่มีผลต่อสุขภาพเด็ก
* ไม่เชื่อในสิ่งปาฏิหาริย์ของนวนิยายอันไร้สาระ ความเชื่อในภูตผี ปีศาจ

2) จงทำความดีต่อพ่อแม่
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • ลูกไม่สามารถทดแทนบุญคุณของพ่อได้เว้นแต่เขาเจอพ่อในสภาพที่เป็นทาส และเขาจ่ายค่าตัวของพ่อพร้อมทั้งปล่อยพ่อเป็นไท (หะดีษ)
  • ลูกต้องทำความดีต่อแม่มากกว่าพ่อถึง 3 เท่า (ความหมายจากหะดีษ)
  • เชื่อฟังพ่อแม่ตราบใดที่ท่านไม่สั่งใช้ให้กระทำสิ่งที่ขัดกับหลักการอิสลาม
  • พ่อแม่ต้องให้ความยุติธรรมต่อบรรดาลูกๆแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นการจุมพิต การมอบของขวัญ การซื้อเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเป็นต้น พ่อแม่ไม่ควรเป็นต้นเหตุให้บรรดาลูกๆ ต้องเนรคุณและมีเรื่องบาดหมางระหว่างกันเนื่องจากความไม่ยุติธรรมและความลำเอียงของพ่อแม่
  • ห่างไกลจากการเป็นลูกเนรคุณ ที่มีสัญญานต่างๆ 33 ประการ ดังนี้

1. ทำให้พ่อแม่เสียใจหรือเสียน้ำตาเนื่องจากคำพูด การกระทำหรือพฤติกรรม
2. ตะคอก ทะเลาะวิวาทหรือขึ้นเสียงต่อหน้าพ่อแม่
3. กล่าวคำว่า “อุฟ” ดื้อหรือไม่ทำตามคำสั่งใช้ของพ่อแม่
4. หน้าบูดบึ้ง ขมวดคิ้ว แสดงไม่พอใจพ่อแม่
5. มองพ่อแม่ด้วยหางตา หรือมองด้วยสายตาแสดงความไม่พอใจ
6. สั่งใช้พ่อแม่ทำสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เช่น ซักเสื้อผ้าของเรา หุงหาอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามท่านแก่ชรา แต่ถ้าหากทั้งสองยินดีให้ความช่วยเหลือด้วยความสมัครใจก็ไม่ถือว่าเนรคุณ แต่ลูกๆ ควรตอบแทนด้วยการขอบคุณและดุอาแก่ท่านทั้งสองตลอดเวลา
7. ตำหนิอาหารที่เตรียมโดยคุณแม่ การกระทำเช่นนี้ มีความผิด 2 ประการ ประการแรก ฝ่าฝืนสุนนะฮฺท่านนบี(ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) เพราะท่าน นบีฯไม่เคยตำหนิอาหารเลย หากท่านชอบ ท่านก็จะทานอาหารนั้น หากท่านไม่ชอบ ท่านจะไม่ทานโดยไม่ตำหนิอะไรเลย ประการที่สอง แสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีต่อคุณแม่
8. ไม่ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน เช่น ซักเสื้อผ้า หุงอาหาร เลี้ยงดูน้องๆ เป็นต้น
9. ตัดคำพูดของพ่อแม่ กล่าวหาพ่อแม่ว่าพูดโกหกหรือโต้เถียงกับพ่อแม่
10. ไม่ปรึกษาหารือพ่อแม่ ไม่ขออนุญาตพ่อแม่ยามออกนอกบ้านหรือเที่ยวตามบ้านเพื่อน
11. ไม่ขออนุญาตยามเข้าห้องนอนพ่อแม่
12. ชอบเล่าเรื่องที่สร้างความไม่สบายใจแก่พ่อแม่
13. ทำลายชื่อเสียงหรือนินทาพ่อแม่ลับหลัง
14. แช่งหรือด่าพ่อแม่ทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ด่าพ่อแม่ทางตรงคือด่าพ่อแม่ต่อหน้าทั้งสอง ส่วนด่าพ่อแม่ทางอ้อมคือการที่เราด่าพ่อแม่เพื่อนของเราและเพื่อนคนนั้นก็ด่าพ่อแม่เรากลับ ดังนั้นคำด่าของเพื่อนเราเปรียบเสมือนเราด่าพ่อแม่โดยทางอ้อมเพราะเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนด่าพ่อแม่เรา
15. นำพาสิ่งหะรอมเข้ามาในบ้าน เช่น เครื่องดนตรี ทำให้พ่อแม่พลอยรับความไม่ดีจากสิ่งหะรอมนั้นด้วย
16. กระทำสิ่งหะรอมต่อหน้าพ่อแม่ เช่น สูบบุหรี่ ฟังเพลง ไม่ละหมาด ไม่ลุกขึ้นเมื่อทั้งสองปลุกให้ตื่นละหมาด
17. ทำให้ชื่อเสียงพ่อแม่ด่างพร้อยเพราะการกระทำของเรา เช่น เมื่อลูกๆชอบลักเล็กขโมยน้อย ติดยาเสพติด เล่นการพนัน ซิ่งมอเตอร์ไซค์ ทำให้พ่อแม่ต้องอับอายหรือเสียชื่อเสียงไปด้วย
18. ทำให้พ่อแม่ยากลำบาก บางครั้งพ่อแม่ต้องระเหเร่ร่อนตามหาลูกๆที่หนีออกจากบ้านหรือต้องขึ้นลงโรงพักเพื่อให้ประกันลูกๆที่กระทำผิดกฎหมายซึ่งสร้างความลำบากแก่พ่อแม่เป็นอย่างยิ่ง ทำให้พ่อแม่เสียเวลาและเงินทองเพื่อเป็นธุระแก่ลูกรัก
19. ออกจากบ้านหรือเที่ยวบ้านเพื่อนเป็นเวลานาน ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง บางทีพ่อแม่ต้องการความช่วยเหลือจากลูกหรือประสบกับความยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหนัก แต่ลูกๆกำลังสนุกสนานกับเพื่อนๆที่สถานเริงรมย์หรืองานเลี้ยงฉลองในโอกาสต่างๆ
20. ชอบให้พ่อแม่ทำโน่นทำนี่เป็นประจำ ให้ซื้อของเป็นประจำ และไม่รักษาสิ่งของที่พ่อแม่ซื้อ คะยั้นคะยอพ่อแม่ซื้อสิ่งของที่แพงๆทั้งที่พ่อแม่มีรายได้ที่ไม่เพียงพอ
21. รักภรรยาหรือสามีมากกว่าพ่อแม่ ทะเลาะกับพ่อแม่เนื่องจากภรรยาหรือสามีที่ไม่ดี อ่อนโยนต่อภรรยาหรือสามี แต่แข็งกร้าวต่อหน้าพ่อแม่
22. ปลีกตัวจากพ่อแม่ ไม่อาศัยอยู่พร้อมกันกับพ่อแม่โดยเฉพาะยามที่ทั้งสองแก่เฒ่า
23. ลูกบางคนรู้สึกอับอายหรือกระดากใจที่จะแนะนำพ่อแม่ให้คนอื่นรู้จัก บางครั้งก็ไม่ยอมรับเป็นพ่อแม่ของตนเองเนื่องจากต้องการปิดบังรากเหง้าของตนเอง
24. ตบตีหรือทำร้ายพ่อแม่
25. ให้พ่อแม่พำนักที่บ้านพักคนชราหรือสถานสงเคราะห์คนชราโดยที่ลูกๆไม่ยอมดูแลและปรนนิบัติพ่อแม่ เรามักได้ยินว่าพ่อแม่มีความสามารถเลี้ยงลูก 10 คนได้ แต่บางทีลูกทั้ง 10 คน ไม่สามารถดูแลปรนนิบัติพ่อแม่ได้
26. ไม่ให้ความสำคัญต่อกิจการของพ่อแม่ ไม่แนะนำหรือตักเตือนพ่อแม่ยามที่ทั้งสองผิดพลาดหรือกระทำบาป
27. ตระหนี่ขี้เหนียวและไม่ยอมใช้จ่ายแก่พ่อแม่แต่ชอบแสดงตนเป็นคนใจกว้างยามเข้าสังคมกับเพื่อนๆ
28. ชอบทวงบุญคุณที่ได้กระทำต่อพ่อแม่ ทั้งๆที่พ่อแม่ไม่เคยทวงบุญคุณของตนเองที่ได้กระทำต่อลูกๆเลย
29. ขโมยทรัพย์สินเงินทองของพ่อแม่ หลอกใช้เงินของพ่อแม่
30. ชอบทำตัวงอแงจนเกินเหตุ ทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ เช่น เวลาป่วยไข้ก็มักจะทำไม่สบายจนเกินเหตุ เป็นต้น
31. ทิ้งพ่อแม่อาศัยที่บ้านตามลำพัง โดยที่ตนเองอาศัยที่อื่นโดยไม่ขออนุญาตพ่อแม่ก่อน
32. ลูกบางคนตั้งภาวนาให้พ่อแม่ห่างไกลให้พ้นจากตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ป่วยเป็นโรคหรือแก่ชรา
33. ลูกบางคนยอมแม้กระทั่งต้องฆ่าพ่อแม่เนื่องจากความโกรธเคือง เมาหรือหวังมรดกของพ่อแม่

