กองกำลังฮัฟตาร์ยึดโรงกลั่นน้ำมันดิบทางตะวันออกลิเบีย

สำนักข่าวอานาโตเลียรายงานว่า กองกำลังนายพลฮัฟตาร์นับร้อยคน ได้เข้าบุกยึดโรงกลั่นน้ำมันดิบทางภาคตะวันออกของลิเบียและสั่งปิดดำเนินการ ด้านโฆษกฝ่ายกองกำลังฮัฟตาร์ได้แถลงชื่นชมและสนับสนุนการปฎิบัติการครั้งนี้ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันลิเบีย เปิดเผยว่า ถือเป็นการสูญเสียรายได้ของประเทศครั้งยิ่งใหญ่

กองกำลังนายพลฮัฟตาร์ยังประกาศว่าจะปฏิบัติการปิดล้อมโรงกลั่นน้ำมันดิบแหล่งอื่นทั่วประเทศ พร้อมอ้างสาเหตุ เพราะไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติของรัฐบาล อีกทั้งยังอ้างว่าประชาชนต้องการให้ปิดโรงกลั่นน้ำมันดิบของประเทศ เราจึงจำเป็นปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและไม่ยอมให้ตกเป็นสมบัติของใครผู้ใด

ในขณะที่ผู้อำนวยการโรงกลั่นน้ำมันลิเบียเปิดเผยว่า การปฎิบัติการของกองกำลังฮัฟตาร์ครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถผลิตน้ำมันจำนวน 700,000 บาร์เรลต่อวันและถือเป็นตัดท่อทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อฐานะทางการเงินของประเทศ เพราะการส่งออกน้ำมันและก๊าซ ถือเป็นรายได้หลักของประเทศลิเบียเพียงแหล่งเดียวเท่านั้น

การบุกยึดโรงกลั่นน้ำมันดิบของรัฐบาลโดยกองกำลังฮัฟตาร์ครั้งนี้ เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเจรจาหลายฝ่ายเพียง 1 วัน เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง โดยที่การเจรจาจะมีขึ้นที่กรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมันในวันที่ 19 มกราคม 2563 และถือเป็นหนึ่งในผลงานเถื่อนของกองกำลังฮัฟตาร์ที่ต่อต้านรัฐบาลสมานฉันท์ซึ่งได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ

เป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา อิยิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบีย ถือเป็นชาติสำคัญที่คอยสนับสนุนด้านกองกำลัง วัตถุปัจจัยและงบประมาณให้แก่กองทัพฮัฟตาร์ จนสามารถสั่นคลอนรัฐบาลอันชอบธรรมของลิเบียขณะนี้

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

อ่านเพิ่มเติม : https://bit.ly/372mSpU

อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนีเยี่ยมมุฟตีซาอุดิอาระเบียและ รมว. ศาสนาซาอุดิอาระเบีย

อังคารที่ 14 มกราคม 2563 (20 ญุมาดั้ลเอาวัล ฮ.ศ.1441) รองศาสตราจารย์ ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดี มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ในฐานะคณะมนตรีสันนิบาตมุสลิมโลก (Muslim World League -MWL) เข้าเยี่ยมฯพณฯมุฟตี ชัยค์อับดุลอะซีส บินอับดุลลอฮ์ อาลิชัยค์ สมาชิกสภามนตรีก่อตั้งสันนิบาตมุสลิมโลก (Constituent Council) และผู้ชี้ขาดศาสนวินิจฉัย (Mufti) ที่สำนักงานใหญ่ดารุลอิฟตาอ์ กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย

ในวันเดียวกัน รศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา ได้ไปเยี่ยมฯพณฯชัยค์ศอลิห์ อาละชัยค์ รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการศาสนา ที่บ้านพัก ณ หมู่บ้านมูฮัมมะดียะฮ์ โดยมีชัยค์อับดุลอาซิส อัมมาร์ อดีตรมช. กระทรวงกิจการศาสนาและศาสนสมบัติร่วมให้การต้อนรับ

อิสราเอลขึ้นบัญชีให้ตุรกีเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของอิสราเอล

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่อิสราเอลจัดให้ตุรกีเป็นประเทศที่คุกคามความมั่นคงของอิสราเอล ประจำปี 2020

หนังสือพิมพ์ Times of Israel ฉบับวันอังคาร 14 มกราคม 2563 รายงานข่าว ว่า เป็นครั้งแรกที่หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลได้ขึ้นบัญชีประเทศตุรกีเป็นประเทศคุกคามความมั่นคงของอิสราเอลอันเนื่องมาจากนโยบายของแอร์โดฆานที่สร้างความกังวลให้กับอิสราเอล

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารายงานของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล ที่ส่งไปยังผู้บริหารประเทศทุกๆ ปี แต่กองทัพอิสราเอล ก็ยังไม่เห็นด้วยที่จะเผชิญหน้าโดยตรงกับตุรกีในปี 2020 แม้ว่าการคุกคามของตุรกีที่มีอิสราเอลที่มากขึ้นทุกๆปี ทำให้ตุรกีกลายเป็นอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดประการหนึ่งที่จำเป็นจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดในปีหน้า

หนังสือพิมพ์ Times of Israel ยังกล่าวอีกว่า การกระทำของตุรกีที่คุกคามภูมิภาคนี้คือ ปฏิบัติการต้นน้ำสันติภาพในทางตอนเหนือของซีเรีย และข้อตกลงตุรกีลิเบียเกี่ยวกับน่านน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านตะวันออก

หนังสือพิมพ์ยังได้กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอลเมื่อเดือนที่แล้วว่า ท่าทีอย่างเป็นทางการของอิสราเอล คือ ข้อตกลงระหว่างตุรกี-ลิเบียจะถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นี่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะต้องส่งเรือรบไปปะทะกับตุรกี

ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากที่ตุรกีได้เริ่มปฏิบัติการต้นน้ำสันติภาพในทางตอนเหนือของซีเรีย เพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย PKK/PYD ทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติได้กล่าวต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในการประชุมเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีตุรกีสั่นคลอนความมั่นคงในภูมิภาคนี้โดยการกระทำความรุนแรง และสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย

สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่า อิสราเอลหวาดกลัวต่อบทบาทของตุรกีในภูมิภาคนี้ ที่มีบทบาทในการสนับสนุนกรณีพิพาทเกี่ยวกับปาเลสไตน์ ทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นอิสราเอลยังพยายามขัดขวางการให้ความช่วยเหลือขององค์กรบรรเทาทุกข์ของตุรกีในเมืองอัลกุดส์อีกด้วย

เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ของอิสราเอลฉบับหนึ่งได้รายงานว่า ตุรกีได้ให้ความช่วยเหลือต่อชาวปาเลสไตน์ในการยืนยันกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอัลกุดส์และเวสต์แบงก์ โดยการให้เอกสารโบราณของออตโตมันแก่ชาวปาเลสไตน์เพื่อใช้ยืนยันสิทธิ์กรรมสิทธิ์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอิสราเอล

ในวันนี้ ไม่ว่าตุรกี อาหรับ เปอร์เซีย จะแสดงบทไหน บทบอยคอตไม่คบอิสราเอล หรือบทต่อต้านอิสราเอล หรือไม่อย่างไร

แต่ท้ายที่สุด พยานหลักฐานเริ่มปรากฏว่าใครเป็นใคร แท้จริงแล้ว ฝ่ายใดเป็นพิษภัยต่อความมั่นคงอิสราเอล และฝ่ายใดเป็นอาหารเสริมยาบำรุงสำหรับอิสราเอล

โดย Ghazali Benmad

หลังฤดูเพาะปลูก อิหร่านเก็บเกี่ยวอะไรบ้าง

สงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ใช้เวลาเพียง 6 วันระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน ระหว่าง วันที่ 3-9 มกราคม 2020 ได้สิ้นสุดแล้ว ท่ามกลางอกสั่นขวัญหายของชาวโลก แต่สิ่งที่ต้องลุ้นระทึกหลังจากนี้คือ เกมส์ธุรกิจการเมืองและศาสนาระหว่าง 2 ชาติ ที่ประกาศเป็นศัตรูร่วมกว่า 40 ปี จะเกิดผลไปในทิศทางใดบ้าง ใครได้ใครเสียหรือทั้งคู่มีได้กับได้

อิหร่านคงต้องเร่งคว้าสถานการณ์นี้ เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากที่สุด เพื่อรองรับแผนการอันยิ่งใหญ่ที่ได้กำหนดมาตั้งแต่การปฏิวัติโคมัยนี ปี 1979 ส่วนหนึ่งสรุปได้ดังนี้

1.ดับกระแสความไม่พึงพอใจของชาวอิหร่านที่มีต่อรัฐบาล

ก่อนเหตุการณ์สังหารนายพลสุไลมานี ชาวอิหร่านนับหมื่นคน ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลเนื่องจากประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาการว่างงาน ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในการบริหารราชการ จนกระทั่งลุกลามไปในอิรักและเลบานอน ซึ่งประชาชนทั้งสองประเทศนี้ได้แสดงปฏิกิริยาไม่ต้องการอยู่ในอำนาจของเตหะรานต่อไป

การชุมนุมไว้อาลัยต่อการสูญเสียของบุคคลสำคัญลำดับที่ 2 ของประเทศ ถือเป็นการร่วมสัตยาบันและแสดงการสวามิภักดิ์ครั้งใหม่ของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ทำให้รัฐบาลโรฮานีมีฐานสนับสนุนจากประชาชนอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นการซื้อเวลาและเป็นเพียงฐานน้ำแข็งก็ตาม

2.ความสำเร็จทางภูมิยุทธศาสตร์ (Geostrategy) ของอิหร่าน

หลังเกิดเหตุการณ์สังหารครั้งนี้ อิหร่านสามารถดึงทั้งรัสเซียและจีนเป็นพันธมิตรอย่างแนบแน่น โดยทั้งสองประเทศมหาอำนาจนี้ ต่างออกโรงประณามการปฎิบัติการของสหรัฐฯที่สังหารสุไลมานีอย่างเย้ยฟ้าท้าดิน อีกทั้งกลุ่มประเทศอียูและประชาคมโลก ต่างส่งสารแสดงความเสียใจแก่อิหร่านต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้

ความสำเร็จทางภูมิยุทธศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นผลตอบแทนอันสุดคุ้มของอิหร่านที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่การปฏิวัติอิหร่านเมื่อปี ค.ศ.1979

3.การประกาศอำนาจอันเบ็ดเสร็จของอิหร่านเหนือแผ่นดินอิรัก

นับตั้งแต่บัดนี้ อิรักกลายเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิหร่านโดยบริบูรณ์ หลังจากรัฐบาลกลางอิรักซึ่งเป็นหุ่นเชิดของรัฐบาลอิหร่าน ได้เรียกร้องให้กองกำลังต่างชาติเคลื่อนย้ายออกจากอิรักโดยเร็ว ซึ่งกองทัพเยอรมันได้ตอบรับการเรียกร้องโดยทันที ในขณะที่สหรัฐฯได้วางเงื่อนไขให้จ่ายค่าเสียหายและค่าเคลื่อนย้ายฐานทัพด้วยโดยฝ่ายที่ต้องควักกระเป๋าเสียค่าใช้จ่ายครั้งนี้ หนีไม่พ้นอิรักและประเทศอ่าว ที่สหรัฐฯถือว่าช่วยเป็นยามรักษาความปลอดภัยในภูมิภาคนี้มาโดยตลอด

นอกจากอิรักแล้ว อิหร่านยังส่งสัญญาณว่าทั้งซีเรีย เลบานอนและเยเมนก็อยู่ภายใต้การดูแลของตนเช่นกัน

