Syria berdarah

Syria berdarah pernahkah kau rasa
deritanya perihatinkah kau berita ngerinya
dengarkah kau jerit tangisnya
selamikah kau lautan darahnya

Kini Syria menangis
tapi tak seorang pun mendengar tangisannya
kini Syria merayu syahdu
namun tak seorang pun menghulur bantuan

Cuba lihat ….
Anak – anak kecil dibunuh
sekiranya dia adalah anakmu
seorang gadis diperkosa
seandainya dia saudarimu
seorang wanita disiksa
bayangkan dia ibumu
seorang lelaki tua dipukul merana
apa kata kalau dia ayahmu
seorang remaja dibelasah sesuka rasa
renungkan kalau dia saudaramu

sudah semestinya kita bersedih sebagaimana kesedihan mereka

Syria berdarah
mereka bagaikan Ashabul ukhdud di zaman silam
dosa-dosa mereka adalah beriman kepada Allah
Tuhan semesta
dan tidak rela menyembah rejim durjana

Mereka berdepan dengan sekumpulan manusia
yang lebih kejam dari Yahudi dan Nasrani
membunuh jiwa yang tak berdosa
memusnah rumah-rumah Allah
membakar dan menghina alquran
menabur kefasidan di atas muka bumi
berlemah lembut terhadap kuffar
bersikap keras terhadap para mu’min
dialah Syiah Nusairi Alawi Ba’thi
yang diasas Hafiz al-Asad
kini dijejaki anaknya Basyar al-Asad
bapa burik,anak tentunya rintik

Syria
Kau bumi yang tiada tara
tanah bertuah yang diberkati Allah
perkuburan para Nabi,Rasul dan Sahabat Baginda
darah para syuhada’ mengalir menyiram bumimu
Para malaikat Allah memayungi sayap-sayapnya merestuimu

Syria
sabar dan yakinlah
bantuan Allah tetap tiba
kegelapan malam takkan berpanjangan
pabila fajar subuh datang
menjanjikan sinaran mentari

di saat itu
kezaliman akan musnah
drama kekejaman akan berakhir
pemimpin palsu akan terdedah kepalsuannya
segala boneka akan menerima balasannya
dunia akan bersama Islam
Allah tetap bersama para mu’minin

*****************

nukilan : Ibnu Desa
10 April 2012

www.aljazeera.net

ชีวิตคือการสะสมกระดาษ

ตะกอนความคิด
(แปลสรุปข้อความอาหรับจากไลน์)

ชีวิตคือการสะสมกระดาษ

  • ใบแจ้งเกิด
  • ใบฉีดวัดซีน
  • สมุดพก
  • ประกาศนียบัตร
    ล้วนแล้วแต่กระดาษ
  • ใบสมรส
  • หนังสือเดินทาง
  • เอกสารสิทธิ์ต่างๆ
  • หนังสือรับรองความประพฤติ
  • ใบรับรองแพทย์
  • ใบแจ้งผลการรักษาสุขภาพ
  • บัตรเชิญในโอกาสต่างๆ
    ล้วนแล้วแต่กระดาษทั้งสิ้น

เมื่อเวลาผ่านไป
คุณอาจฉีกและทิ้งขว้างมัน
โลกนี้จึงเต็มไปด้วยกระดาษ

บางคนเศร้าอกเสียใจเพราะกระดาษใบเดียว
บางคนกระโดดโลดเต้นเพราะกระดาษใบเดียวเช่นกัน
หลายคนยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งกระดาษที่เรียกว่า “เงิน”

กระดาษใบเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้คือใบมรณบัตร

ทั้งๆที่เป็นกระดาษที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะหลังจากนั้นคุณจะได้พบกับการตอบแทนล้วนๆ
มันคือสัญญาณว่าต่อจากนี้ไปคุณจะพบกับความสุขอันนิรันดร์หรือการทรมานอันยาวนานที่แสนสาหัส

