สมาพันธ์อุละมาอฺมุสลิมโลกออกฟัตวาระงับละหมาดวันศุกร์และละหมาดญะมาอะฮฺในพื้นที่แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19

สมาพันธ์อุละมาอฺมุสลิมโลกออกศาสนวินิจฉัยให้บรรดาอิมามมัสยิดทั่วโลกระงับการละหมาดวันศุกร์และละหมาดญะมาอะฮฺ 5 เวลาในพื้นที่แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเข้าสู่ภาวะระบาดใหญ่ทั่วโลกแล้ว

สมาพันธ์ฯได้ย้ำว่า การประกาศนี้มีผลต่อเนื่องจนกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถควบคุมไวรัสร้ายนี้ได้ ทั้งนี้สมาพันธ์ฯได้ยกหลักฐานจากอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺที่ได้ห้ามบุคคลใดสร้างความเดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น นอกจากนี้ยังมีหะดีษที่ระบุห้ามบุคคลที่มีกลิ่นตัวแรงเข้ามาในมัสยิด เพราะจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดังนั้น การห้ามบุคคลที่ติดเชื้อไวรัสร้ายนี้เข้ามัสยิด จึงมีน้ำหนักมากกว่าหลายเท่า

ข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม 2563 ระบุทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 145,771 ราย รักษาหาย 72,537 รายและเสียชีวิตไปแล้ว 5,439 ราย โดยมี 5 ประเทศที่มีโรคระบาดนี้อย่างรุนแรง 5 อันดับแรกคือจีนผู้ติดเชื้อ 80,824 เสียชีวิตแล้ว 3,189 อิตาลี( 17,660/ 1,266 ) อิหร่าน (11,364/514) เกาหลีใต้ (8,086/72) และสเปน (5,232/133)

กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสในประเทศไทย ในวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2563 พบยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 82 รายโดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย

อ่านเพิ่มเติม https://bit.ly/2TPwRea

ทีมข่าวต่างประเทศ

พิษโควิด-19 ซาอุดิอาระเบียประกาศปิดเรียนทั่วประเทศ

กระทรวงศึกษาธิการประเทศซาอุดิอาระเบียได้ออกประกาศแจ้งปิดการเรียนการสอนทั่วประเทศที่ครอบคลุมสถาบันการศึกษาในทุกระดับทั้งโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 14 ระญับ 1441 (9 มี.ค. 2020) เป็นต้นไป

ทั้งนี้เพื่อเป็นมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

กระทรวงสาธารณสุข ประเทศซาอุดีอาระเบีย รายงานในวันที่ 07-03-2020 ผลพิสูจน์ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีกจำนวน 2 คน ซึ่งทั้งสองเดินทางมาจากอิรัคและอิหร่าน ซึ่งตอนนี้มีผู้ติดเชื้อแล้ว รวมทั้งหมดเป็น 7 คน

‏اللهم إنا نعوذ بك من البرص ‏والجنون والجذام ومن سيئ الأسقام

ขอบคุณข้อมูล
จาก นักศึกษาไทยใน King Khalid University of Saudi Arabia

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

วิเคราะห์ผลการเจรจาระหว่างปูตินกับแอร์โดฆาน ที่กรุงมอสโก

#เกาะติดอิดลิบ

อ่านเกมส์หมากรุกระดับโลก เกรวูฟกับพญาหมีขาว ใครได้ใครเสีย

บทความโดย ฮัมซะฮ์ เทเกน นักข่าวตุรกี
วิเคราะห์ผลการเจรจาระหว่างปูตินกับแอร์โดฆาน ที่กรุงมอสโก เมื่อ 5 มีนาคม 2563

******

การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีตุรกี รอญับ ตอยยิบ แอร์โดฆาน กับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เกี่ยวกับอิดลิบของซีเรีย ทั้งสองฝ่ายจัดทำเอกสารข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หลังจากการเจรจาประมาณ 6 ชั่วโมง