ผลกำไรมหาศาลเช่นนี้ อิหร่านได้มาอย่างสะดวกโยธินโดยไม่ต้องลงทุนอะไรเลยหรือ

4.การประกาศครอบครองทางภูมิศาสตร์ของอาณาจักรเปอร์เซียในอดีต

การที่อิหร่านสามารถยึดครองดินแดนบริเวณคาบสมุทรอาหรับและประเทศอ่าวทั้ง 3 ด้าน ถือเป็นการประกาศยึดครองอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ที่เคยเป็นเขตอิทธิพลของอาณาจักรเปอร์เซียในอดีต ทำให้เราต้องนึกถึงอาณาจักรศอฟาวีย์ ที่สถาปนาประเทศบนซากศพและกองเลือดของประชาชาติอิสลามในอดีตนั่นเอง

5.ไฟเขียวให้อิหร่านเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมได้อย่างไร้ข้อจำกัด

อิหร่านและ 6 ชาติมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน ได้บรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในปี 2558 ที่จำกัดการครอบครองแร่ยูเรเนียมและการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ แต่หลังเหตุการณ์สังหารสุไลมานี อิหร่านประกาศแถลงการณ์จะเดินหน้าเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมอย่างเต็มพิกัด โดยไม่มีข้อจำกัด แต่จะยังคงร่วมมือกับสำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ต่อไป โดยสำนักงานดังกล่าวเป็นหน่วยงานด้านนิวเคลียร์ขององค์การสหประชาชาติ (UN)

การประกาศของอิหร่านครั้งนี้ ถือเป็นการละเมิดสนธิสัญญาของอิหร่านที่ได้บรรลุข้อตกลงจากหน่วยงานสากลอย่างสหประชาขาติ ทั้งๆที่อิรักยุคซัดดัมต้องแลกด้วยความพินาศย่อยยับทั่วประเทศทีเดียว มิหนำซ้ำ หลังสหรัฐฯปูพรมถล่มอิรักด้วยข้ออ้างว่าอิรักสะสมระเบิดนิวเคลียร์ แต่กลับไม่พบวัตถุอันตรายดังกล่าวแม้แต่เงา

ไม่มีลาภอันประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ที่อิหร่านพึงได้รับมากกว่านี้อีกแล้ว

6.อิหร่านได้รับไฟเขียวให้ตอบโต้สหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯยื่นมือพร้อมสร้างสันติภาพ

หลังจากที่อิหร่านได้ส่งสัญญาณให้รัฐบาลอิรักว่า จะตอบโต้สหรัฐฯอย่างหนักหน่วง เพื่อตอบโต้กรณีสังหารนายพลสุไลมาน เป็นผลทำให้อิหร่านยิงขีปนาวุธพิสัยไกลระยะทาง 500 กม. ถล่มฐานทัพสหรัฐฯ 2 แห่งในเวลาเดียวกัน โดยไร้การสกัดกั้นใดๆจากสหรัฐฯ แถมประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯได้แถลงในวันรุ่งขึ้นว่า สหรัฐฯจะไม่ตอบโต้อิหร่านแต่อย่างใด พร้อมยินดีจับมือกับอิหร่านสร้างสันติภาพในภูมิภาคนี้ต่อไป ทำให้อิหร่านสามารถยึดอกสร้างตำนานความยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครผู้ใดลอกเลียนแบบได้ และประวัติศาสตร์นี้จะถูกเล่าขานนานนับศตวรรษทีเดียว

7.โลกยอมรับและมอบอำนาจด้วยพานทองแก่อิหร่านให้ดูแลอ่าวอาหรับ

หลังจากนี้ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศอ่าวและประเทศอาหรับต้องยอมรับอำนาจที่แท้จริงในภูมิภาค อิหร่านที่สามารถทำสงครามกับ 4 ประเทศอาหรับในเวลาเดียวกัน (อิรัก ซีเรีย เลบานอน และเยเมน) ตลอดจนสามารถกำราบมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯให้ยุติการตอบโต้ รวมทั้งบีบบังคับสหรัฐฯมิให้สกัดกั้นการโจมตีพลังน้ำมันของบริษัทอารามโก้ของซาอุดิอาระเบียทำให้โลกต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า มหาอำนาจยุคใหม่บริเวณอ่าวอาหรับคือใครกันแน่ และชื่ออ่าวอาหรับจะถูกเปลี่ยนถาวรเป็นอ่าวเปอร์เซียเพราะเหตุใด

8.สมการที่ลงตัวระหว่างพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์กับนักธุรกิจค้าศาสนาและประชาชาติอิสลาม

ระหว่างมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสีเทา ซึ่งทั่วโลกหวั่นวิตกกับนโยบายต่างประเทศอันบ้าคลั่งของเขา บุคคลผู้นี้ได้ทำให้โลกอิสลามได้รับรู้ธาตุแท้ของชาติตะวันตกที่มีต่อโลกอิสลามโดยไม่จำเป็นต้องถอดรหัสลับใดๆ กับนักธุรกิจด้านศาสนาภายใต้เสื้อคลุมสีดำ ที่หากคำพูดและคำข่มขู่ของพวกเขากลายเป็นเปลวไฟ เชื่อว่าบัดนี้ ทั้งสหรัฐฯและอิสราเอลคงมอดไหม้แหลกลาญเป็นจุณแน่นอน

ในช่วงแรก ทั้งสหรัฐฯและอิหร่านมักจะคำรามใส่กันอย่างดุดันเสมอ แต่จะลงเอยที่โต๊ะเจรจาตลอด เพียงแต่การตกลงจะไม่เกิดบนโต๊ะเจรจาหรือในห้องประชุมเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติของชาวโลกทั่วไป แต่จะเกิดขึ้นจากถ้อยแถลงของผู้นำทั้งสองฝ่ายท่ามกลางความสูญเสียของโลกมุสลิมและประชาชาติอิสลาม ประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯได้ทวิตในข้อความส่วนตัวว่า “ชาวอิหร่านไม่เคยทำสงคราม แต่พวกเขาไม่เคยแพ้ในสนามเจรจาต่อรองเสมอ”

