Bangkitlah Anak Bangsaku

Bangkitlah Anak Bangsaku
Berpuluh-puluh tahun
Bangsaku layu dalam duka
Sayu dalam derita
Semu dalam kedamaian
Sendu dalam kehidupan
Kejahatan dipuja-puja
Jenayah terjadi di mana-mana
Dadah menjadi bisa
Setiap kampung ada mangsa
Kanak-kanak sampai tua
Ada pelbagai jenama
Murah mahalpun ada
Anak bangsa dalam bahaya
Rusak akal jiwanya
Kita belum menyadarinya
Masih berlaga sesama
Merebut kuasa dan tahta
Dalang pembenci kita
Tertawa-tawa melihatnya
Kehancuran generasi kita
Bangkitlah anak bangsaku
Basmikan jahanam itu
Kita akan kembali semula
Menjadi bangsa bermutu

Nukilan : Prof.Madya Dr. Phaosan Jehwae

กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ ผู้นำพาอิสลามไปยังชาวอุยกูร์

กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ นักหะดีษคนสำคัญและเป็นจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม ผู้นำอิสลามไปดินแดนไกลสุดของโลกตะวันออก

กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ (อายุ 48 ปี เกิดช่วง ฮ.ศ 48- ฮ.ศ.96 / ค.ศ.669 -ค.ศ.715) จอมทัพของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ผู้สยบจักรพรรดิจีนและนำอิสลามไปยังดินแดนตุรกีสถานตะวันออก (ซินเกียง)และนับเป็นแม่ทัพมุสลิมที่สามารถนำพาอิสลามไปพิชิตดินแดนจีนได้ลึกที่สุด

ในทางวิชาการ ได้รายงานหะดีษจากอิมรอน บินหุศ็อยน์ และอบูสะอีด อัลคุดรีย์

ในทางทหาร เป็นแม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ยุคคอลีฟะฮ์วะลีด บินอับดุลมาลิก ผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว เจ้ากลยุทธ์ ผู้พิชิตเมืองคอวาริซม์ บุคอรอ สะมัรกันด์ ฟัรกอนะฮ์ และดินแดนของเติร์ก ปี ฮ.ศ. 95

แม้ว่าดินแดนเปอร์เซียจะเข้ารับอิสลามในยุคคอลีฟะฮ์รอชิดีน แต่ชนชาติเติร์กเผ่าต่างๆ ที่มีจำนวนมากกว่าชาวเปอร์เซียเข้ารับอิสลามในยุคของกุตัยบะฮ์

เป็นผู้ว่าการเมืองคอรอซาน 10 ปี

ใน 10 ปีนี้ สามารถพิชิตดินแดนได้กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ผู้คนมากมายเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ไปจนกระทั่งถึงเมืองกัชการ์ ดินแดนตุรกีสถานตะวันออกหรือซินเกียงในปัจจุบัน

ขณะเดินทางไปพิชิตดินแดนจีน ได้ทราบข่าวว่า คอลีฟะห์วะลีด บินอับดุลมาลิก เสียชีวิต แต่ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปจนกระทั่งพิชิตได้

ชาวเติร์กเผ่าต่างๆ ต่างประทับใจในบุคลิกภาพด้านการทหารของท่าน จึงเข้ารับอิสลามเป็นจำนวนมหาศาล กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เป็นสะพานเชื่อมที่ทำให้ชาวเติร์กได้เห็นสัญลักษณ์ความดีงามที่แท้จริงรวมถึงความกล้าหาญและความเป็นลูกผู้ชาย ตลอดจนคุณธรรมอิสลามอันสูงส่งที่ปรากฏอยู่ในบุคลิกของท่าน

การที่ชนชาติเติร์กเข้ารับอิสลาม ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เพราะชนชาติเติร์กมีบทบาทสูงในการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ไปทั่วทวีปเอเชีย ทั้งชนชาติเติร์กเผ่าซัลจู๊ก เผ่าออตโตมัน เผ่าอุซเบก และมัมลู้ก บุคคลเหล่านี้มีผลงานรับใช้อิสลามอันยิ่งใหญ่ รวมถึงชนชาติเติร์กในดาเกสถาน เชชเนีย กอซันวี และกูรีย์ ผู้พิชิตอินเดีย ผลงานอันยิ่งใหญ่เหล่านี้เมล็ดพันธุ์เม็ดแรกมาจากกุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์

ความยิ่งใหญ่ที่ศัตรูทั่วทั้งเอเชียกลางทุกแว่นแคว้น ต่างพรั่นพรึงและไม่อาจรับมือได้ กลับต้องพ่ายแพ้กลเกมการชิงอำนาจในราชสำนักแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์

คนดีที่โลกลืม กุตัยบะฮ์ บินมุสลิม อัลบาฮิลีย์ ถูกล้อมฆ่าโดยมุสลิมด้วยกัน แต่แนวคิดทางการเมืองต่างกัน

