บันทึกเหตุการณ์ลับ ลวง พรางที่ Istana Negara มาเลเซีย (1)

เหตุการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ 23/2/2020 ได้สร้างความสับสนแก่ประชาชนชาวมาเลเซียทั่วประเทศ ที่มีรถหรูหลายคันพร้อมรถนำขบวนเข้าออกที่ Istana Negara กลายเป็นที่สนใจของนักข่าวทั้งในและต่างประเทศ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

ต่อมา ในช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 24/2/2020 ชาวมาเลเซียทั้งประเทศได้รับข่าวด่วนว่านายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานพรรค BERSATU

หลังจากที่ Pakatan Harapan ซึ่งเป็นแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ 14 ที่นำโดย ดร. เอ็ม สามารถคว่ำรัฐบาล BN ที่ผูกขาดอำนาจปกครองมาเลเซียมานานถึง 61 ปี ชนิดหักปากกาเซียนมาแล้ว

แต่รัฐนาวาของ PH ที่สามารถยึดปุตตราจายาได้สำเร็จเมื่อ พฤษภาคม 2018 ก็ไม่สามารถโลดแล่นได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่ากลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อตอนบ่ายของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (ดู https://www.theustaz.com/?p=2992)

นักวิเคราะห์การเมืองเชื่อว่า เหตุผลของการลาออกสะเทือนวงการครั้งนี้ น่าจะมาจากอาการไม่ปกติของพรรคร่วมรัฐบาลที่ประกอบด้วย BERSATU, PKR,DAP, Amanah และ Warisan พร้อมกับการรุกคืบของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ใช้ประตูหลังฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่ง ดร. เอ็มไม่เห็นด้วย

ท่ามกลางกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลมองหน้ากันไม่สนิท เมื่อพรรค Pas ได้ออกแถลงการณ์ว่า Pas พร้อมสนับสนุน ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรี หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้น

อุณหภูมิทางการเมืองยิ่งร้อนแรงเมื่อพรรคแนวร่วมรัฐบาล เริ่มใช้เสียงดังทวงคืนสัญญาที่ ดร. เอ็ม เคยให้ไว้ตอนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆว่า หลังจากดำรงตำแหน่ง 2 ปี ก็จะมอบตำแหน่งนี้ให้แก่นายอันวาร์ อิบรอฮิมต่อ

ด้วยสัญญานี้ ทำให้ ดร. เอ็ม ที่สามารถกวาดที่นั่งเข้าสภาเพียง 13 ที่นั่งได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 เทียบกับ PKR(47),DAP(42),Amanah(11), และ Warisan(8) ในคราวเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ 14 ที่ผ่านมา

ดร. เอ็ม ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตนพร้อมสละตำแหน่งนี้ตามสัญญา หลังประชุมสุดยอด APEC ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2020 แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคลางแคลงใจและเริ่มกดดันให้ ดร. เอ็มกำหนดวันเวลาที่แน่นอนเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่รอคอย

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2020 แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านประกอบด้วย UMNO,Pas,MIC และ PBRS แอบย่องใช้ประตูหลัง เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเสนอจัดตั้งรัฐบาล Perikatan Nasional (พันธมิตรแห่งชาติ) ด้วยฐานเสียง สส. ที่การันตีว่ามีอยู่ในมือจำนวน 138 เสียงพร้อมยืนยันสนับสนุน ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรี

สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด เมื่อมีกลุ่มงูเห่า 11 คน จาก PH ซึ่งเป็นเด็กในคาถาของพรรค PKR ประกาศถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมเตรียมซบพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้แกนนำพรรครัฐบาลบางคนกล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่ทรยศทีเดียว

ช่วงนี้มีรายชื่อโพล คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะประกาศโดยพระราชาธิบดีได้ออกมาเป็นระยะๆ ท่ามกลางเสียงดีใจชื่นมื่นจากพรรคร่วมฝ่ายค้านและกลุ่มงูเห่า