เราสามารถรู้เป้าหมายของพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ยากเย็นมากนักแต่จะรู้เบื้องลึกเป้าหมายของนักธุรกิจศาสนาของชนกลุ่มนี้ เราจำเป็นต้องกางแผนที่อาณาจักรเปอร์เซียยุคก่อน 1500 ปีทีเดียว เพื่อจะได้รู้ว่ายุทธศาสตร์ที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

ตุรกีดับไฟสงครามกลางเมืองที่ลิเบียสำเร็จ

หลังจากที่รุกหนัก ประกาศยึดเมืองแล้วเมืองเล่า จนเกือบจะประกาศโค่นรัฐบาลอยู่รอมร่อ แต่กลับถูกเบรคหัวทิ่ม นายพลจัตวาอะหมัด มิสมารี โฆษกกองกำลังนายพลจัตวาคอลีฟะฮ์ ฮัฟตาร์ แห่งลิเบีย ออกแถลงการณ์ ระบุกองกำลังนายพลฮัฟตาร์ ประกาศหยุดยิงนับตั้งแต่ วันอาทิตย์ ที่ 12 มกราคม ศกนี้

รัฐบาลลิเบียรอดพ้นจากสถานการณ์คอขาดบาดตายได้อย่างหวุดหวิด

ไม่เช่นนั้นแล้ว กลุ่มอิสลามจะถูกล้างผลาญในลิเบีย ไม่ต่างกับในอียิปต์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา 8/1/2562 ประธานาธิบดีตุรกีและประธานาธิบดีรัสเซีย ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในลิเบียหยุดยิง เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม นี้

หลังจากนั้น ฝ่ายนายพลฮัฟตาร์ ก็ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับข้อตกลงระหว่างตุรกีกับรัสเซีย และยืนยันจะโจมตีต่อไปจนพิชิตทริโปลีได้

แต่ต่อมา เมื่อ 12 มกราคม 2563 ฝ่ายนายพลฮัฟตาร์ก็ได้เปลี่ยนจุดยืน ออกแถลงการณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ประกาศหยุดยิงตามคำเรียกร้องของตุรกีและรัสเซีย

ทั้งนี้ นายพลฮัฟตาร์ ได้รับการสนับสนุนทางทหารและการเงิน จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย อิยิปต์ ซูดาน และฝรั่งเศส ประกาศเข้ายึดเมืองทริโปลี เมืองหลวงของรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติของลิเบีย ซึ่งได้รับการรับรองจากนานาชาติ ตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความไม่รู้ไม่เห็นของสหประชาชาติ ที่ไม่เคยออกมาคัดค้านหรือหาทางหยุดยั้งการโจมตีรัฐบาลที่ตนเองรับรอง

จนกระทั่ง 27 พฤศจิกายน 2562 ตุรกีประกาศข้อตกลงความร่วมมือทางทหาร กับรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติของลิเบีย ยืนยันจะไม่ให้รัฐบาลที่ชอบธรรมของลิเบียถูกโค่นเหมือนที่เกิดขึ้นในอียิปต์ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของกลุ่มประเทศอียู และการประณามของสันนิบาตอาหรับ ซาอุดิอาระเบีย อียิปต์ และมหาวิทยาลัยอัซฮัร อ้างว่าเป็นการแทรกแซงประเทศอาหรับ และจะทำให้สงครามรุนแรงมากขึ้น

แต่ตุรกีไม่สนใจ ยืนยันคำเดิมและเริ่มส่งทหารเข้าไปยังลิเบีย

จนมาถึงการประกาศหยุดยิงครั้งแรกระหว่างสองฝ่าย

พิสูจน์ให้เห็นว่า เกรวูฟอ่านสถานการณ์ได้ขาดและถูกต้อง มากกว่ากลุ่มประเทศและกลุ่มคนที่คัดค้านและประณามเหล่านั้น

รัฐบาลและปุโรหิตทั้งหลายที่อาศัยอิสลามเกาะกินและประณามตุรกี จะรับผิดชอบในคำพูดอย่างไร เมื่อในวันนี้สังคมโลกต่างออกมายินดีกับผลงานของตุรกี

ทั้งนี้ ฝ่ายนายพลฮัฟตาร์ประกาศว่าได้ยึดหัวเมืองต่างๆในลิเบียได้มากกว่า 80 % ของพื้นที่ ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติออกมาปฏิเสธว่า ข้ออ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะลิเบียเป็นประเทศใหญ่ มีพื้นที่มากกว่าประเทศไทยราวๆ 4 เท่า ประชากรลิเบียมีประมาณ 6.3 ล้าน ราวๆ 2.3 คน ต่อตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ของลิเบียเป็นพื้นที่ทะเลทราย ไม่มีประชากรอาศัย ส่วนใหญ่อยู่ในทริโปลีและเบงกาซี ที่เหลือก็กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ

สถานการณ์ในลิเบียขณะนี้ คลับคล้ายคลับคลากับยุคสุลต่านสุไลมาน กอนูนีย์ เมื่อกษัตริย์ฝรั่งเศสขอความช่วยเหลือจากออตโตมันต่อสู้กับสเปนที่จะเข้ามารุกราน ออตโตมันได้ส่งเครื่องแบบทหารหน่วยรบพิเศษ แค่เห็นชุดหน่วยรบพิเศษของออตโตมัน สเปนก็ถอนทัพกลับทันที

“ทุกครั้งที่พวกเขาจุดไฟสงคราม อัลลอฮ์จะดับไว้ พวกเขาพยายามก่อความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงรักผู้ก่อความเสียหาย” (64/อัลมาอิดะฮ์)