แน่นอนว่าการเจรจากัน 6 ชั่วโมงระหว่างทั้งสองฝ่าย หมายความว่า มีหลายประเด็นที่พวกเขาขัดแย้งกัน แต่มีจุดร่วมที่แข็งแกร่ง คือ ตุรกีไม่ต้องการปะทะกับรัสเซีย และรัสเซียก็ไม่ต้องการปะทะกับตุรกี

6 ชั่วโมงของการเจรจา ไม่ใช่เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายออกมาพร้อมกับการตัดสินใจให้มีการลาดตระเวนร่วมกันบนถนน M4 เท่านั้น

อาจกล่าวได้ว่า เป้าหมายร่วมกันก่อนการประชุมคือ ทั้งสองฝ่ายจะรักษาผลประโยชน์ร่วมกันมากมายของพวกเขา ปกป้องจากอันตรายใด ๆ อันเนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้น และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอิดลิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ในปัจจุบันที่ยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากนำไปสู่การปะทะกัน ภูมิภาคจะเผชิญกับภัยพิบัติที่รุนแรงกว่าปัจจุบัน เพราะตุรกีและรัสเซียต่างเป็นประเทศใหญ่

แอร์โดฆานและปูตินหลบเลี่ยงจากความตึงเครียดในอิดลิบได้สำเร็จ ซึ่งหมายความว่าความตึงเครียดนี้ ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงใดจะไม่เป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ของมอสโกและอังการา ตุรกีไม่ต้องการสูญเสียความสัมพันธ์กับรัสเซีย

สิ่งที่เกิดขึ้นในในมอสโกวันนี้ ยืนยันถึงสถานะที่แข็งแกร่งของตุรกีในภาคสนาม บนโต๊ะเจรจาและในอากาศ หากไม่ใช่เพราะการแทรกแซงทางทหารของตุรกีในอิดลิบ แน่นอนระบอบอะซัดย่อมสามารถยึดได้จังหวัดอิดลิบสำเร็จไปแล้ว

วันนี้ ปูตินยอมรับความแข็งแกร่งของกองทัพตุรกี
รวมถึงความชอบธรรมของกองทัพตุรกีที่อยู่ในอิดลิบ

สิ่งที่เกิดขึ้นในมอสโกในวันนี้ ยืนยันสถานะที่แข็งแกร่งของตุรกีในด้านการเมืองเช่นเดียวกัน ดังที่แสดงให้โลกเห็นว่า ตุรกีสามารถเผชิญหน้าทางทหารและทางการทูตได้โดยลำพัง ไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากฝ่ายใดๆ ท่ามกลางความเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงและไร้ยางอายของรัฐบาลอาหรับบางประเทศ ที่ได้ประกาศสนับสนุนอย่างเป็นทางการต่อระบอบอะซัดในการทำสงครามกับพลเรือนในอิดลิบ

ดังนั้น นโยบายทางทหารและทางการทูตของตุรกีจึงขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาส่วนตน ท่ามกลางการลอบกัดของเดรัจฉานในภูมิภาคที่อ้างว่าเป็นอาหรับและอิสลาม ตลอดจนการฉวยโอกาสของตะวันตกบางประเทศ

แต่ตุรกีไม่ได้โง่ที่จะเข้าสู่สงครามที่ทำให้เกิดความสูญเสีย

ตุรกีฉลาดพอที่ตระหนักว่า เมื่อใดควรที่จะใช้ปืนใหญ่ และเมื่อใดควรจะหยุดมัน เมื่อใดที่จะจัดการเจรจาทางการเมืองและเมื่อใดควรจะหยุด

วันนี้ ตุรกีประสบความสำเร็จที่มอสโก โดยได้รับการยอมรับจากรัสเซียอย่างเปิดเผยและเป็นทางการว่า กองทัพตุรกีมีสิทธิที่จะตอบโต้การโจมตีใดๆ ในอิดลิบ

ซึ่งการยอมรับนี้ไม่ได้มีอยู่ก่อนการประชุมสุดยอดระหว่างทั้งสอง ซึ่งหมายความว่า รัสเซียถอนไพ่ใบสำคัญออกจากมือของระบอบอะซัด ทำให้ตุรกีถือไพ่เหนือกว่าและมีความชอบธรรมมากกว่า

ในการเจรจาที่มอสโก ตุรกียืนยันนโยบายการกลับคืนถิ่นของผู้ลี้ภัย และนี่คือเงื่อนปมที่ซ่อนอยู่ ..