มีหลายฝ่ายมองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นความพยายามทำรัฐประหารเงียบที่นำโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อสกัดและทำลายฐานอำนาจของ PH และ DAP โดยใช้ ดร. เอ็ม เป็นเครื่องมือ

แต่เหตุการณ์ในตอนบ่ายของวันที่ 24 กพ. ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน เมื่อ ดร. เอ็ม ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานพรรค BERSATU

สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียทรงรับและเห็นชอบการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ ดร. เอ็ม แต่คล้อยหลังเพียงไม่กี่นาที พระองค์ทรงแต่งตั้ง ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ

การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ทำให้ตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและตำแหน่งอื่นๆที่เกี่ยวข้องต้องสิ้นสภาพไปด้วย

แกนนำพรรค PKR,DAP และ Amanah ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนให้ ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อให้คำยืนยัน

แม้กระทั่งแกนนำพรรค BN,Pas พรรคจากซาบาห์ซาราวัคและกลุ่มงูเห่า PKR ก็ยืนยันสนับสนุน ดร. เอ็ม เป็นนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเหมือนหนังคนละม้วน เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีทรงรับสั่งให้สมาชิก สส. ทั้งหมดรวม 221 คนเข้าเฝ้าในตอนเย็นวันที่ 25 กพ. 2020 เพื่อสัมภาษณ์รายบุคคลว่า จะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งในรอบแรกมี สส. เข้าเฝ้า 90 คน (ดู https://www.theustaz.com/?p=3016)

หลังจากนั้นไม่นาน พรรคร่วมฝ่ายค้านรีบออกแถลงการณ์กลับลำ ถอนคำยืนยันที่เคยสนับสนุน ดร. เอ็ม พร้อมกดดันให้พระราชาธิบดีคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการยุบสภาและถือว่าการเรียกสัมภาษณ์ สส. รายบุคคลเพื่อคัดเลือกนายกรัฐมนตรี เป็นการกระทำที่ผิดครรลองประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เพียง 2 วัน พรรคร่วมฝ่ายค้านใช้แผนปฏิวัติเงียบด้วยการใช้ประตูหลังเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่แพ้การเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเป็นการกระทำที่ผิดครรลองประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
(ดู https://www.facebook.com/180273065421411/posts/2731429043639121/?d=n)

หลังการสัมภาษณ์รายบุคคลรอบ 2 เสร็จสิ้น ล่าสุด ช่วงเย็นในวันที่ 26/2/2020 ดร. เอ็ม ได้ออกคำแถลงการณ์ครั้งแรก เผยหากมีโอกาสขออาสาจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์ที่ไม่สังกัดฝ่ายใด พร้อมขอโทษประชาชนที่ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายทางการเมือง วอนให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
(ดู https://www.facebook.com/180273065421411/posts/2733000660148626/?d=n)

หลังจากนั้น ไม่ถึงชั่วโมง นายอันวาร์ อิบรอฮิม นำแกนนำพรรค PH แถลงข่าวประกาศว่า พรรค PH เสนอชื่อ นายอันวาร์ อิบรอฮิม เป็นนายก รมต. คนที่ 8 ของมาเลเซียต่อไป พร้อมยืนยันว่าไม่สนับสนุนจัดตั้งรัฐบาลโดยใช้ประตูหลัง
(ดู https://www.facebook.com/180273065421411/posts/2733055020143190/?d=n)

ต้องเฝ้าดูว่า เส้นทางของนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 จะไปต่อหรือเริ่มนับใหม่ด้วยการยุบสภา
Wait & See

ความแตกต่างระหว่างสองผู้นำอียิปต์ที่เสียชีวิต

ดร. มูฮัมมัด มุรซีย์

  • ห้ามละหมาดยกเว้นคนใกล้ชิดในครอบครัว 3-4 คนเท่านั้น
  • มีการใส่ร้ายตามสี่อต่างๆด้วยข้อกล่าวหาสารพัด
  • ห้ามฝังศพในบ้านเกิด
  • ข่าวคราวถูกปิดเงียบและถูกคุ้มกันโดยกองกำลังทหารราวกับว่าอยู่ในบรรยากาศสงคราม
  • ถูกห้ามมิให้จัดพิธีไว้อาลัยใดๆ
  • เสียชีวิตในกรงสอบสวนขณะพิจารณาคดี
  • ไม่ได้รับการดูแลด้านสุขภาพ
  • ถูกขังเดี่ยวในคุกอย่างทรมาน

