PKK ลูกรัก…..ก่อการร้าย

PKK คือใคร?

PKK ย่อมาจาก Partya Karkeren Kurdistan แปลว่า พรรคแรงงานเคิร์ดิสถาน ก่อตั้งปี 1978 โดยผู้นำเคิร์ดชื่อนายอับดุลลอฮ์ โอจลาน มีอุดมการณ์เลื่อมใสลัทธิมาร์กซ์- เลนิน มีเป้าหมายเพื่อจัดตั้งรัฐเคิร์ดอิสระ ที่เรียกว่ารัฐเคิร์ดอันยิ่งใหญ่ ที่ครอบคลุมพื้นที่ในซีเรีย อิรัก อิหร่านและตุรกี มีศูนย์บัญชาการที่จังหวัดดิยาร์ บักร์ เมืองทางตอนใต้ของตุรกี ในช่วงแรกได้รับการสนับสนุนทางด้านการฝึกฝนกองกำลังจากรัฐบาลซีเรีย ยุคฮาฟิศ อะซัดเป็นผู้นำ และเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการก่อการร้ายยาวนานกว่า 40 ปี ที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ชาวตุรกีกว่า 40,000 ศพ

ระหว่างปี 1980-1990 พวกเขาเริ่มปฏิบัติการด้วยการโจมตีชาวตุรกีเป็นเป้าหมายหลัก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ เผาทำลายหมู่บ้าน สังหารผู้บริสุทธิ์ทั้งเด็กและสตรี

ปี 1998 นายโอจลานถูกขับออกจากซีเรีย ไปกบดานที่เทือกเขากันดีลทางภาคเหนือของประเทศอิรัก และได้กลายเป็นฐานที่มั่นใหม่ของพรรคนี้ จนกระทั่งปัจจุบัน

PKK ถูกรัฐบาลตุรกีปราบปรามอย่างหนัก จนกระทั่งนายโอจลาน ถูกจับตัวที่ประเทศเคนยาและถูกส่งตัวกลับตุรกีและถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต

ระหว่างปี 1999-2004 ตุรกี รวมทั้งสหรัฐอเมริกา  ซีเรีย และประเทศสหภาพยุโรปประกาศ PKK อยู่ในบัญชีกลุ่มก่อการร้าย ในขณะที่รัสเซีย จีน อิยิปต์และอินเดียไม่ถือว่า PKK เป็นกลุ่มก่อการร้าย

ช่วงเวลาดังกล่าว เกิดกลุ่มติดอาวุธใหม่ที่มีอุดมการณ์อันเดียวกันกับ PKK และถือเป็นสาขา PKK ก็ว่าได้ภายใต้ชื่อ PYD หรือพรรคประชาธิปไตยเคิร์ด-ซีเรีย และพรรค YPG หรือพรรคปกป้องประชาชน โดยทั้งสองกลุ่มนี้มีกองกำลังตามตะเข็บชายแดนตุรกี-ซีเรียซึ่งมีความยาวกว่า 900 กม.  และตุรกี-อิรักที่มีความยาวกว่า 300 กม.

พวกเขาตั้งชื่อกลุ่มหลอกลวงชาวโลกว่าเป็นกลุ่มประชาธิปไตย แต่อุดมการณ์จริงๆคือสังคมนิยมซ้ายจัดที่เลื่อมใสอุดมการณ์มาร์กซ์-เลนิน ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการให้การสนับสนุนทั้งอาวุธและสรรพกำลังอย่างเต็มรูปแบบ

สหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปจึงทำตัวเป็นคนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ด้วยการสนับสนุนและฝึกอาวุธให้กับ YPG และ YPD โดยเฉพาะเยอรมันและฝรั่งเศส ทั้งๆที่รู้ๆกันอยู่ว่า พวกเขาคือสองด้านของเหรียญอันเดียวกันกับกลุ่มยี่ห้อ PKK

แต่ที่แย่ไปกว่านั้น เวลานึกชอบปลาไหลขึ้นมา ก็เรียกปลาไหลเป็นปลาทู แล้วนำไปกินทั้งตัวทั้งน้ำ ทั้งๆที่เป็นปลาไหลเดิมๆ

ระหว่างปี 2012-2015 กลุ่ม PKK ประกาศ 16 จังหวัดทางตอนใต้ตุรกีเป็นเขตปกครองพิเศษ ทำให้ตุรกียกกองกำลังปราบปรามอย่างหนักจนหมดพิษสง แต่พวกเขาไปก่อตัวใหม่ที่แนวตะเข็บชายแดนตุรกี-ซีเรีย ในนามกลุ่ม PYD จนกระทั่งสามารถครอบครองดินแดนซีเรียตามชายแดนตุรกีราว 1/3 ของซีเรียทีเดียว น่าแปลก ที่บัชชาร์ อะสัดไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่อย่างใด แถมยังเปิดไฟเขียวให้กลุ่มนี้ขนย้ายอาวุธสงครามได้อย่างอิสระ เพราะในความเป็นจริง PYD ไม่ได้มีเป้าหมายยึดครองซีเรีย แต่ต้องการสั่นคลอนตุรกีและเฉือนแบ่งแผ่นดินตุรกีตามอุดมการณ์ของ PKK ต่างหาก

ตุรกีจึงประกาศปฏิบัติการกิ่งมะกอก ( Operation Olive Branch) ในปี 2018 โดยกองกำลังตุรกีผสมกับกองกำลังปลดแอกซีเรียบุกทำลายฐานที่มั่นของกลุ่ม PYD อย่างราบคาบพร้อมขับไล่กองกำลังก่อการร้ายนี้ออกจากพรมแดนตามแผนของตุรกี น่าแปลกที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปรวมทั้งซีเรียไม่พอใจแผนปฏิบัติการของตุรกีครั้งนี้อย่างยิ่ง

 เช่นเดียวกันที่ ก่อนหน้านี้ระหว่างเดือนสิงหาคม 2016 – มีนาคม 2017 กองกำลังตุรกีได้ปฏิบัติการโล่ห์ยูเฟรทีส (Operation Euphrates Shield) ทางภาคเหนือซีเรีย จนสามารถขับไล่กองกำลัง YPG/PYD รวมทั้ง IS ได้สำเร็จ โดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนกว่า ทั้งๆที่ชาติพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกาหลายสิบประเทศปราบปรามกลุ่มนี้มา 4 ปีกว่าแล้ว