ครอบครัว ลูกเมียถูกล้อมฆ่าในบ้านวีรบุรุษอิสลามผู้ยิ่งใหญ่ ถูกตัดหัวส่งให้ผู้นำทางการเมืองที่แย่งชิงบัลลังก์อำนาจ ร่างของท่านถูกฝังทางภาคตะวันออกของประเทศอุซเบกิสถานในปัจจุบัน

ปิดฉากความยิ่งใหญ่ทั้งปวงในโลกนี้ หลังจากสามารถยาตราทัพอิสลามไปถึงดินแดนตุรกีสถานตะวันออก เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่มีแม่ทัพมุสลิมคนใดสามารถไปไกลกว่านั้นได้อีก ตราบถึงวันนี้

นี่คือสิ่งที่วีรบุรุษอิสลามผู้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ได้รับการตอบแทนในวันนั้น

และการสาปแช่งจากชนรุ่นหลังที่ไม่รู้จักบุญคุณคน

วีรบุรุษอิสลามมากมายได้รับผลตอบแทนเฉกเช่นนี้

จากประชาชาติที่โง่งมงาย ไม่รู้ถูกผิด

จะทำฉันใดได้อีก

นอกจากร้องทุกข์ต่อองค์อภิบาล

ในวันที่ชาวอุยกูร์นับสิบล้านในดินแดนนี้ กำลังถูกกดขี่บังคับให้ละทิ้งศาสนาอิสลาม กลับคืนศาสนาเดิม โดยที่ไร้วีรบุรุษเฉกเช่นท่านกุตัยบะฮ์คอยปกป้องคุ้มครอง

เขียนโดย Ghazali Benmad

ผู้ล้มละลาย มี 3 ประเภท

1. สุนัขล่าเหยื่อ เหน็ดเหนื่อยไล่ตะครุบเหยื่อจนลิ้นห้อย เลียแข้งเลียขานาย สุดท้ายต้องมอบเหยื่อที่ล่าให้นายเสวยสุข เจ้าตัวได้แต่มองตาปริปๆ

2. คนตระหนี่ถี่เหนียว อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ ไม่ค่อยแตะต้องเงินทองหรือสิ่งของที่รวบรวมมาทั้งชีวิต เพื่อบริจาคในหนทางของอัลลอฮ์ เมื่อถึงลิขิตแห่งเวลา ทุกอย่างก็ต้องจากจร ปล่อยให้คนอื่นมาเชยชม

3. คนชอบนินทาและทำร้ายผู้อื่น อุตส่าห์สะสมแต้มแห่งความดีตลอดชีวิต แต่ในวันอาคิเราะฮ์ ความดีที่ได้ปฏิบัติถูกกินรวบ เพราะความดีของตนจะถูกถ่ายโอนมอบให้คนที่เขาเคยนินทาหรือทำร้าย แถมบาปของคนเหล่านั้นถูกยัดใส่ตน เพื่อชดเชยความผิดพลาดของตนที่ได้ก่อไว้

ประเภทที่ 3 นี้คือผู้ล้มละลายอย่างแท้จริง ตามหะดีษนบี


อย่าเป็นสุนัขรับใช้ อย่าตระหนี่ถี่เหนียว อย่านินทาและทำร้ายคนอื่น

نسأل الله لنا ولكم السلامة والعافية

Guru oh guru – แด่คุณครู

Keratan dari sajak guru oh guru
Nukilan : Osman Awang

Jika hari ini seorang Perdana Menteri berkuasa.
Jika hari ini seorang Raja menaiki takhta.
Jika hari ini seorang Presiden sebuah negara.
Jika hari ini seorang ulama yang mulia.
Jika hari ini seorang peguam menang bicara.
Jika hari ini seorang penulis terkemuka.
Jika hari ini siapa sahaja menjadi dewasa.
Sejarahnya dimulakan oleh seorang guru biasa.
Dengan lembut sabarnya mengajar tulis baca.

หากวันนี้คือนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจ
หากวันนี้คือราชาประทับบนบัลลังก์
หากวันนี้คือประธานาธิบดีปกครองประเทศ
หากวันนี้คือนักวิชาการผู้ทรงเกียรติ
หากวันนี้คือผู้พิพากษาพิจารณาความ
หากวันนี้คือนักเขียนนามอุโฆษ
หากวันนี้จะเป็นใครที่ได้เติบใหญ่
ประวัติของเขาจะต้องเริ่มต้นที่ครูแสนธรรมดา
ที่ได้เพียรสอนอ่านเขียนอย่างอารีและอดทน