3) จงเจริญรอยตามกลุ่มผู้ศรัทธาและบรรดาผู้ได้รับทางนำ
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • คบเพื่อนที่ดี ห่างไกลจากเพื่อนที่ไม่ดี
  • บุคคลย่อมมีนิสัยและมีพฤติกรรมที่เหมือนกับเพื่อนผู้ใกล้ชิดของเขา ดังนั้นท่านจึงมองเพื่อนผู้ใกล้ชิดของเขา ท่านก็จะรู้นิสัยที่แท้จริงของบุคคลนั้น (หะดีษรายงานโดยอัต-ติรมีซีย์)
  • ระมัดระวังแนวคิด คำสอนหรือทฤษฎีที่คิดค้นโดยบรรดาผู้ปฏิเสธอัลลอฮฺ ไม่ให้เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของลูกๆ เช่นทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินที่เชื่อว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากลิง ทฤษฎีของซิกส์มัน ฟรอยด์ที่พยายามเกี่ยวโยงพฤติกรรมของมนุษย์กับเซ็กส์ ทฤษฎีแม็คคิววิลลี่ที่สอนให้มนุษย์ทำอะไรด้วยวิธีการใดก็ได้ ถ้าหากมีวัตถุประสงค์ที่ดี (ดังกรณีหวยบนดิน การเปิดบ่อนคาสิโนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการใช้วิชามารเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง เป็นต้น)
  • ศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางของผู้ที่อัลลอฮฺทรงประทานฮิดายัต เช่น บรรดานบี บรรดาเศาะฮาบะฮฺ บรรดาศอลิฮีน เป็นต้น “เศาะฮาบะฮฺของฉันเปรียบเสมือนดวงดาว ท่านจะพบกับทางนำตราบใดที่ท่านยึดมั่นปฏิบัติตามดาวดวงใดดวงหนึ่งในจำนวนดวงดาวเหล่านั้น” (รายงานโดยอัล-บัยฮะกีย์) อิบนุ มัสอูด กล่าวว่า ใครก็ตามที่ต้องการเอาเยี่ยงอย่าง ก็จงปฏิบัติตามเยี่ยงอย่างของบรรดาเศาะฮาบะฮฺของท่านนบีมูฮำมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน)
  • ระมัดระวังและสอดส่องพฤติกรรมของลูกมิให้ตกเป็นเหยื่อของการลอกเลียนต้นแบบอันจอมปลอม อาทิ ดารานักแสดง นักร้อง นักกีฬาที่มีประวัติด่างพร้อย สื่อลามกอนาจาร สื่ออิเล็กโทรนิกส์ทั้งหลาย เว็บไซต์ แช็ตรูม มือถือ เป็นต้น พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันโลกและรู้เท่าทันลูกด้วย

4) การซึมซับและปลูกฝังความรอบรู้ของอัลลอฮฺและการตรวจสอบของพระองค์  
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • ปลูกฝังในความรอบรู้ของอัลลอฮฺที่ครอบคลุมทั้งสิ่งที่เปิดเผยและซ่อนเร้น
  • ปลูกฝังในความสำคัญของอิคลาศ
  • ปลูกฝังการสอบสวนของอัลลอฮฺในทุกกิจการของมนุษย์
  • การตักเตือนลูกในเรื่อง การลักเล็กขโมยน้อย การไม่ยอมรับผิด การพูดจาโกหก การรังแกพี่น้องด้วยกัน
  • พ่อแม่ต้องหมั่นเล่าเรื่องแก่ลูกๆเกี่ยวกับความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺของบรรดาบรรพชนที่ทรงคุณธรรม(สะลัฟศอลิหฺ)

5) จงดำรงละหมาด
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • “ท่านทั้งหลายจงสั่งใช้ลูกๆของท่านให้ดำรงละหมาดเมื่อเขามีอายุครบ 7 ขวบ และจงเฆี่ยนตี (หากพวกเขาไม่ละหมาด) เมื่ออายุครบ 10 ขวบ และจงแยกเตียงนอน (ให้พวกเขานอนในห้องส่วนตัวต่างหาก)” (รายงานโดยฮากิม)
  • พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับลูกในการดำรงละหมาด
  • การอบรมลูกๆให้มีความสัมพันธ์กับมัสยิดตลอดเวลา
  • การปลูกฝังให้ลูกๆรักษาละหมาดทั้งฟัรฎูและสุนัตต่างๆ โดยเฉพาะละหมาดก่อนหลังละหมาดฟัรฎู ละหมาดฎูฮา ละหมาดหลังเที่ยงคืน และละหมาดวิตรฺ

6) จงใช้กันให้กระทำความดีและจงห้ามปรามกันให้ละเว้น การทำความชั่ว
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • ปลูกฝังให้ลูกๆทำแต่ความดีและเผยแผ่ความดีสู่มวลมนุษย์
  • ช่วยเหลือสนับสนุนในกิจการความดีและการตักวา ไม่ช่วยเหลือสนับสนุนในกิจการที่นำไปสู่อบายมุขและการล่วงละเมิด
  • ปลูกฝังในมารยาทการเชิญชวนสู่ความดีและการห้ามปรามความชั่วร้าย
  • อิสลามส่งเสริมการทำความดีและมีมารยาทที่ประเสริฐต่อมนุษย์ และถือว่ามนุษย์คือพี่น้องที่มาจากบิดามารดาคนเดียวกัน
  • อิสลามส่งเสริมให้กระทำความดีต่อสิ่งแวดล้อม ต้นไม้ สิงสาราสัตว์ สิ่งของสาธารณะ และถือว่าบุคคลที่ประเสริฐสุดคือบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์แก่มวลมนุษย์มากที่สุด
  • จงระวังการห้ามปรามและการยับยั้งความชั่วร้ายที่อาจก่อความชั่วร้ายหรือภัยที่รุนแรงกว่า

7) จงอดทนต่อสิ่งที่ประสบกับเจ้า
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • การอดทนมี 3 ประเภท คือ การอดทนต่อความทุกข์ยากที่ประสบ การอดทนเพื่อกระทำสิ่งฏออัต และการอดทนไม่กระทำสิ่งต้องห้ามหรืออบายมุข
  • อิบาดัตทุกประการมีผลตอบแทนที่อัลลอฮฺกำหนดไว้อย่างแน่นอน เว้นแต่การอดทน (ศอบัร) “แท้จริงผู้อดทนนั้นจะได้รับการตอบแทนรางวัลของพวกเขาอย่างสมบูรณ์โดยประมาณการไม่ได้” (ความหมายจากสูเราะฮฺ อัซ-ซุมัร : 10)
  • ลักษณะการศอบัรฺที่ดี คือ การศอบัรฺในช่วงแรกที่ประสบความทุกข์ยาก

8) อย่าหยิ่งยะโส โอ้อวด และดูถูกคนอื่น
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • ปลูกฝังลูกๆให้รู้จักขอบคุณอัลลอฮฺในความดีที่ได้รับ เช่น เรียนเก่ง มีหน้าตาน่ารัก ความสุขสบายที่ได้รับ
  • ให้โอกาสลูกๆ คบเพื่อนในวัยเดียวกันอย่างสร้างสรรค์
  • ปลูกฝังการให้ทานและให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจน คนอนาถา
  • การหยิ่งยะโส คือ การปฏิเสธความจริง และการดูถูกคนอื่น
  • “จะไม่มีสิทธิเข้าสวรรค์สำหรับผู้หยิ่งยะโสแม้เพียงน้อยนิดเท่าเมล็ดผักก็ตาม” (หะดีษรายงานโดยอบู ดาวูด)
  • การปลูกฝังนิสัยการอ่อนน้อมถ่อมตน
  • รู้จักตักเตือนลูกๆ อย่างเหมาะสม และถูกต้องตามกาลเทศะ

9) จงก้าวเท้าพอประมาณ
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • ปลูกฝังมารยาทการเดินในอิสลาม
  • ปลูกฝังนิสัยพอประมาณ ความพอดี
  • ปลูกฝังให้ยึดมั่นแนวคิดสายกลาง ไม่สุดโต่ง สุดขอบ รู้จักเดินบนเส้นทางชีวิตด้วยความพอดี
  • ปลูกฝังนิสัยประหยัดอดออม ไม่สุรุ่ยสุร่าย และไม่ตระหนี่ขี้เหนียว
  • สร้างความพร้อมแก่ลูกๆที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตในอนาคตอันหลากหลาย อย่างเท่าทัน และมีสติ
  • อัลลอฮฺทรงปรานีแก่ผู้ที่รู้จักประมาณตนในศักยภาพของตนเอง

10) จงลดเสียงของเจ้า
มาตรการและแนวปฏิบัติ

  • ปลูกฝังมารยาทการพูดและการทักทาย
  • การลดเสียงขณะพูด เป็นส่วนหนึ่งของคุณลักษณะของผู้ถ่อมตน
  • ปลูกฝังในคำสอนของอิสลามที่ว่าด้วยการรักษาลิ้น
  • บุคคลย่อมไม่สามารถเป็นนักพูดที่ดี ตราบใดที่เขาไม่สามารถยกระดับการเป็นนักฟังที่ดี

ลูกคือ :