ฮอสนีย์ มุบารัค

  • รัฐบาลจัดพิธีสวนสนามเพื่อไว้อาลัยศพอย่างสมเกียรติ
  • สื่อทั้งในและต่างประเทศโหมโรงข่าวใหญ่โต
  • ถูกฝังศพในบ้านเกิด
  • มีพิธีไว้อาลัยอย่างเป็นทางการโดยรัฐบาล
  • ผู้นำทั่วโลกร่วมไว้อาลัย
  • เสียชีวิตในโรงพยาบาล
  • ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด
  • ถูกตัดสินเข้าคุกแต่ไม่เคยอยู่ในคุกเว้นแต่ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

อดีตประธานาธิบดีมุบารัคเสียชีวิตแล้วในวัย 92 ปี

ทีวีทางการอิยิปต์เผยแพร่ข่าวยืนยันว่า นายฮอสนีย์ มุบารัค อดีตประธานาธิบดีอิยิปต์ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนาน 30 ปี ได้เสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลทหาร กรุงไคโรเมื่อเช้าวันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ขณะมีอายุ 92 ปีหลังจากถูกรุมเร้าด้วยโรคประจำตัวมาหลายปี

สำหรับ ฮอสนีย์ มูบารัคเคยครองอำนาจเหนืออียิปต์นานถึง 30 ปี จนกระทั่งในช่วงปรากฎการณ์อาหรับสปริง มูบารัคถูกประชาชนลุกฮือขึ้นประท้วงขับไล่ และโค่นเขาลงจากตำแหน่งได้ในปี 2011 หลังจากนั้นมูบารัคถูกคุมขังอยู่นานถึง 6 ปี ด้วยข้อหาหลายคดี รวมถึงคอร์รัปชั่นและเข่นฆ่าผู้ประท้วงในช่วงการลุกฮือของประชาชน ก่อนได้รับอิสรภาพในปี 2017

إنا لله وإنا إليه راجعون

สส. ทุกคนยกเว้นนายก รมต. รักษาการ ได้รับเชิญเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียเพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 8

25 กุมภาพันธ์ 2020 Datuk pengelola bijaya diraja istana negara, Datuk Ahmad Fadil Shamsuddin ได้แถลงข่าวระบุว่าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย ทรงรับสั่งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดยกเว้นนายกรัฐมนตรีรักษาการเข้าเฝ้าเพื่อสัมภาษณ์รายบุคคล กรณีการเสนอชื่อผู้สมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 แห่งมาเลเซีย

เพื่อให้เป็นไปตามความในรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธรัฐมาเลเซียข้อ 43(2)(a) สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซียทรงรับสั่งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันเข้าเฝ้าให้สัมภาษณ์รายบุคคล เพื่อสอบถามผู้สมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 แห่งมาเลเซีย ในการนี้ สส. จำนวน 221 ท่านจะถูกเรียกสัมภาษณ์เป็นรายบุคคลโดยไม่คำนึงถึงพรรคที่สังกัด ยกเว้นนายกรัฐมนตรีรักษาการที่ไม่ต้องเข้าเฝ้าเพื่อให้สัมภาษณ์ส่วนบุคคล

Datuk Ahmad Fadil กล่าวว่า การสัมภาษณ์รายบุคคลจะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือช่วงแรกในวันนี้จะมีการเชิญสส. จำนวน 90 ท่าน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการต่อวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้จะใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณท่านละ 2-3 นาที โดยมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ร่วมเป็นสักขีพยาน

อ้างจาก http://www.astroawani.com/berita-politik/semua-ahli-parlimen-kecuali-tun-m-dititah-menghadap-agong-hari-ini-dan-esok-231653

