จากโซเฟียแห่งคริสเตียน สู่มัรยัมแห่งอิสลาม ลูกศรที่ปักกลางหัวใจฝรั่งเศส

โซเฟีย เพโทรนีน สตรีเหล็กชาวฝรั่งเศสวัย 75 ปีเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเด็กกำพร้าขององค์กรสาธารณกุศลแห่งหนึ่งของฝรั่งเศสในประเทศมาลี ถูกกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศมาลีจับเป็นตัวประกันตั้งแต่ปลายปี 2016 ทำให้ครอบครัวของนางและรัฐบาลฝรั่งเศสใช้ความพยายามในการเจรจาให้ปล่อยตัวเธอแต่ก็ไร้ผล จนกระทั่งในปี 2018 ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเพื่อยืนยันว่านางปลอดภัยดี สร้างความดีใจแก่ครอบครัวเธอเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากนั้น ข่าวคราวเกี่ยวกับเธอก็เงียบหายไป และในปี 2019 กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสได้ยินยันว่านางยังมีชีวิตและปลอดภัยดี

หลังจากใช้ความพยายามมาอย่างยาวนานและใช้งบประมาณนับสิบล้านดอลล่าร์ เพื่อช่วยเหลือตัวประกันคนสุดท้ายของฝรั่งเศส ปรากฎว่าเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2020 นางโซเฟียถูกส่งกลับตัวไปแผ่นดินเกิด โดยประธานาธิบดีมาครงแห่งฝรั่งเศสได้ไปต้อนรับนางที่สนามบินแห่งหนึ่งในกรุงปารีส หลังจากที่นางใช้เวลาเกือบ 4 ปี ที่มาลีในฐานะตัวประกัน

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือเมื่อ “โซเฟีย เพโทรนิน” เดินทางมาถึงฝรั่งเศส   ผ้าคลุมศีรษะของเธอ ได้จุดประกายความขัดแย้งมากมายในสื่อฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้รับการยืนยันว่า เธอเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและเปลี่ยนชื่อจาก “โซเฟีย” เป็น “มัรยัม” ตามรายงานของนักข่าวทีวีฝรั่งเศส Wasim Al-Ahmar ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขา

ตามธรรมเนียม ประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะพูดหลังจากตัวประกันได้รับการปล่อยตัว แต่ในกรณีของแมรี่  มาครงได้ยกเลิกกล่าวสุนทรพจน์ต่อสื่อมวลชน

หนังสือพิมพ์อัลชัรก์ ของกาตาร์  กล่าวว่า การที่แมรี่ประกาศอิสลาม ได้สร้างความตกใจให้กับมาครง หลังจากคำพูดฉาวของมาครงเกี่ยวกับศาสนาอิสลามเมื่อไม่กี่วันก่อน  ซึ่งเขากล่าวหาว่า ศาสนาอิสลามกำลังประสบกับวิกฤตทั่วโลก

ในทางกลับกัน หนังสือพิมพ์ของฝ่ายขวาสุดโต่ง  ได้โจมตีนางแมรี่ ว่าเธอเป็นพวกนิยมอิสลามกลุ่มใหม่ในประเทศฝรั่งเศส  ดังปรากฏในหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส Le Figaro

มาครงกล่าวในสุนทรพจน์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า อิสลามกำลังประสบกับวิกฤตทั่วโลกในปัจจุบัน และฝรั่งเศสต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาอธิบายว่าเป็น “ลัทธิแยกตัวของอิสลามที่พยายามสร้างระบบคู่ขนานและปฏิเสธสาธารณรัฐฝรั่งเศส”

สื่อฝรั่งเศสรายงานภาพถ่ายและวิดีโอของช่วงเวลาการมาถึงของตัวประกันชาวฝรั่งเศสวัย 75 ปี ซึ่งเธอได้พูดคุยกับมาครง เป็นเวลา 2-3 นาที ก่อนที่จะสวมกอดครอบครัวของเธอ ที่มาร่วมต้อนรับที่สนามบินหลังจากพรากจากกันยาวนาน

เครื่องบินที่บรรทุกโซเฟีย เพโทรนิน มาถึงปารีสพร้อมกับแพทย์ ลูกชายของเธอและนักการทูตจำนวนหนึ่ง และการต้อนรับของประธานาธิบดีฝรั่งเศส

นายมาครงได้โจมตีอิสลามอย่างรุนแรงโดยเฉพาะประเด็นฮิญาบของมุสลิมะฮ์เพื่อสร้างกระแสอิสลาโมโฟเบียในฝรั่งเศส เขายังออกกฎหมายห้ามมุสลิมะฮ์สวมใส่ฮฺิญาบในที่สาธารณะ แต่สุดท้าย เขากลับต้อนรับสตรีชาวฝรั่งเศสที่รัฐบาลต้องลงทุนมหาศาลเพื่อนำกลับตัวเธอ ในสภาพที่ใส่ผ้าคลุมและประกาศตนเป็นมุสลิมะฮ์ในนามมัรยัม

“ พวกเขาได้วางแผนร้าย และอัลลอฮ์ก็วางแผนเพื่อสกัดแผนชั่วของพวกเขา เพราะอัลลอฮ์คือผู้วางแผนที่ดีที่สุด” (อัลอันฟาล/30)


อ้างจาก http://mubasher.aljazeera.net/news/اسمي-مريم-ماكرون-يستقبل-رهينة-فرنسية-محررة-أعلنت-إسلامها-فيديو

โดย ทีมงานต่างประเทศ

รากเหง้าความขัดแย้งระหว่างอาร์เมเนียกับอาเซอร์ไบจาน

ภูมิภาค “Karabakh” หมายถึง ภูเขาหรือที่ราบสูงของไร่องุ่นสีดำ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอาเซอร์ไบจาน มีพื้นที่ประมาณ 4,800 ตร. กม. ( ใหญ่กว่าพื้นที่ของจังหวัดยะลาที่มีเนื้อที่ 4,521 ตร. กม. )คิดเป็นประมาณ 20% ของพื้นที่อาเซอร์ไบจาน มีประชากรประมาณ 150,000 คน

ทั้งภูมิภาคตั้งอยู่ในดินแดนของอาเซอร์ไบจาน พลเมืองส่วนใหญ่เป็นเชื้อชาติอาร์เมเนียที่สถาปนาดินแดนของตนเองอย่างผิดกฎหมาย เรียกว่า “สาธารณรัฐอาร์ทซัค”โดยได้รับการสนับสนุนและแทรกแซงโดยตรงจากอาร์เมเนีย ที่ละเมิดมติของสหประชาชาติที่รับรองภูมิภาคนี้เป็นของอาเซอร์ไบจาน และตั้งอยู่ในดินแดนของอาเซอร์ไบจาน ซึ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องถอนการยึดครองอาร์เมเนียไปในเวลาเดียวกัน

หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 และด้วยการสนับสนุนของรัสเซียและอาร์เมเนีย  กลุ่มกบฏอาร์เมเนียในภูมิภาคนี้ ได้กลายเป็นต้นเหตุของการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมจำนวนมากต่อชาวอาเซอร์ไบจาน พวกเขาถูกบังคับอพยพออกจากถิ่นกำเนิด เพื่อหลีกทางให้กับกองกำลังอาร์เมเนียที่เข้ามาใหม่ ซึ่งได้เผาทำลายหมู่บ้านและสังหารผู้หญิง เด็กและผู้สูงอายุ ท่ามกลางสายตาของโลกและสภาความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีที่ดำเนินการโดยกองกำลังหัวรุนแรงเหล่านั้น

การโจมตีที่ไร้มนุษยธรรมนี้ ส่งผลให้ชาวอาเซอร์ไบจานนับล้านคนต้องอพยพออกจากภูมิภาคนี้ แก๊งติดอาวุธหัวรุนแรงของอาร์เมเนีย ใช้ข้ออ้างทางประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ ในการโจมตีอาเซอร์ไบจานอย่างต่อเนื่องและเป็นครั้งคราว

การโจมตีโดยแก๊งติดอาวุธชาวอาร์เมเนียในภูมิภาค “คาราบัค” ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์และภูมิศาสตร์ขึ้นใหม่ ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายผู้ลี้ภัยโดยประมาณกว่า 1.2 ล้านคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอาเซอร์รี่ ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ในคาราบัค กลายเป็นชาวอาร์เมเนีย

ถือเป็นการปล้นประเทศอีกกรณีหนึ่ง ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ยิวปล้นปาเลสไตน์จัดตั้งรัฐเถื่อนอิสราเอล เพียงแต่ที่ปาเลสไตน์ โลกปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยิว ในขณะที่อาเซอร์ไบจานสหประชาชาตินั่งชมอาร์เมเนีย ซึ่งนับถือคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์จัดตั้งรัฐอันธพาล”สาธารณรัฐอาร์ทซัค” ที่คาราบัค อาเซอร์ไบจาน

นอกจากนี้ กองกำลังกบฏอาร์เมเนียที่ยึดครองภูมิภาคนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยตรงและอย่างมีนัยสำคัญจากประเทศอาร์เมเนียและชุมชนชาวอาร์เมเนียพลัดถิ่น เนื่องจากการล็อบบี้ในสหรัฐอเมริกาทำให้อาร์เมเนียเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือของอเมริกาเป็นอันดับสองของโลก รองจากรัฐบาลยิวไซออนิสต์ ยังไม่รวมรัสเซียที่มีความผูกพันทางศาสนาอย่างแนบแน่นกับชาวอาร์เมเนีย

นี่คือสถานีประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นที่สุดสำหรับภูมิภาคนากอร์โนคาราบัค

● 1922 อดีตสหภาพโซเวียตได้ประกาศให้เอกราชแก่คาราบัค แต่ยังคงยึดครองอาเซอร์ไบจาน

● 1988 กลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนที่ผนวกคาราบัคเข้ากับอาร์เมเนีย และเรียกร้องเอกราชจากอาเซอร์ไบจานพร้อมดำเนินการโจมตีอาเซอร์ไบจานอย่างต่อเนื่อง

● 1991 การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและเอกราชของอาเซอร์ไบจานกระตุ้นให้อาร์เมเนียสนับสนุนการเป็นอิสระของภูมิภาคคาราบัคจากอาเซอร์ไบจาน โดยจุดชนวนสงครามด้วยการสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์อาร์เมเนีย

● 1992  อาร์เมเนียโจมตีอาเซอร์ไบจานและประกาศสงครามเพื่อยึดครองภูมิภาคนี้ ซึ่งสงครามดำเนินต่อไปจนถึงปี 1994 คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 30,000 คน

● 2001 สหรัฐอเมริกาประกาศข้อตกลงสันติภาพระหว่างอาเซอร์ไบจานและอาร์เมเนียเกี่ยวกับดินแดน “คาราบัค”

● 2008 การโจมตีซ้ำของอาร์เมเนียต่ออาเซอร์ไบจาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บและเกือบจะกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อครอบคลุม ซึ่งมีการดำเนินการระหว่างประเทศเพื่อหยุดยั้งสงครามดังกล่าว

● 2014 อาร์เมเนียโจมตีอาเซอร์ไบจานอีกครั้ง

● 2016 อาร์เมเนียโจมตีอาเซอร์ไบจานซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตและบาดเจ็บและความพยายามของสหประชาชาติในการหยุดยิง

● ล่าสุด เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2020 ทั้ง 2 ชาติที่เคยเป็นดินแดนบริวารของอดีตสหภาพโซเวียตในภูมิภาคเอเชียกลางนี้ ได้ก่อสงครามอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเคลื่อนย้ายอาวุธหนักระดมยิงใส่รวมถึงใช้ปฏิบัติการทางอากาศจากฝูงบินรบต่างๆ ส่งผลให้ทางอาร์เมเนียเรียกร้องให้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง แต่นายอิลฮาม อาลีเยฟ ประธานาธิบดีอาเซอร์ไบจาน ยืนกรานว่าสัญญาหยุดยิงจะกระทำได้ต่อเมื่ออาร์เมเนียถอนกำลังออกจากคาราบัคเท่านั้นและจะต้องมีตารางเวลาที่ชัดเจนเพื่อบีบบังคับให้อาร์เมเนียออกจากดินแดนที่ตนยึดครอง

ในขณะที่ นายนิโคล ปาชินยาน นายกรัฐมนตรีอาร์เมเนีย ได้กระตุ้นต่อชาติตะวันตกให้ระดมช่วยเหลืออาร์เมเนียขัดขวางตุรกีที่เข้าแทรกแซงสนับสนุนอาเซอร์ไบจานว่า

“หากโลกไม่แสดงจุดยืนบางอย่างที่จำเป็นต่อตุรกี ก็รอพวกเขาที่จะบุกเข้าประตูเวียนนาอีกครั้งในไม่ช้านี้  เนื่องจากอาร์เมเนียเป็นป้อมปราการสุดท้ายที่ต่อต้านตุรกี  เออร์โดอานสนับสนุนอาเซอร์ไบจานต่อต้านเรา ในความพยายามที่จะฟื้นอาณาจักรบรรพบุรุษของพวกเขา”