************

ท่านอาลี บินอะบีฏอลิบกล่าวว่าสองสิ่งที่ไม่จีรัง คือวัยหนุ่มและพละกำลัง

สองสิ่งที่ยังประโยชน์ คือมารยาทงามและใจกว้าง

สองสิ่งที่ทำให้มีเกียรติ คือการนอบน้อมและช่วยเหลือผู้เดือดร้อน

สองสิ่งที่ปัดป้องภัยพิบัติ คือการบริจาคทานและสานสัมพันธ์ญาติพี่น้อง

************

มีคนกล่าวว่า
ตอนวัยรุ่น
เรามีเวลาและมีพละกำลัง
แต่ไม่มีเงิน

วัยทำงาน
เรามีเงิน มีพละกำลัง แต่ไม่มีเวลา

ยามแก่เฒ่า เรามีเงิน มีเวลาแต่ไม่มีกำลัง

นี่คือสัจธรรมชีวิต
ได้อย่างเสียอย่าง
เรามักคิดว่าคนอื่นดีกว่าเราเสมอ
ในขณะที่คนอื่นมองว่าเราดีกว่าเขา

เพราะเราขาดสิ่งสำคัญ 2 ประการคือ “ความพอเพียง” และ “การคิดดีต่ออัลลอฮ์” القناعة وحسن الظن بالله

**************

หากท่านจะรู้คุณค่าของท่าน ณ อัลลอฮ์ก็จงไตร่ตรองดูว่า คุณค่าของอัลลอฮ์ ณ จิตใจของท่านมีมากน้อยเพียงใด

ขาวไม่ได้สื่อถึงความสวยงามเสมอไป ดำก็ไม่ใช่ขี้เหร่ไปตลอด
ผ้าห่อศพสีขาวบริสุทธิ์…แต่ดูน่ากลัว
กะบะฮ์สีดำสนิท…แต่ก็สวยสง่า

Kaaba in Mecca Saudi Arabia

ความสวยงามของคน อยู่ที่กิริยามารยาท หาใช่รูปลักษณ์ภายนอก

**************

หากความเป็นวีรบุรุษวัดกันที่เสียงดัง สุนัข คือผู้นำแห่งวีรบุรุษ

หากความสวยงามของสตรี วัดกันที่การปลดเปลื้องเสื้อผ้า ฝูงลิงก็จะดูสวยสดงดงาม

********* แปลสรุปข้อความอาหรับ โดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 5

เรื่องราวของมูฮัมมัดน้อย ความเจ็บปวดที่สะท้อนความโหดร้ายของศาลศาสนาแห่งสเปนในยุคกลาง

เชคอาลี ฏอนฏอวีย์ ได้เล่าเหตุการณ์ที่เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงการบังคับขู่เข็ญของมุสลิมในอันดาลูเซีย และการยึดมั่นในอิสลามท่ามกลางการตรวจสอบอันเข้มงวดของศาลศาสนาโดยยกกรณีของมูฮัมมัดน้อยที่เล่าถึงตนเองว่า