  • แก้วตาดวงใจ
  • บททดสอบ
  • ศัตรูผู้เป็นสุดที่รัก
  • ผู้ที่สามารถเพิ่มพูนความดีของพ่อแม่ยามที่ท่านทั้งสองเสียชีวิตแล้ว
  • ลูกทุกคนเกิดมาในสภาพบริสุทธ์ พ่อแม่ต่างหากที่เป็นผู้ทาสีให้เป็นยิว คริสเตียน หรือมาญูซี(ลัทธิบูชาไฟ)
  • พ่อแม่ควรรู้ว่า การอบรมสั่งสอนคือการให้ ดังนั้นบุคคลไม่สามารถที่จะให้ในสิ่งที่ตนไม่มี
  • ครอบครัวคุณภาพ สื่อคุณภาพ พื้นที่คุณภาพและการศึกษาคุณภาพ มีส่วนสำคัญยิ่งในการเสริมสร้างลูกศอลิหฺ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่มอบภาระให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังกลอนอาหรับกล่าวไว้ความว่า “อาคารหลังหนึ่งจะไม่สามารถสร้างแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากคุณเป็นผู้สร้างเพียงผู้เดียว แต่คนอื่นพากันทุบทิ้งทำลาย”

เขียนโดย อ. มัสลัน มาหะมะ
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยอิสลามยะลา

ราชสกุลออตโตมาน ความจริงที่ยิ่งกว่านิยาย

ราชวงศ์ออตโตมาน ตระกูลสูงศักดิ์ที่ถูกโค่นบัลลังก์ และถูกเนรเทศขับไล่ไสส่งออกจากประเทศ ต้องระเหเร่ร่อน ถูกหยามเหยียด ชนิดที่ไม่มีเลือดขัตติยาตระกูลใดในโลกเคยประสบชะตากรรมเฉกนี้

สิ่งที่พรรคประชาชนสาธารณะ CHP ของกามาล อะตาเติร์ก กระทำต่อราชวงศ์ออตโตมาน เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเคยทำ ไม่ว่าจะเป็นกาฟิร มะยูซี หรือยิว

ไม่มีในประวัติศาสตร์ว่ามีกาฟิรใดกระทำต่อบรรพบุรุษของตน เหมือนกับที่พรรคนี้กระทำต่อลูกหลานของสุลต่านมุฮัมมัด ฟาติห์

พวกเขาเนรเทศ ขับไล่ไสส่งราชสกุลเหล่านี้ในยามราตรี ในชุดลำลอง ไปยังประเทศยุโรป

บุตรและภริยาสุลต่าน ต่อรองว่า ขอให้เนรเทศไปยังจอร์แดน อียิปต์ หรือซีเรียได้ไหม อย่าเนรเทศไปยังยุโรปเลย

แต่คำสั่งจากตะวันตกเด็ดขาดชัดเจน ไม่มีข้อแม้ ให้เนรเทศไปยังยุโรปเท่านั้น เพื่อต้องการแก้แค้นให้สาแก่ใจ และเหยียดหยามศักดิ์ศรีให้ถึงที่สุด

พวกเขาจึงเนรเทศราชสกุลเหล่านั้น บางส่วนก็ถูกส่งไปยังเทสซาโลนิกีในกรีซ ถิ่นที่เคยเป็นภูมิลำเนาของยิว บางส่วนก็ถูกส่งตัวไปยังยุโรป

พวกเขาเนรเทศสุลต่านวะฮีดุดดีน สุลต่านคนสุดท้ายของราชวงศ์ออตโตมาน พร้อมภริยาไปยังฝรั่งเศส ในตอนกลางคืน พร้อมกับได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมด ให้ไปเพียงตัวเปล่าในชุดลำลอง ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่สตางค์แดงเดียว

มีคำบอกเล่าว่า ลูกๆของสุลต่านได้ปิดหน้าปิดตาออกขอทานในกรุงปารีส เพื่อปิดบังไม่ให้คนรู้จัก

ในขณะที่สุลต่านเสียชีวิต ทางโบสถ์ของฝรั่งเศสได้ยึดศพท่านไว้เพื่อประกันหนี้ที่ท่านติดค้างอยู่กับห้างร้านต่างๆ ชาวมุสลิมที่นั่นจึงรวบรวมเงินจ่ายหนี้ดังกล่าว และนำศพใส่โลง ส่งไปฝังยังประเทศซีเรีย

หลังจากนั้น 20 ปี มีบุคคลแรกที่ออกตามหาพวกเขา นั่นคือ ชะฮีดนายกรัฐมนตรีอัดนาน แมนเดรส แห่งตุรกี ที่ได้เดินทางไปยังฝรั่งเศสเพื่อตามหาพวกเขาเหล่านั้น

เมื่อถึงไปยังฝรั่งเศส ก็ได้สอบถามถึงที่อยู่ของพวกเขา อัดนาน แมนเดรส กล่าวถามไปทั่วว่า บอกที่อยู่บิดามารดาของฉันหน่อย

ในที่สุด อัดนาน แมนเดรส ได้ไปถึงยังหมู่บ้านเล็กๆในกรุงปารีส ตรงไปที่สถานที่ล้างจานของโรงงานแห่งหนึ่ง จึงได้พบกับราชินีชาฟีเกาะฮ์ ภริยาสุลต่านอับดุลหะมีดที่ 2 ซึ่งมีอายุได้ 85 ปี และเจ้าหญิงอาอีชะฮ์ ธิดาสาว อายุ 60 ปี ทำงานล้างจานอยู่ในโรงงานนั้นด้วยค่าจ้างเพียงเล็กน้อย !

อัดนาน แมนเดรส ถึงกับร่ำไห้ด้วยความสงสาร พร้อมกับจูบมือของเลือดขัตติยาทั้งสอง

เจ้าหญิงอาอีชะฮ์จึงถามขึ้นว่า ท่านเป็นใคร
อัดนาน แมนเดรส ตอบว่า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีตุรกีครับ
ได้ยินดังนั้น นางก็วางจานลง พลางกล่าวว่า ลูกเอ๋ย ไปอยู่ไหนมา ทำไมจึงได้มาช้านัก

ด้วยความดีใจอย่างที่สุด นางถึงกับเป็นลมหมดสติไปในเวลานั้นทันที

อัดนาน แมนเดรส กลับมายังแองการ่า กล่าวกับ ยะลาล บิยาร ว่า ฉันจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม และนำตัวมารดากลับมายังตุรกี

ตอนแรก ยะลาล บิยาร ก็คัดค้าน แค่เมื่อเห็นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของแมนเดรส ก็ยินยอม แต่มีเงื่อนไขว่า ให้กลับได้เฉพาะธิดาเท่านั้น ไม่รวมบุตรชายของสุลต่านอับดุลหะมีดและสุลต่านวะฮีดุดดีน

อัดนาน แมนเดรส ได้กลับไปยังปารีส นำตัวราชินีชะฟีเกาะฮ์และเจ้าหญิงอาอีชะฮ์กลับสู่ตุรกี ส่วนบรรดาบุตรชาย ได้กลับตุรกีในยุคที่นัจมุดดีน อัรบะกาน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ท่านเหล่านั้น

หลังจากถูกปฏิวัติ ข้อหาส่วนหนึ่งที่อัดนาน แมนเดรส ถูกกล่าวหา ได้แก่ การขโมยสมบัติชาติไปอุปการะเลี้ยงดูราชินีและธิดาของสุลต่าน

ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ทุกครั้งในวันอีด อัดนาน แมนเดรส จะไปเยี่ยมราชินีชะฟีเกาะฮ์และเจ้าหญิงอาอีชะฮ์ พร้อมจูบมือและมอบเงินส่วนตัวจากเงินเดือนของตนเอง ให้แก่ทั้งสองท่านๆ ละ 10,000 ลีร่า

ชะฮีดอัดนาน แมนเดรส ถูกประหารชีวิตในวันที่ 17 กันยายน 1961

หลังจากนั้นเพียงวันเดียว ในวันที่ 18 กันยายน 1961 มีคนไปพบศพของราชินีชะฟีเกาะฮ์และเจ้าหญิงอาอิชะฮ์ เสียชีวิตอยู่ในสภาพสุยูดในขณะละหมาด…

ขอให้อัลลอฮ์เมตตา และรับความเป็นชะฮีดของท่านอัดนาน แมนเดรส วีรบุรุษแห่งออตโตมานด้วยเทอญ

ขอให้อัลลอฮ์เมตตาสายสกุลสุลต่านออตโตมานทุกท่าน ที่ยอมสละบัลลังก์ อำนาจวาสนา และยศถาบรรดาศักดิ์…เพียงเพื่อพิทักษ์รักษาอัลอักซอ ไว้จนวินาทีสุดท้ายของบัลลังก์คอลีฟะฮ์ออตโตมาน ที่สืบทอดมายาวนานกว่า 600 ปี …


เขียนโดย Ghazali Benmad

อุตสาหกรรมผลิตผู้นำจอมปลอม

Ahmad Shouqi ยอดนักกวีนามอุโฆษแห่งอียิปต์เสียชีวิตปีค.ศ.1932 ผู้มีฉายาว่าเจ้าชายแห่งนักกวี เคยร่ายบทกลอนสดุดียกย่องมุสตะฟา เคมาล อะตาร์เตอร์ก ผู้สถาปนาสาธารณรัฐตุรกียุคใหม่อย่างยาวเหยียด โดยเริ่มต้นด้วยประโยคทองว่า

