รัฐบาลตุรกีร่างกฏหมายให้ผู้ชายข่มขืนสตรี อายุต่ำกว่า 18 ปี โดยไม่ผิดกฎหมายจริงหรือ?

การแพร่ข่าวลวงที่แฝงด้วยความอคติ อันตรายยิ่งกว่าไวรัสโคโรน่า (ไวรัสอู่ฮั่น)

จากกรณีเพจที่ใช้นามว่า CatDumb News ได้แพร่ข่าวที่อ้างจากสำนักข่าว The sun, Mirror,The Guardian,Independent และ Dailystar ซึ่งล้วนเป็นสำนักข่าวออนไลน์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศอังกฤษ ที่อคติต่อประชาชาติอิสลามและเป็นแหล่งที่มาของข่าวลวงที่ทำลายความน่าเชื่อถือและสร้างความปั่นป่วนในประเทศอิสลามโดยเฉพาะประเทศตุรกีมาโดยตลอด

โดยในครั้งนี้เพจ CatDumb News ซึ่งอ้างจากแหล่งข่าวดังกล่าวระบุว่า ตุรกีร่างกฏหมายใหม่ว่า “ผู้ชายสามารถหลีกเลี่ยงโทษข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีได้ ถ้าหากว่าแต่งงานกับเหยื่อ “ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียลที่ได้มีการคอมเม้นตท์ด่าทอประเทศตุรกีด้วยถ้อยคำรุนแรง หยาบคายและเต็มไปด้วยความอคติ

theustaz.com เห็นว่า การนำเสนอข่าวที่ไม่รอบด้านในลักษณะนี้ จะส่งผลร้ายต่อองค์ความรู้ของชาวไทยที่นอกจากทำลายภูมิปัญญาอันดีงามแล้ว ยังเป็นบ่อเกิดแห่งความอวิชชาและสะสมความเกลียดชังในสังคมอีกด้วย

theustaz.com จึงได้สัมภาษณ์อาจารย์อับดุลเอาวัล ศิดดีก Abdulevvel Siddiq ดีกรีปริญญาโทจาก Marmara University และเคยใช้ชีวิตในกรุงอิสตันบูลเกือบ 20 ปีเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว ผลการสัมภาษณ์สรุปได้ดังนี้

1. การสมรสในประเทศตุรกีมี 2 ประเภทคือ 1) การสมรสที่มีการจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมายซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมายว่าด้วยครอบครัวและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งคือการกำหนดอายุของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง 2) การสมรสโดยยึดจารีตประเพณี ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในสังคมอาหรับ แม้กระทั่งสังคมมลายูที่อนุญาตให้ลูกสาวแต่งงานได้ถึงแม้ยังไม่ถึงอายุ 18 ปีตามที่กฎหมายกำหนดก็ตาม

2. ประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์คือการสมรสในประเภทที่ 2 ซึ่งรัฐบาลตุรกีพยายามจัดระเบียบใหม่ด้วยการร่างกฏหมายคุ้มครองเด็กหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีที่ถูกกระทำชำเราหรือล่วงละเมิดทางเพศ โดยผู้กระทำผิดสามารถแต่งงานกับผู้ถูกกระทำอย่างถูกต้องตามกฏหมายโดยคำพิจารณาของศาล ถึงแม้เด็กหญิงจะมีอายุต่ำกว่า 18 ปีก็ตาม ซึ่งในกฎหมายทั่วไปจะไม่เปิดช่องว่างนี้เลย

3. เมื่อทั้งคู่เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว หากเกิดการหย่าร้างภายหลัง ฝ่ายชายต้องรับผิดชอบอุปการะค่าเลี้ยงดูอดีตภรรยาของตนเอง จนกระทั่งนางเสียชีวิตหรือมีสามีคนใหม่ โดยอาศัยอำนาจการพิจารณาของศาลทั้งสิ้น

4. ในสังคมตุรกี มีหลายกรณีด้วยกันที่สามีถูกฟ้องร้องจนกระทั่งถูกศาลตัดสินให้เป็นคนล้มละลาย เพราะไม่สามารถจ่ายค่าเลี้ยงดูอดีตภรรยาตนเอง

