คุตบะฮ์เสียงเพรียกจากอายาโซเฟีย คำต่อคำ

24 กรกฎาคม 2020 ศ.ดร.อาลี อัรบัช ประมุขฝ่ายศาสนาของตุรกี คุตบะฮ์ครั้งแรกที่มัสยิดอายาโซเฟีย เมื่อวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2020 โดยมีผู้คน ราว 350,000 คน เข้าร่วมเป็นประจักษ์พยานและร่วมพิธีละหมาดวันศุกร์ครั้งประวัติศาสตร์นี้

ในนามแห่งอัลลอฮ์ผู้กรุณาปรานี
‎اِنَّمَا يَعْمُرُ مَسَاجِدَ اللّٰهِ مَنْ اٰمَنَ بِاللّٰهِ وَالْيَوْمِ الْاٰخِرِ وَاَقَامَ الصَّلٰوةَ وَاٰتَى الزَّكٰوةَ وَلَمْ يَخْشَ اِلَّا اللّٰهَ فَعَسٰٓى اُو۬لٰٓئِكَ اَنْ يَكُونُوا مِنَ الْمُهْتَد۪ينَ.
“แท้จริง ผู้ที่จะทำนุบำรุงบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์นั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และเขามิได้ยำเกรงผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้น ชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้รับคำแนะนำ”

ท่านศาสนทูต صلى الله عليه وسلم กล่าวว่า
‎لَتُفْتَحَنَّ الْقُسْطَنْطِينِيَّةُ فَلَنِعْمَ الْأَمِيرُ أَمِيرُهَا وَلَنِعْمَ الْجَيْشُ ذَلِكَ الْجَيْشُ.
“คอนสแตนติโนเปิลจะถูกเปิด ผู้นำผู้นั้นเป็นสุดยอดผู้นำ และกองทัพนั้นเป็นสุดยอดกองทัพ”

อายาโซเฟียสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และของฝากของสุลต่านมูฮัมหมัด อัลฟาติห์ ให้มุสลิมดูแลรักษา

มวลมุสลิมทั้งหลาย
สันติสวัสดีจากอัลลอฮ์ ตลอดจนการดูแลของพระองค์ และบารอกะฮ์จงมีแด่ท่านทั้งหลาย

ในห้วงเวลาอันประเสริฐ ในสถานที่อันประเสริฐวันนี้ พร้อมๆกับวันอีดิลอัฎฮาที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ในวันที่ 3 ซุลฮิจญะฮ์ มัสยิดอายาโซเฟียได้พบหน้ากับผู้ละหมาดอีกครั้ง และเป็นวันที่แผลบาดลึกได้หายขาด ความโศกเศร้าเสียใจของชาวตุรกีได้สิ้นสุดลง

ขอขอบคุณต่ออัลลอฮ์อย่างที่สุด
วันนี้โดมทั้งหลายของอายาโซเฟีย กึกก้องไปด้วยเสียงตักบีร์ ตะห์ลีล และซอลาวาต เสียงอาซานและซิกิรดังก้องจากหออะซาน นี่คือความกระตือรือร้นและความปรารถนาของลูกหลานของสุลต่านอัลฟาติห์ได้สำเร็จลงแล้ว ความเงียบงันของศาสนสถานแห่งนี้สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน วันนี้ มัสยิดอายาโซเฟียได้พบกับผู้มาละหมาดแล้ว

วันนี้คล้ายคลึงกับเมื่อ 70 ปีที่แล้ว เมื่อ 16 มุอัซซิน (ผู้อะซาน) ของ 16 หออะซาน ณ มัสยิดสุลต่านอะหมัด ( ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับอายาโซเฟีย ) ได้ดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ต้องหยุดไป 18 ปี

วันนี้ เป็นวันที่ชาวมุสลิมยืนละหมาดด้วยน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปิติยินดี ด้วยความนอบน้อมและความซาบซึ้ง สูยูดด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อองค์อภิบาล

มวลการสรรเสริญและการขอบคุณ เป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ที่ทำให้เราได้มารวมตัวกันในวันนี้

พรและสันติสุข จงมีแด่ท่านศาสนทูตมุฮัมมัด صلى الله عليه وسلم ผู้กล่าวว่า
‎لَتُفْتَحَنَّ الْقُسْطَنْطِينِيَّةُ فَلَنِعْمَ الْأَمِيرُ أَمِيرُهَا وَلَنِعْمَ الْجَيْشُ ذَلِكَ الْجَيْشُ.
“คอนสแตนติโนเปิลจะถูกเปิด ผู้นำผู้นั้นเป็นสุดยอดผู้นำ และกองทัพนั้นเป็นสุดยอดกองทัพ”

สันติสุขจงบังเกิดแก่ซอฮาบะฮ์ผู้ทรงเกียรติ ผู้ออกไปในวิถีแห่งอัลลอฮ์ เพื่อเสาะแสวงวาจาสิทธิ์ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอบูอัยยูบ อัลอันซอรี ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้สถาปนาทางจิตวิญญาณแห่งอิสตันบูล ตลอดจนบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขาเหล่านั้น และบรรดาชะฮีดและนักรบของเรา ผู้ทำให้อานาโตเลียเป็นแดนดินถิ่นอาศัยสำหรับเรา และพิทักษ์ปกป้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเสมอมา

สันติสุขจงบังเกิดแก่ อ๊าก ชัมซุดดีน ผู้ทรงวิชาและภูมิปัญญา ที่ได้สลักความรักความปรารถนาที่จะพิชิตอายาโซเฟียในหัวใจของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ และได้เป็นอิหม่ามนำละหมาดในมัสยิดอายาโซเฟียครั้งแรก ในวันที่ 1 มิถุนายน 1453

‎فَاِذَا عَزَمْتَ فَتَوَكَّلْ عَلَى اللّٰهِۜ اِنَّ اللّٰهَ يُحِبُّ الْمُتَوَكِّل۪ينَ
“เมื่อท่านได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์เถิด เพราะความจริงอัลลอฮ์รักบรรดาผู้มอบหมายต่อพระองค์”

สันติสุขจงบังเกิดแก่ผู้นำหนุ่ม สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ผู้สร้างเทคโนโลยีระดับแนวหน้าในยุคนั้น ผู้สร้างเรือบก ที่ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ ทำให้สามารถพิชิตอิสตันบูลได้ และผู้ไม่ยอมให้เมืองนี้เสียหายแม้เพียงหินก้อนก็ห้ามมิให้ทุบทำลาย

สันติสุขจงบังเกิดแก่สินาน นายช่างใหญ่และสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ ที่ได้สร้างหออาซานประดับมัสยิดอายาโซเฟีย ที่ยังคงตระหง่านตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษของท่าน

สันติสุขจงบังเกิดแก่พี่น้องผู้ร่วมศรัทธาจากทุกแดนดิน และผู้ที่อดทนรอเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดมัสยิดอายาโซเฟียเพื่อประกอบศาสนกิจอีกคำรบหนึ่ง

สันติสุขพึงบังเกิดแก่บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อสัจธรรม ศีลธรรมจรรยา ธำรงความยุติธรรมในแผ่นดิน ตลอดจนความดีงามและมนุษยธรรม

สันติสุขพึงบังเกิดแก่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศของเรา รวมถึงผู้นำทางความรู้ วิชาการและภูมิปัญญา และความดีงาม ตลอดจนผู้ที่ทุ่มเทความพยายามด้วยความอดทน ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งวันนี้ เพื่อให้ของฝากอันมีค่านี้ได้รองรับผู้ละหมาดอีกครั้ง

สันติสุขจงบังเกิดแก่ประชาชนชาวตุรกี ที่มีวิชาความรู้และปัญญา ที่ได้ปลูกความหวังและความอดทน ตลอดจนบรรดาเพื่อนๆผู้ทรงวิชาและความดีงามทั้งหลาย ขอให้ได้รับความเมตตาปรานีจากองค์อภิบาลโดยทั่วกัน

กวีรจนาไว้ว่า
“อายาโซเฟียคือวิญญาณ และทิพยสถานพิเศษสำหรับเรา”
และว่า
“อายาโซเฟียจะต้องเปิดแน่นอน โอ้คนหนุ่มสาว จงรอ รอความเมตตาที่จะลงมา หลังจากฝนห่าใหญ่ จะต้องมีน้ำไหลบ่า ฉันขอเป็นเศษหญ้าบนธารน้ำนั้น ฉันไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านั้น อายาโซเฟียจะต้องเปิด ดุจดั่งทิพย์คัมภีร์ที่ไม่มีวันปิดได้”