กิจกรรมประจำวันของทหารอิสราเอลที่แผ่นดินปาเลสไตน์

วิธีขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากบ้านตนเองเพื่อจะยึดแล้วสร้างนิคมใหม่ให้กลุ่มชาวยิวอพยพในอิสราเอลก็คือทหารอิสราเอลจะพากันไปที่บ้านหรือชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมาย จากนั้น ยิงแก๊สน้ำตาเข้าไปในบ้าน ให้เจ้าของบ้านออกจากบ้านไป พอเจ้าของบ้านทนแก๊สไม่ได้ ออกมาข้างนอกบ้าน ทหารอิสราเอลก็จะกันไม่ให้กลับเข้าบ้าน ยึดบ้านไว้เลย

จากนั้นก็ใช้รถแมคโครมาทุบบ้านและรถแทรกเตอร์ขนเศษหินออกไปจากบริเวณบ้าน จากนั้น ก็จะสร้างแฟล็ตหรืออพาร์ทเม้นท์ให้ชาวยิวอยู่แทน เป็นการปล้นกลางแดด โดยที่สื่อมวลชนไทยไม่เคยเสนอข่าวให้อ่านกันเลย

เหตุผลประการเดียวที่รัฐบาลอิสราเอลใช้เป็นข้ออ้างคือ เพื่อประกันความมั่นคงของชาวยิว ชุมชนปาเลสไตน์สร้างบ้านใกล้กับกำแพงมากเกินไป ทั้งๆที่ชุมชนปาเลสไตน์เกิดก่อนกำแพงยิวนานกว่า 1,000 ปี

บางกรณี ทหารยิวไปติดประกาศหน้าบ้านชุมชนปาเลสไตน์ พร้อมกำหนดเวลาให้รื้อบ้านและอพยพภายในเวลาที่กำหนด หากเลยเวลา ทหารยิวจะมาทุบทิ้ง และเจ้าของบ้านต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้แก่ผู้รุกราน

ข่าวคราวในลักษณะนี้ สื่อโลกโดยเฉพาะสื่อไทยไม่ค่อยนำเสนอ ทั้งๆที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเปิดเผยท่ามกลางสายตาของคนทั่วโลก และที่สำคัญ เป็นเหตุการณ์รายวันที่ยืดเยื้อนานนับศตวรรษ

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

ทหารยิวใช้รถแทรกเตอร์กวาดศพหนุ่มปาเลสไตน์

23 กพ. 63 อัลจาซีร่าห์ นำเสนอคลิปวิดิโอที่ถูกเผยแพร่ตามสื่อโซเชียล เหตุการณ์ที่ทหารยิวใช้รถกวาดศพหนุ่มปาเลสไตน์ โดยมีรถถังอิสราเอลให้การคุ้มครองอยู่ใกล้ๆ ท่ามกลางเสียงปืนจากทหารยิวที่กราดยิงฝูงชนที่จะไปให้ความช่วยเหลือ

เหตุรุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองคอนยูนุส ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซ่า โดยกลุ่มปกป้องปาเลสไตน์และกระทรวงการต่างประเทศปาเลสไตน์ ได้ประณามอาชญากรรมครั้งนี้ พร้อมถือว่าเป็นการกระทำเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานและไร้มนุษยธรรม

นายเฟาซี บัรฮูม โฆษกกลุ่มฮามาสกล่าวว่า การที่รัฐบาลอิสราเอลได้ก่อเหตุร้ายครั้งนี้ ไม่สามารถหยุดยั้งการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวปาเลสไตน์ได้ มีแต่จะทำให้เรามีความเข้มแข็งที่เพิ่มพูน ในขณะที่นายมุศอับ อัลบุเร็มโฆษกกลุ่มญีฮาด อิสลามี กล่าวว่ารัฐเถื่อนอิสราเอลจะต้องชดใช้อาชญากรรมที่ได้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ครั้งนี้