คนเหล่านี้จะกลับไปยังบ้านเมืองของพวกเขาอย่างไร ในขณะที่ระบอบอะซัดยังคงอยู่

ดังนั้น นี่เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงการยอมรับของรัสเซียต่อความต้องการของตุรกีว่า ระบอบอะซัดต้องถอนตัวออกจากเมืองเหล่านี้เพื่อให้ประชาชนกลับคืนถิ่นฐานของตน

ในมอสโกวันนี้ ประเทศตุรกีได้บีบรัสเซียให้ยอมรับจุดสังเกตการณ์ของตุรกีในอิดลิบและจะไม่ถอนออก ดังนั้นจึงเป็นการบ่งชี้ว่าตุรกียืนยันว่าเป้าหมายคือเขตข้อตกลงโซซี และไม่ใช่ข้อตกลงใหม่บนพรมแดนใหม่

ในบรรดาประเด็นหลักที่กล่าวถึงในการเจรจาที่มอสโก
คือประเด็นระบอบอะซัดถอนตัวออกจากพื้นที่ที่เข้ามาในอิดลิบ ประเด็นนี้ไม่ได้มีการพูดถึงต่อสาธารณชน ไม่ได้พูดถึงต่อหน้าสื่อมวลชน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นก่อนหน้านี้ทำให้ตุรกีมีสิทธิ์ที่จะเคลื่อนไหวทางทหารร่วมกับกองทัพแห่งชาติซีเรียเมื่อการฝ่าฝืนการหยุดยิงโดยระบอบอะซัด ซึ่งระบอบอะซัดจะซื่อสัตย์ต่อสัญญาและข้อตกลงต่างๆ เมื่อใด ? นั่นคือปฏิบัติการสปริงชิลด์ “Spring Shield” จะถูกใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ระบุไว้ต่อไป

ในมอสโกวันนี้ ตุรกีรักษาผลประโยชน์ของรัสเซียไว้ รัสเซียรักษาผลประโยชน์ของตุรกีไว้ และตุรกีใช้ประโยชน์จากรัสเซียตามที่ต้องการ นั่นคือ สิทธิในการปฏิบัติการทางทหารต่อระบอบอะซัดในอิดลิบโดยที่รัสเซียไม่สนับสนุน

ในมอสโก แอร์โดฆานรักษาหน้าของปูตินไว้ต่อหน้าสังคมโลกและปูตินรักษาหน้าของแอร์โดฆานไว้ต่อหน้าสังคมโลก

ดังนั้นทั้งสองจึงชนะ และระบอบอะซัดเป็นฝ่ายแพ้

ระบอบอะซัดแพ้อย่างไร

ใครก็ตามที่ขายระบอบอะซัดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และปล่อยให้ขึ้นอยู่กับความเมตตาสงสารของปืนของตุรกีและกองทัพแห่งชาติซีเรีย ก็จะขายอีกในหนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์และ 3 สัปดาห์ข้างหน้า ไปจนที่สุด และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสปริงชิลด์ “Spring Shield”

หากรัสเซียมีความจริงใจในการปกป้องระบอบอะซัดในอิดลิบแน่นอนย่อมจะไม่ยอมให้ตุรกีโจมตี ที่ทำให้ระบอบอะซัดต้องพบกับความสูญเสียทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ภายใต้การยาตราของปฏิบัติการ “Spring Shield”

ในมอสโกวันนี้ รัสเซียบอกตุรกี คุณได้สิ่งที่คุณต้องการในอิดลิบ แต่หลังจากการพักรบชั่วคราว โดยที่เราทั้งคู่ จะยังคงรักษาผลประโยชน์ร่วมกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอิดลิบ ไม่ว่าคุณจะรุนแรงกับระบอบอะซัดแค่ไหนก็ตาม