5. กฎหมายตุรกียังระบุอีกว่า ภรรยามีสิทธิ์ฟ้องร้องสามีได้ หากนางเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยในชีวิตหรือถูกคุกคาม

6. การเปิดช่องว่างเรื่องอายุ ถือเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาลตุรกีที่จะลดปัญหาเรื่องการชู้สาว ปัญหาท้องก่อนแต่ง แม้กระทั่งปัญหาโสเภณี ซึ่งขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของกฎหมายเซคิวล่าร์ที่ต่อต้านการสมรสแต่กลับเพิกเฉยเรื่องการผิดประเวณี

7. สื่อตะวันตกไม่เคยเปิดโปงสตรีที่ถูกคุกคามทางเพศ จนกลายเป็นธุรกิจค้ากาม ธุรกิจค้ามนุษย์ที่มีอยู่เกลื่อนในสังคมโลก โดยเฉพาะสังคมยุโรป แต่กลับใส่สีตีไข่ในข้อปลีกย่อยของกฎหมายประเทศตุรกี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นการคุ้มครอง และปกป้องสตรีต่างหาก

8. แม้กระทั่งกฎหมายไทยที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาหน้า 129 เล่ม 136 ตอนที่ 69 ก ที่ระบุว่า “ให้ศาลพิจารณาให้มีการคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็กแทนการลงโทษก็ได้ “ ถามว่า รัฐบาลไทยสนับสนุนให้ผู้ชายข่มขืนหรือกระทำชำเราเด็กหญิงหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้แหล่ะ ที่รัฐบาลตุรกีกำลังแก้ไขอยู่

9. ขอฝากไปยังสังคมไทยและประชาชนชาวไทย ควรมีสติในการเลือกบริโภคข่าวในลักษณะนี้ เพราะจะเป็นการปลูกฝังความอคติและความเกลียดชังด้วยข้อมูลบิดเบือนและไม่รอบด้าน

ลิ้งค์ข่าวลวง https://www.facebook.com/CatDumbNews/posts/2885206004855503

โลภไร้พรมแดน (บทความนี้เขียนและเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.2007)

พี่น้องอ่านถูกต้องแล้วล่ะครับ โลภไร้พรมแดน หาใช่โลกไร้พรมแดนยุคไซเบอร์แต่อย่างใดไม่ เพราะที่จะพูด ณ ที่นี้คือความโลภอันไร้พรมแดนจริงๆ ขบวนการ “แชร์ลูกโซ่” กลับมาอีกแล้วครับท่าน …. มางวดนี้เรียกว่า “แชร์ข้าวสาร” คือค้าขายข้าวสารเป็นสินค้าหลัก เริ่มดังมาจากเชียงใหม่ แล้วมาเจ๊งระเนระนาดที่ภูเก็ต สงขลา แต่ก็นึกแปลกใจ ใน 3 จังหวัดภาคใต้ยังเป็นที่นิยมและดูเหมือนกำลังระบาดอย่างหนักด้วย (น่าจะเป็นเหยื่องวดสุดท้ายสำหรับมื้อนี้)

นึกๆ แล้วก็แปลก ทั้งๆ ที่มุกเรื่องแชร์สินค้าต่างๆ (ทั้งโสม ของใช้ในครัว ยารักษาสารพัดโรค) เป็นมุกที่เก่ามาก มีการหยิบเอามาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายยุคหลายสมัย เจ๊งให้เห็นคาตาก็บ่อยครั้ง สิ้นเนื้อประดาตัวกันไปมิใช่น้อย แต่ไม่ยักค่อยมีใครหลาบจำ พอเปิดวงใหม่ก็เล่นกันใหม่อีกจนได้ ความอยากรวยแบบ กศน. หรือความโลภนี่แหละครับ ที่ทำให้คนบางคน แม้กระทั่งอุสต๊าซแถวบ้านเราหน้ามืดจนลืมหลักการอัลกุรอานและหะดีษไปเสียสนิท และก็ความโลภนี่เช่นเดียวกัน ที่ทำให้คนเราตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะสังคมมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้ ที่คล้ายถูกมนต์สะกดให้อยู่ในวังวนแห่งการถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