มากกว่าสิ่งที่มองเห็น

ตะกอนความคิดส่วนหนึ่งจากซูเราะห์กะฮ์ฟี

ในช่วงการเดินทางระหว่างนบีมูซากับคิฎิร มีเหตุการณ์เกิดขึ้น ๓ อย่าง
๑.คิฎิรจงใจทำให้เรือของคนจนรั่ว
๒.คิฎิรจงใจฆ่าเด็กผู้ชายคนหนึ่ง และ
๓. คิฎิรอาสาสร้างกำแพงให้กับชาวเมืองที่ไม่ได้แยแสจะเป็นมิตรกับใคร

นบีมูซาไม่เห็นด้วยกับการกระทำทั้งหมดของคิฎิร ทนไม่ได้กับสิ่งที่เกิดจนร้อนตัวต้องคัดค้านกับทุกเรื่อง แล้วในที่สุด คิฎิรก็เฉลยถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด

อัลลอฮกำหนดให้เรือนั้นรั่ว
เพราะข้างหน้าเรือลำนี้จะเจอการปล้นสะดม
อัลลอฮกำหนดให้เด็กนั้นถูกฆ่า
เพราะในอนาคตเด็กคนนี้จะอกตัญญูและเนรคุณต่อพ่อแม่ที่แสนดี
อัลลอฮกำหนดให้อาสาสร้างกำแพงนั้นโดยไม่ได้ให้ผลประโยชน์ใดๆ
เพราะพระองค์ต้องการจะปกป้องทรัพย์สมบัติที่ฝังอยู่ข้างใต้นั้น ให้กับเด็กกำพร้าสองคนจนกว่าจะถึงวัยอันควร

ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมีอะไรอีกมากมายข้างหน้าที่เรายังไม่รู้

เรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง?

มนุษย์เรารู้อะไรผิวเผินมาก แต่เรามักจะคิดว่าเรารู้เยอะแล้ว

บางครั้ง สิ่งที่เราเห็นและเข้าใจ ณ ปัจจุบัน อาจไม่ใช่บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด ยังมีเบื้องลึกอีกมากมายที่เราไม่รู้

หลายครั้ง ที่เราไม่เข้าใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ทำไมมันต้องเลวร้ายอย่างนั้น ทำไมมันต้องจบแบบนี้ เราร้อนรน คัดค้าน ขุ่นเคือง
บางครั้งยังเผลอล้ำเส้นตัดพ้อการกำหนดของพระเจ้าว่าไม่ดี นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะดีกับเรายังไงใช่ไหม?
แต่การไม่เห็นว่ามันดี ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ดีนี่นา #ยังมีอะไรที่ไม่รู้อีกเยอะจริงๆ

สงบใจเถอะคนดี #อัลลอฮไม่เคยให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเว้นแต่สิ่งนั้นจะดีต่อเรา
และอัลลอฮไม่เคยพรากสิ่งหนึ่งสิ่งใดเว้นแต่พระองค์จะทดแทนด้วยสิ่งที่ดีกว่าให้เรา

ถ้าเราคิดดีต่อพระเจ้าและเข้าใจตรงนี้ให้มาก เราจะรู้สึกอุ่นใจ และยอมรับในทุกการกำหนดของพระเจ้ามากขึ้น

เชื่อมั่นไว้นะ แผนการของ “อัลฮากีม” พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณนั้นย่อมสวยงามเสมอ

ตอนนี้เราอาจยังไม่เห็นว่ามันดียังไง แต่ศรัทธาจะช่วยให้เราเชื่อมั่น..ว่ามันต้องดี และมันก็ดีจริงๆ

ศรัทธาช่วยเราได้จริงๆ

ขอเป็นกำลังใจและดุอาอ์ให้ในวันที่เธอไม่เข้าใจ
ขออัลลอฮมอบศรัทธาให้เธออุ่นใจ ขอพระองค์ทรงนำทาง
just have faith in Him. You just have to really trust Him.

กะฮ์ฟี…เพื่อใคร่ครวญ

เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr

เรื่องเล่าชายแดนใต้ (1)

ผมเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อไอกูบูหมู่ที่ 1 ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ติดถนนจารุเสถียร ห่างจากเมืองนราธิวาสไปทางสุไหงปาดีประมาณ 40 กม. ในอดีตหมู่ที่ 1 ประกอบด้วย 3 หมู่บ้านคือตลิ่งสูง ไอกูบูและป่าหวาย

อาจเป็นเพราะไอกูบูตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองหมู่บ้าน ทำให้ทางการเลือกแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านที่มาจากหมู่บ้านไอกูบู โดยมีคุณตาเป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก ปัจจุบันทั้ง 3 หมู่บ้าน ได้แยกส่วนบริหารต่างหากแล้ว