ด้วยการนี้ แอร์โดฆานกับชาวตุรกีและชาวซีเรียล้วนได้ประโยชน์ ปูตินและรัสเซียก็ได้ประโยชน์ ส่วนระบอบอะซัดเป็นฝ่ายสูญเสีย

การเริ่มต้นปฏิบัติการของตุรกีในอิดลิบครั้งใหม่จะมีความชอบธรรมโดยการยอมรับของรัสเซียตามข้อตกลงในวันนี้ และทำให้ตุรกีมีความก้าวหน้าที่สำคัญในปฏิบัติการ“ Shield of Spring” ที่ Erdogan ไม่ได้ประกาศยุติ (การพักรบนั้นแตกต่างจากการสิ้นสุดปฏิบัติการทางทหาร)

อ่านบทความต้นฉบับ
https://aramme.com/…/أردوغان-وبوتين-انتصرا-في-موسكو-والنظام…

เขียนโดย Ghazali Benmad

ระเบิดฆ่าตัวตายที่กรุงตูนิส

อัลจาซีร่าห์ รายงานจากกรุงตูนิสประเทศตูนิเซียเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ว่า แถลงการณ์ของกระทรวงมหาดไทยตูนิเซียระบุว่า คนร้ายเป็นมือระเบิดฆ่าตัวตาย 2 คน จุดชนวนระเบิดโจมตีใกล้กับที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในกรุงตูนิสประเทศตูนิเซีย เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มี.ค. แรงระเบิดทำให้ตำรวจ 5 คนได้รับบาดเจ็บ และยังมีพลเรือนอีก 1คนบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนมือระเบิดเสียชีวิต 2 คน

มือระเบิด 2 คนใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ แต่ยังไม่มีการยืนยัน และสถานทูตสหรัฐก็ยังไม่มีการชี้แจงใดๆ

เหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นตรงกันกับวันที่ประธานาธิบดี นายไกส์ สะอีด ตูนีเซียจัดประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรก

https://m.facebook.com/aljazeerachannel/videos/642104426585171/

ผู้สวมสัรบั่นขาวชีอะฮฺเผยต้นเหตุการเเพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในขณะที่อิหร่าน มียอดคนเสียชีวิตเนื่องจากไวรัสร้ายถึง 77 ราย

www.Ansaar.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมความเชื่อของชีอะฮ์ได้เผยแพร่ภาพที่มีชายโพกผ้าขาวชื่อ อะมีร อัลกุรอ็ยชีย์ (27 ปี) เกิดที่กรุงแบกแดด ประเทศอิรักจากครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นชาวชีอะฮ์ โดยในเทปดังกล่าวได้เผยแพร่ทั้งภาพและเสียงของชายดังกล่าวที่ได้กล่าวว่า หลายคนเชื่อว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาด เพราะความจริงเชื้อไวรัสนี้เกิดมาจากคำสอนของอบูบักร์และอุมัร์(เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาผู้ศรัทธานางอาอิชะฮ์และท่านอุมัร์ ซึ่งทั้งสองเป็นพาหะหลักของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า (ขอให้อัลลอฮ์ทรงทำให้เราห่างไกลจากแนวคิดอันบิดเบือนนี้ด้วย)

เป็นที่รู้จักกันว่า ชายคนนี้ เป็นผู้เกลียดชังและสาปแช่งบรรดาเศาะฮาบะฮ์ เขาเคยเป็นแกนนำรวมพลชาวชีอะฮ์ เพื่อประกาศตัดเยื่อใย (บะรออะฮ์) กับท่านอบูบักร์และอุมัร์ ( เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา)

จนถึงบัดนี้ยังไม่มีผู้รู้ชีอะฮ์คนไหน ออกมาประณามหรือตักเตือนการกระทำอันสุดพิเรนทร์ของชายคนนี้