พี่น้องลองย้อนพลิกแฟ้มของมหกรรมการถูกหลอกของสังคมมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้ดูซิครับ (เอาแบบถล่มทลายทั่วทั้ง 3 จังหวัดน่ะครับ) เชื่อว่าผู้คนที่มีอายุขึ้นต้นด้วยเลข 4 (วัยแก่ตอนต้น) ยังจำกันได้ว่า กาลครั้งหนึ่ง ที่เมืองปัตตานีดารุสสลาม(หลัง มอ.ปัจจุบัน) มีผู้แอบอ้างว่ามีพละกำลังเหนือมนุษย์มนา ท้าประลองแข่งชักคะเย่อกับรถสิบล้อ ถึงขนาดว่านั่งอยู่บนลูกมะพร้าวก็ยังไม่กระดิกเลย ตามตำนานเล่าว่า คนเรือนแสนตีตั๋วเข้าชมการแสดงอภินิหารที่ผู้แสดงระดับโต๊ะวาลีในครั้งนี้ สุดท้าย พระเอกตายตอนจบครับ โต๊ะวาลีโดนจับในข้อหาหลอกลวง (ก็ช่วงที่เขานั่งสมาธิประกาศห้ามผู้คนเข้าใกล้บริเวณเต้นท์ทำพิธีที่ปิดมิดชิดก่อนแข่งจริง 7 วัน จริงๆแล้วพี่แกดันไปขุดตอม่อผูกเชือกยัน) แต่งานนี้ ทราบว่าโต๊ะครูในปอเนาะดังแห่งหนึ่งนับเงิน(ค่าตั๋ว) แทบไม่ทันเลยทีเดียว แค่ 2-3 คนถูกหลอกยังพอไหว แต่สังคมโดนต้มทั้ง 3 จังหวัด มันสะท้อนถึงอะไร

10 ปีที่ผ่านมา มีสถาบันทางการเงินที่มีชื่อเสียงเรียงนามเป็นภาษาอาหรับ ใช้ระบบเงินปันผลแก่สมาชิกในอัตราที่สูงมาก นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในวงการธุรกิจที่ได้สร้างกระแสการตอบรับจากชาวบ้านอย่างล้นหลาม ระดับแกนนำก็เป็นคนที่น่าเชื่อถือทั้งนั้น สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า ทิ้งรอยแผล สร้างตราบาปหลอกหลอนสังคมมุสลิมตราบเท่าทุกวันนี้ หลังจากนั้น วงจรแห่งการหลอกลวงก็ยังเวียนว่ายในสังคมมุสลิม 3 จังหวัดอย่างไม่ขาดสาย ควบคู่กับเหยื่อรายเก่ารายใหม่คนแล้วคนเล่า อาทิ แก๊งแลกเงินอิหร่าน คาถาเสกเงิน การค้นหาเหล็กไหล(จนสมองเลอะ) ก็ยังหากินได้ตราบถึงทุกวันนี้

สดๆ ร้อนๆ 1 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านแถวบ้านเราหลายหมู่บ้านได้เหมารถมุ่งสู่ จ.สุราษฎร์ธานี เพราะไปจับจองที่ดินราคาถูกที่ว่ากันว่า ไม่ได้รับการต่อสัมปทานจากรัฐบาลใหม่ ท้ายสุดก็ต้องรอเก้อ ที่ดินก็ยังเป็นของบริษัทเดิม เราแค่เสียค่าจองจริงๆ ออกข่าวหน้าหนึ่ง นสพ. อยู่ช่วงหนึ่งก็เงียบหายไปพร้อมๆกับน้ำตาตกในของนักล่าฝันทั้งหลาย (ทั้งๆ ที่น่าจะฉุกคิดว่า ถ้าราคาไร่ละ 300 บาท ตามราคาคุยจริง คงไม่ถึงมือเราแน่)