ขณะที่ฉันกำลังเรียนในระดับประถมศึกษา ฉันสามารถท่องจำเนื้อหาบางส่วนของคัมภีร์ไบเบิ้ล และทุกครั้งที่ฉันกลับบ้าน ฉันจึงอ่านให้พ่อแม่ฟัง แต่แทนที่ทั้งสองจะดีใจ ฉันสังเกตว่าทั้งสองท่านมีใบหน้าที่เศร้าหมองราวคนอมทุกข์ ทุกเช้าที่ฉันไปโรงเรียนกับครูคริสต์ที่มารับที่บ้าน แม่จะโอบกอดฉันราวกับว่าจะจากกันอย่างยาวนาน บางครั้งฉันสังเกตเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มแม่ที่ส่งยิ้มให้ฉัน เมื่อฉันกลับบ้าน แม่ก็จะโผกอดฉันด้วยความดีใจ
เมื่ออยู่ในบ้าน บ่อยครั้งที่ฉันเห็นคุณพ่อแอบเข้าไปในห้องลับท้ายบ้าน ที่ท่านไม่อนญาตให้ใครๆเข้าหรือเพ่นพ่านบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด ทุกครั้งที่พ่อออกจากห้องนั้น ฉันเห็นดวงตาของท่านแดงก่ำเหมือนเพิ่งหยุดร้องไห้อย่างหนัก
บ่อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อแม่แอบคุยซุบซิบกันด้วยภาษาที่ฉันไม่เข้าใจ แต่เมื่อฉันเข้าใกล้ ทั้งสองก็จะจบการสนทนาอย่างดื้อๆ และพูดภาษาสเปนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางครั้งฉันร้องไห้คนเดียวด้วยความน้อยใจ พลางคิดเรื่อยเปื่อยว่า ฉันเป็นลูกแท้ๆของพ่อแม่หรือไม่ รึว่าฉันเป็นเพียงเด็กข้างถนนที่ทั้งสองพบเจอและอุปการะเลี้ยงดูเท่านั้น
ฉันไม่ค่อยเล่นกับเพื่อนๆร่วมวัยเดียวกัน ฉันเริ่มมีโลกส่วนตัวที่ไม่ค่อยสนุกสนานเหมือนเด็กๆทั่วไป
วันหนึ่ง เมื่อถึงวันอีสเตอร์ (วันสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่เชื่อกันว่าพระเยซูฟื้นคืนชีพใหม่หลังจากถูกตรึงที่ไม้กางเขน 3 วัน) พ่อแม่ของฉันก็มีข้ออ้างเป็นประจำที่จะไม่เข้าร่วมเทศกาลนี้ พอตกกลางคืน ขณะที่ผู้คนร่วมพิธีในโบสถ์ ที่บ้านมีฉัน กับพ่อและแม่ เมื่อถึงช่วงเที่ยงคืน พ่อเรียกฉันเข้าไปในห้องลับส่วนตัวของเขา เมื่อเราเข้าไป พ่อรีบใส่กลอนปิดประตูอย่างแน่นหนา ห้องมืดสนิท พ่อจุดตะเกียงเล็กๆ ฉันไม่พบสิ่งใดในห้องนี้ยกเว้นหนังสือเล่มหนึ่งที่วางไว้บนหมอนอย่างดี ข้างฝามีดาบแขวนไว้ 1 เล่ม ฉันเห็นพ่อมองฉันด้วยสายตาที่อ่อนโยน พ่อกอดฉันอย่างแน่น จากนั้นพ่อพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า ลูกรัก บัดนี้เจ้าอายุ 10 ปีแล้ว หวังว่าเจ้าสามารถรักษาความลับได้ เจ้าสัญญากับพ่อไหมว่า ความลับที่พ่อจะบอกนี้ เจ้าห้ามไปเปิดเผยให้ใครก็ตามไม่ว่าแม่ ญาติสนิทหรือเพื่อนคนไหนก็ตาม ฉันรับปากทันที พ่อบอกอีกว่า หากความลับนี้ถูกเปิดเผยเมื่อไหร่ สมาชิกในครอบครัวเราทุกคนจะถูกตัดสินโดยศาลศาสนาทันที
