บทความ บทความวิชาการ

ประชาธิปไตยหลุดพ้นจากอิสลามหรือไม่ ? [ ตอนที่ 1 ]

โดย ศ.ดร.ยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวีย์ อดีตประธานสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ

■ คำถาม

มุสลิมบางกลุ่มมีทัศนะว่า ประชาธิปไตยนั้นเข้ากันไม่ได้กับอิสลาม บ้างเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบที่หลุดพ้นจากศาสนาอิสลามอย่างสิ้นเชิง พวกเขาใช้ข้ออ้างว่า ประชาธิปไตยหมายถึงการปกครองประชาชนโดยประชาชน อำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชน แต่ในศาสนาอิสลามประชาชนไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่แท้จริง แต่ผู้มีอำนาจสูงสุดคืออัลลอฮ์เท่านั้น ดังที่อัลกุรอานกล่าวความว่า “ ไม่มีการตัดสินใดๆ นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น “ (Al-An’am: 57)

ทำให้กลุ่มเสรีนิยมและผู้สนับสนุนเสรีภาพเห็นว่า ชาวมุสลิมเป็นศัตรูกับประชาธิปไตย และเป็นเครือข่ายผู้สนับสนุนเผด็จการทรราช

ดังนั้น จึงขอให้ท่านช่วยให้ความกระจ่างว่า อิสลามเป็นศัตรูกับประชาธิปไตยจริงหรือ และประชาธิปไตยนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการปฏิเสธศรัทธาหรือความชั่วร้ายตามที่มีผู้กล่าวอ้างหรือไม่ หรือเป็นเพียงการกล่าวเท็จต่ออิสลาม ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เราขอพรต่ออัลลอฮ์เพื่อช่วยให้ท่านเปิดเผยความจริง ชี้แจงหักล้างข้อโต้แย้ง ขอขอบคุณและขอให้อัลลอฮ์ตอบแทนท่านด้วยความดีงาม

■ คำตอบ

الحمد لله، والصلاة والسلام على رسول الله، وعلى آله وصحبه ومن والاه، وبعد

ข้าพเจ้าก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เกิดความสับสนอลหม่านระหว่างความจริงกับความเท็จในหมู่ผู้เคร่งครัดศาสนาโดยทั่วไปและในหมู่ผู้พูดในนามของศาสนาอิสลามบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นคำถามของพี่น้องที่ได้ระบุข้างต้น ถึงขั้นการกล่าวหาผู้คนว่า หลุดพ้นจากศาสนาหรือผิดศีลธรรมกลายเป็นเรื่องง่ายดาย ราวกับว่าพวกเขาไม่รับรู้ว่าในอิสลามถือว่า การกล่าวหาผู้คนว่าหลุดพ้นจากศาสนา เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงอุกฉกรรจ์ และจะย้อนกลับมาเข้าตัวผู้ที่กล่าวหาผู้อื่น ดังปรากฏในหะดีษศอฮีห์

คำถามที่พี่น้องผู้มีเกียรติถามนี้ จึงไม่แปลกสำหรับข้าพเจ้า เพราะพี่น้องของเขาจากแอลจีเรียได้ถามมาหลายครั้ง และด้วยคำถามชัดเจนว่า [ ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่หลุดพ้นจากอิสลามหรือไม่ ? ]

○ การตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นกิ่งก้านของความรู้แจ้งถึงสิ่งนั้น

ที่แปลกประหลาด บางคนฟันธงว่าประชาธิปไตยเป็นความเลวที่ชัดเจน หรือเป็นการปฏิเสธศาสนาอย่างชัดเจน ทั้งๆที่เขาไม่รู้ถึงแก่นแท้หรือแม้กระทั่งมโนทัศน์ในภาพรวมของมัน

หนึ่งในบรรดากฎที่นักวิชาการบรรพกาลของเรากำหนดไว้คือ การตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นกิ่งก้านของความรู้แจ้งถึงสิ่งนั้น

ดังนั้นใครก็ตามที่ชี้ขาดในบางสิ่งที่เขาไม่รู้ การตัดสินของเขาก็ถือว่าผิดพลาด แม้ว่าจะถูกต้องก็ตาม เพราะเป็นการยิงที่โดนเป้าโดยบังเอิญเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏในหะดีษว่า ผู้พิพากษาที่ตัดสินโดยไม่มีความรู้หรือรู้ความจริงแต่กลับไม่พิพากษาตามข้อเท็จจริง ล้วนถือว่ามีความผิดทั้งสิ้น