โดย Ghazali benmad

รัฐบาลซูดานประกาศปิดวิทยุอัลกุรอาน สื่ออิสลามและองค์กรอิสลามสาธารณกุศล

เมื่อซูดานถูกปกครองโดยหมาป่าคลุมหนังแกะ

หลังจากได้ปฏิวัติรัฐบาลพลเรือนที่นำโดยนายโอมาร์ บาชิร ซึ่งมีฐานสนับสนุนจากฝ่ายอิสลามิสต์ บัดนี้รัฐบาลสภาทหารซูดานใฝ่สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ได้ประกาศปิดวิทยุอัลกุรอานนับ 10 สถานี รวมทั้งสถานีโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์หลายฉบับ อีกทั้งสั่งปิดองค์กรสาธารณกุศล 24 องค์กร โดยอ้างว่าอาจมีส่วนพัวพันกับรัฐบาลชุดก่อนและเพื่อป้องกันแนวคิดก่อการร้าย

สื่อมวลชนทุกแขนงได้แสดงความไม่พอใจและถือว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ที่เป็นข้ออ้างของการโค่นล้มรัฐบาลชุดที่แล้ว หลายคนวิเคราะห์ว่า มาตรการรัฐบาลสภาทหารชุดนี้พยายามปิดหูปิดตาประชาชนมิให้เข้าถึงเสียงฝ่ายตรงกันข้ามต่างหาก

ฝ่ายรัฐบาลสภาทหารของซูดานอ้างว่าสาเหตุที่ยุบวิทยุและโทรทัศน์รวมทั้งสื่อต่างๆเนื่องจาก สื่อเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในขณะที่เราต้องการส่งคืนให้เป็นการตัดสินของประชาชนอีกครั้ง

นอกจากนี้ รัฐบาลสภาทหารชุดใหม่ ได้สั่งปิดวิชาหะดีษในหลักสูตรอิสลามศึกษาทั่วประเทศอีกด้วย

ซูดานมีการเปลี่ยนแปลงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้สภาทหารหลังจากนายโอมาร์ บะชีร วัย 75 ปี ถูกกองทัพซูดานบีบให้ลาออกเมื่อ 11 เมษายน 2019 หลังครองอำนาจนานกว่า 3 ทศวรรษโดยศาลอาญาระหว่างประเทศชี้มูลความผิดและออกหมายจับข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในภูมิภาคและทุจริตในการบริหารประเทศ

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสภาทหารของซูดานได้ส่งกองกำลังหลายพันนาย เข้าไปในลิเบียเพื่อสนับสนุนกองกำลังของนายพลฮัฟตาร์แกนนำใฝ่คอมมิวนิสต์ลิเบียที่สั่นคลอนรัฐบาลสามัคคีแห่งชาติลิเบียขณะนี้

เหตุการณ์ในซูดานขณะนี้ ทำให้โลกอิสลามต้องหวนคิดย้อนอดีตยุคนายเคมาล มุสตะฟา อะตาร์เติร์กล้มล้างระบอบคิลาฟะฮ์อุสมานียะฮ์เลยทีเดียว เพราะทำให้เรานึกถึงนิทานอีสปเรื่องหมาป่าหุ้มหนังแกะทันที

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/2uyhgoX

สรุปบทเรียน 10+1 ข้อ สงครามโลก 6 วัน ระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน

เหตุการณ์ช๊อกโลกที่สหรัฐฯ โดยคำสั่งตรงจากประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯสังหารนายคาซิม สุไลมานี เมื่อเช้าตรู่ วันที่ 3 มกราคม 2020 ส่งผลให้อิหร่านโต้เดือดด้วยการถล่มฐานทัพสหรัฐฯ 2 แห่งที่อิรักด้วยขีปนาวุธนับสิบลูกเมื่อเช้าตรู่ใน วันที่ 8 มกราคม 2020 แต่สิ้นสุดด้วยถ้อยแถลงของประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2020 ที่ยืนยันจะไม่ใช้กองกำลังตอบโต้อิหร่านพร้อมยินดีจับมือสร้างสันติภาพร่วมกัน ได้ยุติความหวั่นวิตกของชาวโลกที่หวาดผวาจะเป็นชนวนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 สรุปได้ส่วนหนึ่งดังนี้

1. อัลกุรอาน ซุนนะฮ์ ประวัติศาสตร์การญิฮาดของเหล่าบรรพชนและทัศนะของอุละมาอฺทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถือเป็นแหล่งอ้างอิงสำคัญที่จะทำให้เราพบทางสว่างอ่านวิเคราะห์สถานการณ์โลกอิสลามปัจจุบันอย่างรู้เท่าทันที่สุด ไม่ใช่เพียงตำรารัฐศาสตร์หรือทฤษฎีการเมืองยุคกรีกโรมันหรือยุคใหม่

2. ภาวะไร้ประสิทธิภาพของข่าวกรองอิหร่านที่ปล่อยให้บุคคลสำคัญเบอร์ 1 ตัวจริงของประเทศโดนสังหารคา สนามบินอิรัก ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุด

3. ต้นตำรับ “เสร็จนาฆ่าโคถึก” ฉบับจริง

4. โลกรู้จักกอซิม สุไลมานี อย่างถ่องแท้มากขึ้น ระหว่างวีรบุรุษชาวสวรรค์ของชาวอิหร่านหรือฆาตกรล้านศพของชาวอิรัก ซีเรีย เลบานอนและเยเมน

5. ประวัติศาสตร์มี 2 ด้านเสมอ อยู่ที่เราว่า จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของนบีมูฮัมมัดจากอบูบักร์หรืออบูละฮับ เราจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของฟาโรห์จากนบีมูซาหรือกอรูนและฮามาน

6. ความต่างที่เหมือนกันระหว่างสงคราม 6 วันในอดีตที่เกิดขึ้นระหว่าง 5-10 มิถุนายน 1967 กับสงคราม 6 วันยุคนี้ที่เกิดขึ้นระหว่าง 3 – 9 มกราคม 2020

7. ความมหัศจรรย์ของขีปนาวุธพิสัยไกลอิหร่านที่สามารถยิงจากฐานที่มั่นไปยังฐานทัพอเมริกาถึงสองแห่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งมีระยะทางไกลถึง 500 กิโลเมตร โดยไร้การสกัดกั้นแต่อย่างใด