ไอกูบูมีประชากรมุสลิม 100 % แต่มีช่วงหนึ่งที่บริษัทโรงโม่หินจากสุไหงโกลก มาตั้งบริษัทระเบิดหิน ซึ่งห่างจากบ้านผมไม่ถึง 100 เมตร ผมจึงโชคดีที่ได้ยินเสียงระเบิดหินจากภูเขาหลังบ้านดังตูมตามวันละ 2 ครั้ง ทั้งเที่ยงและเย็นมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งสะเก็ดหินได้ตกมาหน้าบ้านพอทำให้ตกใจเล่น ส่วนเสียงโม่หินจากโรงงานนั้น ก็ได้สร้างสีสันดังครึกโครมทั้งวัน หากวันไหนโรงงานหยุด จะรู้สึกเงียบเหงาชอบกล ราวกับว่าใช้ชีวิตบนโลกอีกใบ

ครอบครัวผมและเพื่อนบ้าน จึงได้รับมลพิษทางเสียง อากาศและสภาพจิตใจนานเกือบ 30 ปีจนกระทั่งบริษัทเลิกกิจการไป เพราะไม่มีหินให้ระเบิด

ตลอดระยะเวลาดังกล่าว มีชาวบ้านเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่เป็นลูกจ้างบริษัทนี้ คนงานส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธที่มาจากภาคใต้ตอนบนกว่า 10 ครอบครัว บางครอบครัวมาจากอีสาน

บ้านป่าหวายในอดีต มีชาวพุทธอาศัยเกือบ 100% ส่วนบ้านตลิ่งสูงเป็นหมู่บ้านพหุวัฒนธรรมโดยแท้จริง เพราะมีมุสลิมและพุทธอาศัยอยู่ในอัตราส่วน 80 : 20 ชาวพุทธที่เป็นคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านนี้ จึงสามารถพูดภาษามลายูท้องถิ่นได้คล่องแคล่ว บางคนมีชื่ออิสลามที่ชาวบ้านตั้งให้ เช่น เจ๊ะดือราแม เจ๊ะเต๊ะ เป็นต้น

เจ๊ะดือราแม เป็นชาวตลิ่งสูงโดยกำเนิดจึงสามารถพูดมลายูได้ดี ส่วนเจ๊ะเต๊ะ มีบ้านเกิดที่ป่าหวาย พูดมลายูไม่ได้แต่ฟังมลายูรู้เรื่อง ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อที่พูดไทยไม่ได้ แต่ฟังคนแหลงใต้รู้เรื่อง

ผมยังจำได้ว่าทุกครั้งที่ 3 เกลอนี้เจอกันซึ่งส่วนใหญ่จะใช้แคร่หน้าบ้านเป็นที่นัดพบ ผมจะได้ยินเสียงภาษาสนทนาที่แปลกประหลาดมาก คนหนึ่งพูดมลายูท้องถิ่นในฐานะเจ้าภาพ อีกคนแหลงใต้เสียงดังฟังชัด และอีกคนพูดมลายูท้องถิ่นสำเนียงใต้

ยิ่งบางวันที่ สองเกลอต่างถิ่น นัดขี่จักรยานมาชวนคุยหน้าบ้านในสภาพที่ทั้งสองหน้าแดงก่ำพร้อมกลิ่นเหล้าฟุ้งกระจาย บรรยากาศก็จะเก๋ไก๋ไปอีกแบบ

ผมจึงมีโอกาสซึมซับบรรยากาศความผูกพันของสหายรักต่างศาสนิกตั้งแต่เยาว์วัย

ทั้ง 3 หมู่บ้านนี้มีโรงเรียนประถมที่สร้างขึ้น ณ ที่ดินที่อยู่ระหว่างหมู่บ้านไอกูบูกับหมู่บ้านตลิ่งสูง โดยที่ดินของโรงเรียนอยู่ในเขตหมู่บ้านตลิ่งสูงจึงตั้งชื่อว่าโรงเรียนบ้านตลิ่งสูง อยู่ใกล้บ้านประมาณ 800 ม.

ผมเรียนระดับประถม ป.1 ถึง ป.4 ที่โรงเรียนแห่งนี้ สมัยนั้นมีครูวิบูลย์ บุญรอด เป็นครูใหญ่ (ชาวบ้านเรียกติดปากว่าครูแดง มีภรรยาเป็นครูเช่นกัน ชาวบ้านเรียกว่าครูแมะแย) ทั้งสองพูดภาษามลายูได้คล่องแคล่ว และค่อนข้างสนิทสนมกับคุณพ่อเช่นกัน

ตั้งแต่ ป.1 ถึง ป.4 ทุกครั้งที่เปิดเรียนวันแรก คุณพ่อจะต้องลางานประจำคือกรีดยาง เพราะต้องจูงผมไปห้องเรียนแต่เช้าและคุยกับครูประจำชั้นว่า ขอเลือกที่นั่งให้ลูกชายนั่งข้างหน้าสุดและขอให้มีเพื่อนที่เป็นเด็กพุทธนั่งข้างๆ ด้วย ผมจึงนั่งติดกับเด็กชายสมนึก ลินิน (เพื่อนๆเรียกไอ้หมึก) จากบ้านตลิ่งสูง จนกระทั่งจบป. 4 จำได้ว่าตลอดการเรียน เราผลัดกันได้ที่ 1 ที่ 2 ของห้องมาโดยตลอด