ปัจจุบันอิหร่านกลายเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากประเทศจีนเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังจากที่มีรายงานข่าวว่าประเทศอิหร่านมียอดผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสแล้วถึง 77 ราย ในขณะที่มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อทั่วประเทศกว่า 1,500 ราย โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรติดเชื้อไปแล้ว 23 รายจากทั้งหมด 290 คนหรือคิดเป็น 8 % ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด

โดยรายล่าสุดที่เสียชีวิตชื่อ นายโมฮัมมัด มีร์โมฮัมมาดี วัย 72 ปี ที่ปรึกษาของผู้นำสูงสุดอิหร่าน ส่วนนายอิรัช ฮาริรซีรัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุข ล้มป่วยด้วยเชื้อร้ายนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ดูเพิ่มเติม
https://www.matichon.co.th/foreign/news_2025643
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1785123

มาตรการสกัดโควิด-19 คูเวตประกาศห้ามผู้เดินทางจาก 10 ประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้าประเทศ

Almasryalyoum.com รายงานที่อ้างถึงสายการบินคูเวตได้ประกาศผู้เดินทางจาก 10 ประเทศกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสต้องผ่านการตรวจร่างกายผ่านกระบวนการ PCR เพื่อยืนยันว่าปลอดภัยจากไวรัสดังกล่าว ก่อนได้รับอนุญาตเข้าประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นมาตรการสกัดการระบาดของไวรัสโควิด -19

10 ประเทศดังกล่าวได้แก่ฟิลิปปินส์ อินเดีย บังคลาเทศ อียิปต์ ซีเรีย อาเซอร์ไบจาน ตุรกี ศรีลังกา จอร์เจียและเลบานอน

โดยมาตรการดังกล่าว จะเริ่มในวันที่ 8 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งสายการบินคูเวตออกประกาศย้ำเตือนว่า ผู้เดินทางจาก 10 ประเทศดังกล่าวที่ไม่มีหนังสือรับรองแพทย์ผ่านกระบวนการ PCR จะไม่ได้รับอนุญาตเข้าประเทศ ไม่ว่าด้วยกรณีใด พร้อมจะถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทาง โดยที่รัฐบาลคูเวตจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายใดๆ และบริษัทที่เกี่ยวข้องจะถูกปรับโทษต่อไป

ข่าวแจ้งว่า ยกเว้นชาวคูเวตที่เข้าประเทศคูเวตมีสิทธิ์เข้าประเทศได้ หลังจากผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดที่สนามบินเท่านั้น

ล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 3 มีนาคม 2563 จากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคและพบการรายงานผู้ป่วยเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก 90,428 คน เสียชีวิตไปแล้ว 3,117 คน และพบการแพร่กระจายของโรคไปยัง 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งบางประเทศกำลังเผชิญปัญหาในการจัดการกับการระบาดของเชื้อดังกล่าว

‏اللهم إنا نعوذ بك من البرص والجنون والجذام ومن سيئ الأسقام ومن وباء كوويد
-١٩ ومن سوء الفتن ما ظهر منها وما بطن
يا أرحم الراحمين

https://www.almasryalyoum.com/news/details/1477113

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

กองกำลังตุรกีถล่มฐานที่มั่นบัชชาร์ยับเยิน

กองบัญชาการรบประเทศตุรกีได้เผยแพร่คลิปผลงานกองทัพตุรกีที่ได้โจมตีตอบโต้ด้วยเครื่องบินไร้พลขับ (โดรน) ถล่มเป้าหมายรัฐบาลบัชชาร์ หลังจากที่รัฐบาลซีเรียได้โจมตีทหารตุรกีจนเสียชีวิต 33 นาย เมื่อ 27 กพ. ที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีแอร์โดอานได้แถลงข่าวผลการเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทางอากาศภายใต้ชื่อรหัส “สปริงค์ชิลด์” ในจังหวัดอิดลิบ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา

โดยยิงตกเครื่องบินขับไล่ 3 ลำ ทำลายเฮลิคอปเตอร์ 8 ลำ ทำลายเครื่องบินไร้พลขับ 2 ลำ ทำลายรถถังจำนวน 235 คัน ทำลายฐานปล่อยจรวด 5 จุด ถล่มสนามบินทหารจนไม่สามารถใช้การได้ 1 แห่ง ถล่มคลังอาวุธและอุปกรณ์ทางทหารมากมาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองกำลังรัฐบาลบัชชาร์จำนวนอย่างน้อย 2,557 นายเสียชีวิต บาดเจ็บหรือถูกจับกุม

ประธานาธิบดีตุรกีกล่าวว่าไม่มีใครที่จะมาขับไล่เราจากแผ่นดินที่เราตั้งรกรากมากว่า 1,000 ปี จิตวิญญาณและอุดมการของเราสอนให้เราต่อสู้ปกป้องมาตุภูมิจนถึงเลือดหยดสุดท้าย พร้อมยืนยันว่าเราจะไม่ปล่อยให้กองกำลังบัชชาร์โจมตีเราโดยไม่มีการตอบโต้แต่อย่างใด

ดูเพิ่มเติม
https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/3/2/%d8%a8%d9%88%d8%aa%d9%8a%d9%86-%d8%a3%d8%b1%d8%af%d9%88%d8%ba%d8%a7%d9%86-%d8%a5%d8%af%d9%84%d8%a8-%d8%a7%d9%84%d9%86%d8%b8%d8%a7%d9%85-%d8%a7%d9%84%d8%b3%d9%88%d8%b1%d9%8a-%d8%a7%d9%84%d9%82%d9%88%d8%a7%d8%aa-%d8%a7%d9%84%d8%aa%d8%b1%d9%83%d9%8a%d8%a9-%d8%af%d8%b1%d8%b9-%d8%a7%d9%84%d8%b1%d8%a8%d9%8a%d8%b9?fbclid=iwar2cu6nxkee1pdih73lqyydtrcvnkaxuh_a0zrit4gpxgys7g6ocxhqibr0

บันทึกเหตุการณ์ลับ ลวง พรางที่ Istana Negara มาเลเซีย (1)

เหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ 23/2/2020 ได้สร้างความสับสนแก่ประชาชนชาวมาเลเซียทั่วประเทศ ที่มีรถหรูหลายคันพร้อมรถนำขบวนเข้าออกที่ Istana Negara กลายเป็นที่สนใจของนักข่าวทั้งในและต่างประเทศ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

ต่อมา ในช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 24/2/2020 ชาวมาเลเซียทั้งประเทศได้รับข่าวด่วนว่านายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานพรรค BERSATU

หลังจากที่ Pakatan Harapan ซึ่งเป็นแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ 14 ที่นำโดย ดร. เอ็ม สามารถคว่ำรัฐบาล BN ที่ผูกขาดอำนาจปกครองมาเลเซียมานานถึง 61 ปี ชนิดหักปากกาเซียนมาแล้ว

แต่รัฐนาวาของ PH ที่สามารถยึดปุตตราจายาได้สำเร็จเมื่อ พฤษภาคม 2018 ก็ไม่สามารถโลดแล่นได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่ากลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อตอนบ่ายของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ดู https://www.theustaz.com/?p=2992)

นักวิเคราะห์การเมืองเชื่อว่า เหตุผลของการลาออกสะเทือนวงการครั้งนี้ น่าจะมาจากอาการไม่ปกติของพรรคร่วมรัฐบาลที่ประกอบด้วย BERSATU, PKR,DAP, Amanah และ Warisan พร้อมกับการรุกคืบของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ใช้ประตูหลังฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่ง ดร. เอ็มไม่เห็นด้วย

ท่ามกลางกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลมองหน้ากันไม่สนิท เมื่อพรรค Pas ได้ออกแถลงการณ์ว่า Pas พร้อมสนับสนุน ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรี หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้น

อุณหภูมิทางการเมืองยิ่งร้อนแรงเมื่อพรรคแนวร่วมรัฐบาล เริ่มใช้เสียงดังทวงคืนสัญญาที่ ดร. เอ็ม เคยให้ไว้ตอนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆว่า หลังจากดำรงตำแหน่ง 2 ปี ก็จะมอบตำแหน่งนี้ให้แก่นายอันวาร์ อิบรอฮิมต่อ