ที่เพิ่งเจ๊งไปหมาดๆ ชนิดที่ว่าเลียแผลยังไม่หายก็คือแชร์น้ำมันครับ รายนี้มาไฮเทคหน่อย ซึ่งแน่ล่ะ เหยื่อก็ต้องระดับไฮเทคเช่นเดียวกัน สมัครสมาชิกทางอินเตอร์เน็ท เพราะบริษัทอยู่ที่มาเลเซีย(ความจริงอาจอยู่ในเมืองไทยใครจะไปรู้) สิ้นเดือนก็สามารถเช็คยอดทางอินเตอร์เน็ทได้ แถมยังใช้ Pass Word ส่วนตัวเพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูล ช่วงแรกๆ บรรดาสมาชิกต่างก็ลูบเคราลูบท้องจนพุงกาง (ก็กำไรวันละ 1 พันบาทต่อการลงทุน 4-5 หมื่นบาท) นานๆ เข้า อาการชักไม่ค่อยดี ทราบว่าบางรายใช้นิ้วจิ้ม Key Bord สั่นระรัว จิ้มยังไงเงินไม่ปรากฎ ฝันค้างยิ้มเจื่อนจนถึงปัจจุบัน

นี่ยังไม่รวมถึงหมอโต๊ะวาลีรักษาสารพัดโรค(หมอเทวดา) ที่มีวาลีอินโดฯ สิงอยู่เป็นช่วงๆเอย มหัศจรรย์คนเปลี่ยนสีเอย น้ำศักดิ์สิทธิ์ลัยละตุลก็อดรฺเอย หรือสมุนไพรวิเศษตามความฝันถึงขนาดตัดหญ้ากินแทนอาหารก็มีให้เห็นแล้ว

ที่กำลังระบาดหนักปัจจุบันคือการขุดหินดำที่หมู่บ้านหนึ่ง แถวจังหวัดปัตตานี ซึ่งถูกปรุงแต่งด้วยเรื่องราวแปลกพิศดารมากมาย (ระดับนักการตลาดยังต้องชิดซ้ายเลยครับ) เห็นว่าตามความฝันแล้วห้ามซื้อขายกัน แต่ลงเอยด้วยการเสียเงินทุกที (ซื้อไม่ได้แต่ให้เช่าแทน วิธีนี้เป็นลิขสิทธิ์ของคนอื่นเค้านะครับ) ล่าสุดทางจังหวัดปัตตานีเพิ่งประกาศว่าหลังจากตรวจสอบแล้ว เป็นเพียงแร่ถ่านไฟฉายกัน งานนี้พ่อค้าคนกลางรวยไม่รู้เรื่องเช่นเคย

ขณะนี้ข่าวเริ่มหนาหูถึงกรณีแชร์ฮัจญ์ 6 คือผู้ใดที่ประสงค์จะไปทำฮัจญ์ ก็สมัครได้ในราคา 7,500 บาท แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องหาสมาชิกใหม่เพิ่ม 6 คน โดยที่แต่ละคน ต้องจ่ายค่าสมัคร 7,500 บาท เช่นเดียวกัน เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ตามระบบแชร์ลูกโซ่ทั่วไป ก็ได้แต่สงสารโต๊ะเยาะฮฺ พอถึงเวลาแล้วไม่แน่ใจว่าจะได้สิทธิไปทำฮัจญ์ สมดั่งความตั้งใจหรือปล่าว

มลายูมุสลิมน่าจะถูกโฉลกกับการถูกหลอกจนเป็นยี่ห้อประจำตัวแล้วกระมัง

แม้กระทั่งอุตส่าห์อพยพทิ้งบ้านเรือนไปขุดทองที่มหานครมักกะฮฺ ก็มิวายยังถูกหลอกซะน่วม กว่าจะละเมอตื่น ก็โดนยัดเข้าใส่ในเครื่องบินถูกตะเพิดกลับเมืองไทยชนิดไม่ทันตั้งตัวเป็นพันๆ คน (เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ 20 ปีที่แล้วครับ)