ดูรายละเอียดที่
https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/2/23/%D9%81%D9%84%D8%B3%D8%B7%D9%8A%D9%86-%D8%BA%D8%B2%D8%A9-%D8%B4%D9%87%D9%8A%D8%AF-%D8%AE%D8%A7%D9%86%D9%8A%D9%88%D9%86%D8%B3-%D8%AC%D8%AB%D9%85%D8%A7%D9%86-%D8%B3%D8%AD%D9%84-%D8%A7%D9%84%D8%A7%D8%AD%D8%AA%D9%84%D8%A7%D9%84

ทูตอังกฤษคนแรกที่ประกอบพิธีฮัจญ์

นายไซมอน คอลลินส์ (Simon Collins) อายุ 64 ปี ถือเป็นเอกอัครราชทูตอังกฤษคนแรกที่ประกอบพิธีฮัจญ์ เมื่อเข้ารับอิสลามหลังจากใช้ชีวิตกับชาวมุสลิมนานกว่า 30 ปี และกล่าวว่า ข้าพเจ้ารับอิสลาม หลังจากได้รับทราบแก่นแกนของอิสลามที่แท้จริง

เข้ารับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ โดยตลอดชีวิตราชการ เขาต้องไปประจำตำแหน่งที่ประเทศแถบตะวันออกกลางหลายประเทศ เช่น อิรัก ซีเรีย กาตาร์ คูเวต จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยเมน ตูนิเซียและล่าสุดเมื่อปี 2015 รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย จนกระทั่งเขาสามารถพูดและอ่านภาษาอาหรับได้อย่างแตกฉาน ซึ่งทำให้เขาใช้โอกาสศึกษาแก่นแท้ของอิสลามอย่างจริงจัง จนกระทั่งในปี 2011 เขาได้ประกาศรับอิสลามและได้แต่งงานกับสตรีชาวซีเรียชื่อฮูดา

ในปี 2016 ทั้งสองคนได้ประกอบพิธีฮัจญ์ ทำให้นายไซมอน คอลลินส์ กลายเป็นเจ้าหน้าที่ในกระทรวงต่างประเทศอังกฤษตำแหน่งเอกอัครราชทูตคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่ประกอบพิธีฮัจญ์

ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษก็ได้ยินยันข่าวดังกล่าว และถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถกระทำได้ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะไม่ก้าวก่ายแต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.sarayanews.com/print.php?id=387799
https://www.bbc.com/arabic/worldnews/2016/09/160915_uk_ambassador_hajj
https://www.rt.com/uk/359422-saudi-ambassador-muslim-convert/

แผนสกัดตุรกี

บทความร้อนๆ ของอิบรอฮีม กราฆูล บรรณาธิการ yenisafak นสพ.ตุรกี สายนิยมรัฐบาล (ตอนที่ 2)

อิหร่านแบกรับความผิดเท่ากับรัสเซียในการโจมตีอิดลิบและกองกำลังตุรกีที่นั่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ มิหนำซ้ำ ในความเป็นจริง ผู้ที่ดำเนินการโจมตีเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับคำสั่งจากอิหร่านและสมุนในซีเรีย

ไม่มีข้อสงสัยใดๆ สำหรับทุกคนในวันนี้ว่าประเทศทั้งสองใช้ข้อตกลงแอสตานาและโซซี เป็นเครื่องมือประวิงเวลาให้ระบอบอะซัด และเล่นเหลี่ยมกับตุรกี

เหมือนกับที่สหรัฐอเมริกาที่ได้ทำสัญญากับตุรกีหลายครั้ง เพื่อประวิงเวลาให้องค์กรการก่อการร้าย PKK ในซีเรียตอนเหนือ แต่อเมริกาไม่เคยทำตามข้อตกลงดังกล่าว ตอนนี้รัสเซียกำลังใช้กลยุทธ์เดียวกัน พวกเขากำลังล้อเล่นกับตุรกี