สาเหตุประการเดียวเพราะ ผู้ปราบและผู้ถูกปราบคือกลุ่มเดียวกัน  แทนที่หมอจะรักษาคนป่วย แต่กลับเป็นคนแพร่เชื้อโรคด้วยตนเอง เชื้อร้ายจึงระบาดไปทั่ว

TRT World  สำนักข่าวตุรกีได้เผยแพร่ภาพที่อธิบายเรื่องราวของผู้ปกครองชาวตุรกีเชื้อสายเคิร์ด ซึ่งได้สูญเสียลูกหลานทั้งชายหญิง อายุระหว่าง 14-25 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดดิยาร์ บักร์ ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่ม PKK ที่ได้ลักพาตัวหนุ่มสาวและล้างสมองพวกเขาให้หลงเชื่อตามอุดมการณ์อันตรายของพวกเขา จนหลายคนต้องเสียชีวิตในปฏิบัติการพลีชีพเเละเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ ทำให้พ่อแม่ต้องสูญเสียลูกรักก่อนวัยอันควร

บรรดาผู้ปกครองจึงได้รวมตัวพร้อมถือรูปถ่ายของลูกหลานที่ถูกลักพาตัวพร้อมเรียกร้องให้กลุ่มก่อการร้ายนี้ส่งตัวลูกให้อยู่ในอ้อมกอดของแม่อีกครั้ง พวกเขาได้รวมตัวมานานกว่า 400 วันแล้ว ถึงแม้ความหวังจะริบหรี่ก็ตาม

Hamza Tekin นักเขียนและนักข่าวตุรกีกล่าวว่า ในขณะที่ผู้ปกครองชาวตุรกีนับร้อยพากันรวมตัวชุมนุมเรียกคืนลูกหลานที่ถูก PKK ลักพาตัว แต่สื่อทั่วโลกทั้งสื่ออาหรับและต่างชาติพากันเงียบกริบ พวกเขาไม่เคยเขียนข่าวและพูดถึงเรื่องนี้แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นทุกวันนานกว่า 400 วันแล้ว

“หากมีชาวตุรกี 10 -20 คน ลุกขึ้นประท้วงรัฐบาลแอร์โดอาน พวกเขาจะต้องกระพือข่าวใหญ่โตเสมือนโลกจะแตกแน่นอน นี่คือตัวอย่างของความปลิ้นปล้อนและไร้จรรยาบรรณของสื่อยุคปัจจุบัน” นาย Hamza Tekin กล่าวทิ้งท้าย

PKK, PYD,YPG รวมทั้ง กลุ่มรัฐอิสลาม IS ถึงแม้จะมีชื่อที่ต่างกัน แต่สุดท้าย สถานีปลายทางของพวกเขาคือสั่นคลอนประเทศตุรกี ที่มีผู้นำอย่างแอร์โดอาน

ฝากท่านผู้อ่านคิดต่อว่า หากไม่ใช่เพราะแอร์โดอาน และหากไม่ใช่เพราะตุรกีได้นำความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของการพัฒนาเหมือนปัจจุบัน ถามว่า ชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มีความจำเป็นสร้างตัวละครเหล่านี้หรือไม่ ?


โดยทีมข่าวต่างประเทศ

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาเซอร์ไบจาน ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี

…………….

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ผู้ถูกกดขี่ ได้รับชัยชนะเหนือผู้กดขี่

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ดินแดนที่ถูกยึดครอง ได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ผู้บุกรุกต้องพ่ายแพ้และประกาศยอมจำนน

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ประชาชนที่ไม่ใช่มุสลิม ต้องระเหระหนกลับบ้านเก่า หลังจากบรรยากาศเช่นนี้กลายเป็นภาพขาประจำของชาวมุสลิม

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ผลการเจรจาเป็นไปตามความต้องการและเงื่อนไขของชาวมุสลิมทุกประการ และสอนให้โลกรู้ว่าการเจรจาที่ได้ผลจริงคือการเจรจาที่ชี้ขาดในสมรภูมิสงคราม

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่มติของสหประชาขาติถูกปฏิบัติจริง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่กระดาษเปื้อนหมึกและคำสัญญาบนโต๊ะเจรจาเท่านั้น

ครั้งแรกในรอบ 100 ปีที่เราสามารถเห็นพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของชาติผู้บุกรุกที่เผาอาคารบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม ก่อนที่จะออกจากพื้นที่ดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่า ไม่ยอมให้ชาวมุสลิมใช้ประโยชน์ ทั้งๆที่เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วพวกเขาบังคับมุสลิมนับล้านคนให้ละทิ้งบ้านเรือน โดยที่มุสลิมมีสิทธิ์พากุญแจบ้านติดตัวเท่านั้น

……………………

ทั่วโลกยินดีปรีดากับประเทศที่ชูถ้วยฟุตบอลโลก แม้กระทั่งชาวมุสลิมนับล้านยังเฉลิมฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่เฝ้าฝันมานานหลายสิบปีแต่ชัยชนะของชาวอาเซอร์ไบจานเหนืออาร์เมเนียที่สมรภูมินากอร์โน-คาราบัค ที่ใช้เวลานาน 44 วัน กลับไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักของโลกเท่าที่ควร

แม้กระทั่งมุสลิมบางคน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คาราบัคอยู่ที่ไหน สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ทำไมธงตุรกีสะบัดพลิ้วพร้อมๆ กับธงอาเซอร์ไบจาน ตุรกีมีบทบาทอะไรในสมรภูมิครั้งนี้ ชาติตุรกีกระหายสงครามจริงหรือ ใครอยู่เบื้องหลังสนับสนุนกองทัพอาร์เมเนีย ด้วยเหตุผลอะไรที่ผู้นำอาร์เมเนียยอมยกธงขาวในสงครามครั้งนี้ ท่ามกลางอารมณ์โกรธแทบลุกเป็นไฟของชาวอาร์เมเนีย หลังพ่ายแพ้สะบักสะบอม ทำไมประธานาธิบดีแห่งอาร์เมเนียต้องวิ่งโร่ไปยังกรุงดูไบ และโลกได้รับรู้ความสถุนถ่อยของชาวอาร์เมเนียอย่างไรบ้าง

หากมีมัสยิดเพียง 1 หลังที่มีอายุ 100 ปี ถูกเปลี่ยนเป็นคอกวัวคอกหมู แล้วชาวมุสลิมสามารถยึดคืน แล้วเสียงอาซานดังก้องกังวาลอีกครั้ง เราจะชุโกร์ต่ออัลลอฮ์อย่างไรบ้าง เราจะกล่าวแก่ผู้สนับสนุนช่วยเหลือการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้อย่างไร