الله أكبر كم في الفتح من عجب

يا خالد الترك جدد خالد العرب

อัลลอฮ์ ผู้ยิ่งใหญ่ ชัยชนะในสมรภูมิมักมีสิ่งมหัศจรรย์เสมอ

โอ้คอลิดแห่งตุรกี จงรื้อฟื้นคอลิดแห่งอาหรับอีกครา

Ahmad Shouqi น่าจะเป็นตัวแทนของชาวมุสลิมทั่วโลกขณะนั้น ที่เสพข่าวคราวความเคลื่อนไหวของอาณาจักรอุษมานียะฮ์ที่เพิ่งล่มสลายด้วยหัวใจอันหดหู่ อาศัยความเป็นนักกวีและการเสพข่าวจากสื่อกระแสหลักเพียงสำนักเดียวในยุคนั้น ที่สามารถเสกขาวเป็นดำและดำเป็นขาวตามใจนึก แน่นอนที่สุดคนระดับ Ahmad Shouqi จะต้องคล้อยตามอารมณ์ของกระแสข่าวยุคนั้นอย่างหนีไม่พ้น ถึงขนาดเขาเปรียบเปรยมุสตะฟา เคมาลเป็นคอลิด บินอัลวะลีด ผู้ได้รับฉายาจากนบีฯว่า”ดาบแห่งอัลลอฮ์ที่ถูกชักออกจากฝัก”ผู้ไม่เคยปราชัยในทุกสมรภูมิที่เข้าร่วม ถึงแม้ก่อนเสียชีวิต Ahmad Shouqi ได้รับทราบความจริง เขาจึงเขียนบทกลอนสะท้อนถึงความผิดหวังและเสียใจกับผลงานสุดอัปยศของคนที่เขาเคยยกย่องเป็นคอลิดแห่งตุรกีก็ตาม เขาได้รำพึงผ่านบทกลอน ความตอนหนึ่งว่า
ضجت عليك مآذن ومنابر وبكت عليك ممالك ونواح
หออะซานและแท่นมิมบัรได้คร่ำครวญถึงการจากไปของเธอ แม้กระทั่งบรรดากษัตริย์และผู้โหยไห้ต่างร่ำไรรำพัน
والشام تسأل والعراق وفارس أمحا من الأرض الخلافة ماح
ทั้งเมืองชาม อิรักและเปอร์เซียต่างถามไถ่ คิลาฟะฮ์ถูกลบล้างจากแผ่นดินนี้แล้วหรือ
(ดู https://www.aljazeera.net/blogs/2018/11/10/بين-أحمد-شوقي-وأتاتورك-خيبة-أمل)

สื่อกระแสหลักระดับโลกเมดอินอังกฤษในขณะนั้น ได้ประโคมข่าวกรอกหูโลกมุสลิมตลอดเวลาว่า โลกอิสลามที่อยู่ภายใต้การปกครองของระบอบสุลตานอุษมานียะฮ์ขณะนั้น กำลังสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงขั้นตั้งฉายาสุลตานอับดุลฮามิดที่ 2 ว่าเป็นชายชราจอมขี้โรค มีกองกำลังทหารที่อ่อนแอและเฉื่อยชา บริหารบ้านเมืองล้มเหลวจนประสบภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ประชาชนยากจนและไม่มีการศึกษา ยึดติดกับประเพณีและคำสอนศาสนาที่คร่ำครึ จนกระทั่งหนุ่มชื่อมุสตะฟา เคมาล ปรากฏตัวพร้อมแสดงบทฮีโร่มากอบกู้ตุรกี

นักประวัติศาสตร์มีความเห็นต่างกันว่าหนุ่มคนนี้มาจากไหน บรรพบุรุษของเขาคือใคร แต่ด้วยความสามารถและความเก่งกาจเหนือมนุษย์ของเขา ทำให้เขาได้รับฉายาว่า อะตาร์เตอร์ก (บิดาแห่งชาวตุรกี) เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ เป็นบุคคลที่ห้ามแตะต้องและห้ามวิพากษ์วิจารณ์ เขาเป็นคนเดียวที่มีรูปในธนบัตรและเหรียญตุรกี ถึงแม้ประเทศตุรกีจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำหลายคนหลังจากการเสียชีวิตของเขาก็ตาม ยังไม่รวมถึงอนุสาวรีย์รูปจำลองของรัฐบุรุษผู้นี้ ซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นทั่วประเทศ และถูกออกแบบเป็นรูปที่เขากำลังขี่ม้าพร้อมชูดาบแห่งชัยชนะที่สามารถปราบมารร้าย ซึ่งถูกสลักไว้ข้างล่างของอนุสาวรีย์

ท่านผู้อ่านพอเดาออกไหมว่า มารร้ายที่อยู่ใต้เท้าของคอลิดแห่งตุรกีคนนี้ มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร

ท่านอย่าเพิ่งตกใจหากทราบว่ามารร้ายคนนี้คือชายชรามีเคราและสวมใส่ผ้าสัรบั่น

ท่านผู้อ่านลองตั้งคำถามดูว่า เด็กหนุ่มผู้กำเนิดและเติบโตที่เมืองซาโลนิก (เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอุษมานียะฮ์ระหว่างปีค.ศ.1867-ค.ศ. 1913 ปัจจุบันคือพื้นที่ที่ครอบคลุมบางส่วนของประเทศกรีซ มาชิโดเนียและบัลแกเรีย ในอดีตเมืองนี้เป็นดินแดนที่ชาวยิวได้อพยพมาจากยุโรปเข้ามาตั้งถิ่นฐานและยอมสวามิภักดิ์ต่อสุลตานอุษมานียะฮ์) ผู้นี้แม้กระทั่งหน้าตาของเขา ก็ไม่มีเค้าโครงละมัายคล้ายคลึงเหมือนชาวตุรกีทั่วไป แต่อยู่ๆถูกเชิดชูถึงขั้นบูชา และกลายเป็นบิดาของชาวเตอร์กได้อย่างไร

ผู้อ่านลองตั้งคำถามดูว่า ประเทศอังกฤษและบรรดาประเทศพันธมิตรที่ประกอบด้วยกรีซ ฝรั่งเศส อิตาลี ไซปรัสที่เพิ่งได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ต้องมาพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่อกองทัพเล็กๆของหนุ่มที่มาจากเมืองซาโลนิกนี้ได้อย่างไร

หากไม่ใช่เป็นละครระดับฮอลลีวูดยังต้องชิดซ้ายแล้ว มันก็คืออภินิหารครั้งยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่ามุอฺญิซัต(อภินิหารที่เกิดขึ้นเฉพาะนบี)สมัยสงครามบัดร์หรือสงครามอะห์ซาบอย่างแน่นอน

นายมุสตาฟา เคมาล สามารถขับไล่กองกำลังต่างชาติที่ยึดครองตุรกี โดยเฉพาะจากฝั่งอานาโตเลียได้อย่างเบ็ดเสร็จ เขายังสามารถขับไล่กองกำลังอังกฤษที่ยึดครองอิสตันบูลและกองกำลังต่างชาติอีก 4-5 ประเทศในคราวเดียวกัน เขาได้นำกองกำลังไล่ล่าชัยชนะอย่างต่อเนื่อง พร้อมโบกสะบัดทิวธงแห่งอิสลามเหนือแผ่นดินตุรกีท่ามกลางเสียงตักบีรดังกระหึ่มไปทั่วประเทศและโลกอิสลาม ชาวมุสลิมทั่วโลกชื่นชมและสดุดีผู้นำคนนี้จนกระทั่งพร้อมใจกันตั้งฉายาเป็นคอลิดแห่งตุรกี

ตามข้อเสนอของ Ahmad Shouqi

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในครั้งนั้นได้ส่งผลอะไรให้แก่ชาวตุรกีและโลกอิสลามบ้าง

หลังจากโค่นล้มระบบคิลาฟะฮ์ได้สำเร็จพร้อมสถาปนาระบอบสาธารณรัฐตุรกีและแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดี ทุกอย่างจึงได้ประจักษ์ชัดแจ้ง

มุสตาฟา เคมาลจึงเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ท่ามกลางโลกมุสลิมต้องตะลึงตกใจจนตาค้าง

คอลิดแห่งตุรกี หาใช่เป็นคอลิดแห่งอาหรับตามที่ได้คาดหวังไว้ แต่เป็นคอลิดที่เกลียดชังทุกอย่างที่เป็นมรดกของอาหรับและอิสลาม ตุรกีที่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรอิสลามนานเกือบ 6 ศตวรรษ กลับกลายเป็นตุรกีที่หันหลังและตัดขาดกับอิสลามอย่างไม่มีเยื่อใย พร้อมกับอ้าแขนต้อนรับทุกอย่างที่เป็นวิถีตะวันตกอันไร้ศีลธรรมและจรรยาบรรณ นายมุสตะฟา เคมาลเคยกล่าวถึงอัลกุรอานว่า “เราไม่ต้องการหนังสือที่พูดถึงต้นมะกอกและต้นมะเดื่ออีกแล้ว” ก่อนเสียชีวิต เขาได้เรียกทูตอังกฤษประจำอิสตันบูลมาพบเป็นการส่วนตัว  พร้อมยื่นข้อเสนออย่างจริงจังว่า “หากฉันเสียชีวิต ประธานาธิบดีคนต่อไปของตุรกีต้องเป็นท่าน”