ประชาธิปไตยที่ประชาชนทั่วโลกเรียกร้องก็เช่นกัน มวลชนจำนวนมากในตะวันออกและตะวันตกกำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา

บางส่วนก็ได้มาหลังจากการต่อสู้กับทรราชอย่างขมขื่น คนหลายพันคน ถึงนับล้านๆคน ต้องหลั่งเลือดและตกเป็นเหยื่อ เช่นในยุโรปตะวันออกและที่อื่น ๆ ทำให้กลุ่มอิสลามบางส่วนยอมรับว่าประชาธิปไตยเป็นวิธีการหนึ่ง ในการยับยั้งการปกครองโดยบุคคล และสามารถตัดเขี้ยวเล็บของลัทธิเผด็จการทางการเมืองที่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวมุสลิมของเรา

ดังนั้น ประชาธิปไตย ถือเป็นการหลุดพ้นจากศาสนาอิสลามอย่างที่พวกผิวเผินบางคนพูดหรือไม่

เราลองมาดูว่า อะไรคือแก่นแกนของประชาธิปไตย

แก่นแกนของประชาธิปไตย คือการให้ประชาชนเลือกผู้ที่จะมาปกครองบริหารพวกเขา และการไม่บีบบังคับประชาชนให้ยอมรับผู้ปกครองหรือรัฐบาลที่พวกเขาเกลียดชัง ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบผู้ปกครองหากกระทำความผิด มีสิทธิ์ที่จะปลดผู้นำหากเบี่ยงเบน และไม่นำผู้คนไปสู่แนวทางเศรษฐกิจหรือทางสังคม วัฒนธรรมหรือการเมือง ที่พวกเขาไม่ยอมรับและไม่พอใจ แนวทางที่หากว่าประชาชนบางคนต่อต้านก็จะขับไล่ไสส่งและกระทำทารุณกรรม รวมถึงการทรมานและสังหาร

นี่คือแก่นแกนของประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งมนุษยชาติได้ค้นพบรูปแบบและวิธีการที่ใช้ได้จริง เช่น การเลือกตั้ง และการลงประชามติของประชาชน ความเหนือกว่าของเสียงข้างมาก ความหลากหลายของพรรคการเมือง สิทธิของคนส่วนน้อยในการเป็นฝ่านค้าน เสรีภาพของสื่อมวลชน ความเป็นอิสระของตุลาการ ฯลฯ

ถามว่า ประชาธิปไตย ในสาระสำคัญที่เรากล่าวถึงนั้น ขัดกับอิสลามหรือไม่การขัดกันนี้มาจากไหน มีหลักฐานบทไหนบ้างจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺที่บ่งชี้กรณีนี้

● แก่นแกนของประชาธิปไตยสอดคล้องกับศาสนาอิสลาม

ความจริงแล้ว หากพิจารณาแก่นแกนของประชาธิปไตยก็จะพบว่า สิ่งนี้คือแก่นแกนของศาสนาอิสลามเช่นกัน

อิสลามไม่ยอมรับผู้นำละหมาดที่ผู้ตามเกลียดชัง
ปรากฏในหะดีษว่า

ثلاثة لا ترتفع صلاتهم فوق رءوسهم شبرًا ..” وذكر أولهم : “رجل أم قومًا وهم له كارهون ..”

“ บุคคล 3 ประเภทที่ละหมาดของเขา จะไม่ถูกยกขึ้นไปสูงกว่าศีรษะของพวกเขาแม้เพียงหนึ่งกระเบียดนิ้ว .. ” และกล่าวถึงคนแรกว่า:“ ชายคนหนึ่ง นำละหมาดผู้คน ในขณะที่ผู้คนรังเกียจเขา”

(หะดีษรายงานโดยอิบนุมาจะฮ์ เลขหะดีษ 971 /ศอฮีห์)

นี่เป็นกรณีละหมาด แล้วในเรื่องวิถีชีวิตและการเมืองการปกครองจะเป็นเช่นไร

มีหะดีษกล่าวว่า

خير أئمتكم ـ أي حكامكم ـ الذين تحبونهم ويحبونكم، وتصلون عليهم ـ أي تدعون لهم ـ ويصلون عليكم، وشرار أئمتكم الذين تبغضونهم ويبغضونكم، وتلعنونهم ويلعنونكم” (رواه مسلم عن عوف بن مالك).