ที่อาเซอร์ไบจาน มัสยิดและสถานอิบาดัตที่มีอายุร้อยๆปี บางมัสยิดมีอายุเกือบพันปีจำนวนมากมายนับร้อยแห่ง ถูกใช้เป็นคอกวัวคอกหมู แต่ขณะนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากพี่น้องมุสลิมแล้ว

ชาวอาเซอร์ไบจานเฉลิมฉลองกับชัยชนะครั้งนี้ ถึงแม้เสียงตักบีรของพวกเขา ไม่สามารถสร้างกระแสไปยังทั่วโลกก็ตาม


โดย Mazlan Muhammad

กษัตริย์ซัลมานทรงบัญชาให้ความช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหวที่อิซมีร์ ประเทศตุรกี

6 พฤศจิกายน 2563

กษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุดิอาระเบียทรงบัญชามอบความช่วยเหลือแก่เหยื่อแผ่นดินไหวที่ถล่มจังหวัดอิซมีร์ ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา

สำนักข่าวซาอุดิอาระเบีย WAS แถลงว่า ผู้อุปถัมภ์สองแดนหะรอมอันทรงเกียรติกษัตริย์ซัลมาน บินอับดุลอาซีซ อาลซะอูด ได้ทรงบัญชาให้ศูนย์กษัตริย์ซัลมานเพื่อการช่วยเหลือและงานด้านมนุษยธรรม ยื่นมือให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์ มนุษยธรรมและที่อยู่อาศัยอย่างเร่งด่วน แก่เหยื่อแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นที่อิซมีร์ เมื่อ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก

ถ้อยแถลงดังกล่าว ยังระบุอีกว่าการช่วยเหลือครั้งนี้ สืบเนื่องที่กษัตริย์ซัลมานทรงห่วงใยพี่น้องประชาชนชาวตุรกีและมุ่งมั่นบรรเทาทุกข์ผู้เดือดร้อนจากภัยพิบัติครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยทั่วโลกในทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ

ในโอกาสนี้ รัฐบาลซาอุดีอาระเบียได้ส่งสารแสดงความเสียใจต่อรัฐบาลอังการ่า ที่ประสบภัยพิบัติครั้งนี้ ในขณะที่ประธานาธิบดีแอร์โดอานได้กล่าวขอบคุณมิตรประเทศทั่วโลกที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือและยืนเคียงข้างตุรกีด้วยดีมาโดยตลอด

แหล่งข่าว http://www.turkpress.co/node/75351


โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

ละหมาดครั้งแรก ในรอบ 75 ปีที่มัสยิด Kariya ที่อิสตันบูล

หลังจากปิดไป 75 ปี จะมีการละหมาดครั้งแรกที่มัสยิดการียา Kariya ในอิสตันบูล เร็วๆนี้

มุสลิมหลายพันคนกำลังเตรียมการเพื่อทำการละหมาดวันศุกร์แรกที่มัสยิด Kariya ในอิสตันบูลประเทศตุรกี ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการซึ่งใช้เวลาประมาณสองเดือนเพื่อเปิดเป็นมัสยิดอีกครั้งหลังจากที่เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปีค.ศ. 1945

ประธานาธิบดีแอร์โดฆานได้ออกคำสั่งให้เปิดมัสยิดการียาในเขตฟาติห์ กรุงอิสตันบูลเพื่อการละหมาดครั้ง หลังจากรัฐบาลตุรกีตัดสินใจจัดสรรมัสยิดให้กระทรวงศึกษาธิการในปีค.ศ. 1945

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม คำสั่งประธานาธิบดีมีผลบังคับใช้หลังจากมีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อย่างเป็นทางการของสาธารณรัฐตุรกี ให้ยกเลิกคำตัดสินของคณะรัฐมนตรีตุรกีในปี 1945 และตัดสินใจที่จะส่งมอบอาคารดังกล่าวให้กับประธานฝ่ายศาสนาและเปิดให้เข้าละหมาดอีกครั้ง

คาดว่าประธานาธิบดีแอร์โดกันจะเข้าร่วมละหมาดวันศุกร์แรกในมัสยิดซึ่งมีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ชาวมุสลิมและคริสเตียน

อาคารนี้เป็นโบสถ์ในสมัยไบแซนไทน์ที่รู้จักกันในชื่อ “โบสถ์ Chora” และ “โบสถ์แห่งพระผู้ช่วยให้รอด” ประมาณ 50 ปีหลังจากชาวมุสลิมยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล Atiq Ali Pasha อาติก อาลีปาชา รัฐมนตรียุคสุลต่านบายะซีด 2 สั่งให้เปลี่ยนอาคารเป็นมัสยิด

สภาแห่งรัฐตุรกีซึ่งเป็นศาลปกครองที่สูงสุดในประเทศ ได้มีคำสั่งในดือนพฤศจิกายนปี 2019 ให้ยกเลิกคำตัดสินที่ออกในปี 1945 โดยมีเหตุผลว่าอาคารแห่งนี้เป็นหนึ่งในทรัพยฟ์สินวะกัฟของสุลต่านออตโตมัน

มัสยิดจะเปิดให้เข้าละหมาดและให้แก่นักท่องเที่ยวทุกศาสนาเช่นเดียวกับกรณีของสุเหร่าใหญ่แห่งฮาเกียโซเฟีย ในขณะที่ผู้ดูแลการบูรณะมัสยิดได้ดำเนินการโดยใช้ระบบม่านพิเศษเพื่อปกปิดไอคอนบนผนังด้านใน


อ่านข่าวต้นฉบับ https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/8/21/تركيا-مرسوم-متحف-جامع

โดย Ghazali Benmad

จากโซเฟียแห่งคริสเตียน สู่มัรยัมแห่งอิสลาม ลูกศรที่ปักกลางหัวใจฝรั่งเศส

โซเฟีย เพโทรนีน สตรีเหล็กชาวฝรั่งเศสวัย 75 ปีเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเด็กกำพร้าขององค์กรสาธารณกุศลแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสในประเทศมาลี ถูกกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศมาลีจับเป็นตัวประกันตั้งแต่ปลายปี 2016 ทำให้ครอบครัวของนางและรัฐบาลฝรั่งเศสใช้ความพยายามในการเจรจาให้ปล่อยตัวเธอแต่ก็ไร้ผล จนกระทั่งในปี 2018 ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเพื่อยืนยันว่านางปลอดภัยดี สร้างความดีใจแก่ครอบครัวเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากนั้น ข่าวคราวเกี่ยวกับเธอก็เงียบหายไป และในปี 2019 กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสได้ยินยันว่านางยังมีชีวิตและปลอดภัยดี