นับตั้งแต่นั้นมา อิสลามในตุรกีจึงตก

สภาพยิ่งกว่าเด็กกำพร้าพ่อแม่ ซึ่งนอกจากไร้ผู้ปกป้องดูแลแล้ว ยังมีคนใจทรามคอยเป็นยามเฝ้าระวังปิดกั้นไม่ให้เติบโตแข็งแรงอีกด้วย อิสลามในตุรกีจึงพิกลพิการมาอย่างยาวนาน

อุตสาหกรรมการผลิตผู้นำจอมปลอมมีอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน

พวกเขาถูกสร้างให้ดูเหมือนเป็นความหวังของประชาชาติอิสลาม  มีความดุดันและห้าวหาญต่อศัตรูอิสลาม แต่ในความเป็นจริง ทันทีที่มีโอกาส เหยื่อของการทำลายล้างไม่พ้นประเทศอิสลามและประชาชาติมุสลิม

ยะม้าล นัสเซอร์แห่งอิยิปต์ ยัสเซอร์ อาราฟัตแห่งปาเลสไตน์ โคมัยนีแห่งอิหร่าน หะซันนัศรุลลอฮ์แห่งหิสบุลลอฮ์เลบานอน แม้กระทั่งนายบัฆดาดีแห่งรัฐอิสลามที่โมซุล คือบรรดารายขื่อที่ดูเหมือนเป็นวีรบุรุษผู้เป็นความหวังของประชาขาติอิสลาม

ผู้อ่านลองสำรวจอย่างรอบคอบและถี่ถ้วนดูว่า อะไรคือผลงานของพวกเขา นอกจากความเศร้าสลดและความอัปยศของประชาชาติอิสลาม

แต่เรามักจะสรุปบทเรียน เมื่อละครได้แสดงจนถึงบทอวสานอยู่เสมอ

แถมมีบางคน ยังอินกับละครยอดฮิต ถึงแม้เขาปิดฉากตั้งนานแล้วก็ตาม

อุตสาหกรรมผลิตผู้นำจอมปลอมไม่หยุดเพียงแค่นี้ แต่พวกเขาพยายามขุดคุ้ยผู้นำอิสลามที่แท้จริง และทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำเหล่านั้นด้วยคำใส่ร้ายและการโกหกต่างๆนานา จนกระทั่งโลกอิสลามเป็นโลกที่ขาดผู้นำที่น่าเชื่อถือและควรแก่การยกย่อง แม้แต่เพียงคนเดียว

Malcolm x มุสลิมผิวสีชาวอเมริกันเคยกล่าวว่า “ผู้ใดที่รู้ไม่เท่าทันสื่อ เขาอาจโกรธแค้นผู้ถูกอธรรม และชื่นชมสดุดีจอมวายร้ายเผด็จการก็ได้”

ดูเพิ่มเติม

https://www.aljazeera.net/blogs/2019/6/17/كيف-صنعت-المخابرات-البريطانية-البطل


โดย ทีมงานวิชาการ

ขุดโคตรรอฟิเฎาะฮฺ ตอนที่ 7

ชีอะฮฺอิสมาอีลียะฮฺได้ไปตั้งรกรากที่มอร็อกโค โดยการเผยแผ่คำสอนของ อะบูอับดุลลอฮฺ อัชชีอีย์พวกเขาได้รับอิทธิพลจากรุสตัม บินหุเซ็น ผู้สถาปนาอาณาจักรเกาะรอมิเฏาะฮฺที่เยเมน ทั้งอิสมาอีลียะฮฺและเกาะรอมิเฏาะฮฺ ต่างถือว่า อิสมาอีล บินญะฟัรอัศศอดิก เป็นอิมาม หาใช่มูซา อัลกาซิม อิมามคนที่ 7 ตามความเชื่อของชีอะฮฺอิมาม 12

ลูกหลานของมัยมูน อัลก็อดดาหฺ (ยิวจากเมืองกูฟะฮฺ) ชื่อว่า อุบัยดิลลาฮฺ บินหุเซ็น บินอะหฺมัด บินอับดุลลอฮฺ บินมัยมูนอัลก็อดดาหฺ ได้สถาปนารัฐอิสมาอีลียะฮฺที่มอร็อกโคพร้อมอ้างตนเองเป็นอิมามมะฮฺดี เขายังแอบอ้างว่า ตนเองเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากอิสมาอีล บินญะฟัรอัศศอดิก

เพื่อให้การเผยแผ่ลัทธินี้ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไป เขาจึงเรียกอาณาจักรตนเองว่า ฟาฏิมียะฮฺ ทั้งๆที่เขาสืบเชื้อสายยิว แต่ก็ได้รับการตอบรับจากผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มมุสลิมที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาทางศาสนา ลัทธินี้ได้ขยายอิทธิพลไปยังแอฟริกาเหนือ จนกระทั่งสามารถยึดครองอิยิปต์ในปีฮ.ศ. 359 ภายใต้การนำของอัลมุอิซ ลิดีนิลลาฮฺ อัลอุบัยดี และกลายเป็นต้นกำเนิดของ
อาณาจักรอุบัยดิยูน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการบูรณะและพัฒนาเมืองไคโรและสร้างมัสยิดอัลอัซฮัร

ในช่วงดังกล่าว พวกเขาได้เผยแพร่หลักคำสอนอันบิดเบือน การด่าทอเศาะฮาบะฮฺ อุตริกรรม จนกระทั่งสิ่งอบายมุขและพฤติกรรมไร้จริยธรรมทั้งหลายได้แพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า นอกจากนี้ พวกเขายังเข่นฆ่าอุละมาอฺซุนนะฮฺ มีผู้นำบางคนของพวกเขาแอบอ้างตนเองเป็นพระเจ้า

เพื่อสนับสนุนการเผยแผ่ของลัทธินี้ พวกเขาได้สร้างมัสยิดมากมาย ลัทธินี้สามารถปกครองอิยิปต์ แผ่ขยายไปถึงเมืองชามและดินแดนส่วนหนึ่งในหิญาซนาน 200 ปี จนกระทั่งจอมทัพเศาะลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์สามารถปราบปรามลัทธินี้ได้สำเร็จเมื่อปี ฮ.ศ. 567 อิยิปต์จึงปลอดจากเชื้อร้ายของลัทธิชีอะฮฺอิสมาอีลิยะฮฺนับแต่นั้นมา

ส่วนลัทธิที่ 3 คือชีอะฮฺอิมาม 12 พวกเขาได้สร้างสิ่งอุตริกรรมทางศาสนาที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชีอะฮฺทั้ง 2 ลัทธิที่ได้กล่าวมา เพียงแต่พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ เราะซูล และการฟื้นคืนชีพ แต่ก็ได้ต่อเติมเสริมแต่งคำสอนอิสลามไว้อย่างมากมายจนไม่หลงเหลือเคัาเดิมของศาสนา ส่วนหนึ่งของบรรดาแกนนำของพวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับชนชั้นปกครองของเปอร์เซียและอิรัก ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจึงสามารถครองอำนาจแถบเปอร์เซียระหว่าง ฮ.ศ. 261- ฮ.ศ.389 (128ปี) มีอำนาจในแผ่นดินอิรักระหว่าง ฮ.ศ. 317 – ฮ.ศ 369 (52 ปี) และครองอำนาจแถบเมืองหะลับ (เมืองชาม) ระหว่างปี ฮ.ศ. 333 – ฮ.ศ. 392 (59 ปี)

ชีอะฮฺกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังสำคัญที่ทำให้อาณาจักรอับบาสียะฮฺล่มสลายในปี ฮ.ศ. 334 และสามารถยึดกรุงแบกแดดนานนับ 100 ปี จนกระทั่งในปี ฮ.ศ. 447 ชาวซะลาญิเกาะฮฺสายซุนนะฮฺสามารถยึดคืนอิรักจากการปกครองของชีอะฮฺ และเมืองอิรักถูกปกครองโดยชาวซุนนะฮฺอีกครั้ง

ในช่วงชีอะฮฺเรืองอำนาจ พวกเขาได้แสดงความเกลียดชังต่ออุละมาอฺซุนนะฮฺอย่างเข้ากระดูกดำ มีการเขียนข้อความด่าทอบรรดาเศาะฮาบะฮฺตามผนังมัสยิด โดยเฉพาะการสาปแช่งท่านอะบูบักร์และอุมัร์ในคุตบะฮฺ

อาจกล่าวได้ว่า ฮิจเราะฮฺศักราชที่ 4 ถือได้ว่าเป็นศตวรรษแห่งการเรืองอำนาจของชีอะฮฺโดยแท้จริง