8. มาตรฐานข่าวสารระหว่างสำนักข่าวอิหร่าน ที่ระบุว่าการถล่มครั้งนี้มีทหารอเมริกันตาย 80 ศพในขณะที่ทรัมป์แถลงว่าไม่มีทหารผู้ใดบาดเจ็บ แม้แต่คนเดียว

9. ความขัดแย้งระหว่างผู้อธรรมด้วยกัน ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายนั้นถูกต้องเพราะเมื่อซาตาน 2 ตัวรบกัน ใครแพ้ใครชนะก็ยังคือซาตานอยู่ดี

10. โลกควรมีสติในการแยกแยะระหว่างละครลิงกับละครจริง

11. ชาวไทยได้รับรู้ภูมิปัญญา วุฒิภาวะและความน่าเขื่อถือของบุคคลระดับรัฐมนตรีของประเทศ

เขียนโดย ทีมข่าวต่างประเทศ

อะสัดฉลองคริสต์มาสชื่นมื่นกับปูติน ในขณะที่อิรักลุกเป็นไฟ

เอเจนซีส์ – ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ใช้วันคริสต์มาสคริตจักรรัสเซียนออร์โธดอกซ์ในซีเรียร่วมกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด เป็นการเดินทางที่ไม่มีการเปิดเผยล่วงหน้า หารือร่วมกับผู้นำซีเรียในการต่อต้านก่อการร้าย มีการหยุดแวะที่มัสยิดสำคัญในกรุงดามัสกัส

RT รายงานเมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) ว่า ในวันคริสต์มาสของคริตจักรรัสเซียนออร์โธดอกซ์ปีนี้ผู้นำรัสเซียเดินทางมายังซีเรีย และได้ใช้ช่วงเวลาที่สำคัญร่วมกับประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร์ อัล-อัสซาด พบเครื่องบินของประธานาธิบดีรัสเซียร่อนแตะพื้นสนามบินกรุงดามัสกัสในวันอังคาร (7) สร้างความแปลกใจให้กับทุกคน จากการที่ปูตินปรากฎตัวก่อนหน้าในช่วงเย็นวันก่อนหน้าที่เมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์กของรัสเซีย

การเดินทางเยือนกรุงดามัสกัสแบบปิดเป็นความลับ

ผู้นำรัสเซียได้หารือร่วมกับผู้นำซีเรียถึงประเด็นต่อต้านก่อการร้าย และปูตินยังได้มีโอกาสไปเยือนสถานที่สำคัญทางศาสนาในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยสื่อรัสเซียชี้ว่า หลังทั้งคู่สิ้นสุดการหารือได้มีการออกเดินทางด้วยเท้าผ่านใจกลางกรุงดามัสกัส และได้หยุดแวะที่มัสยิด อูเมย์ยาด (Umayyad Mosque) หรือที่รู้จักในนามมัสยิดที่ยิ่งใหญ่ที่ถือกันว่าเป็นหนึ่งในมัสยิดขนาดใหญ่ที่สุดและมีความเก่าแก่มากที่สุดในโลกอิสลาม

และได้มีการเดินทางต่อไปยังโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่เก่าแก่ที่สุดของซีเรีย มหาวิหารมาเรียไมท์ (Mariamite Cathedral) ถูกสร้างในศตวรรษที่ 2 และยังเป็นที่ประทับของจอห์นที่ 10 (John X) พระอัครบิดรแห่งอันติออกค์และตะวันออกทั้งหมด (Patriarch of Antioch and All the East) ที่ทรงได้ต้อนรับปูติน

พบว่าพระอัครบิดรได้ทรงขอบพระทัยต่อประธานาธิบดีรัสเซียที่ได้ส่งกองทัพรัสเซียมาช่วยซีเรียในการต่อต้านผู้ก่อการร้าย และหากปราศจากการช่วยเหลือมหาวิหารแห่งนี้คงกลายเป็นสำนักใหญ่ของกลุ่มก่อการร้าย IS ไปแล้ว และยังตรัสว่า ซีเรียเป็นประเทศที่ทั้งศาสนาคริสต์และอิสลามสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและมีสิทธิเท่าเทียม

RT รายงานว่าหลังจากนั้นปูตินได้เดินทางต่อไปยังตุรกีเพื่อร่วมการหารือด้านความมั่นคงและการค้ากับประธานาธิบดีตุรกีและร่วมพิธีเปิดการใช้ท่อส่งก๊าซเติร์กสตรีม

ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9630000002285?fbclid=IwAR0lwZln-CUMIw60kyuZCWqxgotLVzYothzyrZiF9xxk4OlEwWmzsgMCT1M

เมื่ออิรัก กลายเป็นสนามรบกลาง

หลังจากที่สหรัฐสังหารบุคคลสำคัญอันดับ 1 ตัวจริงเสียงจริงของอิหร่านเมื่อ เช้าตรู่วันที่ 3 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา อิหร่านได้ตอบโต้ถล่มฐานทัพสหรัฐฯ 2 แห่งเมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 มกราคม 2563 ทั่วโลกพากันตื่นเต้นคาดการณ์ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่ไม่เคยสนใจว่า อิรักได้กลายเป็นสนามรบกลางระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านไปแล้ว

พูดง่ายๆ คือ อิรักถูกยึดครองโดยสหรัฐฯและอิหร่านโดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ไปแล้วนั่นเอง

ขนาดจิ๊กโก๋ 2 คนมาทะเลาะหน้าบ้าน เจ้าของบ้านมีสิทธิ์ไล่ตะเพิดให้ทะเลาะพ้นบ้านไปไกลๆ

แต่นี่ดันมาทะเลาะภายในบ้าน ทำข้าวของภายในบ้านเสียหายแตกกระจายไปหมด แถมยังเผาบ้านเสียหายวายวอด จนเจ้าของบ้านต้องหนีตายอลหม่าน ส่วนสมาชิกที่เหลือก็ได้แต่มองตาปริบๆ