หลังจากใช้ความพยายามมาอย่างยาวนานและใช้งบประมาณนับสิบล้านดอลล่าร์ เพื่อช่วยเหลือตัวประกันคนสุดท้ายของฝรั่งเศส ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2020 นางโซเฟียถูกส่งกลับตัวไปแผ่นดินเกิด โดยประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศสได้ไปต้อนรับนางที่สนามบินแห่งหนึ่งในกรุงปารีส หลังจากที่นางใช้เวลาเกือบ 4 ปี ที่มาลีในฐานะตัวประกัน

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือเมื่อ “โซเฟีย เพโทรนิน” เดินทางมาถึงฝรั่งเศส   ผ้าคลุมศีรษะของเธอ ได้จุดประกายความขัดแย้งมากมายในสื่อฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้รับการยืนยันว่า เธอเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและเปลี่ยนชื่อจาก “โซเฟีย” เป็น “มัรยัม” ตามรายงานของนักข่าวทีวีฝรั่งเศส Wasim Al-Ahmar ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขา

ตามธรรมเนียม ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะพูดหลังจากตัวประกันได้รับการปล่อยตัว แต่ในกรณีของแมรี่  มาครงได้ยกเลิกกล่าวสุนทรพจน์ต่อสื่อมวลชน

หนังสือพิมพ์อัลชัรก์ ของกาตาร์  กล่าวว่า การที่แมรี่ประกาศอิสลาม ได้สร้างความตกใจให้กับมาครง หลังจากคำพูดฉาวของมาครงเกี่ยวกับศาสนาอิสลามเมื่อไม่กี่วันก่อน  ซึ่งเขากล่าวหาว่า ศาสนาอิสลามกำลังประสบกับวิกฤตทั่วโลก

ในทางกลับกัน หนังสือพิมพ์ของฝ่ายขวาสุดโต่ง  ได้โจมตีนางแมรี่ ว่าเธอเป็นพวกนิยมอิสลามกลุ่มใหม่ในประเทศฝรั่งเศส  ดังปรากฏในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส Le Figaro

มาครงกล่าวในสุนทรพจน์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า อิสลามกำลังประสบกับวิกฤตทั่วโลกในปัจจุบัน และฝรั่งเศสต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาอธิบายว่าเป็น “ลัทธิแยกตัวของอิสลามที่พยายามสร้างระบบคู่ขนานและปฏิเสธสาธารณรัฐฝรั่งเศส”

สื่อฝรั่งเศสรายงานภาพถ่ายและวิดีโอของช่วงเวลาการมาถึงของตัวประกันชาวฝรั่งเศสวัย 75 ปี ซึ่งเธอได้พูดคุยกับมาครง เป็นเวลา 2-3 นาที ก่อนที่จะสวมกอดครอบครัวของเธอ ที่มาร่วมต้อนรับที่สนามบินหลังจากพรากจากกันยาวนาน

เครื่องบินที่บรรทุกโซเฟีย เพโทรนิน มาถึงปารีสพร้อมกับแพทย์ ลูกชายของเธอและนักการทูตจำนวนหนึ่ง และการต้อนรับของประธานาธิบดีฝรั่งเศส

นายมาครงได้โจมตีอิสลามอย่างรุนแรงโดยเฉพาะประเด็นฮิญาบของมุสลิมะฮ์เพื่อสร้างกระแสอิสลาโมโฟเบียในฝรั่งเศส เขายังออกกฎหมายห้ามมุสลิมะฮ์สวมใส่ฮฺิญาบในที่สาธารณะ แต่สุดท้าย เขากลับต้อนรับสตรีชาวฝรั่งเศสที่รัฐบาลต้องลงทุนมหาศาลเพื่อนำกลับตัวเธอ ในสภาพที่ใส่ผ้าคลุมและประกาศตนเป็นมุสลิมะฮ์ในนามมัรยัม

“ พวกเขาได้วางแผนร้าย และอัลลอฮ์ก็วางแผนเพื่อสกัดแผนชั่วของพวกเขา เพราะอัลลอฮ์คือผู้วางแผนที่ดีที่สุด” (อัลอันฟาล/30)


อ้างจาก http://mubasher.aljazeera.net/news/اسمي-مريم-ماكرون-يستقبل-رهينة-فرنسية-محررة-أعلنت-إسلامها-فيديو

โดย ทีมงานต่างประเทศ

ทำไมประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบันมีอคติลึกกับอิสลามและมุสลิม ?

หลังจากก้าวสู่ทำเนียบประธานาธิบดีบาเลเดอลีเซแห่งนครปารีสเมื่อปีพ.ศ. 2560 ดูเหมือนว่า นายเอมานูแอล มาครง ได้ปลุกกระแสความเกลียดชังต่ออิสลามและมุสลิมอย่างต่อเนื่อง

หลังจากใช้วาทกรรม”มุสลิมหัวรุนแรง”ในเวทีต่างๆ ล่าสุดเขาได้ผลิตวาทกรรมใหม่เพื่อตอกย้ำความอคติลึกนี้ด้วยประโยคใหม่ว่า “อิสลามกำลังเผชิญกับวิกฤตทั่วโลก” เขาจึงเสนอร่างกฎหมายโดยเฉพาะเพื่อรับมือกับความเชื่ออันโสโครกของเขา