• เราจะโจมตีระบอบอะซัดในทุกหนแห่ง

สิทธิ์ของตุรกีในการป้องกันตัวเองไม่อยู่ภายใต้ “การต่อรอง”ใดๆ

ประธานาธิบดีแอร์โดฆานกล่าวว่า “เราจะโจมตีระบอบอะซัดทุกหนทุกแห่ง ถ้าเริ่มการโจมตีเราก่อน” เป็นวลีที่พิสูจน์ว่า เกิด “นิยามใหม่” ในสงครามซีเรีย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเจรจาทางการเมืองกับรัสเซียเป็นพื้นฐานหลัก และการหารือกับสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องสำคัญ แต่สงครามซีเรียได้กลายเป็นสงครามกับตุรกีไปแล้ว

ขอพูดอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาจุดชนวนสงครามในซีเรียโดยมีเป้าหมายที่ตุรกี เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของแผน “กดทับตุรกีไม่ให้โต” พวกเขาวางแผนและดำเนินการตามแผน “ทางผ่านของกลุ่มก่อการร้าย” ที่ทอดยาวจากชายแดนอิหร่านไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาด้วยรถบรรทุกหลายพันคันที่เต็มไปด้วยกระสุนเพื่อสร้าง “แนวหน้าต่อต้านตุรกี”

สำหรับตุรกีนั้น ได้ทำ “ปฏิบัติการโล่ห์ยูเฟรติส Euphrates Shield” “ปฏิบัติการกิ่งมะกอก” และ”ปฏิบัติการต้นน้ำสันติภาพ Spring of Peace” เพื่อปกป้องตัวเองและปกป้องดินแดนของอนาโตเลียเท่านั้น จุดยืนของตุรกีในอิดลิบและดินแดนที่ลึกเข้าไป เป็นการปกป้องตัวเอง และเป็นสิทธิ์ที่ไม่สามารถต่อรองได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

• การปิดล้อมในเขตซีเรีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ทะเลอีเจียนและทะเลดำ

• เราจะไม่ถอย !

ทั้งอเมริกาและรัสเซีย ไม่ควรมองความพยายามของตุรกีในการหาทางออกทางการเมืองว่าเป็น “ความอ่อนแอ” ยุคที่ตุรกีเอาตัวรอดและดำเนินนโยบายกลับไปกลับมาระหว่างอเมริกาและรัสเซีย หรือมหาอำนาจอื่นๆ ได้สิ้นสุดไปแล้ว

แผนที่ของมหาอำนาจทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เช่นเดียวกับสัญญานของตุรกีในการค้นหาอำนาจ และมุมมองต่อภูมิภาคและต่อโลกได้เปลี่ยนแปลงไป แล้ว เรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ ที่สามารถรักษาความอยู่รอดของเราได้โดยการพัฒนา และเพิ่มความแข็งแกร่ง หรือจะถอยยอมแพ้

ไม่เคยปรากฏในช่วงเวลาใดๆ ในประวัติศาสตร์ของตุรกีว่า ตุรกีรักษาความอยู่รอดของตนโดยการถอย

พวกเขาเหล่านั้นดำเนินแผนการปิดล้อมตุรกีทุกด้าน จากซีเรีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ทะเลอีเจียนและทะเลดำ โดยมีเจตนาเพื่อกดทับตุรกีไม่ให้โต นี่คือจุดประสงค์ของแผนทั้งหมดที่พวกเขาได้ดำเนินการ และดำเนินการผ่านกลุ่ม PKK องค์กรก่อการร้ายกูเลน และฝ่ายการเมืองที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นในตุรกี

อ่านตอนที่ 1 คลิ๊ก > https://www.theustaz.com/?p=2909

อ่านบทความต้นฉบับ https://m.yenisafak.com/ar/columns/ibrahimkaragul/2042780

โดย Ghazali Benmad

พวกเขาต้องการซีเรียเป็นแบบไหนกัน

อ่านความคิดเติร์ก ต่อจุดยืนตุรกีในอิดลิบ จากบทความร้อนๆ ของอิบรอฮีม กราฆูล บรรณาธิการ yenisafak นสพ.ตุรกี สายนิยมรัฐบาล (ตอนที่ 1)