ครั้งหนึ่ง ช่วงเรียน ป.4 ผมได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนนักเรียนแข่งขันประจำอำเภออ่านบทร้อยกรองทำนองเสนาะ เรื่องรามเกียรติ์ โดยสามารถเอาชนะไอ้หมีกได้ ทั้งๆที่ในโรงเรียนมีครูที่มีนามสกุลลินินกันหลายคน

ท่อนที่ว่า บัดนั้น พระยาพิเภกยักษี เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี …….ทั้งท่อน ผมจึงสามารถท่องขึ้นใจจนกระทั่งปัจจุบัน

ผมจึงมีโอกาสพูดคุยและสนทนาโดยใช้ภาษาไทยมากกว่าเพื่อนๆในห้อง ซึ่งถือเป็นผลพวงของยุทธศาสตร์อันเเยบยลของคุณพ่อนั่นเอง

ในอดีต ขณะที่สังคมยังไม่รู้จักคำว่าพหุวัฒนธรรม สังคมสมานฉันท์และเอื้อ อาทร แต่วิถีชีวิตของเราได้กลมกล่อมจนซึมซับความหมายเหล่านั้นให้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตโดยไม่รู้ตัว

แต่ทุกอย่างได้ผันแปรไปตามกาลเวลา คำว่าสังคมพหุวัฒนธรรมนำสันติสุข เป็นเพียงวาทกรรมที่ถูกกล่าวถึงในเวทีสัมมนาที่เมืองกรุงหรือที่รีสอร์ทตามชายหาดเท่านั้น

เราอาจทะเลาะ จนถึงขั้นชกต่อยกันบ้างตามประสาเด็กๆในวัยเรียน แต่พรุ่งนี้ เราก็กอดคอเล่นเป่ายางเส้นกันเช่นปกติ เหมือนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้นมาก่อน

เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง ได้รับการบ่มเพาะอย่างกว้างขวาง ที่นับวัน ยิ่งแตกกิ่งก้านขยายผลอย่างน่ากลัว

จากเพื่อนบ้านเรือนเคียงที่ใช้ชีวิตอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยและยิ้มแย้มถามไถ่ระหว่างกัน บัดนี้อุดมด้วยความหวาดระแวงและลอบทำร้าย จนกระทั่ง ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่า บางฝ่ายกำลังจงใจจุดไฟด้วยการสร้างข่าวลือ ข่าวเท็จ ปลุกปั่น ปั้นน้ำเป็นตัวด้วยความอคติและอวิชา บาดแผลที่ไหลรินอย่างยาวนานอยู่แล้ว กลับถูกซ้ำเติมอย่างไร้จรรยาบรรณที่สุด

ถึงกระนั้นก็ตาม ผมจะไม่มีวันลืมบรรยากาศเก่าๆอันสวยงามที่เคยสัมผัสในวัยเด็ก และหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า สักวันมันจะหวนกลับมาอีกครั้ง

ยกเว้นเสียงระเบิดของโรงโม่หินหลังบ้าน

พร้อมนี้ ใคร่เชิญชวนพี่น้องร่วมรับฟังอนาชีด Airkubu : Desaku tercinta ที่อธิบายถึงการเติบโตของเยาวชนไอกูบู ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์และความสวยงามของธรรมชาติ การถ้อยทีถ้อยอาศัยและความสามัคคีของชาวบ้าน จนเกิดชุมชนสันติสุขและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

3 ประการที่รับประกันว่าท่านไม่ประสบกับความยากลำบากและไม่ผิดหวังในชีวิต

3 ประการที่รับประกันว่าท่านไม่ประสบกับความยากลำบากและไม่ผิดหวังในชีวิต

1. เป็นลูกที่ดีต่อมารดา
‎وبرًّا بوالدتي ولم يجعلني جباراً شقيا (مريم /٣٢)
และทรงให้ฉันเป็นลูกที่ดีต่อมารดา และไม่ทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยะโส ผู้เลวทรามต่ำช้า

2. เป็นคนที่หมั่นดุอา
ولم أكن بدعائك رب شقيا (مريم/٤)
และไม่เคยปรากฏเลยว่า การวิงวอนของฉันต่อพระองค์นั้น ทำให้ฉันผิดหวังและเป็นคนไร้ค่า

3. เป็นคนที่ผูกพันกับอัลกุรอาน
ما أنزلنا عليك القرآن لتشقى (طه/٢)
เราไม่ได้ประทานอัลกุรอานให้แก่เจ้า เพื่อทำให้เจ้าเป็นคนไร้ค่าและต่ำช้า