ครั้นพอไปตั้งหลักไปเปิดร้านต้มยำกุ้งที่ประเทศเพื่อนบ้าน ก็มีข่าวถูกหลอกเล็ดรอดอยู่เป็นเนือง ทั้งเรื่องทำวีซ่า ต่ออายุพาสปอร์ต ถูกเรี่ยไรเงิน แม้กระทั่งการทำบัตรประชาชนเปลี่ยนสัญชาติ ที่แน่ๆ แชร์ลูกโซ่ไม่มีวันหายจากสังคมมุสลิม และที่น่าประหลาดใจคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จของแชร์ประเภทนี้นอกจากผู้คนหลากหลายสาขาอาชีพแล้ว ยังมีบรรดาอุสต๊าซ โต๊ะครู บาบอ ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพนับถือในสังคมรวมอยู่ด้วย ก็โลภไม่มีพรมแดนงัยครับ

ข่าวที่กรองแล้ว แจ้งว่า โต๊ะอิมามคนหนึ่ง ยอมลงทุนรณรงค์เชิญชวนสัปปุรุษให้เข้าสมาชิกแชร์อย่างว่าขณะอ่านคุตบะฮฺในวันศุกร์เลยทีเดียว

นึกไม่ถึงว่า แชร์ลูกโซ่ที่เต็มไปด้วยร้อยเล่ห์เพทุบาย มีกรรมวิธีที่แยบยลและชั้นเชิงอันแพรวพราว สามารถยืนตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผยบนแท่นมิมบัรฺในมัสยิดกันแล้ว

สังคมมุสลิมในทุกระดับจำเป็นต้องทบทวนตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น สังคมเราขาดภูมิคุ้มกันและตีบตันทางปัญญาถึงระดับนี้เชียวหรือ ความโลภทำให้ผู้คนลืมหลักการไปหมดสิ้นและยอมถูกกัดในรูเดียวครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเข็ดหลาบเลยหรือ นบีมูฮำมัดกล่าวความว่า “สุนัขจิ้งจอกที่กำลังหิวโซ 2 ตัว ที่ถูกปล่อยเข้าไปในฝูงแกะ ยังมีศักยภาพสร้างอันตรายน้อยกว่าบุคคลที่มีความโลภต่อทรัพย์สมบัติเสียอีก” (หะดีษรายงานโดยติรมิซีย์)

ทุกคนพึงสังวรณ์ว่า ไม่มีการทำธุรกิจใดๆ ในโลกนี้ ที่สามารถปันผลกำไรให้สมาชิกจำนวน 300% ภายในเวลาเพียง 50 วันหรอกครับ เว้นแต่ธุรกิจ 2 ประเภทเท่านั้นคือ
1) ธุรกิจที่ผิดทั้งกฎหมายและชะรีอะฮฺ
2) ธุรกิจถูกกฎหมายและถูกชะรีอะฮฺโดยผิวเผิน แต่แฝงด้วยกลยุทธ์การหลอกลวงและมอมเมาประชาชน

ไม่มีที่ไหนในโลกนี้ ที่คนไม่รู้จักมักคุ้นกัน แต่ใจดีเชิญทำธุรกิจร่วมกันพร้อมเสนอผลกำไรมากมายมหาศาลเช่นนี้หรอกครับ

ตามทฤษฎีการหลอกลวงของชัยฏอน (ทั้งชัยฏอนญินและชัยฏอนมนุษย์) หากชีวิตมนุษย์มีจำนวน 100 ยก มันยอมลงทุนแกล้งแพ้เราตลอดทั้ง 99 ยก เพียงเพื่อแน่ใจว่าจะชนะแค่ยกเดียว

แต่ในกรณีแชร์ลูกโซ่ เราชนะแค่ยกเดียวครับ นอกนั้นชัยฏอนเหมาเรียบ

พี่น้องคงรู้จักการละเล่นพื้นเมืองชื่องูกินหางมั้ยครับ นั่นแหล่ะ ใช่เลย

มุอฺมินไม่สามารถเป็นคนไร้เดียงสา อ่อนต่อโลกและพอใจที่จะเป็นแค่เหยื่ออีกต่อไปแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องใช้ชีวิตอย่างรู้เท่าทันกับเขาบ้าง เราไม่จำเป็นลงทุนเข้ารูแย้ตามแฟชั่นหรอก คำว่าจุดยืนอันมั่นคงและเที่ยงตรง สะกดเป็นมั้ย (ขอถามด้วยศักดิ์ศรีของมุอฺมินครับ)