ผู้นำที่ดีที่สุดของพวกท่าน คือผู้ที่พวกท่านรักพวกเขาและพวกเขารักพวกท่าน และพวกท่านขอพรให้พวกเขา และพวกเขาขอพรให้พวกท่าน และผู้นำของพวกท่านที่ชั่วร้ายที่สุดคือผู้นำที่พวกท่านรังเกียจพวกเขาและพวกเขารังเกียจพวกท่าน พวกท่านสาปแช่งพวกเขาและพวกเขาสาปแช่งพวกท่าน (หะดีษรายงานโดยมุสลิม จากเอาฟ์ บินมาลิก)

อัลกุรอานรณรงค์ต่อต้านผู้ปกครองที่สถาปนาตัวเองเป็นพระเจ้า

อัลกุรอานได้รณรงค์อย่างรุนแรงต่อผู้ปกครองที่สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าในโลกนี้ และถือเอามนุษย์เป็นข้าทาส เฉกเช่น กษัตริย์นัมรูด ( แห่งดินแดนเมโสโปเตเมียในบรรพกาล ) รวมถึงท่าทีของนัมรูดต่อนบีอิบริอฮีม และท่าทีของอิบรอฮีมต่อนัมรูด ว่า

‎أَلَمْ تَرَ إِلَى الَّذِي حَاجَّ إِبْرَاهِيمَ فِي رَبِّهِ أَنْ آتَاهُ اللَّهُ الْمُلْكَ إِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّيَ الَّذِي يُحْيِي وَيُمِيتُ قَالَ أَنَا أُحْيِي وَأُمِيتُ ۖ قَالَ إِبْرَاهِيمُ فَإِنَّ اللَّهَ يَأْتِي بِالشَّمْسِ مِنَ الْمَشْرِقِ فَأْتِ بِهَا مِنَ الْمَغْرِبِ فَبُهِتَ الَّذِي كَفَرَ ۗ وَاللَّهُ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ

“ท่าน (มุฮัมมัด) มิได้พิจารณาดูผู้ที่โต้แย้งต่ออิบรอฮีมในเรื่องพระเจ้าของเขาเนื่องจากการที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานอำนาจแก่เขาดอกหรือ ขณะที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า “พระเจ้าของฉันนั้นคือผู้ที่ให้ชีวิตและให้ความตาย” เขากล่าวว่า “ข้าก็ให้ชีวิตและให้ความตายได้” อิบรอฮีมกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ์นั้นนำดวงอาทิตย์มาจากทิศตะวันออก ท่านจงนำมันมาจากทิศตะวันตกเถิด” แล้วผู้ที่ปฏิเสธศรัทธานั้นก็อับจนปัญญา และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ประทานแนวทางอันถูกต้องแก่ผู้อธรรมทั้งหลาย” ( อัลบะกอเราะห์ : 258 )

ทรราชนี้อ้างว่าเขาให้ชีวิตและหยิบยื่นความตายได้เช่นเดียวกับที่พระเจ้าของอิบรอฮีม – ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าของโลก – ให้ชีวิตและความตาย ดังนั้นผู้คนควรนับถือเขาเหมือนกับการที่พวกเขานับถือต่อพระเจ้าของอิบรอฮีม และเขาก็อวดดีถึงขั้นอ้างว่าให้ชีวิตและให้ความตาย โดยการนำชายสองคนจากท้องถนนและตัดสินประหารชีวิตโดยไม่มีความผิด และดำเนินการลงโทษคนหนึ่งในนั้นทันที พร้อมกล่าวว่า “ดูเถิดคนนี้ข้าให้ความตาย และยกโทษให้อีกคนหนึ่ง แล้วพูดว่า “ดูเถิด ข้าให้ชีวิตเขาแล้ว ! ฉันไม่ได้ให้ชีวิตและความตายกระนั้นหรือ!