اللهم اجعلنا من أهل بر الوالدة وأهل الدعاء وأهل القرآن
โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดทำให้เราทุกคนเป็นหนึ่งในบรรดาลูกที่ดีต่อมารดา (ทั้งที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว) หมั่นดุอาต่ออัลลอฮ์และเป็นสมาชิกของอัลกุรอานด้วยเถิด

ไม่จำเป็นต้องหาบริษัทประกัน ไม่จำเป็นต้องแลกด้วยเบี้ยประกัน สมัครฟรีเดี๋ยวนี้ และเป็นสมาชิกได้เลย

เขียนโดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

ปีใหม่นี้ จะอวยพรอย่างไรดี

كل عام ونحن لسنا بخير
ตลอดทั้งปี เราไม่มีอะไรดีขึ้นเลย

เพราะเรา รู้จักแต่เคาท์ดาวน์ รู้จักแต่สร้างต้นคริสต์มาสที่สูงที่สุดในโลก

รู้จักแต่จัดงานฉลองต้อนรับปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

รู้จักแต่จุดพลุที่อลังการตระการตาที่สุดในโลก

โดยหารู้ไม่ว่า ขณะนี้ โลกอิสลามกำลังเปิดศูนย์อพยพที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน

นำเข้าอาวุธจากศัตรูเพื่อเข่นฆ่าประชาชนที่มากที่สุดในโลก ส่งออกซากศพและเลือดที่ไร้ค่าที่สุดในโลก

แล้วยังกล้าบอกว่า كل عام وأنتم بخير (สุขสันต์ตลอดปี) อีกหรือ
ความจริงเราต้องกล่าว كل عام ونحن لسنا بخير (ทุกข์ระทมตลอดปี) ต่างหาก

للهم إنا نسألك خير هذا العام فتحه ونصره ونوره وبركته وهداه ونعوذبك من شر هذا العام وشر ما بعده

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูส : อาณาจักรที่สูญหาย

ในตอนปลายคริศตศตวรรษที่ 8 สเปนเป็นแหล่งความเจริญและวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุโรปนานนับเป็นศตวรรษ การค้าขายกับโลกภายนอกของสเปนในเวลานั้นไม่มีชาติใดในโลกสามารถมาแข่งขันได้ และในช่วงเวลาแห่งการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจนี้เอง ชาวยิวที่ถูกชาวคริสเตียนกดขี่ขับไล่ออกไปจากคาบสมุทรแห่งนี้ในศตวรรษที่ 7 ได้กลับมามีโอกาสเติบโตและเจริญมั่งคั่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

อันดาลูส (เป็นภาษาอาหรับที่ถูกใช้เรียกสเปน) เจริญรุ่งเรืองไม่เพียงแต่เฉพาะในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะศูนย์กลางทางด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ สถาปัตยกรรม บทกวีและศิลปะอันยิ่งใหญ่อีกด้วย ขณะที่มุสลิมกำลังรุ่งเรืองอยู่ในเสปนเวลานั้น ยุโรปส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน “ยุคมืด” แต่เป็นเพราะอันดาลูสนี้เองที่ความรู้ของมุสลิมได้ผ่านเข้าไปยังยุโรปและทำให้ยุโรปเกิดยุค “ฟื้นฟูศิลปวิทยาการ” (เรอเนซองส์) ขึ้นมา
ลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งของอิสลามในขณะที่รุ่งเรืองอยู่ในสเปนเป็นเวลาหลายศตวรรษนั้นก็คือ ความใจกว้างที่มีต่อชาวยิวและชาวคริสเตียนของมุสลิม ชาวยิวและชาวคริสเตียนทั้งหมดที่ยอมรับมุสลิมเป็นผู้ปกครองประเทศจะได้รับอนุญาตให้ถือครองทรัพย์สินของตนและมีเสรีภาพในความเชื่อและการปฏิบัติศาสนาของตน

การปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาไม่เพียงแต่จะนำพามนุษย์ไปสู่ความสำเร็จในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังได้รับความสำเร็จในโลกนี้ด้วย