ด้วยสัญญานี้ ทำให้ ดร. เอ็ม ที่สามารถกวาดที่นั่งเข้าสภาเพียง 13 ที่นั่งได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 เทียบกับ PKR(47),DAP(42),Amanah(11), และ Warisan(8) ในคราวเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ 14 ที่ผ่านมา

ดร. เอ็ม ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตนพร้อมสละตำแหน่งนี้ตามสัญญา หลังประชุมสุดยอด APEC ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2020 แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคลางแคลงใจและเริ่มกดดันให้ ดร. เอ็มกำหนดวันเวลาที่แน่นอนเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่รอคอย

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2020 แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านประกอบด้วย UMNO,Pas,MIC และ PBRS แอบย่องใช้ประตูหลัง เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเสนอจัดตั้งรัฐบาล Perikatan Nasional (พันธมิตรแห่งชาติ) ด้วยฐานเสียง สส. ที่การันตีว่ามีอยู่ในมือจำนวน 138 เสียงพร้อมยืนยันสนับสนุน ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรี

สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด เมื่อมีกลุ่มงูเห่า 11 คน จาก PH ซึ่งเป็นเด็กในคาถาของพรรค PKR ประกาศถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมเตรียมซบพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้แกนนำพรรครัฐบาลบางคนกล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่ทรยศทีเดียว

ช่วงนี้มีรายชื่อโพล คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะประกาศโดยพระราชาธิบดีได้ออกมาเป็นระยะๆ ท่ามกลางเสียงดีใจชื่นมื่นจากพรรคร่วมฝ่ายค้านและกลุ่มงูเห่า

มีหลายฝ่ายมองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นความพยายามทำรัฐประหารเงียบที่นำโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อสกัดและทำลายฐานอำนาจของ PH และ DAP โดยใช้ ดร. เอ็ม เป็นเครื่องมือ

แต่เหตุการณ์ในตอนบ่ายของวันที่ 24 กพ. ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน เมื่อ ดร. เอ็ม ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานพรรค BERSATU

สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียทรงรับและเห็นชอบการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ ดร. เอ็ม แต่คล้อยหลังเพียงไม่กี่นาที พระองค์ทรงแต่งตั้ง ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ

การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ทำให้ตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและตำแหน่งอื่นๆที่เกี่ยวข้องต้องสิ้นสภาพไปด้วย

แกนนำพรรค PKR,DAP และ Amanah ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนให้ ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อให้คำยืนยัน

แม้กระทั่งแกนนำพรรค BN,Pas พรรคจากซาบาห์ซาราวัคและกลุ่มงูเห่า PKR ก็ยืนยันสนับสนุน ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเหมือนหนังคนละม้วน เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีทรงรับสั่งให้สมาชิก สส. ทั้งหมดรวม 221 คนเข้าเฝ้าในตอนเย็นวันที่ 25 กพ. 2020 เพื่อสัมภาษณ์รายบุคคลว่า จะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งในรอบแรกมี สส. เข้าเฝ้า 90 คน (ดู https://www.theustaz.com/?p=3016)

หลังจากนั้นไม่นาน พรรคร่วมฝ่ายค้านรีบออกแถลงการณ์กลับลำ ถอนคำยืนยันที่เคยสนับสนุน ดร. เอ็ม พร้อมกดดันให้พระราชาธิบดีคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภาและถือว่าการเรียกสัมภาษณ์ สส. รายบุคคลเพื่อคัดเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นการกระทำที่ผิดครรลองประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เพียง 2 วัน พรรคร่วมฝ่ายค้านใช้แผนปฏิวัติเงียบด้วยการใช้ประตูหลังเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่แพ้การเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเป็นการกระทำที่ผิดครรลองประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
(ดู https://www.facebook.com/180273065421411/posts/2731429043639121/?d=n)