สรุปโดย

ทีมข่าวต่างประเทศ

ชีคห์ ซาบาห์ เจ้าผู้ครองรัฐคูเวตสิ้นพระชนม์ พระชนมายุ 91 พรรษา

สำนักพระราชวังคูเวต ออกประกาศเมื่อวันที่ 29 กันยายน ระบุว่า ชีคห์ ซาบาห์ อัล-อาหมัด อัล-ซาบาห์ เจ้าผู้ครองรัฐคูเวต ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้วด้วยพระชนมายุ 91 พรรษา

ชีคห์ ซาบาห์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สถาปนานโยบายต่างประเทศยุคใหม่ของคูเวต มีจุดยืนอันแน่วแน่ในกระบวนการสร้างสันติภาพในภูมิภาคปกป้องมัสยิดอัลอักศอและสิทธิประโยชน์ของชาวปาเลสไตน์ ต้นแบบของการให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณกุศลและมนุษยชนทั่วโลก

ขออัลลอฮ์ทรงโปรดปรานพระองค์ท่าน ทรงอภัยโทษและให้พำนักพระองค์ท่านในสวรรค์ฟิรเดาวส์

إنا لله وإنا إليه راجعون

สรุปความขัดแย้งอาเซอร์ไบจาน – อาร์เมเนีย

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าความขัดแย้งของอาเซอร์ไบจัน – อาร์เมเนีย เป็นความขัดแย้งเรื่องการยึดครองหรือความขัดแย้งด้านพรมแดน

นี่เป็นเพียงความจริงผิวเผินเท่านั้น

และสำหรับผู้ที่ไม่รู้จัก พึงรู้ว่าอาร์เมเนียนั้น ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน การทหารและเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ – ยุโรปมากที่สุดลำดับที่สอง รองจากอิสราเอล แม้ว่าจะอยู่ในอิทธิพลของรัสเซีย โดยที่ล็อบบี้ของอาร์เมเนียมีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกาและยุโรปรองจากล็อบบี้ไซออนิสต์

อาร์เมเนียถูกสถาปนาขึ้นในแถบเทือกเขาคอเคซัสตอนใต้เพื่อเป็นอิสราเอลอีกประเทศหนึ่ง มีจุดประสงค์เพื่อแบ่งภูมิศาสตร์ของโลกมุสลิมสุหนี่ และป้องกันการสื่อสารใด ๆ ระหว่างชนชาติมุสลิมในอนาโตเลีย ตะวันออกกลาง และชนชาติของโลกอิสลามในเอเชียกลางและคอเคซัส

ภัยคุกคามของอาร์เมเนียจึงไม่น้อยไปกว่าอันตรายของอิสราเอล และแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยเพียงไม่กี่คน และเป็นประเทศรอบนอกก็ตาม

อาร์เมเนียเป็นเสมอเหมือนหอกข้างแคร่ไซออนิสต์อีกเล่มหนึ่งที่ถูกปักลงในใจกลางโลกอิสลามของเรา โดยมีประเทศรัสเซีย อเมริกา อิสราเอล ยุโรปและอิหร่าน อยู่เบื้องหลัง

สาเหตุและจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองรัฐ ย้อนกลับไปที่ช่วงเวลาการยึดครองของรัสเซียในช่วงยุคของโซเวียต ในปี 2461 โซเวียตได้กำหนดพรมแดนของทั้งสองประเทศ และอพยพชาวอาเซอไบจานบางส่วนออกจากพื้นที่ รวมถึงฆ่าคนหลายพันคน แล้วส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวให้กับกองทหารอาร์เมเนียที่เป็นพันธมิตรกับพวกเขา พร้อมกับนำชาวอาร์เมเนียเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในเวลาเดียวกันพื้นที่เหล่านั้นก็ยังคงอยู่ในเขตแดนของสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน

สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปตลอดช่วงการปกครองของสหภาพโซเวียตที่ยึดครองและปราบปรามชาวอาเซอร์ไบจันที่เรียกร้องเอกราชและห้ามให้อาวุธทุกชนิดแก่พวกเขา

ในทางกลับกันโซเวียตสนับสนุนอาร์เมเนีย ทั้งทางการเงิน ทางทหารและได้ฝึกฝนกองทหารของพวกเขา

หลังจากได้รับเอกราชในปี 1991 รัสเซียได้ส่งมอบดินแดนทั้งหมดที่ชาวอาเซอไบจานอพยพออกไปให้แก่อาร์เมเนีย และตั้งรกรากในที่ของพวกเขา และชาวอาร์เมเนียส่งมอบดินแดนเหล่านั้นให้แก่ประเทศอาร์เมเนียที่เพิ่งตั้งไข่ รวมทั้งภูมิภาคคาราบัค

พร้อมๆการเรียกร้องของอาเซอร์ไบจานในการขอคืนดินแดนที่ถูกแย่งชิงในคาราบัค กองทหารชาวอาร์เมเนียซึ่งประกาศให้ภูมิภาคนี้เป็นรัฐเอกราชโดยการสนับสนุนของประเทศอาร์เมเนียปฏิเสธที่จะคืนพื้นที่ และทำสงครามที่ครอบคลุมกับอาเซอร์ไบจานโดยร่วมกับอาร์เมเนีย พวกเขาได้ฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปหลายพันคน และไร้ที่อยู่อีกหลายหมื่นคน ตลอดจนยึดครองดินแดนอาเซอร์ไบจานประมาณ 20% ของพื้นที่ โดยได้ตั้งเงื่อนไขการคืนดินแดนดังกล่าวแลกกับการที่อาเซอร์ไบจานสละกรรมสิทธิ์ในภูมิภาคคาราบัค

ในความขัดแย้งครั้งนี้ รัสเซียยืนหยัดเคียงข้างอาร์เมเนียและสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง ในอาร์เมเนียมีฐานทัพรัสเซียที่ใหญ่ที่สุดนอกอาณาเขตของตน รวมถึงอิหร่านที่สนับสนุนทางการเงินแก่อาร์เมเนีย ตลอดจนน้ำมัน ก๊าซและอาวุธ ในการต่อสู้กับอาเซอร์ไบจาน แม้ว่าอาเซอร์ไบจานจะเป็นรัฐที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชีอะห์ แต่เนื่องจากปฏิเสธที่จะให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อระบบวิลายะตุลฟะกีห์ จึงยืนหยัดต่อต้านอิหร่าน

และเมื่อไม่นานมานี้ประเทศอาหรับที่ต่อต้านตุรกีหลายประเทศก็เข้าร่วมความขัดแย้งด้วยการสนับสนุนอาร์เมเนียในการต่อสู้กับอาเซอร์ไบจาน