ชีอะฮฺอิมาม 12 เถลิงอำนาจแถบอิหร่านและอิรัก ส่วนหนึ่งก็ยึดครองประเทศทางตอนเหนือของอิหร่านและอัฟกานิสถาน ส่วนหนึ่งมีอำนาจแถบเมืองหะลับ (ซีเรีย) ส่วนชีอะฮฺเกาะรอมิเฏาะฮฺ ก็สถาปนารัฐชีอะฮฺแถบภาคเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ดินแดนหิญาซ ดามัสกัสและเยเมน ในขณะที่อาณาจักรอุบัยดิยูนหรือฟาฏิมียะฮฺ ก็ปกครองประเทศอิสลามแถบแอฟริกา รวมทั้งบางส่วนในฟิลัสฏีน ซีเรียและเลบานอน

ในปลายศตวรรษที่ 4 ฮิจเราะฮฺ อาณาจักรชีอะฮฺเกาะรอมิเฏาะฮฺก็ถึงคราวอวสาน และกลางศตวรรษที่ 5 ฮิจเราะฮฺ (ปี 447) อาณาจักรบะนีบูวัยฮฺที่ปกครองอิรักก็สิ้นอำนาจลง ในขณะที่ชีอะฮฺอิสมาอีลียะฮฺก็เสื่อมอำนาจในช่วงกลางศตวรรษที่ 6 (567ฮ.ศ.) โลกอิสลามได้กลับเข้าสู่อ้อมอกของชาวซุนนะฮฺอีกครั้ง ถึงแม้ชีอะฮฺอิมาม 12 ยังแผ่อิทธิพลในอิหร่านและอิรัก แต่ก็อ่อนกำลังมากและไม่สามารถสถาปนาเป็นรัฐอิสระได้

เรื่องราวทำท่าจะไปด้วยดี จนกระทั่งในปี ฮ.ศ. 907 (ต้นฮิจเราะฮฺศักราชที่ 10) มีชายชาวเปอร์เซียนามว่า อิสมาอีล อัศเศาะฟะวีย์ ได้ประกาศสถาปนารัฐอัศเศาะฟะวียะฮฺในอิหร่าน ท่ามกลางหยาดเลือดและซากศพของพี่น้องชาวซุนนะฮฺ เขาได้สร้างรัฐอันธพาลนี้ด้วยอำนาจเผด็จการ รัฐนี้ได้กลายเป็นหอกข้างแคร่ที่สร้างความเดือดร้อนแก่อาณาจักรอุษมานียะฮฺและประเทศอิสลามใกล้เคียงอย่างมาก พวกเขาได้ทำสัญญาลับกับกองทัพโปรตุเกสเพื่อโจมตีอาณาจักรอุษมานียะฮฺ จนกระทั่งสามารถยึดครองส่วนหนึ่งของอิรักและได้เผยแพร่อะกีดะฮฺชีอะฮฺเข้าไปยังดินแดนแถบนี้

ความขัดแย้งและสงครามระหว่างเศาะฟะวียะฮฺและอาณาจักรอุษมานียะฮฺได้ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องนานกว่า 2 ศตวรรษ จนกระทั่งอาณาจักรเศาะฟะวียะฮฺสิ้นอำนาจลงเมื่อปี ฮ.ศ. 1148

หลังจากนั้น ถึงคราวอาณาจักรอุษมานียะฮฺประสบกับความอ่อนแอ ดินแดนแถบอิหร่านก็มีการผลัดเปลี่ยนผู้นำที่สืบเชื้อสายมาจากเปอร์เซีย แต่ผู้นำทุกคนต่างก็จงรักภักดีต่อประเทศมหาอำนาจจากยุโรปขณะนั้น โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย

ในปีฮ.ศ. 1193 อิหร่านถูกปกครองโดยกษัตริย์ชีอะฮฺ เชื้อสายเปอร์เซียนามว่า มุฮัมมัด ฟาญาร์ ถึงแม้พระองค์เป็นชีอะฮฺอิมาม 12 แต่ก็เป็นบุคคลที่ไม่ยึดมั่นกับคำสอนชีอะฮฺมากนัก ราชวงศ์นี้มีอำนาจสืบทอดกันมาจนถึงปี ฮ.ศ. 1343 ก็ถูก ริฎอ ปาห์เลวียึดอำนาจด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษ เขาได้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์พร้อมขนานนามตนเองว่า ชาห์แห่งอิหร่าน ต่อมาพระองค์เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลอังกฤษ เป็นเหตุให้ นายมุฮัมมัด บินริฎอ ปาห์เลวี ซึ่งเป็นพระโอรสได้ยึดอำนาจและสถาปนาตนเองเป็นชาห์แห่งอิหร่านแทนเมื่อ ปี ฮ.ศ. 1359 (ค.ศ. 1941)

ชาห์ปาเลวี คนที่ 2 ได้ครองราชย์และเป็นกษัตริย์แห่งอิหร่านเรื่อยมาจนกระทั่งปี ฮ.ศ. 1399 (ค.ศ.1979) อิหม่ามโคไมนี่ได้นำคลื่นมหาชนปฏิวัติระบอบนี้ได้สำเร็จ ภายใต้การปฏิวัติที่(แอบ)ใช้ชื่อว่า การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน พร้อมสถาปนาประเทศเป็น สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ท่ามกลางแสดงความยินดีจากมุสลิมทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะผู้มีวิญญาณของนักเคลื่อนไหวอิสลามที่ใฝ่ฝันการหวนกลับของระบบคิลาฟะฮฺและรัฐอิสลามที่ยึดเจตนารมณ์อิสลามเป็นหลักในการปกครองและบริหารจัดการประเทศ

นี่คือภาพย่อเรื่องราวของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺจากจุดเริ่มต้นจนกระทั่งปัจจุบัน

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ลัทธินี้ไม่มีภารกิจหลักอื่นใดนอกจากเป็นพลังปฏิปักษ์ที่สั่นคลอนอาณาจักรอิสลามเท่านั้น ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ พวกเขาไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ กับศัตรูอิสลาม ไม่ว่ากองทัพครูเสด รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส หรือแม้กระทั่งกองทัพตาตาร์และมองโกเลีย สิ่งที่เราพบเห็นมาโดยตลอดคือ ลัทธินี้มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นและสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับอริราชศัตรูของประเทศอิสลามมาโดยตลอด

ผู้เขียนกล้าฟันธงเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะเอาโทษรุ่นลูกรุ่นหลาน เนื่องจากความผิดพลาดของบรรพบุรุษ เราไม่ได้เหมารวมว่า ในเมื่อบรรพบุรุษทำผิดแล้ว บรรดาลูกหลานก็ทำผิดเช่นกัน แต่สิ่งที่อยากให้ท่านผู้อ่านคิดตามก็คือ การวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ เราจำเป็นต้องมองที่รากเหง้าของปัญหานั้นๆ และรากเหง้าของแต่ละปัญหาคือหลักอะกีดะฮฺ แนวคิดและหลักสูตร หากประเด็นเหล่านี้มีความเหมือนกัน ต่อให้ฉายซ้ำเป็นร้อยๆ ภาคและใช้ระยะเวลานานนับศตวรรษ สุดท้ายก็มีฉากอวสานและบทสรุปที่ใกล้เคียงกัน เช่นเดียวกันกับรอฟิเฎาะฮฺยุคนี้กับยุคก่อน ซึ่งต่างก็มีหลักอะกีดะฮฺ แนวคิดและหลักสูตรที่มาจากแหล่งเดียวกัน ตราบใดที่ลัทธินี้ยังมีความเชื่อว่าอิมามจะต้องมาจากวงศ์ตระกูลเฉพาะ อิมามเป็นบุคคลพิเศษที่ไม่กระทำบาป(มะอฺศูม) ตราบใดที่ยังมีความเชื่อว่าเศาะฮาบะฮฺเป็นผู้ทรยศหักหลังและเป็นกลุ่มชนที่ชั่วร้ายที่สุด ตราบใดที่ยังด่าทอเศาะฮาบะฮฺและสาปแช่งภรรยานบีซึ่งเป็นมารดาของบรรดาผู้ศรัทธา ตราบใดที่ยังมีความเชื่อว่าอัลกุรอานในปัจจุบันและซุนนะฮฺยังไม่สมบูรณ์ ตราบใดที่ยังมีความเชื่อมั่นในหลักตะกียะฮฺ และเชื่อว่าการโกหกปลิ้นปล้อนเป็นเก้าในสิบส่วนของศาสนา ตราบนั้นเราก็ไม่สามารถหวังดีและคิดเชิงบวกกับลัทธินี้ ประโยคเดียวที่เป็นข้อสรุปในเรื่องนี้ก็คือ บรรพบุรุษเป็นยังไง บรรดาลูกหลานก็เป็นยังงั้น สำนวนไทยๆ มักพูดสั้นๆ ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น นั่นเองครับ

(ต่อ) อันตรายของรอฟิเฎาะฮฺ

ขุดโคตรรอฟิเฎาะฮฺ ตอนที่ 6

อัลลอฮฺได้กล่าวความว่า “ท่านทั้งหลาย จงเล่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อพวกเขาจะได้ไตร่ตรอง” (อัลอะรอฟ : 176)

ดังนั้นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น เพื่อต้องการให้เราคิดทบทวนเป็นอุทาหรณ์และบทเรียน หาไม่แล้ว มันก็ไม่ต่างกับนวนิยายปรำปราที่ไม่สามารถนำสาระประโยชน์ใดๆ เลย