นายมาครง มองเลบานอนเหมือนประเทศในอาณัติในอดีตและยังคิดว่า ตูนิเซียและเเอลจีเรียเป็นประเทศในอาณานิคมของตน ได้อ้างว่า เขาสามารถแยกแยะระหว่างอิสลามสายกลางกับอิสลามสุดโต่ง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเกลียดชังอิสลามทั้งสองสายจนเข้ากระดูกดำด้วยซ้ำ เขาได้เป็นเจ้าภาพผลิตนโยบายสร้าง”ความหวาดกลัว” และลงทุนในธุรกิจการเมืองท่ามกลางสถานการณ์”อิสลาโมโฟเบีย”ที่แพร่กระจายในยุโรปโดยเฉพาะและโลกตะวันตกโดยรวม ด้วยเหตุผลสร้างกระแสนิยมในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในปี 2022 นี้ อย่างน้อยเพื่อสกัดกระแสคะแนนนิยมของกลุ่มขวาจัดที่ได้รับการตอบรับดีวันดีคืนในฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสกำลังร่างกฏหมายต่อต้านมุสลิมรุ่น 2 และ 3 ในฝรั่งเศสที่รัฐบาลมาครงออกมายอมรับว่า รัฐบาล ล้มเหลวในการโน้มน้าวมุสลิมทั้งสองรุ่นนี้ให้หลอมละลายในสังคมฝรั่งเศส

ความจริงอิสลามไม่ใช่เป็นต้นเหตุของวิกฤต มาครงต่างหากที่กำลังจมปลักในวิกฤตความคิดที่อคติเช่นเดียวกันกับอีกหลายประเทศในยุโรป

สหรัฐอเมริกาคงได้บทเรียนราคาแพงในกรณีการเหยียดผิวหลังการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ซึ่งเสียชีวิตในสภาพที่ถูกใส่กุญแจมือและนอนคว่ำหน้ากับพื้นถนนระหว่างถูกจับกุมโดยตำรวจชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรป ซึ่งใช้เข่ากดคอด้านหลัง ทำให้ฟลอยด์เป็นลม หมดสติและเสียชีวิตอย่างอนาถ

แต่เสียดายที่นายมาครงมองข้ามบทเรียนนี้ และเขากำลังดำเนินนโยบายเหยียดศาสนาอิสลามที่มีชาวฝรั่งเศสกว่า 6 ล้านคน นับถือศาสนานี้ทั่วประเทศ

อิสลามวิกฤตที่นายมาครงหมายถึงน่าจะเป็นอิสลามฉบับถ่ายสำเนาจากสหรัฐอเมริกาที่มีหน่วยข่าวกรอง ซีไอเอและพันธมิตรในยุโรปหนุนหลังอยู่ พวกเขาได้ผลิตและส่งออกอิสลามวิกฤตินี้เข้าไปยังโลกมุสลิมเพื่อปฏิบัติภารกิจความรุนแรงทั้งฆ่าสังหาร ระเบิดพลีชีพและสร้างความปั่นป่วนในสังคมมุสลิมพร้อมสร้างเครือข่ายแห่งความชั่วร้ายอย่างชัดเจนที่สุด

รัฐบาลฝรั่งเศสได้ออกกฏหมายบังคับให้ชุมชนมุสลิมต้องอาศัยอยู่ในสลัมซึ่งเป็นบริเวณเฉพาะที่ถูกตัดขาดจากสังคมภายนอก ทั้งๆ ที่อาศัยอยู่ในชานเมืองนครปารีสก็ตาม ชาวฝรั่งเศสมองพวกเขาเสมือนเป็นเชื้อโรคและปฏิบัติต่อพวกเขายิ่งกว่าราษฎรชั้น 10 ด้วยซ้ำ โดยที่พวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไรนอกจากมีสีผิวและความเชื่อที่ต่างกันเท่านั้น แต่แล้ว นายมาครงกล่าวหาพวกเขาว่าไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับชาวฝรั่งเศส

การเหยียดผิวและความเชื่อที่ทำให้ประชาชนต้องแยกสถานที่อยู่อาศัย โรงเรียนและโรงพยาบาลในลักษณะนี้ เราแทบไม่สามารถพบเจอในประเทศยุโรปโดยส่วนใหญ่ แม้กระทั่งเพื่อนบ้านอย่างประเทศอังกฤษยังสร้างที่อยู่อาศัยคนยากจนท่ามกลางชุมชนเมืองเพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกแปลกแยกและมีการเลือกปฏิบัติ แถมอังกฤษยังมีกฎหมายต่อต้านการเหยียดผิวที่เกิดขึ้นตามโรงเรียนหรือสนามกีฬาต่างๆ ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่รักษาความรู้สึกของบรรดาผู้อพยพเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความสงบสันติในสังคมอีกด้วย ที่เรายกประเด็นนี้ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยกับพฤติกรรมทุกประการของรัฐบาลอังกฤษในกรณีการเหยียดผิว แต่เพียงจะชี้ให้เห็นว่าเพื่อนบ้านของเขาอย่างฝรั่งเศสกำลังนำพาประเทศเข้าคูคลองแห่งความมืดมนและผิดพลาด

พฤติกรรมการเสพติดความโหดร้ายของอิสลามและชาวมุสลิมของนายมาครง ตลอดจนการโหมโรงโจมตีพวกเขาในโอกาสต่างๆถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อความมั่นคงของฝรั่งเศสทัศนคติเชิงลบนี้ทำให้กระแสอิสลาโมโฟเบียและกลุ่มคลั่งลัทธิต่างๆมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเยียวยาโดยด่วน

กลุ่มมุสลิมสุดโต่งที่เลือกใช้วิธีการรุนแรงในฝรั่งเศส เช่นกลุ่มที่บุกโจมตีสำนักพิมพ์นิตยสารชาร์ลี แอ็บโดในปี 2015 ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกประณามจากทุกฝ่ายและทุกศาสนา ก็ถือเป็นปฏิกิริยาโต้กลับที่สืบเนื่องจากพฤติกรรมอันไร้ศีลธรรมของพวกเขา ที่จงใจเติมเชื้อเพลิงด้วยการเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียนนบีมูฮัมมัด صلى الله عليه وسلم  ซึ่งแทนที่พวกเขาจะหยุดการกระทำอันไร้จรรยาบรรณนี้ พวกเขากลับเผยแพร่ภาพการ์ตูนล้อเลียนอีกครั้งเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาใช้ตรรกะวิบัติในประเด็นอิสรภาพในการจาบจ้วง หาใช่อิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

หากอิสลามตกอยู่ในภาวะวิกฤตจริงสาเหตุหลักคงไม่พ้นการแทรกแซงของชาติตะวันตกต่อกิจการภายในของประเทศอิสลามในรูปแบบการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เราลองตั้งชุดคำถามดูว่า

– ใครเล่าที่สนับสนุนรัฐก่อการร้ายอิสราเอล

– ใครเล่าที่คอยเสริมปัจจัยทางวัตถุดิบและเทคโนโลยีให้แก่อิสราเอลเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