ผู้ศรัทธาที่มีเกียรติทั้งหลาย
ด้วยอายุที่ยาวนานกว่า 15 ศตวรรษ อายาโซเฟียถือเป็นสถานแห่งวิชาการและศาสนพิธีที่มีคุณค่ายิ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ วิหารโบราณแห่งนี้บ่งชี้ถึงสภาพการเคารพสักการะอย่างยอดเยี่ยมต่ออัลลอฮ์ องค์อภิบาลแห่งสากลโลก

อายาโซเฟีย สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และของฝากของสุลต่านมูฮัมหมัด อัลฟาติห์ ให้มุสลิมดูแลรักษา สุลต่านได้บริจาควะกัฟให้ไว้ เป็นมัสยิดตราบจนวันฟื้นคืนชีพ

ตามหลักความเชื่อของเรา ทรัพย์วะกัฟเป็นสิ่งที่ห้ามล่วงละเมิด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากเจตนาของผู้บริจาคได้ ผู้ใดละเมิดจะถูกสาปแช่ง

ดังนั้น นับตั้งแต่วันที่สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ได้บริจาค สถานที่นี้จะไม่ใช่ทิพยสถานสำหรับชาวตุรกีเท่านั้น แต่เป็นสมบัติของประชาชาติทั้งมวลของท่านนบีมุฮัมมัด صلى الله عليه وسلم

อายาโซเฟีย เป็นสถานที่ที่ประกาศความเมตตาของอิสลามต่อสังคมโลก สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ กล่าวกับชาวเมืองที่หนีเข้ามาหลบภัยในวิหารอายาโซเฟียภายหลังการพิชิตเพราะกลัวการลงโทษ ว่า “อย่าได้กลัวเลย นับแต่นี้ไปไม่ต้องกลัวว่าจะมีการละเมิดเสรีภาพและชีวิตของพวกท่าน ไม่มีใครถูกปล้นชิง ไม่มีใครเบียดเบียนใคร ไม่มีใครถูกลงโทษเพราะความเชื่อทางศาสนา”

ด้วยเหตุนี้ อายาโซเฟียจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเคารพต่อความศรัทธาในศาสนาและจริยธรรมการใช้ชีวิตที่หลากหลาย

โอ้ศรัทธาชนผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
การเปิดอายาโซเฟียสำหรับการประกอบศาสนกิจ เป็นการแสดงถึงการเป็นทิพยสถานสำหรับมุสลิมในฐานะมัสยิดมานานถึง 500 ปี และเป็นการหวนคืนสู่สถานะเดิม

การเปิดอายาโซเฟียสำหรับการประกอบศาสนกิจ เป็นการย้ำเตือนถึงสถานภาพมัสยิดต่างๆทั่วโลก ที่กำลังโศกเศร้าเพราะการถูกกดขี่บีฑา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัสยิดอักซอ ที่ความหวังยังคงมั่นไม่สั่นคลอน

การเปิดอายาโซเฟียสำหรับการประกอบศาสนกิจ ถือเป็นการสืบทอดอารธรรมของเราที่มีหลักศรัทธาต่ออัลลอฮ์เป็นรากฐาน มีวิทยาการเป็นก้อนอิฐ มีจริยธรรมจรรยาเป็นพื้นปู สู่ความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ต่อไป

มวลมุสลิมผู้ทรงเกียรติ
อารยธรรมของเรามีมัสยิดเป็นแกนกลาง มัสยิดคือแหล่งกำเนิดของความสามัคคี ความรุ่งเรือง วิทยาการและวิชาความรู้ของเรา

อัลลอฮ์กล่าวถึงผู้มีสิทธิทำนุบำรุงมัสยิดว่า
‎”اِنَّمَا يَعْمُرُ مَسَاجِدَ اللّٰهِ مَنْ اٰمَنَ بِاللّٰهِ وَالْيَوْمِ الْاٰخِرِ وَاَقَامَ الصَّلٰوةَ وَاٰتَى الزَّكٰوةَ وَلَمْ يَخْشَ اِلَّا اللّٰهَ فَعَسٰٓى اُو۬لٰٓئِكَ اَنْ يَكُونُوا مِنَ الْمُهْتَد۪ينَ”
“แท้จริง ผู้ที่จะทำนุบำรุงบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์นั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และเขามิได้ยำเกรงผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้น ชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้รับคำแนะนำ”

พี่น้องทั้งหลาย
จะมีอะไรที่น่าเศร้าเสียใจมากไปกว่ามัสยิดที่หออาซานที่ไร้สรรพเสียง แท่น มิมบัรที่วังเวง ลานมัสยิดที่เงียบเหงา ไร้ผู้คน

วันนี้ มุสลิมในประเทศต่างๆทั่วโลกยังคงถูกย่ำยีอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากมัสยิดที่ถูกละเมิด บ้างถูกปิดตาย บ้างถูกระเบิดทำลายทิ้ง มุสลิมหลายล้านคนถูกย่ำยี

ณ ที่นี่ ข้าพเจ้าต้องการแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ยอดเยี่ยมของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ที่ได้ปฏิบัติต่ออายาโซเฟีย และขอเรียกร้องให้หยุดวาทกรรม การกระทำ และการประทุษร้ายต่ออิสลาม

พี่น้องทั้งหลาย
ในฐานะผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่ทราบถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่และภาระอันบริสุทธิ์ที่มีต่ออายาโซเฟีย หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราในวันนี้คือการเผยแพร่เมตตาธรรม ความเห็นอกเห็นใจ สันติภาพ ความสงบสุขและความดีงามไปให้ทั่วหล้า เพราะรากเดิมของอิสลามคือสันติภาพ และความรอดพ้น

นี่เป็นเหตุผลของการส่งท่านนบีแห่งความเมตตาและบรรดาศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ صلوات الله عليهم أجمعين

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือการทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อให้แน่ใจว่าความเมตตากรุณา ความถูกต้องและความยุติธรรม ได้มีชัยมีอำนาจในโลกนี้

เราต้องเป็นความหวังเพื่อความรอดของมนุษยชาติที่อยู่ในวงจรของปัญหาที่ยิ่งใหญ่ เราจำเป็นต้องรักษาความยุติธรรมในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ล้อมรอบไปด้วยการกดขี่ ความอยุติธรรม น้ำตา และความสิ้นหวัง

เราจำเป็นต้องสดับรับฟังคำเรียกร้องที่ว่า “ มุสลิมเอย ! จงทำความเข้าใจอิสลามในความหมายที่ถูกต้องและสวยงาม จงใช้ชีวิต และเผยแพร่ศาสนา แม้ว่ามีใครก็ตามที่จะมาฆ่าท่าน แต่เขากลับได้รับพบทางรอดเพราะท่าน !

เราเชื่อตามที่อาลีกล่าวไว้ว่า“ ทุกคนเป็นพี่น้องกันในศาสนาของท่าน หรือเท่าเทียมกับท่านในความเป็นมนุษย์ ” เราเชื่อว่าโลกเป็นบ้านของเราที่ใช้ร่วมกัน เราเชื่อว่าสมาชิกทุกคนในบ้านนี้ โดยไม่คำนึงถึงศาสนา เชื้อชาติ สีผิวหรือประเทศ มีสิทธิ์ที่จะอยู่อย่างอิสระ และอย่างมนุษย์ อย่างปลอดภัยในกรอบของค่านิยมสากล และหลักการทางศีลธรรม

ภายใต้โดมแห่งอายาโซเฟีย เราเรียกร้องให้มนุษยชาติทุกคนรักษาความยุติธรรม ความสงบ ความเห็นอกเห็นใจ และความชอบธรรม

เราเรียกร้องให้ปกป้องคุณค่าสากลและหลักการทางศีลธรรมที่ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และทำให้เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเกียรติที่สุด

ในฐานะศาสนิกของศาสนาสุดท้ายและศาสนาที่แท้จริงซึ่งประกาศว่า ชีวิตของแต่ละคน โดยไม่คำนึงถึงเพศและอายุนั้น ไม่สามารถล่วงละเมิดได้ เราขอให้มนุษยชาติให้ความร่วมมือและร่วมมือกันในการปกป้องชีวิต ศาสนา สติปัญญา ทรัพย์สินและเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทุกคน

เพราะในวันนี้ เรามีความจำเป็นยิ่งกว่าในยุคใดๆ ต่อการบูรณาการหัวใจกับสามัญสำนึกเข้าด้วยกัน บูรณาการระหว่างเหตุผลกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเข้าด้วยกัน สร้างความใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

ในตอนท้ายของคุตบะฮ์ ข้าพเจ้าเรียกร้องสังคมโลกจากสถานที่อันทรงเกียรตินี้

โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย !

ประตูของมัสยิดอายาโซเฟียจะยังคงเปิดให้แก่บ่าวทุกคนของอัลลอฮ์โดยไม่เลือกปฏิบัติ เหมือนประตูมัสยิดสุไลมานี มัสยิดสะลีมะยะฮ์ มัสยิดสุลต่านอาหมัด และมัสยิดอื่น ๆ ของเรา

การเดินทางสู่ความศรัทธา การนมัสการ ประวัติศาสตร์และการไตร่ตรองในบรรยากาศทางจิตวิญญาณของมัสยิดอายาโซเฟียจะดำเนินต่อไปอย่างไม่ขาดสาย

ขออัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจ โปรดช่วยให้เราสามารถรับใช้มัสยิดอายาโซเฟียที่มีสถานะพิเศษในประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของเรา และคุณค่าพิเศษในหัวใจของเรา ขออัลลอฮโปรดอำนวยให้เราให้เกียรติที่เหมาะสมคู่ควรกับมัสยิดพิเศษเฉกเช่นอายาโซเฟีย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่ทุ่มเทความพยายามเพื่อปกป้องวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของเรา และการนำมัสยิดอายาโซเฟียคืนสู่สถานะเดิม ขอให้อัลลอฮ์รับพวกเขาให้อยู่ในกลุ่มบ่าวผู้ประเสริฐของพระองค์ ที่พระองค์รักและพึงพอใจต่อพวกเขา

■ ต้นฉบับภาษาอาหรับ
https://www.aa.com.tr/ar/%D8%AA%D8%B1%D9%83%D9%8A%D8%A7/%D9%86%D8%B5-%D8%A3%D9%88%D9%84-%D8%AE%D8%B7%D8%A8%D8%A9-%D8%AC%D9%85%D8%B9%D8%A9-%D9%81%D9%8A-%D8%A2%D9%8A%D8%A7-%D8%B5%D9%88%D9%81%D9%8A%D8%A7-%D8%A8%D8%B9%D8%AF-86-%D8%B9%D8%A7%D9%85%D8%A7-%D9%88%D8%AB%D9%8A%D9%82%D8%A9/1921128

■ ต้นฉบับภาษาอังกฤษ
https://www.trtworld.com/magazine/hagia-sophia-friday-prayer-full-transcript-of-the-sermon-38377?fbclid=IwAR0tetlAn58Fs1dYaHffwoirTRanoL5YUAaIHD_F4jqZzp2h-YqcRrJ8nxc


แปลโดย Ghazali Benmad

เล่าเรื่อง “ปาเลสไตน์” ผ่านแผนที่ (1)

ตามที่ได้สัญญาเอาไว้ครับ ผมตั้งใจจะเขียนเล่าเรื่องราวปัญหาปาเลสไตน์โดยอธิบายผ่านแผนที่ ซึ่งสำนักข่าวอัลญะซีเราะฮ์ได้รวบรวมเอาไว้ในบทความที่ใช้ชื่อหัวเรื่องว่า Palestine and Israel: Mapping an Annexation

บทความที่ว่านี้พยายามฉายภาพพัฒนาการของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลค่อย ๆ ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจนดินแดนปาเลสไตน์แทบจะไม่มีเหลือเป็นชิ้นเป็นอัน ล่าสุดคือความพยายามที่จะผนวกดินแดนบางส่วนของเวสต์แบงก์ โดยเฉพาะในหุบเขาจอร์แดน อันเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งนอกเหนือจากกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งอิสราเอลได้ผนวกและประกาศให้เป็นเมืองหลวงของประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันนี้ผมจึงขอเริ่มต้นอธิบายแผนที่อันแรกของบทความดังกล่าว (ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 27 แผนที่) อันเป็นแผนที่ปาเลสไตน์ก่อนปี 1917

ขอเล่าย้อนประวัติศาสตร์สั้น ๆ อย่างนี้ครับ เมื่อราว ๆ ค.ศ. 1915 มีการติดต่อกันทางจดหมายระหว่าง เซอร์ เฮนรี่ เมคมาฮอน (Sir Henry McMahon) ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอียิปต์ กับ ชารีฟ ฮุสเซน (Sharif Hussein) ผู้ครองแคว้นฮิญาชและเป็นตัวแทนของชาวอาหรับทั้งผอง

เมคมาฮอนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ชาวอาหรับสนับสนุนฝ่ายมหาอำนาจพันธมิตร สู้รบกับฝ่ายมหาอำนาจอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสัญญาจะให้เอกราชแก่ชาวอาหรับในทุก ๆ ดินแดนหลังจากสงครามยุติลง รวมถึงปาเลสไตน์ด้วย ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงได้ลงนามในข้อตกลงแองโกล-อาหรับในฤดูใบไม้ร่วงปี 1915

คำสัญญาดังกล่าวทำให้ ชารีฟ ฮุสเซน เข้าร่วมรบกับกองทัพฝ่ายพันธมิตร ขณะเดียวกัน ชาวอาหรับจากซีเรีย เลบานอน และปาเลสไตน์ ก็เข้าร่วมลุกฮือขึ้นก่อกบฎต่อต้านอาณาจักรออตโตมานที่ประกาศเข้าร่วมสงครามในนามฝ่ายอักษะ

ชาวอาหรับยินดีต้อนรับกองทัพอังกฤษที่เข้ามาในปาเลสไตน์ เปรียบทหารอังกฤษเหล่านั้นเป็นเสมือนผู้มาปลดปล่อยให้พวกเขามีอิสรภาพหลังจากต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของออตโตมานเติร์กมานานเกือบ 500 ปี

แต่แล้วชาวอาหรับก็ถูกหักหลัง เพราะไม่เพียงแต่อังกฤษจะไม่รักษาคำมั่นสัญญาเท่านั้น แต่ยังไปสนับสนุนองค์กรยิวไซออนิสต์ให้จัดตั้งรัฐยิวขึ้นในปาเลสไตน์ผ่านคำแถลงการณ์บัลโฟร์ (Balfour Declaration) ซึ่งมีชื่อเรียกตามนามของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษสมัยนั้น คือ เซอร์ อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Sir Arthur James Balfour)

คำแถลงการณ์บัลโฟร์นี้ ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอังกฤษในเดือนตุลาคม 1917 มาถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 103 ปีแล้วครับ

ใจความของคำแถลงการณ์ตอนสำคัญมีความว่า

“รัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพิจารณาด้วยความเห็นชอบ ในการตั้งถิ่นฐานสำหรับพวกยิวขึ้นแห่งหนึ่งในประเทศปาเลสไตน์ และจะใช้ความพยายามจนสุดความสามารถที่จะอำนวยความสะดวกต่อการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ข้อนี้ เป็นที่เข้าใจอย่างแจ้งชัดว่า จะไม่มีการปฏิบัติการใด ๆ อันเป็นผลร้ายต่อสิทธิพลเรือนและการนับถือศาสนา ของหมู่ชนที่มิใช่ชาวยิวในประเทศปาเลสไตน์ หรือสิทธิและสถานภาพทางการเมืองที่พวกยิวได้รับในประเทศอื่น”

จากคำประกาศดังกล่าวนี้อังกฤษได้ออกมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวยิวได้อพยพเข้ามาในแผ่นดินปาเลสไตน์แบบไม่จำกัดจำนวน

ในเวลานั้น ประชากรของประเทศปาเลสไตน์ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 700,000 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 หรือประมาณ 600,000 คนเป็นชาวอาหรับมุสลิม ส่วนชาวยิวซึ่งเป็นคนท้องถิ่นเดิมมีประชากรอยู่แต่ร้อยละ 6 เท่านั้น (ดูตามแผนที่และข้อมูลข้างใต้บทความนี้)

แต่หลังจากปี 1917 โครงสร้างประชากรในดินแดนปาเลสไตน์ก็เปลี่ยนไปอย่างมากครับ ดูจากแผนที่ข้างใต้นี้ปาเลสไตน์ยังอาศัยอยู่กันเต็มพื้นที่เห็นเป็นสีเขียวจนแทบไม่เห็นประชากรชาวยิวท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยกันอยู่ในพื้นที่สีฟ้า

แล้วค่อยมาว่ากันต่อก็แล้วกันครับ


เขียนโดย Srawoot Aree

ความเป็นมาของอายาโซเฟีย

ความเป็นมาของอายาโซเฟีย : จากมหาวิหารที่สำคัญที่สุดในคริสต์ออโตดอกซ์ของจักรวรรดิโรมันผู้ยึดครอง เป็นมัสยิดอิสลาม สู่พิพิธภัณฑ์ และเป็นมัสยิดอีกครั้งในวันนี้