การเล่าเรื่อราวของรอฟิเฎาะฮฺในอดีต ก็มีวัตถุประสงค์หลักเพียงประการเดียวคือใช้เหตุการณ์ในอดีตเป็นเครื่องมือทำความเข้าใจปัจจุบัน และคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเรื่องราวจะจบลงกันอย่างไร เพราะบทละครเดียวกันที่ประพันธ์โดยคนๆ เดียวกัน ถึงแม้จะมีการแสดงซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จะมีเค้าโครงเรื่องและมีตอนอวสานที่เหมือนกัน

เราได้ทราบมาแล้วว่า หลังจากที่หะซัน อัลอัสกะรีย์เสียชีวิตไป ชีอะฮฺเกิดภาวะ “ตีบตันทางการเมือง” พวกเขาได้เริ่มแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าตามความบิดเบือนของแต่ละกลุ่ม ซึ่งกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือลัทธิชีอะฮฺอิมาม 12 แต่ก็ยังมีหลายกลุ่มที่เกิดมาช่วงนี้ และกลุ่มที่สร้างอันตรายแก่ประชาชาติมุสลิมมากที่สุด คงไม่มีใครเกินกลุ่มลัทธิอิสมาอีลียะฮฺ ซึ่งเป็นลัทธิชีอะฺฮฺสุดโต่งที่อุละมาอฺซุนนะฮฺส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นกลุ่มที่พ้นสภาพจากอิสลามโดยสิ้นเชิง พวกเขาถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มบาฏินียะฮฺที่เชื่อว่าหลักชะรีอะฮฺมีทั้งเนื้อหาที่สามารถเข้าใจอย่างตรงไปตรงมาตามตัวบท แต่ในอีกแง่หนึ่งเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่จำเป็นต้องถอดรหัสโดยผู้รู้ที่พวกเขายอมรับเท่านั้น เช่นเดียวกันกับอัลกุรอานและหะดีษที่มีเนื้อหาที่ซ่อนเร้นอยู่ ดังนั้นพวกเขาไม่ละหมาด ไม่ออกซะกาต ไม่ศิยาม ไม่ถือศีลอดและไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติอื่นๆ เหมือนชาวซุนนะฮฺทั่วไป แต่พวกเขามีวิธีถอดรหัสคำสอนเหล่านี้ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขาเอง

ลัทธินี้ เริ่มต้นมาจากยิวจากเมืองกูฟะฮฺคนหนึ่งชื่อ มัยมูน อัลก็อดดาหฺ ที่เสแสร้งรับอิสลามแต่เกลียดชังอิสลามอยู่เต็มอก เขาได้เข้าไปตีสนิทกับมุฮัมมัด บินอิสมาอีล บินญะอฺฟัรอัศศอดิก ซึ่งท่านอิสมาอีล บินญะฟัรท่านนี้ มีศักดิ์เป็นพี่ชายของมูซา อัลกาซิม (อิมามคนที่ 7) ในฐานะเป็นลูกชายคนโต ท่าน จึงมีสิทธิ์เป็นอิมามแทนพ่อ แต่อิสมาอีลเสียชีวิตตั้งแต่อิมามญะฟัรยังมีชีวิตอยู่ ตำแหน่งอิมามจึงตกเป็นของมูซา อัลกาซิม

ลัทธินี้จึงกุเรื่องว่า ความจริงแล้วอิสมาอีลไม่ตาย เขาจะกลับมาฟื้นคืนชีพใหม่ตามความเชื่ออันบิดเบือน และเขาคืออิมามมะฮฺดีผู้เป็นที่รอคอย ลัทธินี้จึงถูกขนานนามว่า อิสมาอีลียะฮฺหรืออัลบาฏินียะฮฺตามที่ได้กล่าวมา

มัยมูน อัลก็อดดาหฺได้ออกอุบายวางแผนระยะยาวเพื่อทำลายอิสลามจากภายใน เขาได้ตั้งชื่อลูกชายคนโตของเขาชื่อว่า มุฮัมมัด และได้สั่งเสียว่าต่อไปนี้ให้ตั้งชื่อลูกหลานของเขาให้เหมือนกับชื่อลูกหลานของมุฮัมมัด บินอิสมาอีลที่มาจากอาลุลบัยต์ เมื่อเวลาผ่านไป ชาวยิวกลุ่มนี้ได้แอบอ้างว่าต้นตระกูลของตนเองมาจากอาลุลบัยต์ ซึ่งตำแหน่งอิมามหลังจากนี้ต้องมาจากต้นตระกูลของตนเอง ไม่ใช่มาจากตระกูลของมูซาอัลกาซิม บินญะฟัรอัศศอดิก

หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนอันสกปรกนี้ บรรดาลูกหลานของมัยมูน อัลก็อดดาหฺ ได้สถาปนาลัทธิใหม่ที่แอบอ้างอิสลาม ทั้งๆที่อิสลามไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับลัทธิเพี้ยนนี้เลย พวกเขาเชื่อว่า อัลลอฮฺสามารถสิงเข้าไปในตัวตนของอิมาม พวกเขาจึงเชื่อว่าอิมามคือพระเจ้า พวกเขายังเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด การฟื้นขึ้นใหม่ของอิมามที่เสียชีวิตแล้ว ภารกิจหลักของพวกเขาช่วงนี้คือการลอบฆ่าบรรดาอุละมาอฺซุนนะฮฺ

ซ้ำร้ายยิ่งกว่านี้ เมื่อพวกเขาสามารถจับมือกับกลุ่มลุทธิคลั่งชาติชาวเปอร์เซียที่เคียดแค้นอิสลามเป็นทุนเดิม ทำให้แผนสกปรกนี้ดำเนินไปอย่างสะดวกโยธิน ความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ทรยศหักหลังและพฤติกรรมทรามของชาวยิว ได้ผสมผสานกับไฟอาฆาตแค้นและแรงริษยาของโซโรแอสเตอร์ จนกลายเป็นเนื้อทองอันเดียวกัน มันคือความชั่วร้ายยกกำลังที่สร้างรอยแผลฉกรรจ์แก่ร่างกายของประชาชาติมุสลิมนับตั้งแต่นั้นมา

ครั้นเวลาผ่านไป เชื้อร้ายเหล่านี้ได้ตกผลึกไปถึงชายคนหนึ่งนามว่า หัมดาน บิน อัชอัษ ซึ่งมีฉายาว่า ก็อรมัฏ ( قرمط แปลว่าผู้มีร่างกายสั้นเตี้ยตามรูปร่างของตนเอง) และกลายเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิชีอะฮฺเกาะรอมิเฏาะฮฺ

ลัทธิร้ายนี้เป็นอีกลัทธิหนึ่งที่แยกออกจากลัทธิอิสมาอีลียะฮฺ พวกเขามีความเชื่อว่า ทรัพย์สมบัติและสตรีเป็นของสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ครอบครองโดยเท่าเทียมกัน สังคมในสมัยนั้นจึงอุดมด้วยการปล้นสะดม เข่นฆ่า กระทำชำเราสตรีและพฤติกรรมทรามทั้งหลาย

สรุปแล้ว ช่วงกลางศตวรรษที่ 3 ฮิจเราะฮฺนี้ ได้เกิดลัทธิบิดเบือน 3 ลัทธิใหญ่ๆ คือ ชีอะฮฺอิมามิยะฮฺ อิสมาอีลียะฮฺ และเกาะรอมิเฏาะฮฺ แต่ละกลุ่มลัทธิก็อ้างว่ากลุ่มตนคือกลุ่มที่ถูกต้องและเป็นตัวแทนของอาลุลบัยต์ที่แท้จริง แต่ที่น่าสังเกตคือทั้ง 3 ลัทธินี้ไม่เคยมีประวัติเกิดความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นทำสงครามระหว่างกัน แต่ฝ่ายที่โดนรุมทำลายจากลัทธิเหล่านี้คือมุสลิมซุนนะฮฺ ที่น่าแปลกประหลาดมากกว่านี้คือ ลัทธิเหล่านี้ไม่เคยสร้างความลำบากใจแก่ชาวยิว คริสเตียน นักรบตาตาร์ นักรบมองโกเลียที่เคยรุกรานอาณาจักรอิสลามแม้แต่น้อย อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่เคยทำสงครามอย่างจริงจังกับชนชาติเหล่านี้เลย และชนชาติเหล่านี้ก็ไม่เคยทำสงครามอย่างจริงจังกับกลุ่มลัทธินี้เช่นกัน กลุ่มเดียวที่กลายเป็นเหยื่อของความโหดร้ายของลัทธิทั้ง 3 และชนชาติเหล่านั้นคือประชาชาติมุสลิมซุนนะฮฺ อัลลอฮุลมุสตะอาน

ถึงกระนั้นก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มลัทธิทั้ง 3 นี้ยังไม่สามารถสถาปนารัฐอิสระได้ พวกเขาเป็นเพียงเม็ดทรายในรองเท้าที่คอยสร้างปัญหากับการรุดหน้าของอาณาจักรอิสลามมาโดยตลอด แต่เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 3 ฮิจเราะฮฺและต้นศตวรรษที่ 4 ฮิจเราะฮฺ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป และได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานแห่งความเศร้าโศกของประชาชาติอิสลามนับแต่นั้นมา

ในกลุ่ม 3 ลัทธินี้ ลัทธิแรกที่สามารถก้าวมีอำนาจทางการเมืองและสถาปนาเป็นอาณาจักรอิสระคือ ลัทธิเกาะรอมิเฏาะฮฺ พวกเขาสถาปนาอาณาจักรเกาะรอมิเฏาะฮฺครั้งแรกที่เยเมน ภายใต้การนำของจอมโหด นายรุสตัม บินหะซัน และสามารถขยายอิทธิพลไปถึงมอร็อกโค แต่ก็ล่มสลายไปในระยะเวลาอันสั้นๆ จนกระทั่งพวกเขาสามารถสถาปนารัฐอิสระอีกครั้งในบริเวณภาคตะวันออกของคาบสมุทรอาหรับแถบบริเวณประเทศบาห์เรนและดินแดนใกล้เคียงในปัจจุบัน ภายใต้การนำของหัมดาน ก็อรมัฏในปี 320 ฮ.ศ.