มุสลิมเข้าไปในสเปนครั้งแรกเมื่อแม่ทัพมุสลิมที่มีชื่อว่าฏอรีค บินซิยาดได้นำกองทหารจำนวน 30,000 คน ไปขึ้นบุกที่นั่นใน ค.ศ. 711 บริเวณที่ตารีคนำกองทัพเรือไปขึ้นบุกนั้น เป็นแนวโขดหินยาวซึ่งหลังจากนั้นได้ถูกเรียกว่า “ญะบัลฏอรีค” (ภูผาฏอรีค) ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกเพี้ยนเป็น “ญิบรอลตา” มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว ฏอรีคได้สั่งทหารของเขาให้เผาเรือทิ้งทั้งหมดเพื่อเป็นการยืนยันว่าต่อไปนี้ ถ้าไม่ชนะก็ตาย จะไม่มีการถอยหนีลงทะเล หลังจากนั้นทหารมุสลิมก็ได้บุกเข้ายึดอำนาจจากพวกวิซิโกธที่ก่อนหน้านี้ได้เข้ามายึดอำนาจไปจากพวกโรมัน ใน ค.ศ. 715 กองทัพมุสลิมได้ข้ามภูเขาพีเรนีสและสามารถควบคุมพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่ถึง 4 ล้านคนได้ ภายในเวลาเพียง 7 ปี ดินแดนสี่ในห้าส่วนของคาบสมุทรสเปนก็ถูกพิชิตและการปกครองโดยเคาะลีฟะฮก็ได้ถูกสถาปนาขึ้นในเสปน ดังนั้น ใน ค.ศ. 733 กองทัพของฝ่ายคริสเตียนจึงได้สกัดกั้นมุสลิมมิให้ขยายตัวลึกเข้าไปในยุโรปมากกว่านั้นอีก ในตอนต้นศตวรรษที่ 9 มีคนท้องถิ่นในสเปนจำนวนมากมายได้หันมาเข้ารับอิสลาม โดยเฉพาะพวกทาสที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งมุสลิมก็พิชิตแคว้นซินด์ ซึ่งปัจจุบันคือประเทศปากีสถานได้ นั่นหมายความว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 150 ปี อิสลามซึ่งเริ่มต้นจากขบวนการเล็กๆ ของชาวอาหรับทะเลทรายเพียงหยิบมือหนึ่งได้ขยายตัวออกไปกลายเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลก ความสำเร็จนี้ เกิดขึ้นก็เพราะว่ามุสลิมในเวลานั้นเป็นคนที่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เจตนาเบื้องแรกของพวกเขาในขณะที่ทำการต่อสู้ก็คือการเผยแผ่อิสลาม มิใช่การแสวงหาทรัพย์สินและทรัพย์เชลย ไม่ว่าคนเหล่านี้จะไปที่ไหนก็ตาม พวกเขาจะสร้างระบบสังคมที่วางพื้นฐานอยู่บนความยุติธรรมขึ้นมาแทนระบบทรราชที่เป็นอยู่ในเวลานั้น ผู้คนในดินแดนที่มุสลิมเข้าไปปกครองนั้น มีเสรีภาพที่จะเลือกนับถืออิสลามหรือปฏิบัติตามศาสนาเดิมของตนต่อไป หากเลือกที่จะนับถือศาสนาเดิม คนเหล่านั้นก็จะต้องจ่ายภาษี “ญิซยะฮ์” ที่ทำให้พวกเขาได้รับการยกเว้นจากการเป็นทหาร แต่ผู้คนจำนวนมากได้หันมาเข้ารับอิสลามก็เพราะได้เห็นลักษณะและความประพฤติของมุสลิมที่เข้ามาปกครองพวกตน เช่น การปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ เป็นต้น นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา เมืองหลวงของรัฐเคาะลีฟะฮฺอันดาลูสก็คือเมืองคอร์โดบา ซึ่งมีประชากร 600,000 คน มีอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างประมาณ 200,000 หลัง มัสยิด 1,500 แห่ง และห้องอาบน้ำสาธารณะประมาณ 1,000 แห่ง ในห้องสมุดของเมืองมีเอกสารและบันทึกต่างๆ กว่าครึ่งล้านชุด ศูนย์กลางของเมืองมีระบบลำคลองที่เชื่อมกันและในตอนกลางคืนแม้แต่ถนนที่แย่ที่สุดก็ยังมีแสงสว่าง

กล่าวโดยสั้นๆ เมืองนี้มีสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างที่ไม่สามารถพบได้ในเมืองต่างๆของยุโรปในเวลานั้น แม้แต่กษัตริย์คริสเตียนหลายคนก็ยังส่งลูกหลานของตนมาศึกษาในอันดาลูส ทั้งนี้ เนื่องจากที่นี่มีมหาวิทยาลัยดีๆ หลายแห่ง และภาษาอาหรับเป็นภาษาสำคัญของโลก แต่ปัจจุบันสภาพการณ์กลับตรงกันข้าม หลายเมืองในประเทศมุสลิมกลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมหรือที่เรียกว่าสลัมและไม่มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ผู้คนได้รับความเดือดร้อนจากความยากจน สงคราม โรคภัยไข้เจ็บและด้อยการศึกษา รัฐมุสลิมที่ปกครองโดยระบบเคาะลีฟะฮฺในสเปนล่มสลายลงใน ค.ศ. 1492 เมื่อเมืองแกรนาดาถูกพิชิตโดยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์และราชินีอิซาเบลลา กษัตริย์และราชินีคู่นี้คือผู้ปกครองที่ให้เรือ 3 ลำแก่โคลัมบัสไปเริ่มต้นการล่าอาณานิคม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการค้าทาสในอเมริกา มุสลิมและชาวยิวที่หลงเหลืออยู่ในตอนนั้นมีทางเลือกสามทาง นั่นคือ (1) หากจะนับถือศาสนาของตนต่อไปก็ต้องออกไปจากประเทศ (2) หันมารับนับถือศาสนาคริสต์ และ (3) ถูกฆ่า เหตุผลดังกล่าวมาทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะวิเคราะห์ว่าทำไมหลังศตวรรษที่ 8 มุสลิมจึงได้เสียยุโรปตะวันตกให้แก่ชาติคริสเตียน นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอย่างที่พวกเขาจะต้องปฏิบัติ ดังนั้น จากความมั่งคั่งรุ่งเรืองจึงได้กลายเป็นความเสื่อมสลาย อันดาลูสได้แตกออกเป็นรัฐเล็กๆที่ต่อสู้กันเอง บางครั้งถึงขนาดที่ว่าพวกเขาได้เอาทหารต่างชาติต่างศาสนิกมาเป็นผู้ช่วยในการต่อสู้กันเองก็มี