ศาลปกครองสูงสุดของตุรกี หรือที่เรียกว่า “สภาแห่งรัฐ” ประกาศการฟื้นฟูอายาโซเฟีย หรือฮาเกียโซเฟีย Hagia Sophia จากพิพิธภัณฑ์ไปยังมัสยิด อันเป็นการกลับคำสั่ง 86 ปี ของคณะรัฐมนตรีภายใต้ประธานาธิบดีมุสตาฟา กามาล อาตาเติร์ก

มหาวิหารอายาโซเฟียถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.360 เพื่อเป็นศาสนสถานมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในโลกของคริสตจักรออร์โธดอกซ์มาเกือบพันปี ตามคำสั่งของจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งไบเซนไทน์โรมันตะวันออก เงาทะมึนแห่งอาณาจักรโรมันผู้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามายึดครองดินแดนแถบอาระเบีย และแอฟริกาเหนือในยุคนั้น

ในยุคไบเซนไตน์ นอกจากมหาวิหารอายาโซเฟียจะเป็นศาสนสถานสำคัญแล้ว ยังเป็นสถานประกอบรัฐพิธี เช่น การสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่ เป็นต้น

การล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล แห่งไบเซนไตน์โรมันตะวันออก และการเข้าสู่อิสลามได้รับการบอกล่วงหน้าโดยท่านศาสดามูฮัมหมัด (สันติภาพจงมีแด่ท่าน ) กองทัพมุสลิมได้พยายามอย่างต่อเนื่องในทำตามคำพยากรณ์นี้โดยเริ่มจากยุคคอลีฟะฮ์สายสกุลอุมัยยะฮ์ Umayyad Dynasty ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 7

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันวุ่นวาย อายาโซเฟียเคยถูกดัดแปลงเป็นวิหารโรมันคาทอลิคมาเกือบ 60 ปีในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 1204

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปกครองกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลถูกควบคุมโดยสุลต่านมุฮัมมัดที่สอง หรือมุฮัมมัด ฟาติห์ แห่งออตโตมัน ในปี ค.ศ. 1453 มหาวิหารฮาเกียโซเฟียถูกดัดแปลงให้เป็นสุเหร่าใหญ่ในเมืองหลวงใหม่ของอาณาจักรออตโตมัน ที่เปลี่ยนชื่อเมืองจาก “กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล” สู่ “กรุงอิสตันบูล”

ผลพวงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

หลังการล่มสลายของออตโตมัน ในปี ค.ศ.1923 กามาล อะตาเติร์ก ได้สถาปนาสาธารณรัฐตุรกี เป็นรัฐเซคคิวลาร์ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความปรารถนาดีต่อโลกของชาวคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ กามาล อะตาเติร์กได้เปลี่ยนสถานะมัสยิดอายาโซเฟียแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ ในปี ค.ศ.1934

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าตุรกีจะเป็นรัฐเซคคิวลาร์ แต่ก็ยังเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีการรณรงค์มาหลายสิบปีเพื่อฟื้นฟูอาคารโบราณแห่งนี้ให้เป็นมัสยิด

คำร้องเพื่อใช้อายาโซเฟียในการละหมาด ในปี 2016 ได้ถูกศาลปฏิเสธ แต่ปรากฏว่าในรอบนี้ ศาลสนับสนุนการเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีแอร์โดฆาน ผู้ซึ่งเมื่อปีที่แล้วได้กล่าวว่า “การเปลี่ยนมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์เป็นความผิดใหญ่หลวง”


เขียนโดย Ghazali Benmad

2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่า : แม่ทัพเรือใหญ่แห่งคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ (ตอนที่ 1)

ในยุคที่คิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺเรืองอำนาจ มีชายคนหนึ่งที่ได้ขึ้นปกครองแผ่นดินแอฟริกา เขาคือผู้ช่วยเหลือประชาชาติอิสลามและชาวยิวนับหมื่นชีวิตจากความโหดร้ายทารุณของกษัตริย์คริสเตียนในสเปน ร่วมกับน้องชายของเขา ที่ต่อมาได้กลายเป็นแม่ทัพเรือใหญ่ที่กล้าหาญแห่งคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ เขาไม่เคยพ่ายแพ้ในศึกทางเรือเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผู้คนต่างเรียกขานพวกเขาว่า “บาร์บาร็อสซ่า” ที่ในภาษาอิตาลีหมายถึง “เคราแดง” และพวกเขาทั้งคู่ก็มีเคราสีแดงจริง ๆ พวกเขาคือ อะรูจญ์และค็อยรุดดีน 2 พี่น้อง บาร์บาร็อสซ่า

อะรูจญ์และค็อยรุดดีนเกิดในช่วงปี ค.ศ.1470-1480 ที่ Paleokipos บนเกาะเลสบอสหรือบางครั้งก็เรียกว่า มีตีลีนีในประเทศกรีซ ซึ่งในตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ แม่ของพวกเขาชื่อว่า “แคทเทอรินา” เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นชาวคริสเตียน (อะฮฺลุลกิตาบ) ส่วนพ่อชื่อ “ยะอฺกูบ” ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเป็นคนจากที่ไหน บ้างบอกว่าเป็นคนตุรกี โดยเป็นทหารม้าในกองทัพที่บุกพิชิตเกาะเลสบอส เมื่อปี ค.ศ.1462 ในยุคของสุลต่านมุฮัมหมัด อัลฟาติหฺ บ้างก็ว่าเป็นชาวกรีซ หรือแอลเบเนีย อะรูจญ์เป็นลูกชายคนโต ส่วนค็อยรุดดีนเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องชาย 4 คน

ยะอฺกูบเป็นช่างทำเครื่องปั้นดินเผา เขามีเรือลำหนึ่งที่ใช้บรรทุกเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตไปขายตามเกาะต่าง ๆ ลูก ๆ ของเขาได้ฝึกฝนการล่องเรือเพื่อช่วยเหลือธุรกิจของครอบครัว ลูกชาย 2 คนคือ อะรูจญ์และอิลยาสทำงานช่วยเหลือคุณพ่อบนเรือลำดังกล่าว ส่วนค็อยรุดดีนมักจะประจำอยู่บนเกาะเพื่อผลิตเครื่องปั้นดินเผา แต่เมื่อคุณพ่อเสียชีวิต พวกเขาก็ได้สานต่อธุรกิจของคุณพ่อ และออกผจญภัยบนท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนร่วมกัน

วันหนึ่งเรือของพวกเขาถูกอัศวินแห่งโรดส์โจมตี ทำให้เรือสำเภาและสินค้าเสียหายหมดสิ้น อีกทั้งอิลยาส น้องชายคนเล็กก็เสียชีวิตด้วย การตายของอิลยาสทำให้อะรูจญ์และค็อยรุดดีนเศร้าโศกเสียใจอย่างมาก พวกเขาโกรธและต้องการแก้แค้นให้กับน้องชาย จึงตัดสินใจบุกโจมตีเรือรบคริสเตียนทีละลำสองลำ และยกระดับการโจมตีให้หนักและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาได้ร่วมมือกับกอร์คูด (ลูกชายของสุลต่านบะยาซิดที่ 2) ขัดขวางการขนส่งของชาติสเปนและโปรตุเกสในฝั่งตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์ริเนียนด้วย กองเรือของอะรูจญ์และค็อยรุดดีนขยายใหญ่และเข้มแข็งขึ้นมาก ชื่อเสียงของพวกเขาดังไปทั่ว ในตอนนี้เองที่พวกเขาถูกเรียกว่าเป็น “โจรสลัดเคราแดง” หรือ “บาร์บาร็อสซ่า”

300 ปีแรกของศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงเวลาที่มีการแข่งขันทางการค้าสูงมากระหว่างพ่อค้าคริสเตียนและมุสลิมในเขตชายฝั่งต่าง ๆ ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมาในปี ค.ศ.1492 เมื่อราชอาณาจักรกัสติยาและอารากอนได้บุกยึดกรานาดา และทำลายรัฐอิสลามสุดท้ายบนคาบสมุทรไอบีเรียลง ทำให้อำนาจการปกครองของอิสลามบนแผ่นดินอันดาลุส ซึ่งดำรงอยู่นานกว่า 700 ปีต้องสิ้นสุดลด ชาวมุสลิมและยิวจำนวนมากถูกฆ่าตาย และอีกหลายหมื่นชีวิตต้องต้องอพยพหนีออกมา