– ใครเล่าที่ยึดครองอิรักและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอิรักกว่า 2 ล้านคน พร้อมแปลงอิรักทั้งประเทศให้กลายเป็นประเทศที่ล่มสลายจนราบเป็นหน้ากลอง

– ใครเล่าที่คอยฝึกฝนกองกำลังทหารและสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่กลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มสุดโต่งที่ซีเรีย

– ใครเล่าที่เปลี่ยนลิเบียให้กลายเป็นรัฐล้มเหลวพร้อมขับไล่ประชากรกว่าครึ่งออกนอกประเทศ อีกทั้งยังปล้นสะดมความร่ำรวยของชาวลิเบียแล้วขนกลับไปยังประเทศของตนราวโจรสลัด

หวังว่านายมาครงจะมาให้คำตอบอย่างกระจ่างในเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นความหวังที่เป็นไปไม่ได้และไม่มีทางเกิดขึ้นก็ตาม


อ่านเอกสารต้นฉบับ

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

รากเหง้าความขัดแย้งระหว่างอาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจาน

ภูมิภาค “Karabakh” หมายถึง ภูเขาหรือที่ราบสูงของไร่องุ่นสีดำ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอาเซอร์ไบจาน มีพื้นที่ประมาณ 4,800 ตร. กม. ( ใหญ่กว่าพื้นที่ของจังหวัดยะลาที่มีเนื้อที่ 4,521 ตร. กม. )คิดเป็นประมาณ 20% ของพื้นที่อาเซอร์ไบจาน มีประชากรประมาณ 150,000 คน

ทั้งภูมิภาคตั้งอยู่ในดินแดนของอาเซอร์ไบจาน พลเมืองส่วนใหญ่เป็นเชื้อชาติอาร์เมเนียที่สถาปนาดินแดนของตนเองอย่างผิดกฎหมาย เรียกว่า “สาธารณรัฐอาร์ทซัค”โดยได้รับการสนับสนุนและแทรกแซงโดยตรงจากอาร์เมเนีย ที่ละเมิดมติของสหประชาชาติที่รับรองภูมิภาคนี้เป็นของอาเซอร์ไบจาน และตั้งอยู่ในดินแดนของอาเซอร์ไบจาน ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องถอนการยึดครองอาร์เมเนียไปในเวลาเดียวกัน

หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 และด้วยการสนับสนุนของรัสเซียและอาร์เมเนีย  กลุ่มกบฏอาร์เมเนียในภูมิภาคนี้ ได้กลายเป็นต้นเหตุของการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมจำนวนมากต่อชาวอาเซอร์ไบจาน พวกเขาถูกบังคับอพยพออกจากถิ่นกำเนิด เพื่อหลีกทางให้กับกองกำลังอาร์เมเนียที่เข้ามาใหม่ ซึ่งได้เผาทำลายหมู่บ้านและสังหารผู้หญิง เด็กและผู้สูงอายุ ท่ามกลางสายตาของโลกและสภาความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีที่ดำเนินการโดยกองกำลังหัวรุนแรงเหล่านั้น

การโจมตีที่ไร้มนุษยธรรมนี้ ส่งผลให้ชาวอาเซอร์ไบจานนับล้านคนต้องอพยพออกจากภูมิภาคนี้ แก๊งติดอาวุธหัวรุนแรงของอาร์เมเนีย ใช้ข้ออ้างทางประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ ในการโจมตีอาเซอร์ไบจานอย่างต่อเนื่องและเป็นครั้งคราว

การโจมตีโดยแก๊งติดอาวุธชาวอาร์เมเนียในภูมิภาค “คาราบัค” ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์และภูมิศาสตร์ขึ้นใหม่ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายผู้ลี้ภัยโดยประมาณกว่า 1.2 ล้านคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาเซอร์รี่ ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ในคาราบัค กลายเป็นชาวอาร์เมเนีย

ถือเป็นการปล้นประเทศอีกกรณีหนึ่ง ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ยิวปล้นปาเลสไตน์จัดตั้งรัฐเถื่อนอิสราเอล เพียงแต่ที่ปาเลสไตน์ โลกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยิว ในขณะที่อาเซอร์ไบจานสหประชาชาตินั่งชมอาร์เมเนีย ซึ่งนับถือคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์จัดตั้งรัฐอันธพาล”สาธารณรัฐอาร์ทซัค” ที่คาราบัค อาเซอร์ไบจาน

นอกจากนี้ กองกำลังกบฏอาร์เมเนียที่ยึดครองภูมิภาคนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยตรงและอย่างมีนัยสำคัญจากประเทศอาร์เมเนียและชุมชนชาวอาร์เมเนียพลัดถิ่น เนื่องจากการล็อบบี้ในสหรัฐอเมริกาทำให้อาร์เมเนียเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือของอเมริกาเป็นอันดับสองของโลก รองจากรัฐบาลยิวไซออนิสต์ ยังไม่รวมรัสเซียที่มีความผูกพันทางศาสนาอย่างแนบแน่นกับชาวอาร์เมเนีย

นี่คือสถานีประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดสำหรับภูมิภาคนากอร์โนคาราบัค

● 1922 อดีตสหภาพโซเวียตได้ประกาศให้เอกราชแก่คาราบัค แต่ยังคงยึดครองอาเซอร์ไบจาน

● 1988 กลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนที่ผนวกคาราบัคเข้ากับอาร์เมเนีย และเรียกร้องเอกราชจากอาเซอร์ไบจานพร้อมดำเนินการโจมตีอาเซอร์ไบจานอย่างต่อเนื่อง

● 1991 การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและเอกราชของอาเซอร์ไบจานกระตุ้นให้อาร์เมเนียสนับสนุนการเป็นอิสระของภูมิภาคคาราบัคจากอาเซอร์ไบจาน โดยจุดชนวนสงครามด้วยการสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์อาร์เมเนีย

● 1992  อาร์เมเนียโจมตีอาเซอร์ไบจานและประกาศสงครามเพื่อยึดครองภูมิภาคนี้ ซึ่งสงครามดำเนินต่อไปจนถึงปี 1994 คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 30,000 คน

● 2001 สหรัฐอเมริกาประกาศข้อตกลงสันติภาพระหว่างอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนียเกี่ยวกับดินแดน “คาราบัค”

● 2008 การโจมตีซ้ำของอาร์เมเนียต่ออาเซอร์ไบจาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บและเกือบจะกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อครอบคลุม ซึ่งมีการดำเนินการระหว่างประเทศเพื่อหยุดยั้งสงครามดังกล่าว