ด้วยเหตุนี้กระมัง ที่โลกทั้งผองกำลังโดดเดี่ยวตุรกีและชี้หน้าตุรกีว่าเป็นประเทศก่อการร้าย


ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีและรัสเซียได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในอิดลิบ
ผู้มีอำนาจในอเมริกา อังกฤษและอิสราเอล ได้รีบเร่งการเคลื่อนไหวทันที และไปถึงจุดที่เกือบจะทำให้พวกเขาพูดว่า “มาๆ เรามายิงเครื่องบินรัสเซียลำใหม่และเข้าสู่การทำสงครามต่อต้านรัสเซียเลย”

อย่าลืมว่า อเมริกาและอิสราเอลเคยมีการปฏิบัติเช่นนี้ ผ่านองค์กรก่อการร้ายกูเลน ก่อนการก่อกบฏเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม

พวกเขาต้องการให้ตุรกี-รัสเซีย เข้าสู่สงครามที่ใกล้เข้ามา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป้าหมายไม่ใช่ซีเรีย แต่เพื่อจุดชนวนสงครามระหว่างตุรกีและรัสเซีย และเมื่อสงครามครั้งนี้ระเบิดขึ้น ตะวันตกจะเริ่มต้นจู่โจมตุรกีเพื่อจัดตั้งรัฐสำหรับองค์กรก่อการร้ายกูเลน

• อเมริกาและอังกฤษสนับสนุนฝ่ายไหน ?

ในทุกวันนี้ อเมริกาและสหราชอาณาจักรยังไม่ยอมแพ้ที่จะให้การสนับสนุนกลุ่มดังกล่าวในลักษณะเดียวกับในอดีต ผ่านแถลงการณ์ต่อเนื่องเพื่อจุดชนวนวิกฤติระหว่างตุรกีและรัสเซีย แผนการที่วางอยู่บนโต๊ะมีการแทนที่องค์กรก่อการร้ายกูเลนด้วยตัวเลือกอื่น ๆ โดยเฉพาะตัวเลือกที่มีลักษณะอนุรักษ์นิยม

เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะวิเคราะห์ทุกอย่างตามขนาด ผลกระทบและฐานะที่แท้จริง เพราะตุรกีเคยเสียหายสำหรับการยอมจำนนต่อบางฝ่ายที่มีวาระซ่อนเร้น บางคนจุดชนวนสงครามในซีเรียและโยนมันลงในความรับผิดชอบของตุรกี และผู้ที่ปลุกระดมความคิดเห็นของสาธารณะชนเกี่ยวกับสงครามในเวลานั้น กลับซุกหัวในความเงียบหลังจากที่ตุรกีอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

• สำหรับสถานการณ์ตอนนี้เป็นดังนี้

ปัญหาของอิดลิบเป็นปัญหาของผู้ลี้ภัยชาวอาหรับสุหนี่หลายล้านคน ที่ได้รับการทอดทิ้งจากระบอบการปกครองของซีเรีย “เขตลดระดับความรุนแรง” เกิดขึ้นจากการบรรลุข้อตกลงระหว่างตุรกีและรัสเซีย จากนั้นอิหร่านและระบอบการปกครองของดามัสกัสก็ได้ให้สัตยาบัน ซึ่งการกำหนดเขตลดระดับความรุนแรงเป็นวิธีในการปกป้องพลเรือนนับล้าน

• ทำไมรัสเซียและอิหร่านไม่ออกมาพูดแม้แต่คำเดียวเพื่อต่อต้านสิ่งที่อเมริกาและ PKK กำลังทำ ?

ทำไมอิหร่านถึงเงียบเฉยต่อการกระทำของอิสราเอล?