โดยเฉพาะกับการหาเงินเลี้ยงชีพและครอบครัว ขึ้นชื่อว่าเงิน ใครๆก็ปฏิเสธยากครับ แต่อย่าลืมว่าเราจะถูก สตง.ของอัลลอฮฺสอบสวนเรื่องทรัพย์สมบัติ 2 กระทง คือแหล่งมาและแหล่งไป(รายได้และรายจ่าย) ถามว่าเงินกำไร 300% ภายในเวลาเพียง 50 วันนั้น เรามั่นใจแค่ไหนว่าเอามาจากไหน ด้วยวิธีการอะไร(ถึงเวลานั้น เราจะบีบน้ำตาขอคะแนนสงสารพร้อมให้เหตุผลว่าผิดโดยสุจริตไม่ได้อีกแล้วครับ)

แต่ที่แน่ๆ การทำนาบนหลังคน สร้างเสียงหัวเราะบนคราบน้ำตาของผู้อื่นนั้น ไม่ใช่เป็นวิถีมุสลิม เงินที่ได้จากธุรกิจประเภทนี้ไม่น่าจะเป็นริสกีที่มีความบะเราะกะฮฺแน่นอน หางงูที่เราสวาปามเข้าไป มันจะฟาดเข้าบนหน้าเรา ดุอาของคนที่ถูกอธรรมนั้น อัลลอฮฺจะตอบรับโดยไม่มีข้อแม้และปราศจากสิ่งสกัดกั้นนะครับ พี่น้องลองกวาดสายตาไปยังบรรดานายหน้าแชร์ประเภทนี้ทั้งหลาย จะมีสักคนไหมที่เสวยเงินอย่างมีความสุข และมีบั้นปลายชีวิตที่น่าเคารพยกย่อง

หะดีษกล่าวไว้ความว่า “ผู้สำเร็จที่แท้จริงคือผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลลอฮฺ ได้รับปัจจัยยังชีพที่พอเพียง และอัลลอฮฺทรงให้ความรู้สึกเพียงพอในสิ่งที่พระองค์ฮฺทรงประทานให้แก่เขา” (รายงานโดยมุสลิม)

ทุกคน(อุสต๊าซ บาบอและนักวิชาการทั้งหลาย) น่าจะทบทวนความทรงจำของหะดีษที่ได้หยิบยกมาข้างต้นมาขบคิดกัน เผื่อดวงตาจะเห็นสัจธรรมขึ้นมาได้บ้าง

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ
14/11/2007

ปล. บทความนี้เขียนและเผยแพร่เมื่อเกือบ 13 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเกิดกระบวนการแชร์ลูกโซ่ มากมายที่สลับซับซ้อนและแนบเนียนตามยุคสมัย แต่ยังไม่พ้นวงจรอุบาทว์แชร์ลูกโซ่อยู่ดี

ร้องเรียนมาตรฐานข้อสอบ I-NET ภาคภาษามลายู ถึง สทศ.

จดหมายเปิดผนึกถึง สทศ.

         เรื่อง ร้องเรียนมาตรฐานข้อสอบ I-NET ภาคภาษามลายู
         เรียน ประธานกรรมการ สทศ.

         ตามที่สถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) – สทศ. ได้ดำเนินการสอบ I-NET เพื่อทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอิสลามศึกษา โดยออกข้อสอบทั้งภาษาไทยและภาษามลายูอักษรยาวี นั้น

ขอเรียนแจ้งว่า ในส่วนของข้อสอบภาษามลายูพบว่า มีข้อผิดพลาดนับไม่ถ้วนที่สะท้อนถึงความไม่มีมาตรฐานของคณะกรรมการออกข้อสอบทุกฝ่ายและความสะเพร่าของผู้เกี่ยวข้องทุกชุด