● 2014 อาร์เมเนียโจมตีอาเซอร์ไบจานอีกครั้ง

● 2016 อาร์เมเนียโจมตีอาเซอร์ไบจานซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตและบาดเจ็บและความพยายามของสหประชาชาติในการหยุดยิง

● ล่าสุด เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2020 ทั้ง 2 ชาติที่เคยเป็นดินแดนบริวารของอดีตสหภาพโซเวียตในภูมิภาคเอเชียกลางนี้ ได้ก่อสงครามอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเคลื่อนย้ายอาวุธหนักระดมยิงใส่รวมถึงใช้ปฏิบัติการทางอากาศจากฝูงบินรบต่างๆ ส่งผลให้ทางอาร์เมเนียเรียกร้องให้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่นายอิลฮาม อาลีเยฟ ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน ยืนกรานว่าสัญญาหยุดยิงจะกระทำได้ต่อเมื่ออาร์เมเนียถอนกำลังออกจากคาราบัคเท่านั้นและจะต้องมีตารางเวลาที่ชัดเจนเพื่อบีบบังคับให้อาร์เมเนียออกจากดินแดนที่ตนยึดครอง

ในขณะที่ นายนิโคล ปาชินยาน นายกรัฐมนตรีอาร์เมเนีย ได้กระตุ้นต่อชาติตะวันตกให้ระดมช่วยเหลืออาร์เมเนียขัดขวางตุรกีที่เข้าแทรกแซงสนับสนุนอาเซอร์ไบจานว่า

“หากโลกไม่แสดงจุดยืนบางอย่างที่จำเป็นต่อตุรกี ก็รอพวกเขาที่จะบุกเข้าประตูเวียนนาอีกครั้งในไม่ช้านี้  เนื่องจากอาร์เมเนียเป็นป้อมปราการสุดท้ายที่ต่อต้านตุรกี  เออร์โดอานสนับสนุนอาเซอร์ไบจานต่อต้านเรา ในความพยายามที่จะฟื้นอาณาจักรบรรพบุรุษของพวกเขา”


สรุปโดย

ทีมข่าวต่างประเทศ

ชีคห์ ซาบาห์ เจ้าผู้ครองรัฐคูเวตสิ้นพระชนม์ พระชนมายุ 91 พรรษา

สำนักพระราชวังคูเวต ออกประกาศเมื่อวันที่ 29 กันยายน ระบุว่า ชีคห์ ซาบาห์ อัล-อาหมัด อัล-ซาบาห์ เจ้าผู้ครองรัฐคูเวต ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้วด้วยพระชนมายุ 91 พรรษา

ชีคห์ ซาบาห์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สถาปนานโยบายต่างประเทศยุคใหม่ของคูเวต มีจุดยืนอันแน่วแน่ในกระบวนการสร้างสันติภาพในภูมิภาคปกป้องมัสยิดอัลอักศอและสิทธิประโยชน์ของชาวปาเลสไตน์ ต้นแบบของการให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณกุศลและมนุษยชนทั่วโลก

ขออัลลอฮ์ทรงโปรดปรานพระองค์ท่าน ทรงอภัยโทษและให้พำนักพระองค์ท่านในสวรรค์ฟิรเดาวส์

إنا لله وإنا إليه راجعون

สรุปความขัดแย้งอาเซอร์ไบจาน – อาร์เมเนีย

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าความขัดแย้งของอาเซอร์ไบจัน – อาร์เมเนีย เป็นความขัดแย้งเรื่องการยึดครองหรือความขัดแย้งด้านพรมแดน

นี่เป็นเพียงความจริงผิวเผินเท่านั้น

และสำหรับผู้ที่ไม่รู้จัก พึงรู้ว่าอาร์เมเนียนั้น ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน การทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ – ยุโรปมากที่สุดลำดับที่สอง รองจากอิสราเอล แม้ว่าจะอยู่ในอิทธิพลของรัสเซีย โดยที่ล็อบบี้ของอาร์เมเนียมีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกาและยุโรปรองจากล็อบบี้ไซออนิสต์

อาร์เมเนียถูกสถาปนาขึ้นในแถบเทือกเขาคอเคซัสตอนใต้เพื่อเป็นอิสราเอลอีกประเทศหนึ่ง มีจุดประสงค์เพื่อแบ่งภูมิศาสตร์ของโลกมุสลิมสุหนี่ และป้องกันการสื่อสารใด ๆ ระหว่างชนชาติมุสลิมในอนาโตเลีย ตะวันออกกลาง และชนชาติของโลกอิสลามในเอเชียกลางและคอเคซัส

ภัยคุกคามของอาร์เมเนียจึงไม่น้อยไปกว่าอันตรายของอิสราเอล และแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยเพียงไม่กี่คน และเป็นประเทศรอบนอกก็ตาม

อาร์เมเนียเป็นเสมอเหมือนหอกข้างแคร่ไซออนิสต์อีกเล่มหนึ่งที่ถูกปักลงในใจกลางโลกอิสลามของเรา โดยมีประเทศรัสเซีย อเมริกา อิสราเอล ยุโรปและอิหร่าน อยู่เบื้องหลัง

สาเหตุและจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองรัฐ ย้อนกลับไปที่ช่วงเวลาการยึดครองของรัสเซียในช่วงยุคของโซเวียต ในปี 2461 โซเวียตได้กำหนดพรมแดนของทั้งสองประเทศ และอพยพชาวอาเซอไบจานบางส่วนออกจากพื้นที่ รวมถึงฆ่าคนหลายพันคน แล้วส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวให้กับกองทหารอาร์เมเนียที่เป็นพันธมิตรกับพวกเขา พร้อมกับนำชาวอาร์เมเนียเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในเวลาเดียวกันพื้นที่เหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในเขตแดนของสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน

สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปตลอดช่วงการปกครองของสหภาพโซเวียตที่ยึดครองและปราบปรามชาวอาเซอร์ไบจันที่เรียกร้องเอกราชและห้ามให้อาวุธทุกชนิดแก่พวกเขา

ในทางกลับกันโซเวียตสนับสนุนอาร์เมเนีย ทั้งทางการเงิน ทางทหารและได้ฝึกฝนกองทหารของพวกเขา