พลันที่ฉันได้ยินคำว่าศาลศาสนา ฉันขนลุกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ทั้งๆที่ฉันไม่เคยถูกลงโทษจากศาลศาสนานี้ แต่ฉันพบเห็นผู้คนที่ถูกศาลศาสนาจับทรมานแทบทุกวัน บางคนถูกเผาทั้งเป็น ท่ามกลางผู้คนในเวลากลางวันแสกๆ นับสิบๆ คน บ้างก็ถูกฉีกร่างด้วยกรรมวิธีอันน่าสยดสยอง โดยที่ไม่เคยรับรู้ว่าพวกเขาทำผิดอะไร
ผู้คนจึงพากันหวาดกลัวศาลศาสนานี้มาก
ฉันจึงให้สัญญามั่นกับพ่อว่าฉันจะเก็บความลับนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
พ่อจึงหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดให้ฉันอ่าน ฉันอ่านไม่ได้สักตัว พ่อบอกว่านี่แหละอัลกุรอาน ที่พระเจ้าประทานแก่นบีคนสุดท้ายนบีมุฮัมมัด พร้อมคำสอนที่เรียกว่าอิสลาม เป็นศาสนาที่ประกาศเอกภาพของอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว และอิสลามได้เผยแพร่เข้ามาในดินแดนอันดาลูเซีย โบสถ์อันใหญ่โต คือมัสยิดในอดีต ราชวังและอาคารอันสวยงามที่ลูกเห็นทั่วเมืองคือผลงานของมุสลิมทั้งสิ้น มุสลิมได้สร้างอารยธรรมและความเจริญของเมืองนี้ แต่บัดนี้กลายเป็นสมบัติของผู้ปฏิเสธศรัทธา
จากนั้นฉันจึงเรียนรู้ภาษาอัลกุรอาน และหลักปฏิบัติอิสลามจากพ่อในห้องลับนี้
ในช่วงนี้ แม่คอยซักถามฉันว่า พ่อบอกอะไรให้ฉันบ้าง ฉันตอบว่าไม่ได้สอนอะไร น้าและอาฉันก็รบเร้าถามฉันเช่นกัน แต่ฉันก็ตอบว่าพ่อไม่ได้สอนอะไรฉันเลย
คุณพ่อสอนฉันทั้งภาษาอาหรับ อัลกุรอานในห้องมืดนี้ จนกระทั่งฉันเข้าใจหลักการเบื้องต้นในอิสลาม
กระทั่งวันหนึ่งพ่อได้เรียกฉัน และกระซิบบอกว่า ถึงเวลาที่เราจะจากกันแล้ว พ่อรู้สึกว่าเวลาของพ่อมีไม่มากนัก และพ่อพร้อมกลับสู่อัลลอฮฺในฐานะชะฮีด ที่พ่อปกปิดความลับตลอดระยะเวลา 40 ปีนี้ ไม่ได้หมายความว่าพ่อกลัวแต่อย่างใด แต่พ่อเฝ้ารอโอกาสที่จะส่งต่ออิสลามให้กับลูก และบัดนี้พ่อมั่นใจว่า เจ้าสามารถปฏิบัติภารกิจนี้แล้ว และเจ้าสามารถรักษาความลับได้อย่างดีเยี่ยม
อีกไม่นาน อาของลูกจะมารับลูกอพยพไปที่เมืองใหม่ จงเชื่อฟังเขาและอพยพไปกับเขาเถอะ อย่าห่วงพ่อกับแม่เลย
ค่ำคืนหนึ่ง อามารับฉันที่บ้าน และพาฉันหนีออกจากหมู่บ้าน ข้ามทะเล ใช้ชีวิตใหม่ที่ตูนีเซีย ระหว่างทางฉันพร่ำเรียกพ่อแม่และไม่ยอมตามคุณอา แต่อาบอกว่า พ่อเจ้าให้เชื่อฟังข้าคนเดียวมิใช่หรือ บัดนี้พ่อแม่ของเจ้าคงมีความสุขในสวนสวรรค์ตามที่เขาใฝ่ฝัน ด้วยผลงานของศาลศาสนาแล้วล่ะ
ฉันอพยพไปตูนีเซียและเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ที่นั่น