และในทำนองเดียวกัน ฟาโรห์ผู้ซึ่งประกาศก้องในหมู่ประชาชนของเขาว่า
أَنَا رَبُّكُمُ الْأَعْلَىٰ
“ ฉันคือพระเจ้าผู้สูงสุดของพวกท่าน” (อันนาซิอาต : 24)

และกล่าวด้วยความองอาจว่า :
‎ يَا أَيُّهَا الْمَلأُ مَا عَلِمْتُ لَكُمْ مِنْ إِلَهٍ غَيْرِي

โอ้ผู้คนทั้งหลาย ฉันไม่รับทราบว่ามีพระเจ้าอื่นของจากฉัน” ( อัลกอศ็อศ : 38)

คัมภีร์กุรอานได้เปิดเผยขั้วพันธมิตรสามานย์ 3 ฝ่าย ได้แก่

ฝ่ายแรก คือผู้ปกครองที่สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้า มีอำนาจบาตรใหญ่เหนือประชาชน ฝ่ายนี้มีฟาโรห์เป็นตัวแทน

ฝ่ายที่ 2 คือนักการเมืองผู้แสวงผลประโยชน์ ซึ่งทุ่มเทสติปัญญาและประสบการณ์ของเขา เพื่อรับใช้และพิทักษ์รักษาฐานอำนาจของทรราช และทำให้ผู้คนเชื่องยอม พร้อมถวายความจงรักภักดีต่อฟาโรห์ ฝ่ายนี้มีฮามานเป็นตัวแทน

และฝ่ายที่ 3 คือกลุ่มนายทุนหรือกลุ่มอำมาตย์ผู้ได้รับประโยชน์จากการปกครองของทรราช พวกเขาสนับสนุนทรราชด้วยการใช้จ่ายเงินของตนบางส่วนเพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากหยาดเหงื่อและเลือดของประชาชน ฝ่ายนี้มีกอรูนเป็นตัวแทน

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึงขั้วพันธมิตรของทั้ง 3 กลุ่มนี้ในเรื่องการฝ่าฝืนศีลธรรมและการล่วงละเมิด ตลอดจนการเผชิญหน้ากับสาส์นของมูซา จนกระทั่งอัลลอฮ์จัดการกับฟาโรห์อย่างน่าสมเพช

‎وَلَقَدۡ أَرۡسَلۡنَا مُوسَىٰ بِـَٔايَـٰتِنَا وَسُلۡطَـٰنٍ۬ مُّبِينٍ * إِلَىٰ فِرۡعَوۡنَ وَهَـٰمَـٰنَ وَقَـٰرُونَ فَقَالُواْ سَـٰحِرٌ۬ ڪَذَّابٌ۬

“และแน่นอน เราได้ส่งมูซามาพร้อมด้วยสัญญาณต่าง ๆ ของเราและหลักฐานอันชัดแจ้ง ไปยังฟาโรห์ และฮามาน และกอรูน แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า (มูซาเป็น) มายากลนักโกหกตัวฉกาจ”
(ฆอฟิร : 23, 24)

‎وَقَٰرُونَ وَفِرۡعَوۡنَ وَهَٰمَٰنَۖ وَلَقَدۡ جَآءَهُم مُّوسَىٰ بِٱلۡبَيِّنَٰتِ فَٱسۡتَكۡبَرُواْ فِي ٱلۡأَرۡضِ وَمَا كَانُواْ سَٰبِقِينَ

และ (เราได้ทำลาย) กอรูน ฟาโรห์และฮามาน และโดยแน่นอนมูซาได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง แต่พวกเขาหยิ่งผยองในแผ่นดิน และพวกเขาก็หาได้รอดพ้นไปจากเราไม่ ( อัลอังกะบูต : 39)

สิ่งที่น่าแปลกก็คือ กอรูนมีเชื้อชาติเดียวกับมูซา และคนละเชื้อชาติกับฟาโรห์ แต่เขากลับทรยศต่อชนเชื้อชาติเดียวกัน และเข้าร่วมกับฟาโรห์ ซึ่งเป็นศัตรูของพวกเขา โดยฟาโรห์ก็ยอมรับเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลประโยชน์ทางวัตถุเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขามารวมกันได้แม้จะแตกต่างกันทางเชื้อชาติและเชื้อสายก็ตาม

คัมภีร์อัลกุรอานเชื่อมโยงการปกครองแบบเผด็จการและการทุจริต

ในบรรดาความโดดเด่นของคัมภีร์อัลกุรอาน คือการเชื่อมโยงการกดขี่กับการแพร่กระจายของการคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชาติล่มสลาย

พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพกล่าวว่า:

‎أَلَمْ تَرَ كَيْفَ فَعَلَ رَبُّكَ بِعَاد (6) إِرَمِ ذَاتِ الْعمَادِ (7) الَّتِى لَمْ يُخْلَقْ مِثْلُهَا فِى الْبِلَـدِ (8) وَثَمُودَ الَّذِينَ جَابُواْ الصَّخْرَ بِالْوَادِ (9) وَفرِعَوْنَ ذِى الأَوْتَادِ (10) الَّذِينَ طَغَوْا فِى الْبِلَـدِ (11) فَأَكْثَرُواْ فِيهَا الْفَسَادَ (12) فَصَبَّ عَلَيهِمْ رَبُّكَ سَوْطَ عَذَاب (13) إِنَّ رَبَّكَ لَبِالْمِرْصَادِ (14)

“เจ้าไม่เห็นดอกหรือว่า พระเจ้าของเจ้ากระทำต่อพวกอ๊าดอย่างไร
อิรอม มีเสาหินสูงตระหง่าน
ซึ่งไม่มีสิ่งก่อสร้างที่เทียบเท่าได้ตามหัวเมืองต่าง ๆ
และพวกซะมูดผู้สกัดหิน ณ หุบเขา
และฟิรเอานฺ เจ้าแห่งหมุดต่างๆ
พวกเขาได้กดขี่ทั่วแว่นแคว้นต่าง ๆ
แล้วก่อความเสียหายอย่างมากมายในหัวเมืองเหล่านั้น
ดังนั้นพระเจ้าของเจ้าจึงกระหน่ำการลงโทษนานาชนิดบนพวกเขา
แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นทรงเฝ้าดูอย่างแน่นอน”
[อัลฟัจร์ : 6-14]

คัมภีร์อัลกุรอานอาจแทนคำว่า “ทรราช” الطغيان ด้วยคำว่า “การเหิมเกริม” العلو ซึ่งหมายถึง ความเย่อหยิ่งและการใช้อำนาจเหนือสรรพสิ่ง ด้วยการสร้างความอัปยศอดสูและการกดขี่ข่มเหง

ดังที่อัลลอฮ์กล่าวถึงฟาโรห์ว่า

‎إِنَّهُۥ كَانَ عَالِيٗا مِّنَ ٱلۡمُسۡرِفِينَ

“แท้จริงเขาเป็นหนึ่งที่ใฝ่สูงในบรรดาผู้ละเมิด” (อัดดุคอน: 31)

‎إِنَّ فِرۡعَوۡنَ عَلَا فِي ٱلۡأَرۡضِ وَجَعَلَ أَهۡلَهَا شِيَعٗا يَسۡتَضۡعِفُ طَآئِفَةٗ مِّنۡهُمۡ يُذَبِّحُ أَبۡنَآءَهُمۡ وَيَسۡتَحۡيِۦ نِسَآءَهُمۡۚ إِنَّهُۥ كَانَ مِنَ ٱلۡمُفۡسِدِينَ

“แท้จริง ฟาโรห์ได้เหิมเกริมในแผ่นดิน และแบ่งแยกประชาชนออกเป็นกลุ่มๆ ทำให้กลุ่มหนึ่งอ่อนแอ ฆ่าลูกชายของพวกเขา และไว้ชีวิตผู้หญิงของพวกเขา เขาเป็นหนึ่งในผู้สร้างความเสื่อมเสีย” (อัลกอศ๊อศ : 4)

ดังนั้นเราจึงเห็น “ความเหิมเกริม” และ “การสร้างความเสื่อมเสีย” จะอยู่คู่กัน

คัมภีร์อัลกุรอานได้ตำหนิอย่างรุนแรงต่อชนชาติที่เชื่อฟังทรราช

คัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้ตำหนิเฉพาะกลุ่มทรราชแต่เพียงผู้เดียว แต่ยังรวมถึงประชาชนและผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของพวกเขา ยอมคุกเข่าให้กับพวกเขา โดยถือว่า เป็นการร่วมรับผิดชอบกับพวกเขาด้วย

อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจกล่าวถึงกลุ่มชนของนบีนุห์ว่า

‎قَالَ نُوحٌ رَبِّ إِنَّهُمْ عَصَوْنِي وَاتَّبَعُوا مَنْ لَمْ يَزِدْهُ مَالُهُ وَوَلَدُهُ إِلَّا خَسَارًا