อะรูจญ์และค็อยรุดดีนได้เปลี่ยนเจตนารมณ์การต่อสู้ของพวกเขาจากการแก้แค้นให้กับน้องชาย มาเป็นการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ระหว่างปี ค.ศ. 1504-1510 พวกเขาพร้อมทหารชาวมัวร์จากแอฟริกาเหนือได้นำกองเรือเข้าไปในสเปนหลายครั้ง ต่อสู้กับกองทัพเรือสเปนตามแนวชายฝั่งอย่างกล้าหาญ และเข้าช่วยเหลือชาวมุสลิมและชาวยิวอพยพออกจากสเปนมายังแอฟริกาเหนือ ผู้อพยพเหล่านี้เรียกอะรูจญ์ว่า “บาบา อะรูจญ์”

2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่าเริ่มมีชื่อเสียงในสังคมแอฟริกาเหนือ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมในกองเรือของรัฐใด พวกเขาสร้างกองเรือของตัวเอง และประสบความสำเร็จอย่างมากในการขัดขวางทหารสเปนและโปรตุเกสที่พยายามเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์บนแผ่นดินแอฟริกาเหนือ

สิ่งที่ 2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่าทำ คือการลุกขึ้นต่อต้านการกดขี่ข่มเหง แต่สำหรับราชอาณาจักรคริสเตียกัสติยาแล้ว บาร์บาร็อสซ่าคือพวกโจรสลัดที่ชอบบุกปล้นเรือของผู้อื่นเท่านั้น

ในปี ค.ศ.1516 ซาลิม อัตตูมีย์ ผู้นำในพื้นที่แอลจีเรียได้ร้องขอให้ 2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่าเข้าโจมตีแอลจีเรีย พวกเขาขอให้บาร์บาร็อสซ่าช่วยปลดปล่อยแอลจีเรียจากอำนาจของสเปน ซึ่งพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ สามารถขับไล่ทหารสเปนออกจากแอลจีเรียได้จนหมดสิ้น พวกเขาใช้ที่นี้เป็นฐานที่มั่นในการป้องกันการโจมตีของศัตรู ความสำเร็จในครั้งนี้และอิทธิพลที่สูงมากของทั้งคู่ ทำให้สุดท้ายอะรูจญ์ได้ขึ้นเป็นผู้นำปกครองแอลจีเรีย โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากประชาชน

ติดตามตอนต่อไป ตอนที่ 2 https://www.theustaz.com/?p=4232


อ้างอิง :
1. خيرالدين بربروس ดู https://ar.wikipedia.org/…/%D8%AE%D9%8A%D8%B1_%D8%A7%D9%84%…
2. عروج بربروس ดู https://ar.wikipedia.org/…/%D8%B9%D8%B1%D9%88%D8%AC_%D8%A8%…
3. “Admiral Hayreddin Barbarossa” เขียนโดย Kallie Szczepanski ดู https://www.thoughtco.com/admiral-hayreddin-barbarossa-1957…
4. “Barbary Pirate” ดู https://www.britannica.com/topic/Barbary-pirate


อ่านตอนที่ 1 https://www.theustaz.com/?p=4083
อ่านตอนที่ 2 https://www.theustaz.com/?p=4232
อ่านตอนที่ 3 https://www.theustaz.com/?p=4236

ที่มา GenFa : ประวัติศาสตร์สร้างคนรุ่นใหม่

ระเบียบตะวันออกกลางในยุคโควิด-19 (จบ)

ปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในตะวันออกกลางหลังอาหรับสปริงคือสงครามกลางเมืองอันทำให้หลายประเทศในภูมิภาคตกอยู่ในสภาพรัฐอ่อนแอ ทั้งกรณีสงครามในซีเรีย ลิเบีย เยเมน และอิรัก

อีกทั้งในแต่ละสงครามกลางเมืองยังมีตัวแสดงจากทั้งภายในภูมิภาคและมหาอำนาจโลกเข้ามาแทรกแซงแสดงบทบาทอยู่อย่างต่อเนื่อง

พร้อม ๆ ไปกับสภาพที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงดังกล่าวก็ทำให้กลุ่มติดอาวุธประเภทต่าง ๆ ถือกำเนิดเกิดขึ้นมากมาย ทั้งกลุ่มติดอาวุธข้ามพรมแดนที่ยึดโยงกันทางชาติพันธุ์และสำนักคิดทางศาสนา กลุ่มกบฏต่อต้านรัฐ กลุ่มกองกำลังชนเผ่า องค์กรก่อการร้าย ทหารรับจ้าง และนักรบต่างชาติ

กลุ่มเหล่านี้ได้ท้าทายอำนาจรัฐในฐานะที่เป็นผู้ผูกขาดการใช้ความรุนแรงและผูกขาดการควบคุมพื้นที่ดินแดนของประเทศแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ในระยะหลังกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ก็สามารถใช้กำลังความรุนแรงและสามารถสถาปนาหน่วยการปกครองในดินแดนบางส่วนของประเทศได้เช่นกัน

วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ได้เกิดขึ้นซ้อนทับกับสภาพสงครามกลางเมืองและสงครามตัวแทนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของตะวันออกกลางดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ประเทศไหนก็ตามที่สมรรถนะของรัฐไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาโรคระบาดได้ (เนื่องเพราะต้องเผชิญกับภาวะสงครามกลางเมืองมายาวนาน) หน้าที่ดังกล่าวก็จะถูกช่วงชิงไปโดยกลุ่มกองกำลังติดอาวุธประเภทต่าง ๆ ในการเข้าไปให้บริการสาธารณะแก่ชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในดินแดนที่อำนาจรัฐไม่สามารถเข้าไปถึง

ขณะเดียวกัน รัฐอ่อนแอที่ตกอยู่ในสภาพสงครามกลางเมืองเหล่านี้ก็เป็นดินแดนที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดหากเกิดการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้เนื่องจากทั้ง ซีเรีย ลิเบีย เยเมน และอิรัก ล้วนเป็นประเทศที่โรงพยาบาลและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณสุขตกเป็นเป้าการถล่มโจมตีจากกลุ่มฝ่ายต่าง ๆ รวมถึงการโจมตีโดยมหาอำนาจภายนอกด้วย

สภาพการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างตัวแสดงฝ่ายต่าง ๆ ทั้งชนชั้นนำทางการเมือง บรรดากลุ่มติดอาวุธ และมหาอำนาจภายนอก (ที่เข้ามาทำสงครามตัวแทนในพื้นที่ขัดแย้ง) เพื่อช่วงชิงอิทธิพลอำนาจและทรัพยากรในดินแดนประเทศต่าง ๆ

ด้วยเหตุนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ทุกกลุ่มฝ่ายในตะวันออกกลางหันมาร่วมมือสร้างสันติภาพระหว่างกัน ในทางตรงข้าม โควิด-19 อาจเป็นปัจจัยหนุนเสริมให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเกิดเป็นปัญหาความขัดแย้งซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

เพราะนอกจากตัวแสดงฝ่ายต่าง ๆ จะช่วงชิงแก่งแย่งอิทธิพลอำนาจเหนือดินแดนและทรัพยากรระหว่างกันแล้ว เรายังอาจเห็นการแข่งขันกันเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขในยามที่ผู้คนจำนวนมากกำลังล้มป่วยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกด้วย

ทั้งนี้ การเข้าถึงและครอบครองอุปกรณ์ทางการแพทย์และการมีระบบสาธารณสุขที่ดีนับเป็นการเรียกคะแนนความนิยมและความเชื่อมั่นจากประชาชน อีกทั้งยังสามารถสร้างชื่อเสียงอันจะเป็นการเสริมภาพลักษณ์และสถาปนาความชอบธรรมให้กับฝ่ายตนได้

การที่รัฐบาลของรัฐอ่อนแอต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายรอบด้านและติดพันกับการทำศึกสงครามมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงทำให้การรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ลักษณะเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวแสดงที่ต่ำกว่ารัฐหรือกลุ่มติดอาวุธได้แสดงบทบาทฉายภาพให้เห็นว่าตนเองสามารถทำงานได้ดีกว่ารัฐ

หากตัวแสดงเหล่านี้ทำได้จริงเรื่องนี้ก็จะกระทบกระเทือนอำนาจความชอบธรรมของรัฐเป็นอย่างยิ่ง แต่หากไม่สามารถจะรับมือกับโควิด-19 ได้อย่างที่อ้าง กลุ่มเหล่านี้ก็จะขาดความชอบธรรม และสูญเสียอิทธิพลให้แก่ฝ่ายรัฐบาลในท้ายที่สุด

ด้วยเหตุนี้จึงมีรายงานออกมาระบุว่า ในบางประเทศของตะวันออกกลางมีกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมโรคระบาด ยกตัวอย่างเช่นในซีเรียนั้น กลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มมีการวางร่างแถลงการณ์ร่วมกันว่าจะไม่ขัดขวางหรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ปฏิบัติการณ์ยับยั้งโรคระบาดและจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อพลเรือนหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน

กลุ่มติดอาวุธบางกลุ่มที่จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในบางพื้นที่ยึดครองของซีเรียยังออกแถลงการณ์สร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคระบาดให้กับประชาชนในพื้นที่ของตัวเอง และในทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียก็มีการประกาศลดความแออัดของเรือนจำเพื่อลดความเสี่ยงของการระบาด เป็นต้น

กล่าวอย่างรวบรัดคือในสภาพที่เกิดสงครามกลางเมืองในหลายประเทศของตะวันออกกลางนั้น วิกฤตโควิด-19 อาจกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รัฐและกลุ่มติดอาวุธเพิ่มการแข่งขันเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองดินแดนต่าง ๆ ส่วนใครจะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความหนักหนาสาหัสของวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นในแต่ละดินแดน มาตรการในการรับมือ การเข้าถึงเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดรวมถึงประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุข

แต่ปัจจัยที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือแรงสนับสนุนจากตัวแสดงที่เป็นมหาอำนาจภายนอกที่เข้ามาทำสงครามตัวแทน (proxy war) ในพื้นที่ความขัดแย้งที่เป็นสงครามกลางเมืองในตะวันออกกลาง

แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่า ตัวแสดงที่เป็นมหาอำนาจโลกและตัวแสดงในภูมิภาค ซึ่งเข้ามาแทรกแซงแสดงบทบาทในสงครามกลางเมือง กำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขภายในประเทศของตนเองอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ขณะเดียวกัน โรคระบาดที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อตลาดพลังงานโลก ทำให้ราคาน้ำมันดำดิ่งลงไปเนื่องจากความต้องการในการใช้น้ำมันของตลาดโลกลดลงไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้มหาอำนาจฝ่ายต่าง ๆ ที่เข้าไปทำสงครามตัวแทนในตะวันออกกลางจึงต้องคำนึงถึงความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของประเทศตนเองเป็นหลักเสียก่อน และคงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศตนหลังวิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้นไป

ด้วยเหตุนี้ การที่แต่ละตัวแสดงที่เป็นมหาอำนาจภายนอกจะดำเนินการสนับสนุนตัวแทนของตนในสมรภูมิสงครามกลางเมืองเหมือนอย่างเดิมคงเป็นไปได้ยาก

อันที่จริงก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ตัดสินใจถอนกำลังทหารออกไปบางส่วนจากซีเรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สหภาพยุโรปเองก็ไม่มีแผนการเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมในการจัดการกับปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ขณะเดียวกันแม้รัสเซียกับตุรกีดูจะยังแสดงบทบาทเด่นชัดในสมรภูมิความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดในเรื่องสภาพเศรษฐกิจถดถอยที่จะตามมาหลังจากนี้ ก็คงส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศต้องลดการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางมากขึ้น

ส่วนอิหร่านและซาอุดิอาระเบียนั้นก็ถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอิหร่านซึ่งเผชิญความยากลำบากไม่เฉพาะแต่โควิด-19 เท่านั้น แต่ยังถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และไม่สามารถขายน้ำมันได้เหมือนเดิม สภาพอย่างนี้อาจทำให้อิหร่านไม่สามารถให้การหนุนหลังกลุ่มฝ่ายตัวแทนของตนในประเทศต่าง ๆ ได้เหมือนในอดีต

ยิ่งกว่านั้น ประชาชนของประเทศต่าง ๆ ที่เข้าไปแทรกแซงแสดงบทบาทในสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางคงจะออกมาเรียกร้องให้ผู้นำประเทศของตนหันมาให้ความใส่ใจกิจการภายในประเทศของตน

บางประเทศเหล่านี้กำลังจะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง อย่างเช่นสหรัฐอเมริกาที่จะจัดการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมาคือประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ก็คงต้องกลับมานั่งทบทวนนโยบายการต่างประเทศของตนเสียใหม่ โดยเฉพาะนโยบายการใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองในประเทศอื่น ซึ่งอาจไม่ได้สร้างประโยชน์คุ้มค่าเหมือนในอดีตอีกต่อไปท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ความไร้เสถียรภาพของราคาน้ำมัน และปัญหาโรคระบาดข้ามชาติที่ยังไม่ทราบว่าจะจบลงเมื่อใด

หากสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ก็อาจทำให้วิกฤตสงครามตัวแทนในตะวันออกกลางค่อย ๆ ลดความร้อนแรงลงไป อันจะส่งผลถึงสถานการณ์สงครามกลางเมืองที่จะเปลี่ยนไปในแต่ละประเทศ

เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นไปในทิศทางนั้น


โดย Srawut Aree

การเอื้อเฟื้อที่ชั่วร้ายที่สุด

อิบนุตัยมียะฮ์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์กล่าวว่า
การเอื้ออาทรที่ชั่วร้ายที่สุดคือ การเอื้อเฟื้อที่ท่านได้มอบผลบุญความดีงามของท่านให้แก่คนอื่นในวันกิยามะฮ์ ด้วยการนินทา ใส่ไคล้ จาบจ้วง ให้ร้าย ด่าทอ สาปแช่งคนอื่น หรือพูดง่ายๆคือ อันธพาล

——————
จงระวังการเอื้อเฟื้อประเภทนี้
แอดมินจำได้ว่า เริ่มแรกที่เป็นครูโรงเรียนประถมที่ Sekolah Rendah Hira’, Klang, Selangor เมื่อ 25 ปีที่แล้ว นักเรียนชอบมาฟ้องว่าตนถูกเพื่อน Bully หรือบอกว่าคนนั้นชอบ Bully เพื่อน อาศัยที่เป็นคนบ้านนอกเข้ากรุงใหม่ๆ จึงไม่เข้าใจคำนี้ เลยถามเพื่อนครูแบบเขินๆว่า Bully คืออะไร ซึ่งเพื่อนก็อธิบายด้วยดี
หลังจากนั้น ก็ไม่เคยได้ยินคำนี้อีกเลย จนกระทั่งมีกระแสในโลกโชเชี่ยลปัจจุบัน
—————
นบีได้พูดถึงคนที่ชอบระรานและใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นคนที่ล้มละลายตัวจริง เพราะในวันอาคิเราะฮ์ ความดีของเขาที่สะสมมาทั้งชีวิต จะถูกถ่ายโอนไปยังคนที่เขาเคยทำร้ายด้วยวาจาและการกระทำเพื่อไถ่บาป หากยังไม่เพียงพอ อัลลอฮ์จะถ่ายโอนบาปของคนที่เขาเคยทำร้ายมาให้เขา จนกระทั่งจากที่เขาเคยเป็นคนที่มีความดีมากมาย กลับกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยบาป จนกระทั่งเขาถูกตัดสินให้เข้านรก نعوذ بالله من ذلك
นี่คืออันตรายของ Bully

ยิ่งในตอนนี้ เราสามารถ Bully ผู้คน โดยที่เหยื่อแทบไม่มีโอกาสรู้จักเราด้วยซ้ำ
ยุคโซเชี่ยล ทำให้คนๆหนึ่งกร่างเมื่ออยู่คนเดียวหน้าจอ แต่ดูสุขุมคัมภีรภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน
————

บางคนหาญกล้า Bully อุละมาอฺที่เสียชีวิตไปแล้วร้อยๆปีด้วยผลงานอันมากมาย แต่เรากลับ Bully พวกเขาด้วยความญาฮิลของเรา
เรา Bully คนเดียวหน้าจอก็จริง
แต่คิดว่า จะรอดหรือ


โดย Mazlan Muhammad

สะอดฺ บินมุอ๊าซ : การตายที่สั่นสะเทือนบัลลังก์ของอัรเราะหฺมาน

สะอดฺ บินมุอ๊าซ คนหนุ่มจากเผ่าเอาศฺ มีชื่อเสียงเรื่องการขี่ม้าและความกล้าหาญ คุณพ่อชื่อว่า มุอ๊าซ บินนุอฺมาน ส่วนคุณแม่ชื่อว่า กับชะฮฺ บินติรอฟิอฺ ภรรยาของเขาชื่อว่า ฮินดุน บินติซัมมาก สะอดฺเป็นผู้นำเผ่าบนีอับดุลอัชฮัล