บทเรียนสำคัญที่เราได้จากประสบการณ์ของอันดาลูสก็คือการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาไม่เพียงแต่จะนำพามนุษย์ไปสู่ความสำเร็จในโลกหน้าเท่านั้น แต่ยังได้รับความสำเร็จในโลกนี้ด้วย และเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ละทิ้งหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของศาสนา ความหายนะก็จะติดตามมาในไม่ช้า

บทความโดย อาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน

อ้างอิง : http://oknation.nationtv.tv/blog/knowislam/2008/06/05/entry-2

สุริยุปราคาระหว่างหัวใจสองดวง

ปรากฏการณ์สุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา
ทำให้หัวใจสองดวงมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงดังนี้

1. หัวใจดวงหนึ่ง นึกถึงอัลลอฮ์โดยพลัน และศรัทธาว่านี่คือสัญญาณถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์
ในขณะที่หัวใจหนึ่ง กลับมองว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเท่านั้น

2. หัวใจดวงหนึ่ง ถือว่าเป็นความประสงค์ของอัลลอฮ์ที่ต้องการให้บ่าวเพิ่มความยำเกรงต่อพระองค์
ในขณะที่หัวใจอีกดวง กลับมอง เป็นสิ่งสนุกสนาน ไม่มีอะไรต้องตื่นตระหนกแต่อย่างใด

3. หัวใจดวงหนึ่ง รีบตอบรับคำสั่งของนบี ด้วยการละหมาดกุสูฟ เนื่องจากเห็นสุริยุปราคา เพื่อฟื้นฟูซุนนะฮ์นบี
ในขณะที่หัวใจอีกดวง ใช้ชีวิตเยี่ยงวันธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้น ทั้งๆปากยังบอกว่ารักนบีตลอด

4. หัวใจดวงหนึ่ง เชื่อศรัทธา ว่าการเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา เป็นไปตามกำหนดของอัลลอฮ์ผู้ทรงสร้าง ไม่ใช่เพราะการตายหรือกำเนิดของใครผู้ใด
ในขณะที่ดวงใจอีกดวง กลับมองว่าเป็นลางสังหรณ์ที่อาจเกิดเหตุร้ายในชีวิต เหมือนความเชื่อของชาวอวิชชาในอดีต

5. หัวใจดวงหนึ่ง ใช้โอกาสนี้กลับเนื้อกลับตัว รำลึกถึงพระองค์ บริจาคทรัพย์สินส่วนหนึ่งไปในหนทางของพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงให้อภัยและอยู่ในความเมตตาของพระองค์
ในขณะที่หัวใจอีกดวง กลับเย็นชาดื้อรั้น แข็งกระด้างและจมปลักในอบายมุขชนิดกู่ไม่กลับ

6. หัวใจดวงหนึ่ง ฉุกคิดได้ว่าขนาดดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ยังมีวันดับแสงและน้อมรับคำบัญชาของอัลลอฮ์ โดยไม่แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด แล้วมนุษย์ตัวเล็กๆ เช่นเราจะกล้าเนรคุณต่ออัลลอฮ์ได้อย่างไร
ในขณะที่หัวใจอีกดวง ใช้ชีวิตตามใจสั่ง หลงตัวเอง บ้าอำนาจและถือว่าตัวเองคือศูนย์กลางของจักรวาล

7. หัวใจดวงหนึ่ง นึกถึงความตายและวันอาคิเราะฮ์อันถาวรนิรันดร์
ในขณะที่หัวใจอีกดวง มอมเมาและหลงใหลในความเพริศแพร้วของดุนยาอันไม่จีรัง

หัวใจของคุณ อยู่ในประเภทไหนกันแน่

اللهم ثبتنا على دينك وعلى طاعتك واتباع سنة نبيك برحمتك يا أرحم الراحمين

โดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