นุห์กล่าวว่า โอ้พระเจ้าของฉัน พวกเขาไม่เชื่อฟังฉันและทำตามผู้ที่ทรัพย์สินและลูกชายของเขาไม่ได้เพิ่มพูนอะไรนอกจากการสูญเสียเท่านั้น ( นุห์ : 21)

และอัลลอฮ์มหาบริสุทธิ์กล่าวถึงชนเผ่าของนบีฮูดว่า

‎وتلك عاد جحدوا بآيات ربهم وعصوا رسله واتبعوا أمر كل جبار عنيد

และชาวเผ่าอ๊าดเหล่านี้ปฏิเสธสัญญาณของพระเจ้าของพวกเขา และฝ่าฝืนศาสนทูตของเขา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีอำนาจผู้ดื้อรั้นทุกคน “(ฮูด: 59)

และกล่าวถึงชนชาติของฟาโรห์ว่า

‎فَٱسۡتَخَفَّ قَوۡمَهُۥ فَأَطَاعُوهُۚ إِنَّهُمۡ كَانُواْ قَوۡمٗا فَٰسِقِينَ

เขา(ฟาโรห์) ก็พาลกับชนชาติของเขา และพวกเขาก็เชื่อฟังต่อเขา พวกเขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์(อัซซุครุฟ : 54)

‎ فَاتَّبَعُوا أَمْرَ فِرْعَوْنَ ۖ وَمَا أَمْرُ فِرْعَوْنَ بِرَشِيدٍ
‎يَقۡدُمُ قَوۡمَهُۥ يَوۡمَ ٱلۡقِيَٰمَةِ فَأَوۡرَدَهُمُ ٱلنَّارَۖ وَبِئۡسَ ٱلۡوِرۡدُ ٱلۡمَوۡرُودُ

ดังนั้น พวกเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของฟาโรห์ ทั้งๆสิ่งที่ฟาโรห์ทำนั้นไม่มีเหตุผล เขา(ฟาโรห์)จะนำหน้ากลุ่มชนของเขาในวันกิยามะฮฺ และนำพวกเขาลงในไฟนรก และมันเป็นทางลงที่ชั่วช้าที่พวกเขาได้ลงไป (ฮูด : 97 – 98 )

การที่คนทั่วไปถูกถือว่าเป็นผู้ร่วมรับผิด หรือเป็นส่วนหนึ่งของความผิดดังกล่าว เพราะพวกเขาเป็นผู้สร้างทรราชขึ้นมาเอง ดังวลีที่กล่าวว่า มีคนถามฟาโรห์ว่า ท่านเป็นฟาโรห์ได้เพราะอะไร ฟาโรห์ตอบว่า เพราะฉันไม่พบใครขัดขวางฉัน

ทหารและเครื่องมือของทรราชร่วมรับผิดชอบเช่นกัน

ผู้ที่แบกรับความรับผิดชอบกับทรราชคือ“ เครื่องมือแห่งอำนาจ” ที่อัลกุรอานเรียกว่า“ ทหาร” ซึ่งหมายถึง“ กำลังทหาร” อันเป็นเขี้ยวเล็บของอำนาจทางการเมือง ที่คอยเป็นแส้คอยลงโทษและคุกคามมวลชน หากพวกเขากบฏหรือคิดจะกบฏ

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า
‎ إِنَّ فِرۡعَوۡنَ وَهَٰمَٰنَ وَجُنُودَهُمَا كَانُواْ خَٰطِـِٔينَ

“แท้จริงฟาโรห์และฮามาน และไพร่พลของเขาทั้งสองเป็นพวกที่มีความผิด” (อัลกอศ๊อศ : 8 )

‎فَأَخَذۡنَٰهُ وَجُنُودَهُۥ فَنَبَذۡنَٰهُمۡ فِي ٱلۡيَمِّۖ فَٱنظُرۡ كَيۡفَ كَانَ عَٰقِبَةُ ٱلظَّـٰلِمِينَ

“ดังนั้น เราได้ลงโทษเขาและไพร่พลของเขา เราได้โยนพวกเขาลงไปในทะเล จงพิจารณาเถิด บั้นปลายของพวกอธรรมเป็นเช่นไร” (อัลกอศ๊อศ : 40 )


บทความต้นฉบับ https://www.al-qaradawi.net/node/3775

แปลสรุปโดย Ghazali Benmad