ผลของการไร้ซึ่งมาตรฐานนี้ นอกจากบ่งชี้ถึงความไม่จริงจังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับมาตรฐานการศึกษาทางอิสลามศึกษา ความไร้มาตรฐานของคณะทำงานของผู้ทดสอบมาตรฐานในทุกขั้นตอนการทำงานแล้ว ยังเป็นการดูถูกภูมิปัญญาและความรู้ความสามารถด้านการใช้ภาษามลายูอักษรยาวีอีกด้วย

จึงขอร้องเรียนมาตรฐานข้อสอบ I-NET ภาคภาษามลายูมายัง สทศ. และเสนอให้ สทศ. รับพิจารณาดำเนินการโดยเร่งด่วน ดังต่อไปนี้

  • ยุติการปฏิบัติงานของคณะกรรมการออกข้อสอบ I-NET ภาคภาษามลายูทุกชุด และแต่งตั้งบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน
  • ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบมาตรฐานของคณะกรรมการออกข้อสอบ I-NET ภาคภาษามลายูทุกชุด
  • ประสานหน่วยงานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการออกข้อสอบ I-NET ภาคภาษามลายู เพื่อสามารถปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของ สทศ. อย่างมีคุณภาพและมาตรฐานต่อไป
ที่มา : www.niets.or.th

         theustaz.com ขอส่งกำลังใจและเชื่อมั่นต่อ สทศ. เป็นหน่วยงานที่น่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพในการยกระดับมาตรฐานการศึกษาด้านอิสลามศึกษาในภูมิภาคสมดังเจตนารมณ์ที่วางไว้ทุกประการ

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
theustaz.com
21 มกราคม 2563

ที่มา : www.niets.or.th

เตือนมุสลิมระวังแก๊งต้มตุ๋นออนไลน์ อ้างมีทุนจากรัฐบาลซาอุฯทำฮัจญ์ฟรี

19 มกราคม 2563
เกิดกระแสที่เป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ขณะนี้ว่า มีการประกาศเสนอทุนทำพิธีฮัจญ์ฟรีโดยทุนของประเทศซาอุดิอาระเบีย ผ่านกระทรวงกิจการศาสนาและศาสนสมบัติที่ประกาศเชิญชวนให้มุสลิมลงทะเบียนสมัครผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครมักกะฮ์ในปีนี้

ข่าวที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอาหรับระบุว่า มีทุนฮัจญ์ฟรีโดยมอบทุนๆละ 2 คน ซึ่งกระทรวงกิจการศาสนาและศาสนสมบัติร่วมกับมักกะฮ์ชาแนลเป็นฝ่ายรับผิดชอบออกค่าใช้จ่ายค่าเดินทาง ค่าที่พักและค่าอาหารตลอดระยะเวลาทำพิธีฮัจญ์ โดยผู้สมัครจะต้องกรอกใบสมัครและตอบคำถามเป็นภาษาอาหรับตามที่ได้ระบุไว้

theustaz.com ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวจากเจ้าหน้าที่อาวุโสสถานทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย ได้รับการยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่ประการใด และเชื่อว่าน่าจะมีแก๊งค์มิจฉาชีพที่ตั้งใจหลอกลวงประชาชน จึงขอเตือนมายังพี่น้องมุสลิมอย่าได้หลงเชื่อกับข่าวในทำนองนี้ เพราะรัฐบาลซาอุดีอาระเบียมีการคัดเลือกและให้ทุนทำฮัจญ์ในนามรัฐบาลผ่านองค์กรและหน่วยงานที่เป็นทางการเท่านั้น