หลังจากได้รับเอกราชในปี 1991 รัสเซียได้ส่งมอบดินแดนทั้งหมดที่ชาวอาเซอไบจานอพยพออกไปให้แก่อาร์เมเนีย และตั้งรกรากในที่ของพวกเขา และชาวอาร์เมเนียส่งมอบดินแดนเหล่านั้นให้แก่ประเทศอาร์เมเนียที่เพิ่งตั้งไข่ รวมทั้งภูมิภาคคาราบัค

พร้อมๆการเรียกร้องของอาเซอร์ไบจานในการขอคืนดินแดนที่ถูกแย่งชิงในคาราบัค กองทหารชาวอาร์เมเนียซึ่งประกาศให้ภูมิภาคนี้เป็นรัฐเอกราชโดยการสนับสนุนของประเทศอาร์เมเนียปฏิเสธที่จะคืนพื้นที่ และทำสงครามที่ครอบคลุมกับอาเซอร์ไบจานโดยร่วมกับอาร์เมเนีย พวกเขาได้ฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปหลายพันคน และไร้ที่อยู่อีกหลายหมื่นคน ตลอดจนยึดครองดินแดนอาเซอร์ไบจานประมาณ 20% ของพื้นที่ โดยได้ตั้งเงื่อนไขการคืนดินแดนดังกล่าวแลกกับการที่อาเซอร์ไบจานสละกรรมสิทธิ์ในภูมิภาคคาราบัค

ในความขัดแย้งครั้งนี้ รัสเซียยืนหยัดเคียงข้างอาร์เมเนียและสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ในอาร์เมเนียมีฐานทัพรัสเซียที่ใหญ่ที่สุดนอกอาณาเขตของตน รวมถึงอิหร่านที่สนับสนุนทางการเงินแก่อาร์เมเนีย ตลอดจนน้ำมัน ก๊าซและอาวุธ ในการต่อสู้กับอาเซอร์ไบจาน แม้ว่าอาเซอร์ไบจานจะเป็นรัฐที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชีอะห์ แต่เนื่องจากปฏิเสธที่จะให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อระบบวิลายะตุลฟะกีห์ จึงยืนหยัดต่อต้านอิหร่าน

และเมื่อไม่นานมานี้ประเทศอาหรับที่ต่อต้านตุรกีหลายประเทศก็เข้าร่วมความขัดแย้งด้วยการสนับสนุนอาร์เมเนียในการต่อสู้กับอาเซอร์ไบจาน


เขียนโดย Ghazali Benmad

จับตาการเมืองมาเลเซีย (ตอนที่ 1)

หลังจากนายมุห์ยิดดีน ยาซีน (72ปี) ประธานพรรคเบอร์ซาตู รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 ของมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 ภายหลังที่ตุนมหาธีร์ โมฮัมมัด (94ปี) ซึ่งตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างกระทันหันเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วิกฤติการเมืองมาเลเซียยังไม่มีวี่แววจะจบท่ามกลางกระแสไม่พอใจบนโลกออนไลน์ในมาเลเซียโดยชาวเน็ตแห่ติด #NotMyPM และมีชาวมาเลเซียกว่า 100,000 คนร่วมลงชื่อออนไลน์เรียกร้องว่าการรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของนายมุห์ยิดดีน คือ “การทรยศเสียงของประชาชน” จากการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ที่พรรคอัมโนพ่ายแพ้ขาดลอย ในขณะที่นายมหาธีร์เรียกรัฐบาลนี้ว่ารัฐบาลประตูหลัง

ล่าสุดมาเลเซียกลับมาอยู่ในสายตาชาวโลกอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 เมื่อนายอันวาร์ อิบรอฮีม หัวหน้าพรรค PKR ได้แถลงข่าวที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า ตนมีเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นและเข้มแข็งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เพียงพอจัดตั้งรัฐบาลใหม่ พร้อมเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยตนเองพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของมาเลเซีย

“ ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังให้เข้าเฝ้าฯในวันที่ 21 กันยายน 2563 เวลา11.00 น. แต่เนื่องจากพระองค์ทรงพระประชวรและขณะนี้ทรงรักษาพระอาการที่สถาบันรักษาโรคหัวใจแห่งชาติ ทำให้กำหนดการเข้าเฝ้าฯ ต้องเลื่อนโดยกระทันหัน”  นายอันวาร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายอันวาร์ยังไม่เปิดเผยตัวเลขว่ารวบรวมเสียงได้เท่าใด ซึ่งการจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้ต้องอาศัยเสียงในสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียถึง 112 เสียง จากจำนวนทั้งหมด 222 ที่นั่ง

ขณะนี้แนวร่วมแห่งความหวัง ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของพรรคการเมือง 3 พรรค และที่มีนายอันวาร์เป็นผู้นำอยู่นั้น มีเสียงอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย 91 เสียง ประกอบด้วยพรรคยุติธรรมประชาชนของนายอันวาร์ 38 เสียง พรรคปฏิบัติการประชาธิปไตย 42 เสียง และพรรคศรัทธาแห่งชาติ 11 เสียง

นอกจากนี้ นายอันวาร์ยังเปิดเผยอีกว่า ตนยังได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. กลุ่มอื่นอีกหลายคน ซึ่งรวมถึง ส.ส. จากแนวร่วมพันธมิตรแห่งชาติ ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ และตนจะเปิดเผยจำนวน ส.ส. ให้สาธารณชนทราบหลังจากเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียแล้ว

ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาล นายมุห์ยิดดีน ยาซีน นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่า ตนยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีจนกว่านายอันวาร์ อิบรอฮีมจะแสดงหลักฐานว่ามีเสียงสนับสนุนข้างมากจากสมาชิกรัฐสภา พร้อมกล่าวว่ามีหลายฝ่ายที่ต้องการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล

ทางด้านตุนมหาธีร์ โมฮัมมัด ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายอันวาร์ อิบรอฮีม ประกาศว่าตนได้รับเสียงสนับสนุนข้างมากจากส.ส. ในรัฐสภา เพราะในปี 2008 เขาเคยประกาศในทำนองนี้มาก่อนแล้ว แต่ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

ส่วนนายอันวาร์ มูซา แกนนำคนสำคัญของพรรคอัมโนและเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ได้เรียกร้องให้มีการยุบสภาพร้อมคืนอำนาจให้แก่ประชาชนตัดสินใจเลือกผู้นำผ่านสนามเลือกตั้งใหญ่อีกครั้ง


โดย ทีมข่าวต่างประเทศ