ครั้นเมื่อฑูตอิสลาม คือท่านมุศอับ บินอุมัยรฺ เดินทางไปดะอฺวะฮฺที่ยัษริบ (มะดีนะฮฺ) จนทำให้คนบางส่วนหันมาเข้ารับอิสลาม สะอดฺ บินมุอ๊าซ ซึ่งมีอิทธิพลในเมืองก็ไม่พอใจ ตอนนั้นเขายังไม่ได้รับอิสลาม เขาส่งเพื่อนสนิทคือ อุสัยดฺ บินหุฎ็อยรฺ ไปพบมุศอับซึ่งอยู่กับอัสอัด บินซุรอเราะฮฺ (ญาติของสะอดฺเอง) เพื่อสั่งให้พวกเขายุติการดะอฺวะฮฺ

แต่เมื่อได้สนทนากับมุศอับ อุสัยดฺก็เข้ารับอิสลาม แล้วรีบกลับไปหาสะอดฺ หวังว่าสะอดฺจะได้รับทางนำด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นใบหน้าของอุสัยดฺซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างชัดเจน สะอดฺก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

อุสัยดฺตอบว่า “ฉันได้คุยกับ 2 คนนั้นแล้ว ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เห็นว่าทั้ง 2 คนจะมีปัญหาอะไรเลย ฉันได้ห้ามพวกเขาทั้งคู่ แต่พวกเขาบอกว่า ‘เราจะทำในสิ่งที่ท่านต้องการ’ และฉันได้ยินมาว่าบนีหาริษะฮฺได้ออกตามล่าเพื่อฆ่าอัสอัด บินซุรอเราะฮฺ ทั้งที่พวกเขาก็รู้ว่า อัสอัดเป็นลูกของคุณอา (ญาติพี่น้อง) ของเจ้า ดูเหมือนพวกเขาต้องการละเมิดสัญญาที่มีให้กับเจ้า”

เมื่อได้ยินดังนั้น สะอดฺก็ลุกขึ้นด้วยความโมโห เขาหยิบหอกแล้วออกไปหาอัสอัดและมุศอับ แต่เมื่อสะอดฺเห็นทั้ง 2 คนกำลังนั่งอยู่อย่างสงบ เขาก็รู้ทันทีว่าอุสัยดฺต้องการให้เขามาฟัง 2 คนนี้

สะอดฺยืนประจันหน้ากับทั้ง 2 คนด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง และได้กล่าวกับอัสอัด บินซุรอเราะฮฺ ว่า “สาบานต่ออัลลอฮฺ โอ้อบูอุมามะฮฺ ถ้าไม่ใช่เพราะเราเป็นญาติพี่น้องกัน ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน เจ้ามายังบ้านเมืองของเรา โดยนำสิ่งที่พวกเราไม่ชอบมาด้วย”

มุศอับจึงพูดกับสะอดฺว่า “หากว่าท่านนั่งลงแล้วฟังเราก่อนได้ไหม? ถ้าท่านชอบท่านก็รับมันไว้ แต่ถ้าท่านเห็นว่ามันไม่ดี เราก็จะไม่เอาสิ่งที่ท่านไม่ชอบมายุ่งกับท่านอีก” สะอดฺพูดว่า “ก็ยุติธรรมดี” พร้อมกับวางหอกแล้วนั่งลงยอมรับฟัง

มุศอับนำเสนอคำสอนของอิสลามและได้อ่านช่วงต้นของสูเราะฮฺอัซซุครุฟให้สะอดฺฟัง สะอดฺถามว่า “พวกท่านทำอะไรบ้างเมื่อต้องการเข้ารับศาสนานี้?” มุศอับตอบว่า “อาบน้ำ ทำความสะอาดเสื้อผ้า กล่าวคำปฏิญาณด้วยถ้อยคำที่เป็นสัจธรรม แล้วก็ละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ”

สะอดฺรีบทำตามที่มุศอับแนะนำ เขาอาบน้ำ ทำความสะอาดเสื้อผ้า กล่าวคำชะฮาดะฮฺว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมหมัดคือบ่าวและศาสนฑูตของพระองค์” และละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ จากนั้นเขาก็หยิบหอกแล้วมุ่งตรงไปยังกลุ่มชนของเขา เขายืนอยู่ต่อหน้านบีอับดุลอัชฮัลและพูดขึ้นว่า “โอ้ บนีอับดุลอัชฮัล พวกท่านคิดเห็นอย่างไรกับฉัน?”

พวกเขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านคือผู้นำของเรา เป็นคนที่เราพร้อมเชื่อฟังและปฏิบัติตามความเห็นมากที่สุด และเป็นคนที่เราไว้วางใจมากที่สุดด้วย”

สะอดฺจึงพูดว่า “พวกท่านทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ต้องมาพูดคุยอะไรกับฉันอีก จนกว่าพวกท่านจะศรัทธาต่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์” ปรากฏว่าไม่ทันที่ตะวันจะตกดิน ชายและหญิงบนีอับดุลอัชฮัลทุกคนก็พากันเข้ารับอิสลาม และกลายเป็นมุสลิมและมุสลิมะฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด อัลลอฮุอักบัร !!

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของสะอดฺก็เปลี่ยนไป การรับใช้และต่อสู้เพื่ออิสลามคือทางเลือกของเขา

ในสงครามบัดรฺ เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไม่อาจเลี่ยงสงครามได้อีกต่อไป สะอดฺได้เป็นตัวแทนของชาวอันศอร (ชาวเมืองมะดีนะฮฺ) ในการแสดงจุดยืนสนับสนุนท่านนบีอย่างเต็มที่ ในสมรภูมิอุฮุดที่ยากลำบาก เขายืนเคียงข้างเป็นโล่ป้องกันตัวท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในสงครามค็อนดักที่แสนหฤโหด เขาร่วมปกป้องเมืองมะดีนะฮฺสุดชีวิต และได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกยิงด้วยธนูของหิบบาน บินก็อยสฺ

ในช่วงเวลาที่เมืองมะดีนะฮฺถูกปิดล้อมโกยกองทัพพันธมิตร (อะหฺซาบ) นี้เอง ชาวยิวจากบนีกุร็อยเซาะฮฺก็ได้ละเมิดสัญญา ทรยศต่อท่านนบีและชาวมะดีนะฮฺ พวกเขาเข้าร่วมเป็นภาคีกับชาวกุร็อยชฺ ทั้งที่ได้ทำสัญญากับท่านนบีไว้แล้ว แต่ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ ชาวมุสลิมสามารถเอาชนะกองทัพพันธมิตรกุร็อยชฺไว้ได้ และท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็ได้ยกทัพเข้าปิดล้อมหมู่บ้านของชาวยิวบนีกุร็อยเซาะฮฺ โทษฐานทรยศและละเมิดสัญญามะดีนะฮฺ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ฮ.ศ.5 ท่านนบีปิดล้อมบนีกุร็อยเซาะฮฺนาน 25 วัน กระทั่งพวกเขายอมจำนน สะอดฺ บินมุอ๊าซ ถูกเลือกให้เป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตากรรมของบนีกุร็อยเซาะฮฺ ขณะนั้นสะอดฺกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺ เมื่อรู้ว่าท่านนบีกำลังตามหาตัว สะอดฺก็ได้ขอดุอาอ์ว่า “โอ้อัลลอฮฺ โปรดอย่าเพิ่งเอาชีวิตของฉันไป จนกว่าฉันจะจัดการปัญหาระหว่างฉันกับบนีกุร็อยเซาะฮฺเสียก่อน” แล้วเขาก็รีบขี่ลาออกไปยังหมู่บ้านของบนีกุร็อยเซาะฮฺ

ผู้คนบางส่วนพากันรุมล้อมสะอดฺ และคะยั้นคะยอให้เขาทำดีกับบนีกุร็อยเซาะฮฺ สะอดฺพูดว่า “ฉันจะไม่เกรงกลัวการตำหนิใด ๆ ในเรื่องของอัลลอฮฺ” แล้วเขาก็ตัดสินให้ประหารชีวิตผู้ชายจากบนีกุร็อยเซาะฮฺทุกคน ส่วนผู้หญิงให้จับเป็นเชลยศึก และทรัพย์สินของพวกเขาให้แบ่งทรัพย์เชลยแก่ทุกคน ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า “ท่านได้ตัดสินด้วยคำตัดสินที่มีอยู่บนฟากฟ้า” บางรายงานระบุว่า “ท่านได้ตัดสินด้วยคำตัดสินของอัลลอฮฺจากเหนือชั้นฟ้าทั้ง 7”

หลังจากเหตุการณ์นั้น สะอดฺได้ขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺให้บาดแผลของเขานำไปสู่การตายชะฮีด ท่านนบีมาเยี่ยมสะอดฺอยู่บ่อย ๆ ท่านได้ขอดุอาอ์ให้สะอดฺว่า “โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงสะอดฺคนนี้ได้ต่อสู้ในหนทางของพระองค์ โปรดรับวิญญาณของเขาด้วยการรับที่ดีที่สุดเถิด”