หนูน้อยมูฮัมมัดใช้ชีวิตด้วยการศึกษาอิสลาม
ต่อมาเด็กคนนี้ได้กลายเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ในมัซฮับมาลิกีย์ ชื่อ
الشيخ العلامة محمد بن الرفيع الأندلسي
เสียชีวิตปีฮ.ศ. 1055
رحمه الله رحمة واسعة وغفر له وأسكنه في فسيح جناته

เขียนโดย Mazlan Mahama

อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 4

4.เกิดความแตกแยกระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง
หลังจากที่อันดาลูเซียอยู่ภายใต้การปกครองของเคาะลีฟะฮ์เพียงคนเดียวที่มีความเป็นปึกแผ่นและเอกภาพ พวกเขาก็พร้อมใจกันแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ จนกระทั่งได้แยกเป็นแว่นแคว้นน้อยใหญ่ถึง 27 รัฐด้วยกัน (Taifa Kingdoms) แต่ละรัฐมีเขตการปกครองของตนเอง หนำซ้ำยังรบราฆ่าฟันระหว่างกัน ก้าวร้าวเมื่ออยู่กับพี่น้องผู้ศรัทธา แต่อ้อนน้อมถ่อมตนยามเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู
อิบนุหัซมิ หนึ่งในอุลามาอฺนามอุโฆษชาวอันดาลูเซียบรรยายปรากฏการณ์อันน่าเศร้าหมองนี้ว่า ” ด้วยนามของอัลลอฮ์ หากการก้มกราบบูชาไม้กางเขนทำให้สามารถบันดาลตามความต้องการแล้ว พวกเขาจะต้องทำมันอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาพร้อมให้ความช่วยเหลือชาวคริสเตียนเพื่อปราบปรามคู่อริของพวกเขาที่เป็นมุสลิมด้วยกัน ขอให้อัลลอฮ์สาปแช่งพวกเขา และทำให้พวกเขาตกอยู่ในอำนาจของศัตรูในที่สุด
ท่ามกลางความแตกแยกของชาวมุสลิม แต่คริสตชนทั่วยุโรปต่างก็ผนึกกำลังทำสงครามครั่งยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเรียกว่า “Reconquista” หรือสงครามทวงคืนดินแดน จนกระทั่ง 2 อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ได้ผนึกรวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน หลังการอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์เฟอร์ดินานแห่งอาณาจักรอารากอน กับพระราชินีอิสซาเบลล่าแห่งอาณาจักรคาสตีลล์ จนกระทั่งทั้ง 2 พระองค์ได้เป็นแกนนำกองทัพคริสเตียนบุกล้อมกองทัพมุสลิมจนกระทั่งสามารถยึดเมืองกรานาดาซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของชาวมุสลิมได้สำเร็จเมื่อปี คศ.1492
เหล่ากษัตริย์และบรรดาขุนนางทำสงครามเพื่อปกป้องราชบังลังค์มากกว่าการปกป้องและเผยแพร่อิสลาม จนกล่าวกันว่าจอมทัพมันศูร บิน อะบีอามิร เคยชนะสงคราม 57 ครั้ง ซึ่งล้วนเป็นชัยชนะเพื่อปกป้องราชบังลังค์ที่มีการแย่งชิงระหว่างมุสลิมด้วยกัน แทนที่จะเป็นชัยชนะต่อศัตรูผู้คุกคาม
อัลกุรอานได้กำชับให้มุสลิมรวมเป็นหนึ่งภายใต้ผู้นำคนเดียว ดังที่อัลกุรอานกล่าวความว่า
” และจงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเราะซูลของพระองค์เถิดและจงอย่าขัดแย้งกันเพราะจะทำให้พวกเจ้าพ่ายแพ้และทำให้ความเข้มแข็งของพวกเจ้าหมดไป และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอยู่กับผู้ที่อดทน “(อัลอันฟาล ,8 :46)
คำดำรัสของพระองค์ เป็นจริงเสมอ

(ต่อ….)

ตอนที่ 5 > https://www.theustaz.com/?p=411

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 3

1.ฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺและไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง

สถานเริงรมย์ ผับบาร์ เหล้าสุรา นารีและดนตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ขาดเสียไม่ได้ บรรดาผู้นำแทนที่จะห่วงใยประชาชน ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข กลับกลายเป็นบำเรอสุขให้ตนเองและกระจายทุกข์แก่ปวงประชา อบายมุขกลายเป็นความเคยชิน ในขณะที่การยึดมั่นในศาสนาได้กลายเป็นคนแปลกหน้า