โดยทีมข่าวในประเทศ

แก้ปัญหาใต้ : การเยียวยาเเค่ส่วนหนึ่ง

ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน

การเยียวยาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน :กรณีทหารพรานยิงชาวบ้าน
จากกรณีที่ทหารพรานยิงชาวบ้านที่เขาตะเว จังหวัดนราธิวาส ได้มีการนำเงินเยียวยาจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และแม่ทัพภาคที่สี่ นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากจะให้ปัญหามีโอกาสที่จะไม่ให้เกิดขึ้นอีกตามหลักการสากลแล้ว (ตามข้อเสนอแนะของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม) จะต้องดำเนินการไปด้วยกันสี่ขั้นตอนตามหลักกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (ศัพท์ทางวิชาการ) (Transitional Justice – TJ) และทุกกรณีไม่ว่าเหตุการณ์ที่ลำพะยาและอื่นๆมาใช้โดยให้นำมาใช้ทั้งกับการก่ออาชญากรรมร้ายแรง ทั้งจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบและเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อลดความขัดแย้ง เกลียดชังโดยประสานกับหลักการความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restroative Justice -RJ) โดยจะต้องยึดหลักการตรวจสอบค้นหาความจริง จากคณะกรรมการอิสระที่เป็นอิสระ เช่นนักวิชาการ ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และภาคประชาสังคมที่ได้รับความเคารพเชื่อถือ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเหยื่อของความรุนแรงและสังคมรับทราบความจริง เข้าใจปัญหาและรากเหง้าของความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในแง่มุมต่างๆ อย่างเป็นภาวะวิสัยพร้อมทั้ง การชดเชย ฟื้นฟู แก้ไข เยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ทั้งชาวมุสลิมและชาวพุทธ ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใด เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเช่นเดิม รวมทั้งการเยียวยาทางด้านจิตใจ ซึ่งที่ผ่านมาบุคคลดังกล่าวยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐเท่าที่ควร ความคับแค้นใจที่ยังคงดำรงอยู่ไม่เป็นดีอย่างยิ่งต่อกระบวนการสันติภาพและการสร้างความปรองดองใน จชต. อีกทั้งการนำผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ลงโทษผู้กระทำผิด โดยเฉพาะผู้มีอำนาจไม่ว่าจะฝ่ายใด ที่สั่งการ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจในการก่ออาชญากรรมร้ายแรง โดยอาจนำหลักการของความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice-RJ) มาใช้สำหรับการกระทำผิดของผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้งสองฝ่ายด้วย

สิ่งสำคัญไม่ควรมองข้ามคือการปฏิรูปเชิงสถาบัน ทั้งในทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ จชต. โดยกระบวนการของการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่สันติสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยท้ายสุดคือการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเยียวยาโดยพัฒนากลไกในการรับเรื่องร้องเรียน โดยการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมที่สามารถเข้าถึงชุมชนและผู้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงและได้รับผลกระทบมากกว่ากลไกของรัฐ โดยรัฐจะต้องประกันความปลอดภัยและความเป็นธรรม เพื่อให้ผู้ร้องเรียนมีความมั่นใจและกล้าร้องเรียน การร้องเรียนเป็นการเปิดเผยความจริงของความขัดแย้งและปัญหาต่อรัฐต่อสังคม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการแก้ไขปัญหาและกระบวนการสันติภาพและพัฒนากลไกการร้องเรียนและตรวจสอบกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนและการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เพื่อป้องปราม ค้นหาความจริงและให้มีการแก้ไขเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างได้ผล ทั้งการตรวจสอบโดยกลไกในท้องถิ่น กลไกประเทศและกลไกระหว่างประเทศ ที่เป็นอิสระ โดยกลไกเหล่านี้ต้องสามารถเข้าถึงข้อเท็จจริงต่างๆ และข้อเสนอแนะได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานของรัฐและรัฐบาล

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการเยียวยาเหยื่อและผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งมิใช่เพียงการชดใช้เป็นตัวเงินเท่านั้น แต่รวมถึงการฟื้นฟูเยียวยาด้านจิตใจ การทำให้กลับสู่สถานะเดิมเท่าที่จะทำได้ การช่วยเหลือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเหยื่อและครอบครัว ฯลฯ การเยียวยาเป็นการบรรเทาความขัดแย้งที่ได้ผลระดับหนึ่ง ในขณะที่กระบวนการสันติภาพยังไม่ได้รับความสำเร็จ


หมายเหตุ : ฟังคลิปบทสัมภาษณ์หน่วยความมั่นคงหลังเยียวยาครอบครัวเหยื่อทหารพรานยิงประชาชน

เขียนโดย อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)