การกำเนิดรัฐเกาะรอมิเฏาะฮฺแถบบริเวณคาบสมุทรอาหรับ ได้สร้างความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงแก่ประชาชาติมุสลิม ด้วยความเชื่อที่ผิดเพี้ยนและการปลูกฝังแนวคิดสุดโต่ง พวกเขาได้เข่นฆ่า ปล้นสะดม ฉุดกระชากสตรีไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ที่โหดร้ายที่สุดคือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในปี 317 ฮ.ศ. เมื่อพวกเขาบุกไปจู่โจมมัสยิดหะรอมและเข่นฆ่าผู้คนที่กำลังเฏาะวาฟ พร้อมทั้งยึดหินดำ(อัลหะญะรุลอัสวัด) พาไปที่เมืองหลวงของเขาแถบภาคตะวันออกของคาบสมุทรอาหรับ หินดำอยู่ภายใต้ครอบครองของกลุ่มลัทธินี้นานถึง 22 ปี จนกระทั่งถูกส่งคืนไปยังกะอฺบะฮฺอีกครั้งในปี ฮ.ศ. 339
…………..
………….

มีต่อครับ (อาณาจักรอิสมาอีลียะฮฺที่มอร็อกโค และฟาฏิมียะฮฺที่อิยิปต์)

ขุดโคตรรอฟิเฎาะฮฺ ตอนที่ 5

หลังการเสียชีวิตของหะซัน อัสกะรีย์ อิมามคนที่ 11 กลุ่มนี้เกิดภาวะตีบตันทางการเมือง จึงหาทางออกด้วยการสร้างละครอวตารอิมามมะฮฺดีย์ขึ้นมา โดยอุปโลกน์เด็กชายมุฮัมมัด บินหะซันอัสกะรีย์เป็นอิมามมะฮฺดีย์ ตามบทถูกกำหนดไว้ว่าเด็กคนนี้ไม่ตาย เพียงแต่หายตัวในถ้ำสิรด้าบ และจะกลับมาปกครองโลกอีกครั้ง

พวกเขาอ้างว่าท่านนบีฯได้สั่งเสียรายชื่ออิมามทั้ง 12 คนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว แต่บรรดาเศาะฮาบะฮฺได้ปกปิดคำสั่งเสียนี้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหุก่มว่าบรรดาเศาะฮาบะฮฺเป็นกาฟิร ยกเว้นจำนวนไม่เกิน 13 คนเท่านั้น พวกเขาจึงเอาระบบที่ว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ของชาวเปอร์เซียมาใช้เป็นกฎมณเฑียรบาลในการแต่งตั้งบรรดาอิมาม และเชื่อว่ากฎนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำสอนในศาสนา พวกเขายังเชื่อว่าบรรดาอิมามมีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทิน บริสุทธิ์ผ่องแผ้วปราศจากการทำบาปทั้งมวล คำพูดของบรรดาอิมามเทียบเท่าฐานะของอัลกุรอานและหะดีษ คำวินิจฉัยของบรรดาอิมามจึงเป็นที่สิ้นสุดและเป็นต้นกำเนิดของกฎหมายต่างๆ ตามหลักศาสนบัญญัติ อิมามโคไมนี่ได้เคยกล่าวว่า “ความจำเป็นสูงสุดในมัซฮับของเราที่ทุกคนต้องเชื่อถือคือ บรรดาอิมามของเรามีฐานะที่สูงส่งที่ไม่มีใครสามารถบรรลุได้ แม้กระทั่งบรรดามะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดและนบีที่ถูกประทานมาก็ตาม” ด้วยเหตุนี้ของพวกเขาจึงทำตนเป็นศัตรูกับเศาะฮาบะฮฺโดยรวม ยกเว้นบางคนที่นับได้เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น

หากถามยิวว่า ใครคือผู้ประเสริฐสุดในศาสนาของพวกท่าน ยิวคงตอบว่าสหายของนบีมูซา หากถามคริสเตียนว่า ใครคือผู้ประเสริฐสุดในศาสนาของพวกท่าน คริสเตียนคงตอบอย่างไม่ลังเลว่าสหายของนบีอีซา แต่หากถามรอฟิเฎาะฮฺว่า ใครคือผู้ที่ชั่วช้าสามานย์ที่สุดในประชาชาติของนบีมุฮัมมัด พวกเขาต้องตอบอย่างทันควันว่า สหายของนบีมุฮัมมัดและภรรยาของท่านแน่นอน

ไม่เพียงบรรดาเศาะฮาบะฮฺเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ยอมรับอุลามะอฺของชาวซุนนะฮฺทุกคน พวกเขาปฏิเสธตำราหะดีษที่ชาวซุนนะฮฺยึดถือ ดังนั้นตำราหะดีษและแหล่งอ้างอิงทางศาสนาต่างๆ ไม่ว่า บุคอรี มุสลิม ติรมีซีย์ นะวาวีย์ อะบูหะนีฟะฮฺ มาลิก ชาฟิอีย์ อิบนุฮัมบัล อิบนุกะษีร วมุฮัมมัด อัลฟาติฮฺ เศาะลาฮุดดีน อัยยูบี และคนอื่นๆ จึงไม่มีคุณค่าใดๆ และไม่อยู่ในสารบบของอารยธรรมอิสลามตามทัศนะของพวกเขาแม้แต่น้อย

ประการเดียวที่เป็นแหล่งอ้างอิงอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็คือ คำพูดของบรรดาอิมาม ทั้งที่มาจากคำพูดของอิมามเองหรือมีการกล่าวอ้างว่าเป็นคำพูดของอิมาม และด้วยอาศัยแหล่งเดียวนี้ คำสอนของพวกเขาจึงอุดมด้วยอุตริกรรมทางศาสนามากมาย ทั้งในประเด็นอะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ มุอามะลาต และอัคลาก

เรื่องราวต่างๆที่อุปโลกน์ขึ้นมาไม่ว่าเรื่องตะกียะฮฺ การฟื้นคืนชีพบนโลก จุดยืนต่อเศาะฮาบะฮฺ และภรรยาท่านนบี ความเชื่อที่ว่าด้วยอัลกุรอานถูกบิดเบือน อะกีดะฮฺที่อคติกับอัลลอฮฺ อุตริกรรมที่กุโบร์ สถานบูชาในพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งบิดอะฮฺวันที่ 10 มุฮัรรอม และอื่นๆอีกมากมายร้อยพันประการล้วนแล้วมาจากคำพูดของบรรดาอิมามที่อยู่เหนือการพิสูจน์และพิจารณาตามหลักวิชาการทั่วไป

นี่คือเสี้ยวหนึ่งของความเชื่อของลัทธิชีอะฮฺอิมาม 12 ซึ่งยังมีสารพัดความเชื่อที่แตกหน่อแยกกอ ออกไปเป็นลัทธิต่างๆ โดยเฉพาะยุคที่เรียกว่า ยุคแห่งการตีบตันทางการเมืองของกลุ่มรอฟิเฎาะฮฺซึ่งเกิดขึ้นกลางศตวรรษที่ 3 ฮิจเราะฮฺภายหลังการเสียชีวิตของ หะซัน อัลอัสกะรีย์

นับแต่นั้นมา ตำรับตำราต่างๆ ตาม
แนวคิดนี้ จึงถูกเขียนมามากมาย เพื่อผดุงแนวคิดของตนและเผยแพร่ไปยังดินแดนแถบเปอร์เซียโดยเฉพาะและประเทศในโลกอิสลามโดยรวม ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเขายังไม่สามารถสร้างรัฐเป็นของตนเอง จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 3 ฮ. และต้นศตวรรษที่ 4 ฮ. ประวัติศาสตร์อิสลามได้ถลำเข้าไปสู่จุดที่อันตรายสุดๆ ทั้งนี้เนื่องจากลัทธินี้ได้ก่อร่างสถาปนารัฐเป็นของตนเองในดินแดนต่างๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอิสลาม และได้วิวัฒนาการเป็นหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงความเจริญเติบโตของอาณาจักรอิสลามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ประชาชาติอิสลามถูกผลักไสไล่ส่งสู่ก้นเหวที่เต็มไปด้วยภยันตรายโดยฝีมือของกลุ่มลัทธิที่แอบอ้างว่ารักและเชิดชูวงศ์วานนบีที่สุด

ติดตามเรื่อยๆ ครับ