เขียนโดย Ghazali Benmad

จับตาการเมืองมาเลเซีย (ตอนที่ 1)

หลังจากนายมุห์ยิดดีน ยาซีน (72ปี) ประธานพรรคเบอร์ซาตู รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 ของมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 ภายหลังที่ตุนมหาธีร์ โมฮัมมัด (94ปี) ซึ่งตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างกระทันหันเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วิกฤติการเมืองมาเลเซียยังไม่มีวี่แววจะจบท่ามกลางกระแสไม่พอใจบนโลกออนไลน์ในมาเลเซียโดยชาวเน็ตแห่ติด #NotMyPM และมีชาวมาเลเซียกว่า 100,000 คนร่วมลงชื่อออนไลน์เรียกร้องว่าการรับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของนายมุห์ยิดดีน คือ “การทรยศเสียงของประชาชน” จากการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ที่พรรคอัมโนพ่ายแพ้ขาดลอย ในขณะที่นายมหาธีร์เรียกรัฐบาลนี้ว่ารัฐบาลประตูหลัง

ล่าสุดมาเลเซียกลับมาอยู่ในสายตาชาวโลกอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 เมื่อนายอันวาร์ อิบรอฮีม หัวหน้าพรรค PKR ได้แถลงข่าวที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า ตนมีเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นและเข้มแข็งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เพียงพอจัดตั้งรัฐบาลใหม่ พร้อมเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยตนเองพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของมาเลเซีย

“ ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังให้เข้าเฝ้าฯในวันที่ 21 กันยายน 2563 เวลา11.00 น. แต่เนื่องจากพระองค์ทรงพระประชวรและขณะนี้ทรงรักษาพระอาการที่สถาบันรักษาโรคหัวใจแห่งชาติ ทำให้กำหนดการเข้าเฝ้าฯ ต้องเลื่อนโดยกระทันหัน”  นายอันวาร์กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายอันวาร์ยังไม่เปิดเผยตัวเลขว่ารวบรวมเสียงได้เท่าใด ซึ่งการจะตั้งรัฐบาลใหม่ได้ต้องอาศัยเสียงในสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซียถึง 112 เสียง จากจำนวนทั้งหมด 222 ที่นั่ง

ขณะนี้แนวร่วมแห่งความหวัง ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของพรรคการเมือง 3 พรรค และที่มีนายอันวาร์เป็นผู้นำอยู่นั้น มีเสียงอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย 91 เสียง ประกอบด้วยพรรคยุติธรรมประชาชนของนายอันวาร์ 38 เสียง พรรคปฏิบัติการประชาธิปไตย 42 เสียง และพรรคศรัทธาแห่งชาติ 11 เสียง

นอกจากนี้ นายอันวาร์ยังเปิดเผยอีกว่า ตนยังได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. กลุ่มอื่นอีกหลายคน ซึ่งรวมถึง ส.ส. จากแนวร่วมพันธมิตรแห่งชาติ ที่เป็นฝ่ายรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ และตนจะเปิดเผยจำนวน ส.ส. ให้สาธารณชนทราบหลังจากเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียแล้ว

ส่วนความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาล นายมุห์ยิดดีน ยาซีน นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่า ตนยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีจนกว่านายอันวาร์ อิบรอฮีมจะแสดงหลักฐานว่ามีเสียงสนับสนุนข้างมากจากสมาชิกรัฐสภา พร้อมกล่าวว่ามีหลายฝ่ายที่ต้องการสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาล

ทางด้านตุนมหาธีร์ โมฮัมมัด ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายอันวาร์ อิบรอฮีม ประกาศว่าตนได้รับเสียงสนับสนุนข้างมากจากส.ส. ในรัฐสภา เพราะในปี 2008 เขาเคยประกาศในทำนองนี้มาก่อนแล้ว แต่ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

ส่วนนายอันวาร์ มูซา แกนนำคนสำคัญของพรรคอัมโนและเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ได้เรียกร้องให้มีการยุบสภาพร้อมคืนอำนาจให้แก่ประชาชนตัดสินใจเลือกผู้นำผ่านสนามเลือกตั้งใหญ่อีกครั้ง


โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

แอร์โดอานประกาศการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติมหาศาล

21 สิงหาคม 2563 แอร์โดอานประกาศข่าวดีในวันศุกร์ที่ 1 มุหัรรอม 1442 ซึ่งเป็นวันปีใหม่แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การค้นพบแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติมหาศาลในทะเลดำทางตอนเหนือของประเทศ ณ ตำแหน่งTuna-1 Zone โดยเรืออัลฟาติห์ที่มีจำนวนมหาศาลกว่า 3.2 แสนล้านลบ. ม. ซึ่งคาดว่าสามารถเป็นแหล่งพลังงานได้นานถึง 20 ปี

ประธานาธิบดีตุรกีกล่าวว่า วินาทีนี้เราขอแสดงความยินดีกับข่าวดีที่สุดที่สามารถค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลในเขตทะเลดำโดยเรืออัลฟาติห์ที่ได้ดำเนินการสำรวจเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาซึ่งสามารถค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวน 3.2 แสนล้านลบ. ม. โดยถือเป็นแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดที่ขุดพบโดยชาวตุรกี

ประธานาธิบดีตุรกียังกล่าวอีกว่า การค้นพบครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของตุรกี และเราไม่ได้พึ่งพาศักยภาพของชาวต่างชาติแม้แต่น้อย เรามั่นใจว่ายังมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบกและทะเลอีกมากมายที่จะถูกค้นพบในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งทุนพลังงานสำรองเพื่อให้บริการแก่ชาวตุรกีและชาวโลกต่อไป

Masjid Razaleigh แรงบันดาลใจจากมัสยิดหะรอม มหานครมักกะฮ์

GUA MUSANG : Masjid Razaleigh มูลค่าก่อสร้างกว่า RM28 ล้าน ที่มีโมเดลถอดแบบจากมัสยิดหะรอม มหานครมักกะฮ์ คาดว่าจะแล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์ปลายปีนี้และจะเป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ของรัฐกลันตัน ที่มีฉายา Serambi Mekah หรือระเบียงมักกะฮ์ โดยเฉพาะในเขต Gua Musang

มัสยิดแห่งนี้มีเนื้อที่ใช้สอย 70,000 ตารางฟุต ใช้วัสดุการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน

สส. Gua Musang , Tengku Razaleigh Hamzah เปิดเผยว่า มัสยิดแห่งนี้จุคนประมาณกว่า 3,500 คน เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2016 ได้รับแรงบันดาลใจจากมัสยิดหะรอม มักกะฮ์ ประกอบด้วยหออะซาน 9 หอ ที่มีความสูง 30 ม. และโดม 7 โดม รวมทั้งห้องประชุม ห้องสัมมนา ห้องสมุด ห้องเรียนโรงอาหาร บ้านพักอิมาม บิลาลและเจ้าหน้าที่จัดการศพ 2 คน

ส่วนลานกว้างตรงกลางมัสยิดจะจัดไว้ช่วงอบรมฮัจญ์แก่ผู้ประสงค์จะประกอบ พิธีฮัจญ์ในแต่ละปี

คาดว่าพิธีเปิดอย่างเป็นทางการจะจัดขึ้นปลายปีนี้ ซึ่งจะกลายเป็น Landmark ที่สำคัญแห่งหนึ่งในรัฐกลันตัน โดยเฉพาะเขต Gua Musang ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกพื้นที่มาชมและจัดกิจกรรมตามความต้องการของชุมชนต่อไป

บ่วงบาศคล้องคอตุรกี

แอร์โดอานรับมรดกบาปจากรัฐเซคิวล่าร์ที่คอยเป็นบ่วงบาศคล้องคอตุรกีมิให้เคลื่อนไหวอย่างสะดวก อย่างน้อย 8 ข้อได้แก่

1. สนธิสัญญาและข้อตกลงกับบรรดาประเทศยุโรปและนาโต้กว่า 600 ฉบับ หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯกว่า 10 หน่วยที่ชาวตุรกีไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้แม้กระทั่งนายทหารระดับนายพล รวมทั้งฐานทัพอากาศของสหรัฐที่เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ปี 1951 (ก่อนการเข้ามาของแอร์โดอานตั้ง 50 กว่าปี)

2. สถาบันอุดมศึกษาเกือบ 100 แห่งที่ปลูกเมล็ดพันธุ์หลักสูตรความเกลียดชังอิสลามและเฝ้าระวังนักวิชาการที่มีความผูกพันกับศาสนา ในขณะที่หน่วยงานราชการที่ยึดมั่นแนวคิดเซคิวล่าร์ คอมมิวนิสต์และนิยมซ้ายจัด มีหน้าที่สอดส่องพฤติกรรมของประชาชนมิให้เข้าใกล้อิสลามชนิดไม่คลาดสายตา

3. ระบบสื่อสารมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์และสื่อโชเชี่ยลที่เผยแพร่ลัทธิบิดเบือน รณรงค์สิ่งลามกอนาจารและคำสอนไร้จริยธรรม ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์เชิงลบของอิสลามมาโดยตลอด

4. กระบวนการทางกฎหมายและยุติธรรมในทุกระดับที่คอยสนับสนุนความชั่วร้ายและสกัดกั้นความดี คอยชี้โพรงให้กระรอกมากัดแทะอิสลามตามอำเภอใจ รวมทั้งเอื้อประโยชน์ให้ผู้มีอำนาจแสวงหาผลประโยชน์และปู้ยี่ปู้ยำทรัพยากรของประเทศเพื่อบำเรอความสุขของตนและพวกพ้อง

5. Operation GLADIO ซึ่งเป็นปฏิบัติการเครือข่ายก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของชาติสมาชิกองค์การนาโต้และ CIA เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อสกัดกั้นการรุกคืบของโซเวียตและคอมมิวนิสต์ วิธีการของปฏิบัติการ Stay-behind ของหน่วยงานนี้คือ สร้างความตึงเครียดในสังคมด้วยการก่อการร้ายทุกรูปแบบ เพื่อสร้างรัฐแห่งความหวาดกลัวในลักษณะ ปาก้อนหินโดยยืมมือของคนอื่น ถึงแม้ยุคสงครามเย็นได้ผ่านพ้นไปแล้วหลังการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต แต่ GLADIO ยังมีการเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็งในตุรกี เพื่อยืนยันว่า วัตถุประสงค์หลักของหน่วยงานนี้ หาใช่เพื่อคานอำนาจของฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ แต่เฝ้าระวังความเคลื่อนไหวในตุรกีโดยเฉพาะต่างหาก

6. ความหลากหลายทางเชื้อชาติที่มีทั้งเตอร์ก เคิร์ด อาร์เมเนีย อาหรับและอื่นๆ ตลอดจนความแตกต่างทางศาสนาและความเชื่อที่มีทั้งอิสลาม คริสต์ อาลาวีย์ ยิวและลัทธิอื่นๆที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีในการจุดชนวนความแตกแยกในสังคม

7. อำนาจทหารที่ค้ำจุนและเป็นเปลือกหอยคอยปกป้องระบอบเซคิวล่าร์ ที่จะยึดอำนาจและก่อรัฐประหารทันทีเมื่อเห็นว่ามีสถานการณ์ที่บั่นทอนเสถียรภาพของระบอบคามาลิสต์

8. บรรดาประเทศอียูที่ฝังความเป็นศัตรูกับตุรกีมาอย่างยาวนานที่ซึมซับมาในประวัติศาสตร์การสร้างชาติในอดีตพวกเขาไม่มีวันปล่อยตุรกีให้หลุดมือและเติบโตอย่างอิสระ พวกเขาเคยปรามาสตุรกีว่าเป็นชายแก่ขี้โรค และเฝ้าฝันให้ตุรกีกลายเป็นชายแก่ขี้โรคตลอดกาล

เหตุการณ์ก่อรัฐประหารล้มเหลวครั้งล่าสุดและท่าทีของประเทศยุโรปกรณีลงประชามติรัฐธรรมนูญตุรกีที่ผ่านมา คือตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดในกรณีนี้

ทั้ง 8 บ่วงบาศนี้ จะคอยบีบรัดตุรกีทุกครั้งที่ขยับเขยื้อน แต่ภายในระยะเวลา 15 ปี แอร์โดอานสามารถสลัดบ่วงบาศเหล่านี้ทีละชิ้น จนสามารถควบม้าเร็วตุรกีให้พุ่งทะยานได้อย่างน่าทึ่ง แต่ทั้งนี้เราก็ไม่เคยประทับตราว่าท่านคือความสมบูรณ์

รึว่าจะให้แอร์โดอานขึ้นคุตบะฮ์ประกาศตนเองเป็นเคาะลีฟะฮ์ แล้วบังคับให้ประชาชาติมุสลิมและผู้นำมุสลิมทั่วโลกบัยอะฮ์แสดงความภักดี ใครฝ่าฝืนถูกตัดสินเป็นชาวมุรตัดดีน พร้อมแพร่คลิปตัดคอตัดมือเพื่อประกาศว่า ได้ปฏิบัติตามหลักชะรีอะฮ์อย่างสมบูรณ์แล้ว