ยุคหนึ่งผู้พิชิตชาวอาหรับคือผู้ธำรงไว้ในความยุติธรรม ถึงขนาดนักประวัติศาสตร์ชาวสเปนกล่าวสดุดีว่า เราแปลกใจว่าพวกเขาคือกลุ่มชนที่ผุดออกมาจากใต้ดินหรือจุติลงมาจากฟากฟ้ากันแน่ เพราะพวกเขาคือความยุติธรรม มีใจอันประเสริฐที่เดินเหินบนหน้าแผ่นดิน ที่เราไม่เคยพบเห็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ชนะสงครามที่ไหนมาก่อนในประวัติศาสตร์

พวกเขาไม่เคยหลาบจำคำเตือนของอัลลอฮฺ ความว่า
“และกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมัน(เพราะความดื้อรั้นของพวกเขา) โดยที่การลงโทษของเรามายังเมืองนั้น ในยามค่ำคืนหรือในขณะที่พวกเขานอนพักผ่อนยามบ่าย (อัลอะรอฟ,7 : 4)

2.ความฟุ่มเฟือยและใช้ชีวิตที่หรูหรา จนทำให้หลงลืมปฏิบัติภารกิจสำคัญ ในขณะที่ศัตรูคอยสบโอกาสทุกยามเมื่อ อิบนุคอลดูนกล่าวว่า “ฉันไม่เคยเห็นชุมชนที่มีความฟุ่มเฟือย ยกเว้นมีอธรรมควบคู่ด้วย”
ทรัพย์สมบัติและทรัพยากร แทนที่จะถูกแจกจ่ายแก่ประชาชนอย่างทั่งถึง กลับถูกกักใช้เป็นสมบัติผลัดกันชมในกลุ่มอำมาตย์เท่านั้น แข่งขันสร้างตึกรโหฐานและสิ่งประดับประดา ถึงขนาดกษัตริย์องค์หนึ่งโกรธกริ้วอย่างอารมณ์เสีย เนื่องจากไม่พอใจวิศวกรไม่สามารถสร้างราชวังตามความต้องการของพระองค์ ทั้งๆที่ในขณะนั้นศัตรูจากทั่วสารทิศได้โจมตีเมืองและสร้างภยันตรายแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า

พวกเขาลืมสิ้นแล้ว คำเตือนของอัลลอฮฺที่กล่าวความว่า

“และเมื่อเราปรารถนาจะทำลายเมืองหนึ่ง เราจึงบัญชาให้พวกฟุ่มเฟือยในเมืองนั้น และพวกเขาก็ฝ่าฝืนในเมืองนั้น ดังนั้นการลงโทษก็จะประสบแก่เมืองนั้น และเราได้ทำลายมันอย่างพินาศเด็ดขาด” (อัลอิสรออ.,17 : 16)

3.ไว้ใจศัตรูและมอบความรักแก่คู่อริอย่างหมดหัวใจ

เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและรักษาไว้ซึ่งราชบัลลังค์ ผู้นำยุคอันดาลูเซียบางคนยอมทำสัญญาผูกไมตรีกับกษัตริย์คริสเตียนให้ยกทัพปราบปรามกองทัพมุสลิม พร้อมยกดินแดนส่วนหนึ่งเป็นของกำนัล ดังที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ว่าเมืองชื่ออะบูซัยด์กับกษัตริย์คริสเตียนพระองค์หนึ่ง พร้อมยอมถวายเครื่องราชฯแสดงความจงรักษ์ภักดี จนกระทั่งในที่สุดผู้ว่าการอะบูซัยด์ยอมรับเป็นคริสตชน

เช่นเดียวกันกับอาณาจักร Bani Ahmar ที่กอดคอร่วมกับอาณาจักรคริสเตียน Castellae ทำสงครามกับกองทัพมุสลิมเพียงเพื่อรักษาบัลลังค์ของตนเอง

พวกเขาไม่เคยถอดบทเรียนและนำคำสอนของอัลกุรอานที่เตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ความว่า
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร เพราะในระหว่างพวกเขา ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างกัน” (อัลมาอิดะฮฺ, 5 : 51)

4.(ต่อ….)