หลังการสัมภาษณ์รายบุคคลรอบ 2 เสร็จสิ้น ล่าสุด ช่วงเย็นในวันที่ 26/2/2020 ดร. เอ็ม ได้ออกคำแถลงการณ์ครั้งแรก เผยหากมีโอกาสขออาสาจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์ที่ไม่สังกัดฝ่ายใด พร้อมขอโทษประชาชนที่ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายทางการเมือง วอนให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
(ดู https://www.facebook.com/180273065421411/posts/2733000660148626/?d=n)

หลังจากนั้น ไม่ถึงชั่วโมง นายอันวาร์ อิบรอฮิม นำแกนนำพรรค PH แถลงข่าวประกาศว่า พรรค PH เสนอชื่อ นายอันวาร์ อิบรอฮิม เป็นนายก รมต. คนที่ 8 ของมาเลเซียต่อไป พร้อมยืนยันว่าไม่สนับสนุนจัดตั้งรัฐบาลโดยใช้ประตูหลัง
(ดู https://www.facebook.com/180273065421411/posts/2733055020143190/?d=n)

ต้องเฝ้าดูว่า เส้นทางของนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 จะไปต่อหรือเริ่มนับใหม่ด้วยการยุบสภา
Wait & See

ความแตกต่างระหว่างสองผู้นำอียิปต์ที่เสียชีวิต

ดร. มูฮัมมัด มุรซีย์

  • ห้ามละหมาดยกเว้นคนใกล้ชิดในครอบครัว 3-4 คนเท่านั้น
  • มีการใส่ร้ายตามสี่อต่างๆด้วยข้อกล่าวหาสารพัด
  • ห้ามฝังศพในบ้านเกิด
  • ข่าวคราวถูกปิดเงียบและถูกคุ้มกันโดยกองกำลังทหารราวกับว่าอยู่ในบรรยากาศสงคราม
  • ถูกห้ามมิให้จัดพิธีไว้อาลัยใดๆ
  • เสียชีวิตในกรงสอบสวนขณะพิจารณาคดี
  • ไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพ
  • ถูกขังเดี่ยวในคุกอย่างทรมาน

ฮอสนีย์ มุบารัค

  • รัฐบาลจัดพิธีสวนสนามเพื่อไว้อาลัยศพอย่างสมเกียรติ
  • สื่อทั้งในและต่างประเทศโหมโรงข่าวใหญ่โต
  • ถูกฝังศพในบ้านเกิด
  • มีพิธีไว้อาลัยอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาล
  • ผู้นำทั่วโลกร่วมไว้อาลัย
  • เสียชีวิตในโรงพยาบาล
  • ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด
  • ถูกตัดสินเข้าคุกแต่ไม่เคยอยู่ในคุกเว้นแต่ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

อดีตประธานาธิบดีมุบารัคเสียชีวิตแล้วในวัย 92 ปี

ทีวีทางการอิยิปต์เผยแพร่ข่าวยืนยันว่า นายฮอสนีย์ มุบารัค อดีตประธานาธิบดีอิยิปต์ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนาน 30 ปี ได้เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลทหาร กรุงไคโรเมื่อเช้าวันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ขณะมีอายุ 92 ปีหลังจากถูกรุมเร้าด้วยโรคประจำตัวมาหลายปี

สำหรับ ฮอสนีย์ มูบารัคเคยครองอำนาจเหนืออียิปต์นานถึง 30 ปี จนกระทั่งในช่วงปรากฎการณ์อาหรับสปริง มูบารัคถูกประชาชนลุกฮือขึ้นประท้วงขับไล่ และโค่นเขาลงจากตำแหน่งได้ในปี 2011 หลังจากนั้นมูบารัคถูกคุมขังอยู่นานถึง 6 ปี ด้วยข้อหาหลายคดี รวมถึงคอร์รัปชั่นและเข่นฆ่าผู้ประท้วงในช่วงการลุกฮือของประชาชน ก่อนได้รับอิสรภาพในปี 2017

إنا لله وإنا إليه راجعون