ข้อมูลอ้างอิง http://www.turkpress.co/node/29821

บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 01-07-2017
ถอดความโดย Mazlan Muhammad

ตุรกีกับการกลับสู่อ้อมกอดอิสลาม

เหตุการณ์ที่กลุ่มก่อการร้ายระเบิดพลีชีพไนท์คลับที่นครอิสตันบูล เมื่อกลางดึกในคืนต้อนรับปีใหม่ปี 2017 โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลแอร์โดอานที่เป็นรัฐแซคิวล่าร์ เป็นรัฐบาลนอกรีต นิยมชื่นชอบ(วะลาอฺ)ศัตรูอิสลาม ส่วนพรรคยุติธรรมและพัฒนา(AK) เป็นพรรคที่ไม่มีส่วนใดๆกับอิสลาม อีกทั้งยังอนุญาตให้มีการเปิดโสเภณีอย่างกว้างขวาง อนุญาตให้ชายหาดเป็นที่เปลือยกายอย่างเสรี ลดภาษีเหล้าและสถานอบายมุข โดยที่พวกเขาไม่เคยนำหลักฐานการใส่ร้ายเหล่านี้มาแสดงต่อสาธารณชนแม้แต่ชิ้นเดียว

ผู้คนที่เสพข่าวลวงประเภทนี้ จะคล้อยตามการโฆษณาชวนเชื่อที่ไร้จรรยาบรรณนี้อย่างหัวปักหัวปำ โดยเฉพาะข้อมูลที่เผยแพร่ในสื่อโชเชี่ยลที่มีเทคนิกการหลอกลวงแพรวพราว หลายคนจึงตกกับดักของแนวคิดตักฟีรีย์(ตัดสินมุสลิมตกเป็นกาฟิร)ชนิดกู่ไม่กลับ هدانا الله جميعا

ตุรกียุคแอร์โดอานและพรรค AK ได้รับมรดกบาปที่สืบทอดจากรัฐบาลเซคิวล่าร์ที่ได้หยั่งลึกเข้าไปในสังคมตุรกีเกือบ 1 ศตวรรษ พวกเขาได้วางกฎเหล็กและรัฐธรรมนูญเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบเพื่อปราบปรามอิสลามโดยเฉพาะ ในขณะที่ฝ่ายทหารก็ใช้อำนาจก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า

ลองพลิกดูประวัติศาสตร์ของรัฐบาลตุรกีช่วง 1950-1960 ที่นายอัดนาน แมนดรีสเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านได้พยายามฟื้นฟูและเรียกคืนตัวตนแห่งอิสลามของตุรกีด้วยการอนุญาตอะซานเป็นภาษาอาหรับอีกครั้ง อนุญาตเปิดโรงเรียสอนศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับ สร้างมัสยิดจำนวน 10,000 หลัง สร้างโรงเรียนท่องจำอัลกุรอาน 20,000 แห่ง สร้างวิทยาลัยผลิตนักเผยแพร่อิสลาม 22 แห่ง ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับโลกอาหรับ ตลอดจนขับไล่ทูตอิสราเอลเมื่อปี 1957 แต่เขาถูกทหารยึดอำนาจในปี 1960 และถูกตัดสินชีวิตด้วยการแขวนคอพร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 2 ท่าน ด้วยข้อหาเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและบริหารแผ่นดินที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันเคมาลิสต์

เราไม่เคยลืมโศกนาฏกรรมทางการเมืองของ ศ.ดร.นัจมุดดีน อัรบะกาน บิดาแห่งการเมืองตุรกี ที่ถูกอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญครอบงำและเฝ้าระวังทุกจังหวะก้าว ตลอดระยะเวลาของการโลดเล่นบนถนนทางการเมืองของท่าน

คนฉลาดมักจะใช้คนอื่นเป็นบทเรียน แต่คนโง่มักจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับคนอื่นเสมอ

แอร์โดอานจึงใช้บทเรียนในอดีตเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ที่พยายามเพาะหน่อไม้ต่างพันธุ์ท่ามกลางกอไผ่ที่หนาทึบ การที่มันจะชูช่อแข่งขันกับดงหนามที่คอยทิ่มแทงและสกัดกั้น ย่อมต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ชาญฉลาด ผ่อนปรน ใจกว้างและมองการณ์ไกล ไม่บุ่มบ่ามใจร้อนหรือสร้างปราสาททราย

บทความนี้มีวัตถุประสงค์นำเสนอผลงานเชิงประจักษ์ในมิติทางศาสนาและความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมสู่กลิ่นไอแห่งอิสลามอย่างชัาๆแต่มั่นคงภายใต้การบริหารประเทศของพรรค AK โดยไม่พูดถึงความสำเร็จด้านต่างๆทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศโดยรวม ซึ่งสรุปได้ดังนี้

1. ระหว่างปี 2002-2013 รัฐบาลตุรกีสร้างมัสยิด 17,000 หลัง และบูรณะซ่อมแซมสถานอิบาดะฮ์ยุคอุษมานียะฮ์หลายพันแห่ง

2. ยกเลิกกฎหมายห้ามมุสลิมะห์แต่งฮิญาบตามสถานราชการและสถานศึกษา โดยกรณีนางมัรวะห์ (Merve Safa Kavakci) สส. หญิงคนแรกที่ใส่ฮิญาบสังกัดพรรคคุณธรรมอิสลามที่ชนะเลือกตั้งเป็น สส. ในปี 1999 สุดท้ายนางถูกขับไล่ออกจากสภาฯในสภาพที่น่าหดหู่ท่ามกลางเสียงโห่ไล่ของสมาชิกสภาฯผู้ทรงเกียรติ ต่อมานางถูกถอนสัญชาติและเนรเทศจนต้องลี้ภัยที่สหรัฐฯ แต่ยุคแอร์โดอาน นางได้รับคืนสัญชาติตุรกีอีกครั้งและได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำกัวลาลัมเปอร์ ปัจจุบันในสภาตุรกีมีสส. มุสลิมะฮ์ที่ใส่ฮิญาบกว่า 20 ท่าน มีรัฐมนตรีมุสลิมะฮ์ใส่ฮิญาบ 1 ท่าน และผู้พิพากษามุสลิมะฮ์สวมฮิญาบอีก 1 ท่าน

3. จำนวนนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนสอนศาสนา (อิมามคอเต็บ) เพิ่มจาก 65,000 คน เมื่อปี 2002 เป็น 658,000 คนในปี 2013 และปัจจุบันมีนักเรียนที่เรียนในสถาบันการศึกษาแห่งนี้ทั่วโลก 1 ล้านคน