ถามว่าศักดิ์ศรีของเจ้าของบ้านอยู่ที่ไหนกัน

โลกปัจจุบันได้เสียสติไปแล้ว เพราะแทนที่จะเห็นใจสงสารเจ้าของบ้าน แต่กลับตื่นเต้นกับไอ้จิ๊กโก๋ 2 คนนั่น

สมมติเล่นๆนะครับว่า จีนกับญี่ปุ่นขัดแย้งกันรุนแรง ถึงขั้นจีนสังหารนายพลญี่ปุ่นที่สนามบินกองทัพไทย ญี่ปุ่นแค้นจัด จึงถล่มฐานทัพจีนที่เมืองไทยเป็นการตอบโต้

ถามว่ารัฐบาลไทย ประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ยังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่อีกหรือไม่

เช่นเดียวกันกับประเทศอิรัก เขามีศักดิ์ศรี มีอธิปไตย มีกฎหมายระหว่างประเทศรองรับทุกประการ

40 ปี ที่ทำสงคราม(น้ำลาย)ระหว่างกัน บ้านใหญ่ของ 2 ซาตานยังปกติทุกประการ แต่ที่แหลกลาญเป็นจุณคือเพื่อนบ้าน

โดยเฉพาะอิรัก ซึ่งได้กลายเป็นสนามรบกลางระหว่าง 2 ซาตานไปแล้ว นี่ประเทศทั้งประเทศนะครับ ไม่ใช่สนามกลางแข่งบอลยูฟ่า

اللهم أهلك الظالمين بالظالمن وأخرجنا من بينهم سالمين
โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดทำลายจอมอธรรมด้วยน้ำมือของจอมอธรรมด้วยกันเอง และขอให้เราออกจากพวกเขาโดยปลอดภัยด้วยเถิด

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

ปรากฏการณ์กงล้อทางอารยธรรม

ภาพจาก turnleftthai.wordpress.com

ช่วง 2008- 2011 (5ปี) มี 2 ปรากฏการณ์ใหญ่สนั่นโลก ได้แก่
1) วิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2008 โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา และ
2) ปรากฏการณ์ปฏิวัติดอกมะลิ (Arab spring) ที่เริ่มในต้นปี 2011 และได้บานปลายจนกระทั่งปัจจุบัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ 9/11 เมื่อปี 2001 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นเหตุการณ์สั่นสะเทือน “ภาพมายาคติ (Myth)” ความยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯที่ถูกท้าทายจาก “ขบวนการก่อการร้าย” (Terrorism) ตามหลักหมุดของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นวาทกรรม (Discourse) ในสังคมการเมืองระหว่างประเทศที่ผ่านการผลิตและผลิตซ้ำ (Reproduce) โดยสหรัฐฯ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการรุกรานชาติอื่นๆ โดยเฉพาะชาติอาหรับและอิสลาม ภายใต้นโยบายชิงโจมตีก่อน (Preemtion) ตลอดจนความพยายามที่จะสถาปนา “ระเบียบโลกใหม่” (New World Order) ให้หมุนตามความต้องการของวอชิงตัน

วิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ได้สร้างบทเรียนมากมายที่สะท้อนถึงการล่มสลายของวิถีชีวิตขั้นพื้นฐานของยุโรป เป็นภาวะการชะงักงันการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการเติบโตที่เป็นศูนย์ (Zero Growth) ที่มีสาเหตุสำคัญเนื่องจากเกิดช่องว่างระหว่างวัยที่สูงมาก กล่าวคือประชากรยุโรปมีวัยที่เลยเกษียณเป็นจำนวนมาก กลุ่มนี้ไม่มีบทบาทในการกระตุ้นหรือขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยุโรปจึงไม่มีวัยทำงานที่มีจำนวนเพียงพอในการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ เนื่องจากยุโรปล้มเหลวในการผลิตชนรุ่นใหม่ที่มีความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นทำงาน ทั้งนี้เพราะโครงการคุมกำเนิดที่ดำเนินโดยยุโรป ช่วงกึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ได้ทำลายโครงสร้างของสถาบันครอบครัว ที่แต่ละคนมุ่งแต่ใช้สถาบันนี้เป็นเพียงแหล่งบันเทิงทางกามารมณ์ ภายใต้แนวคิดเซ็กส์เสรีเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเป็นแหล่งผลิตอนุชนที่ดีและมีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เพราะยุโรปใช้น้ำ(อสุจิ)ที่ไม่ก่อประโยชน์ อันใดเลย เป็นการปล่อยน้ำฟุ่มเฟือย ไร้การควบคุม ยุโรปจึงไม่สามารถผลิตทรัพยากรมนุษย์จากน้ำที่อัลลอฮฺประทานให้ เนื่องจากจมปลักในแนวคิดเซ็กส์เสรี ทั้งๆที่อัลลอฮฺได้สร้างทุกสิ่งที่มีชีวิตมาจากน้ำทั้งสิ้น วิกฤตินี้จึงไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้น มันเป็นปรากฏการณ์ฟองสบู่แตก จากฐานรากในสังคมที่ถูกหมักหมมมานาน และเป็นอุบายประการหนึ่งของอัลลอฮฺที่ต้องการทำลายประชาชาติที่อหังการจากแกนของมัน
ดังที่อัลลอฮฺได้กล่าวในอัลกุรอานความว่า

“ผู้ที่วางรากฐานอาคารของเขาบนความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และบนความโปรดปรานนั้นดีกว่าหรือว่าผู้ที่วางรากฐานอาคารของเขาบนริมขอบเหวที่จะพังทลายลง แล้วมันก็พัง นำเขาลงไปในนรกและอัลลอฮ์นั้นจะไม่ชี้แนะทางแก่กลุ่มชนที่อธรรม” (อัตเตาบะฮฺ /109)

สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผลักยุโรปเข้าไปในวังวนวิกฤติเศรษฐกิจคือ วิถีแห่งความฟุ่มเฟือยที่ซึมลึกเข้าไปในวัฒนธรรมบริโภคนิยมของชาวยุโรป ในอัลกุรอานใช้คำว่า الترف หมายถึงฟุ่มเฟือยหลายที่ด้วยกัน และแต่ละครั้งก็จะเกี่ยวโยงกับความอยุติธรรมในสังคม ซึ่งเป็นต้นตอของความล่มสลายของประชาชาติในที่สุด จนกระทั่งมีคนกล่าวว่า “ฉันไม่เห็นความฟุ่มเฟือยในสังคมใด นอกจากว่าในสังคมนั้นมีความอยุติธรรมควบคู่อยู่เสมอ” ما رايت اسرافا الا وبجانبه ظلم พฤติกรรมบริโภคนิยมของยุโรป เป็นสิ่งที่ยากที่จะแก้ไขได้ เพราะมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปแล้ว ยุโรปจึงต้องการสะสมทรัพยากรมหาศาลมาจุนเจืออยู่ตลอดเวลา เนื่องจากทรัพยากรในประเทศมีจำนวนจำกัด พวกเขาจึงต้องไปปล้นสะดมทั่วโลกตั้งแต่อดีตและปัจจุบัน สงครามอ่าวที่ผ่านมาน่าจะเป็นสิ่งยืนยันในเรื่องนี้ดี วัฒนธรรมบริโภคนิยมได้ซึมลึกเข้าไปในวิถีชีวิตของชาวยุโรป ประเทศไม่มีวัยทำงานที่เพียงพอกับความต้องการทางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง พวกเขาบริโภคเกินความต้องการที่จำเป็นในชีวิต และเกินกว่าฐานะรายได้หรือความสามารถในการผลิตของคนหรือของประเทศ ทำให้ประเทศต้องแบกภาระหนี้มหาศาล ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภคนิยมได้ในระยะเวลาอันสั้น ถือเป็นการทำลายอารยธรรมจากรากฐาน และทำให้อารยธรรมนี้พังครืนไปในที่สุด

คล้อยหลังวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป 3 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์สถานการณ์โลกทุกสำนักในโลกนี้ แม้กระทั่งนักทำงานอิสลามนานาชาติก็ไม่เคยวิเคราะห์มาก่อนเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงขนาดเคยมีคำกล่าวว่า เราไม่เชื่อกับวิธีการปฏิวัติ และไม่เชื่อว่าการปฏิวัติจะเกิดผลประโยชน์อันใดเลย Arab Spring จึงเป็นปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองที่กำลังลุกลามอยู่ในโลกเวลานี้ มีชื่อเรียกว่า “การปฏิวัติดอกมะลิ” หรือ The Jasmine Revolution เนื่องจากการปฏิวัติดังกล่าวเริ่มต้นที่ประเทศตูนิเซีย ซึ่งมีดอกมะลิเป็นดอกไม้ประจำชาติ ต่อมาลุกลามไปที่อิยิปต์ ลิเบีย เยเมน และขณะนี้กำลังคุกรุ่นอยู่ที่ซีเรีย ซึ่งถือเป็นโฉมใหม่ของการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอิสลามในไม่ช้านี้ เพราะการปฏิวัติประชาชนก่อนหน้านี้ถือเป็นการปฏิวัติของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลของแต่ละประเทศเท่านั้น แต่เหตุการณ์ที่ซีเรียเป็นการกระชากหน้ากากของผู้อยู่เบื้องหลังของผู้แอบอ้างอิสลาม เพื่อทำลายอิสลามจากภายใน
ชัยค์อะลีย์ อัศศอบูนีย์ได้กล่าวระหว่างทัวร์ความรู้ในประเทศมาเลเชียและอินโดนีเซียช่วงปลายปี 2012 ว่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ซีเรียเป็นสงครามเพื่อความอยู่รอดระหว่างขั้ว لا اله الا الله และ لا اله الا بشار เลยทีเดียว
ซึ่งขั้วแรกจะต้องได้รับชัยชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้ง 2 เหตุการณ์ที่สะเทือนโลกนี้ เป็นการยืนยันทฤษฎี กงล้อทางอารยธรรม التدوال الحضاري เพราะหากความเจริญของสังคมทุกสังคมย่อมมีที่มาที่ไปของมัน การล่มสลายของแต่ละสังคมย่อมมีเหตุผลของมันเช่นกัน ดังนั้นทฤษฎีกงล้อทางอารยธรรม จึงเป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ที่มีภาวะขึ้นลงตามวิถีของมัน ถือเป็นอายุขัยของแต่ละประชาชาติและอารยธรรมในทุกยุคทุกสมัย เป็นการขึ้นลงที่มีความสมดุลตามวิถีของอัลลอฮฺ (สุนนะตุลลอฮฺ) ล้อเกวียนจะหมุนเร็วเท่าไหร่ ส่วนอื่นก็จะหมุนตามจังหวะนั้นไปด้วย อารยธรรมใดที่เคยอยู่ส่วนบนได้ล่มสลายไปอย่างรวดเร็วฉันใด อารยธรรมอื่นก็จะขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็วฉันนั้น

وتلك الايام نداولها بين الناس وليعلم الله الذين امنوا ويتخذ منكم شهداء والله لا يحب الظالمين
และบรรดาวันเหล่านั้นเราได้ให้มันหมุนเวียนไประหว่างมนุษย์ และเพื่ออัลลอฮ์จะได้ทรงรับรู้บรรดาผู้ที่ศรัทธา และเพื่อเอาบรรดาผู้เสียชีวิตในสงคราม จากพวกเจ้าและอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงรักใคร่ผู้อธรรมทั้งหลาย (อาละอิมรอน / 140)

หลายฝ่าย ฟันธงว่า อารยธรรมอิสลามเป็นอารยธรรมใหม่ที่จะมาแทนที่อารยธรรมที่ล่มสลายไปแล้ว คำถามก็คือ แล้วประชาชาติมุสลิมมีความพร้อมที่จะอยู่ด้านบนสุดของล้อเกวียนมากน้อยแค่ไหน

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