ดูเหมือนว่ารัสเซียและอิหร่านเชื่อว่าความแข็งแกร่งของระบอบการปกครองดามัสกัสเพิ่มมากขึ้น พวกเขาจึงเรียกร้องให้ตุรกีถอนตัวจากภูมิภาคดังกล่าว โดยการเรียกร้องสู่ “ความเป็นหนึ่งเดียวของซีเรีย” แต่ในขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาไม่พูดอะไรเลยเพื่อต่อต้านสิ่งที่อเมริกาและ PKK กำลังทำอยู่ ทั้งๆที่พวกเขาสามารถควบคุมดินแดนได้ถึงหนึ่งในสามของพื้นที่ซีเรียทั้งหมด

ทั้งรัสเซียและอิหร่านหรือแม้แต่ระบอบการปกครองของซีเรีย ไม่มีการต่อต้านการยึดครองของอเมริกาและกลุ่ม PKK และพวกเขาไม่เคยพูด – โดยเฉพาะอิหร่าน- เกี่ยวกับการโจมตีของอิสราเอลต่อดามัสกัส

• พวกเขาต้องการซีเรียแบบไหน รัฐสำหรับชนกลุ่มน้อยทางนิกาย? สถานะของชาวอาหรับสุหนี่หลายล้านอยู่ที่ไหน ?

พวกเขากำลังพูดถึงซีเรียหนึ่งเดียวอะไร ? ซีเรียแบบไหน ? พวกเขากำลังพูดถึงชนกลุ่มน้อยในนิกายที่ระบอบการปกครองของดามัสกัสสนับสนุน? ชะตากรรมของผู้พลัดถิ่นและผู้ลี้ภัยหลายล้านคนในอิดลิบ และผู้ลี้ภัยอื่น ๆ อีกหลายล้านคนในตุรกีเป็นอย่างไร ?

ซีเรียสำหรับคนเหล่านี้อยู่ที่ไหน ระบอบการปกครองของดามัสกัสเป็นรัฐบาลชนกลุ่มน้อยซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากประชากรส่วนใหญ่ ซีเรียหนึ่งเดียวแบบไหนที่รัสเซียและอิหร่านต้องการ

อ่านตอนที่ 2 คลิ๊ก > https://www.theustaz.com/?p=2949

ถอดความโดย Ghazali Benmad

อ่านบทความต้นฉบับ https://m.yenisafak.com/ar/columns/ibrahimkaragul/2042780

ตุรกี-รัสเซีย ใกล้ถึงจุดแตกหัก

อัลจาซีร่าวิเคราะห์ ตุรกี-รัสเซีย ใกล้ถึงจุดแตกหัก

รัฐบาลอะซัดและรัสเซีย ยังคงเดินหน้าถล่มเมืองอิดลิบ หวังขยี้ที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายต่อต้าน ในขณะที่ตุรกีกร้าว อิดลิบเป็นเขตหวงห้ามตามข้อตกลงโซกี และแอสตานา เพราะพัวพันความมั่นคงภายในของตุรกี พร้อมส่งทหารเข้าเสริมกำลังตลอดเวลา

ในขณะที่รัสเซียอ้างว่าไม่ได้โจมตีฝ่ายต่อต้านแต่โจมตีกลุ่มก่อการร้าย

การถล่มของอะซัดและรัสเซียในครั้งนี้ ทำให้ชาวซีเรียนับล้านต้องอพยพมุ่งหน้าไปยังตุรกี

ต่อมาวานนี้ 16/2/2563 ประธานาธิบดีรัสเซียและตุรกีได้ต่อสายเจรจากัน แต่ไร้ผล หลังจากนั้น ประธานาธิบดีตุรกีออกมาแถลงยืนยัน ระบอบอะซัดต้องออกไปจากเขตลดความรุนแรงในอิดลิบ ตามข้อตกลงเดิมภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ หาไม่แล้วตุรกีจะบังคับให้ออกไปเอง

ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียยังคงยืนกราน ต้องใช้การทูตมาเจรจาหาแนวทางแก้ปัญหาอิดลิบ

ด้วยจุดยืนที่ขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วและยังหาทางออกไม่ได้ นับเป็นความขัดแย้งครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติซีเรีย และมีแนวโน้มการปะทะกันโดยตรงครั้งแรกระหว่างตุรกีกับรัสเซีย ( อัลจาซีร่า )

โดย Ghazali Benmad