4. บรรจุหลักสูตรอิสลามศึกษาในโรงเรียนสังกัดรัฐบาลตั้งแต่หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งที่ผ่านมาหลักสูตรนี้กลายเป็นหลักสูตรต้องห้าม

5. ในปีการศึกษา 2014 กระทรวงศึกษาธิการตุรกีได้บรรจุวิขา ภาษาอุษมานีย์ (ภาษาตุรกีเขียนด้วยอักขระอาหรับ) เป็นวิชาบังคับ อนูญาตให้นักเรียนที่จบ ป. 4 ขึ้นไปสามารถลาเรียน 2 ปี เพื่อเข้าหลักสูตรท่องจำกุรอาน และยกเลิกหลักสูตรภาคปฏิบัติวิธีการเสิร์ฟเหล้าในวิทยาลัยที่สอนหลักสูตรการท่องเที่ยว

6. ยกเลิกการกำหนดอายุ 12 ปี สำหรับนักเรียนที่ต้องการท่องจำอัลกุรอาน โดยที่รัฐบาลประกาศในปี 2013 ให้โอกาสเด็กก่อนวัยเรียนสามารถเรียนอัลกุรอานในโครงการ Qur’an Courses for Preschoolers

7. ปี 2013 รัฐบาลตุรกีออกกฎหมายห้ามจำหน่ายเหล้าและธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทตั้งแต่เวลา 22.00-06.00 ทุกวัน โดยไม่จำกัดวันและสถานที่ พร้อมห้ามโฆษณาเหล้าตามสื่อต่างๆทั่วประเทศ จนทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ที่อิสตันบูล

8. รัฐบาลพรรค AK ได้มีมาตรการเปลี่ยนผับบาร์จำนวนหลายแห่งให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวปลอดเหล้า

9. แอร์โดอานถูกสื่อฝ่ายตรงกันข้ามโจมตีว่าต้องการทำให้อิสตันบูลกลายเป็นเมืองอิสลามและละทิ้งเซคิวล่าร์ หลังจากที่ท่านพูดคุยแก้ปัญหาโสเภณีในระยะยาว ท่านยังถูกกล่าวหาเป็นคนล้าหลัง คร่ำครึเนื่องจากจัดโครงการละหมาดขอฝน แต่ภายหลังไม่กี่ชั่วโมง ฝนได้เทลงมาอย่างหนัก ทำให้ฝ่ายต่อต้านต้องปิดปากเงียบ

10. ภายในปี 2018 ตุรกีกำหนดเปิดสถาบันทางการเงินอิสลามจำนวน 170 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้สถาบันในลักษณะนี้เป็นสถาบันผิดกฎหมาย

11. ปี 2013 รัฐบาลประกาศจัดระเบียบหอพัก ด้วยการห้ามนักศึกษาที่เรียนในสังกัดรัฐบาล เข้าพักรวมกันระหว่างหญิงชาย โดยตั้งเป้าว่าในปี 2014 จะไม่มีสถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนใช้ห้องพักปนกันระหว่างชายหญิง

12. ปี 2016 แอร์โดอานเรียกร้องให้มีผู้แทนของประเทศมุสลิมเข้าเป็นสมาชิกในประเทศสมาชิกถาวรสหประชาขาติ เพราะทั้ง 5 ประเทศในปัจจุบันถือเป็นผู้แทนของกลุ่มประเทศคริสเตียนและคอมมิวนิสต์เท่านั้น ซึ่งสามารถใช้อำนาจวีโต้อย่างอิสระเสรี

13. แอร์โดอานเคยถูกจับเข้าคุกในปี 1997 ฐานอ่านกลอนต้องห้ามที่ถูกตัดสินว่าสร้างความขัดแย้งในสังคม ทั้งๆที่กลอนดังกล่าวปรากฏในตำราเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งต่อมาแอร์โดอานได้อ่านกลอนดังกล่าวในรัฐสภาอีกครั้ง ข้อความส่วนหนึ่งได้แก่
– มัสยิดคือค่ายทหารของเรา
– โดมคือหมวกของนักรบ
– หออะซานคือหอกทวน
– ศรัทธาชนคือพลทหารกล้า
– นี่คือทหารอันบริสุทธิ์ที่จะปกป้องศาสนาของเรา

14. รัฐบาลตุรกีจัดขบวนยุวชนที่มีอายุ 7 ขวบ นับหมื่นคน เดินถือป้ายตามท้องถนนอิสตันบูล พร้อมข้อความว่า “เรามีอายุ 7 ขวบแล้ว เราพร้อมจะรักษาละหมาดและท่องจำอัลกุรอาน” พร้อมจัดรางวัลทั่วประเทศสำหรับยุวชนที่ปฏิบัติตามโครงการนี้ โดยเฉพาะละหมาดศุบฮิโดยญะมาอะฮ์ที่มัสยิด


นี่คือส่วนหนึ่งของผลงานรัฐบาลแอร์โดอานที่บางกลุ่มได้ฟัตวาท่านว่าเป็นมุนาฟิก นอกรีต ฏอฆูตและใฝ่เซคิวล่าร์
ถามว่า
เราเคยมีผู้นำเซคิวล่าร์คลั่งประชาธิปไตยคนไหนบ้างในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำสิ่งดังกล่าว แม้เพียงข้อเดียวก็ตาม

ในเวลาเที่ยงวันอันสดใส ไร้เมฆหมอก
ยังมีบางคน ที่กระวนกระวายท่ามกลางความมืดมน
เราจะโทษดวงอาทิตย์
หรือดวงตาอันมืดบอดกันแน่


บทความนี้ เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 07-01-2017 http://www.turkpress.co/node/29821

ถอดความโดย Mazlan Muhammad

ทำไมชาติตะวันตกชิงชังแอร์โดอาน

Eric S.Margolis (77ปี) นักเขียนและนักข่าวชาวอเมริกันได้อธิบายเหตุผลที่ทำให้ชาติตะวันตกเกลียดชังประธานาธิปดีแอร์โดอาน นอกเหนือจากการเป็นคู่อริทางการเมืองในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในอดีตระหว่างชาติตะวันตกกับชาวเซลจุกและเตอร์กออตโตมาน