สะอดฺปรารถนาที่จะให้สิ่งที่เขามองดูในวันสุดท้ายของชีวิตคือ ใบหน้าของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เขากล่าวกับท่านนบีว่า “อัสสะลามุอะลัยกุม ท่านเราะสูลครับ ขอให้ท่านรับทราบด้วยว่า ฉันปฏิญาณตนยืนยันว่าท่านคือศาสนฑูตของอัลลอฮฺ” ท่านเราะสูลมองไปที่ใบหน้าของสะอดฺแล้วพูดว่า “จงดีใจเถิด โอ้อบูอัมรฺ”

และแล้วสะอดฺก็จากไป เขาเสียชีวิตในปี ฮ.ศ.5 คือประมาณ 5 ปีหลังจากรับอิสลามเท่านั้นเอง ผู้คนต่างโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของเขา ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวในวันที่สะอดฺเสียชีวิตว่า “บัลลังก์ของอัรเราะหฺมานสั่นสะเทือน เพราะการตายของสะอดฺ บินมุอ๊าซ”

อ้างอิง :
1. อัรเราะฮีกุล มัคตูม โดย เชคเศาะฟียุรเราะหฺมาน อัลมุบาร็อกฟูรีย์


ที่มา : GenFa : ประวัติศาสตร์สร้างคนรุ่นใหม่

ระเบียบตะวันออกกลางในยุคโควิด-19 (ตอน 2)

ความเดิมเมื่อตอนที่แล้วคือ โควิด-19 ไม่ได้เป็นตัวการทำให้ระเบียบภูมิภาคของตะวันออกกลางเปลี่ยนไปหรอกครับ แต่มันเป็นตัวเร่งให้ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเกิดเร็วขึ้น หรือมีความเข้มข้นมากขึ้น

บทความตอนที่แล้ว ผมพยายามอธิบายว่าบริบทการเปลี่ยนแปลงของตะวันออกกลางประการหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งเชื่อมโยงกับการเมืองระดับโลก คือความเสื่อมคล้ายเสื่อมถอยของสหรัฐฯในฐานะมหาอำนาจหนึ่งเดียว

ขณะเดียวกันรัสเซียก็เข้าไปยึดกุมหัวหาดสร้างฐานที่มั่นของตนเองในตะวันออกกลาง อันเท่ากับเป็นการท้าทายบทบาทของสหรัฐฯโดยตรง แต่ที่สำคัญคือประเทศจีนกลับเป็นฝ่ายที่ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนทั่วในภูมิภาค

ทั้งหมดนี้คือภูมิทัศน์การเมืองใหม่ในตะวันออกกลาง เป็นสภาพการณ์ที่สหรัฐฯไม่ได้เป็นมหาอำนาจครอบงำแต่ฝ่ายเดียวเหมือนในยุคหลังสงครามเย็นอีกต่อไป แต่สหรัฐฯเป็นเพียงหนึ่งในบรรดามหาอำนาจโลกที่ดำรงอยู่ในตะวันออกกลางเท่านั้น เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนขึ้นหลังเกิดวิกฤติโควิด-19

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญอันเป็นกระแสที่เกิดขึ้นมานานก่อนหน้านี้ในตะวันออกกลางคือการแข่งขันแย่งชิงการเป็นอำนาจนำระหว่างตัวแสดงต่าง ๆ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน ตุรกี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ พอเกิดโควิด-19 เราก็เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น

หากถามว่าอนุภูมิภาคไหนในตะวันออกกลางที่มีความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 มากที่สุด คำตอบที่น่าจะตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดคือกลุ่มประเทศร่ำรวยน้ำมันในคาบสมุทรอาหรับ ทั้งนี้เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้มีศักยภาพสูงด้านระบบสาธารณสุขและมีประสบการณ์ในการรับมือกับโรคระบาดมากกว่าดินแดนส่วนอื่น ๆ ของตะวันออกกลาง

ซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศที่มีประสบการณ์ในการป้องกันและควบคุมโรคเนื่องจากต้องจัดพิธีฮัจญ์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้คนจำนวนกว่า 2 ล้านคนในแต่ละปี นอกจากนั้น ซาอุดิอาระเบียยังได้จัดตั้งหน่วยงานควบคุมโรคระบาดแห่งชาติขึ้นหลังจากที่ประเทศต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสเมอส์ (MERS) ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2012

ด้วยเหตุนี้ ซาอุดิอาระเบียจึงมีความพร้อมและค่อนข้างตื่นตัวต่อการรับมือโรคระบาดโควิด-19 ก่อนใคร รวมถึงการเร่งขยายพื้นที่การตรวจเชื้อที่ขยายครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศในคาบสมุทรอาหรับ ทั้งซาอุดิอาระเบีย และประเทศร่ำรวยน้ำมันอื่น ๆ ก็มีความพร้อมในเรื่องช่องทางการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพราะล้วนเป็นประเทศที่มีการจัดสรรโครงการสวัสดิการให้กับประชาชนเป็นอย่างดีมาตลอดต่อเนื่อง

อีกทั้งกลุ่มประเทศเหล่านี้ยังถือว่าเรื่องสาธารณสุขเป็นปัญหาทางความมั่นคงของประเทศ และได้ประกาศให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยไม่ได้จำกัดสิทธิไว้ให้เฉพาะกลุ่มประชาชนที่เป็นพลเมืองของตนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่พักอาศัยอยู่ในประเทศและพวกแรงงานต่างชาติอีกด้วย

ซาอุดิอาระเบียค่อนข้างได้เปรียบในการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส สามารถแสดงความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดข้ามชาติอันเท่ากับเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของตนเองในการเป็นผู้นำของภูมิภาค

แตกต่างจากอิหร่านที่ต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจและความมั่นคงอันเกิดจากมาตรการกดดันและคว่ำบาตจากสหรัฐฯ จนไม่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก

ขณะเดียวกัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งถือเป็นชาติพันธมิตรใกล้ชิดกับซาอุดิอาระเบีย ได้ใช้โอกาสนี้ดำเนินนโยบายต่างประเทศเพื่อสร้างภาวะความเป็นผู้นำแห่งภูมิภาค โดยการปรับเปลี่ยนท่าทีที่เคยมีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างซีเรียและอิหร่าน กล่าวคือมกุฎราชกุมารแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ติดต่อฟื้นความสัมพันธ์กับระบอบบาซาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรีย พร้อมทั้งยืนยันที่จะให้การสนับสนุนซีเรียในการต่อสู่กับโรคระบาดโควิด-19

ยิ่งกว่านั้น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังได้ส่งเครื่องมือทางการแพทย์ไปช่วยอิหร่านในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญกับโรคระบาดอย่างหนักหนาสาหัสอีกด้วย

ส่วนตุรกีนั้นแม้จะเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในตะวันออกกลาง (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2020) แต่กลับเป็นประเทศที่พยายามส่งความช่วยเหลือไปให้ประเทศต่าง ๆ มากที่สุดเช่นกัน โดยทางรัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีได้ออกมาเปิดเผยว่า มีประเทศต่าง ๆ ในโลกแสดงความจำนงขอความช่วยเหลือจากตุรกีกว่า 135 ประเทศ และตุรกีได้ส่งความช่วยเหลือพร้อมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปให้ประเทศต่าง ๆ แล้วจำนวน 81 ประเทศ

ลักษณะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าแต่ละชาติใหญ่ ๆ ในตะวันออกกลางกำลังใช้วิกฤตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้เป็นโอกาสในการเสริมภาพลักษณ์และสร้างบารมีของแต่ละฝ่ายอันจะหนุนเสริมให้ตนเองอยู่ในสถานะอำนาจนำในภูมิภาคตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ตาม หากมองระยะใกล้ ต้องยอมรับว่ากลุ่มประเทศร่ำรวยน้ำมันในคาบสมุทรอาหรับมีความได้เปรียบเหนือกลุ่มประเทศอื่น ทั้งนี้ก็เนื่องจากมีความพร้อมและมีทรัพยากรมากกว่าในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19

แต่ในระยะยาวก็คงต้องดูกันต่อไป แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ครับ

แผนที่ข้างใต้นี้แสดงถึงแผ่นดินเกิดของศาสดาสำคัญ ๆ ท่านต่าง ๆ ในอดีตครับ


เขียนโดย Srawoot Aree


กลับไปอ่าน | ตอนที่ 1 https://www.theustaz.com/?p=3965