Margolis เล่าว่า ตุรกีเป็น 1 ในกลุ่มสมาชิกนาโต้มาตั้งแต่ปีค.ศ.1952 โดยที่สหรัฐอเมริกาได้สยายปีกคุมอำนาจเหนือตะวันออกกลาง กองกำลังตุรกีที่ใหญ่เป็นอันดับสองในกลุ่มนาโต้รองจากสหรัฐอเมริกา บรรดานายพลตุรกีจับมือกับทหารอเมริกันบังคับพวงมาลัยกำหนดทิศทางของตุรกีมาโดยตลอด กลุ่มแกนนำตุรกีจำนวนหนึ่งที่ได้กลายพันธุ์ คอยรับคำสั่งจากวอชิงตันอย่างว่านอนสอนง่ายเสมอมา พร้อมคอยคุมกำเนิดการขยายตัวของอิสลามอย่างเข้มงวดและปล่อยให้อิสลามแคระแกร็นอยู่ในพื้นที่ชนบทอันทุระกันดารเท่านั้น

Margolis วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1994 เมื่อมีชายตุรกีอายุ 40 ปีชื่อเราะญับ ฏอยยิบ แอร์โดอาน ก้าวขึ้นเป็นนายกเทศมนตรีกรุงอิสตันบูลพร้อมจัดการทำ5 ส. ในการบริหารบ้านเมือง แต่เขาถูกตัดสินจำคุกเนื่องจากไปอ่านบทกลอนอิสลามท่อนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นกลอนที่ปรากฏในตำราเรียนตามโรงเรียนต่างๆในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ

หลังจากพ้นโทษ เขาได้ก่อตั้งพรรคยุติธรรมและพัฒนาที่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยและภาคภูมิใจในความเป็นชาติพันธุ์ตุรกี บริหารประเทศที่ให้ความสำคัญกับการบริการประชาชน ให้สิทธิ์แก่คนยากจนและผู้สูงอายุ จัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ช่วยเหลือชาวมุสลิมทั่วโลกและปลูกฝังค่านิยมการใช้ชีวิตที่ดำรงไว้บนหลักการยุติธรรม

ไม่มีอะไรที่สามารถสกัดกั้นดาวจรัสแสงของอดีตนักฟุตบอลคนนี้ได้ ในปี 2003 เขาได้รับการคัดเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากชาวตุรกีที่มีประชากรมากถึง 81 ล้านคน เขากลายเป็นขวัญใจชาวตุรกีอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีชาวเตอร์กกลายพันธุ์ที่มองเขาเเละพรรคพวกด้วยสายตาแห่งความเกลียดชังเสมอ

Margolis วิเคราะห์ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มนี้คิดร้ายต่อแอร์โดอานคือยุคก่อนแอร์โดอาน กลุ่มเตอร์กกลายพันธุ์และกลุ่มทหารต่างมีบทบาทและมีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือแผ่นดินตุรกีในทุกด้าน ไม่ว่าด้านการสื่อสารมวลชน ด้านการศึกษา ด้านการพิพากษา วงการทูตและการต่างประเทศ รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ใต้โอวาทของสหรัฐอเมริกา

ก่อนยุคแอร์โดอานระบบรัฐสภาตุรกีและการบริหารทางการเงินของประเทศอยู่ในภาวะตกต่ำสุดขีด

การเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อเเอร์โดอานบริหารประเทศโดยใช้หลักธรรมาภิบาล ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พังทลาย สร้างรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพ ยุติปัญหาความขัดแย้งเรื้อรังกับชาวเคิร์ด สร้างสันติภาพกับประเทศเพื่อนบ้าน จัดแถวนายทหารจำนวน 600,000 นาย ให้กลับสู่กรมกองตามภารกิจเดิม และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เตอร์กกลายพันธุ์และชาวเซคิวล่าร์เกลียดชังแอร์โดอาน ซึ่งพวกเขาอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหารตุรกีจำนวน 16 ครั้งนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

จึงไม่ใช่เป็นเหตุการณ์บังเอิญที่พวกเขาได้ก่อรัฐประหารล้มเหลวเมื่อเดือนมิถุนายน 2016 ที่ผ่านมา พวกเขาเกือบสังหารแอร์โดอานสำเร็จแล้ว แต่ด้วยพลังประชาชนที่ลุกขึ้นต่อสู้อย่างกล้าหาญ ทำให้แผนการต้องพังทลาย

หลังรัฐประหารล้มเหลวครั้งนี้ เเอร์โดอานได้จับกุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นักวิชาการและนักข่าวกว่า 10,000 คนที่มีหลักฐานผูกมัดว่าพัวพันกับคดีประวัติศาสตร์นี้ และยังมีหลักฐานมัดตัวว่าฐานทัพอากาศ Incirlink ที่เป็นฐานทัพร่วมสหรัฐอเมริกาและตุรกีคือศูนย์บัญชาการของรัฐประหารล้มเหลวครั้งนี้

เเอร์โดอานจึงเป็นเด็กดื้อในสายตาสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะกรณีวิกฤตซีเรียและปาเลสไตน์ ที่สหรัฐอเมริการู้สึกว่าเเอร์โดอานอยู่เหนือการควบคุมในขณะที่อิสราเอลก็ไม่พอใจแอร์โดอานที่แสดงจุดยืนเข้าข้างการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ และแสดงอาการล้ำเส้นมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้หน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาและอิสราเอลจึงเกลียดชังแอร์โดอาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนิทชิดเชื้อกับรัสเซียมากเกินเหตุ ก็เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่สหรัฐอเมริกาไม่พอใจแอร์โดอาน สื่อสหรัฐได้ทีโหมโรงใส่ร้ายแอร์โดอานอย่างบ้าคลั่ง ในขณะเดียวกัน กลับเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ต่อหน้าผลงานเถื่อนถ่อยของจอมเผด็จการอย่างซีซีย์ ผู้นำกระหายเลือดแห่งอียิปต์เพราะซีซีย์เป็นเด็กในคาถาของสหรัฐอเมริกานั่นเอง

Margolis อธิบายเพิ่มเติมว่าดีกรีความเกลียดชังของชาติตะวันตกและสหรัฐอเมริกาที่มีต่อเเอร์โดอานได้ถึงจุดเดือด เมื่อแอร์โดอานได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเป็นประธานาธิบดี พร้อมอำนาจล้นฟ้าภายใต้ระบอบประธานาธิบดี ที่กล่าวได้ว่าเเอร์โดอานกลายเป็นผู้นำตุรกีที่มีความโดดเด่นที่สุดหลังยุคอะตาร์เตอร์ก

Margolis กล่าวทิ้งท้ายบทวิเคราะห์ของเขาว่า “หากตุรกีสามารถครอบครองแหล่งน้ำมันดังเช่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ตุรกีจะกลายเป็นมหาอำนาจโลกที่มีความสำคัญยิ่ง”


บทความนี้เผยแพร่ในภาษาอาหรับเมื่อวันที่ 04-07-2018

ถอดความโดย Mazlan Muhammad

อ่านต้นฉบับภาษาอาหรับ https://www.turkpress.co/node/50839