ตอนที่ 4 > https://www.theustaz.com/?p=406

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 2

ไอสไตน์เคยกล่าวว่า ในโลกนี้ไม่มีคำว่าปาฏิหารย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเหตุและผลทั้งสิ้น เพียงแต่ไอสไตน์ไม่สามารถอธิบายต่อว่า ใครคือผู้กำหนดเหตุและผล เขาพยายามอธิบายว่า เมื่อมีไฟ ย่อมมีร้อนและย่อมเกิดการเผาไหม้ แต่เขาไม่เคยให้คำตอบว่าใครคือผู้วางกติกาให้ไฟนำความร้อนและเกิดการเผาไหม้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยพบกรณีนบีอิบรอฮีมที่ถูกไฟไหม้ แต่ไม่ก่ออันตรายใดๆแก่นบีอิบรอฮีมเลย

อัลกุรอานได้สอนเราว่า อัลลอฮฺได้กำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมนองคลองธรรม( سنن كونية) เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผลตามมา เช่นเดียวกันกับวิถีของประชาชาติ

“นั่นคือวิถีของอัลลอฮ์แก่บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่กาลก่อน และเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในวิถีของอัลลอฮฺ”
(อัลอะห์ซาบ,33 : 62)

ชีวิตของประชาชาติ ก็ไม่ต่างไปจากชีวิตของคน เป็นไปไม่ได้ที่เราเห็นคนๆหนึ่งมีพละกำลังแข็งแรงกำยำ หรือเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจ โดยปราศจากการฝึกซ้อมและการเตรียมตัวอย่างดี เช่นเดียวกับคนป่วยที่นอนซมบนเตียงพยาบาล ซึ่งมาจากโรคประจำตัวเขานั่นเอง

ปาฏิหารย์เท่านั้นหรือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะเป็นแชมป์วิ่งร้อยเมตรระดับโอลิมปิก และเป็นสิ่งอัศจรรย์มากๆหากคนรักษาสุขภาพอย่างดี แต่กลับเจ็บออดแอดเนื่องจากร่างกายอ่อนแอ

อันดาลูเซียคือเรือนร่างที่เข้มแข็งสมบูรณ์ที่สุด สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมโลกอย่างอเนกอนันต์ และกลายเป็นกระดูกสันหลังที่สร้างอารยธรรมแก่ชาวโลกมายาวนาน

แต่เมื่อถึงวันร่วงโรย อันดาลูเซียกลับถูกทิ้งขว้าง หนำซ้ำยังถูกลบเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์ ไร้ร่องรอยของความยิ่งใหญ่ ไม่หลงเหลือเค้าอดีตอันรุ่งเรืองให้เห็นแม้แต่ชิ้นเดียว

อันดาลูเซียได้ประสบกับวิถีของอัลลอฮฺที่ได้เกิดขึ้นแก่ชนชาติที่ล่มสลายก่อนหน้านี้ และนี่คือกฏกติกาของอัลลอฮฺที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และนี่คือสาเหตุหลักการล่มสลายของอันดาลูเซียที่เรากำลังพูดถึง สรุปได้ดังนี้

1.

ต่อครับ
อิน ชาอฺ อัลลอฮ

ตอนที่ 3 > https://www.theustaz.com/?p=400

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 1

อิสลามได้เผยแพร่ในดินแดนอันดาลูเซีย(สเปนปัจจุบัน) ตั้งแต่ปีฮ.ศ.93-897 (ค.ศ.688-1492) ตลอดระยะกว่า 8 ศตวรรษ ชาวมุสลิมได้สร้างอารยธรรมที่เจริญสุดขีดทั้งด้าน สังคม วัฒนธรรม การศึกษา การเมือง เศรษฐกิจ การพัฒนาเมืองและอื่นๆ ในขณะที่ยุโรปยุคนั้น กำลังจมปลักในความเสื่อมโทรมและเสื่อมทรามทางศาสนา วัฒนธรรมและสังคม จนกระทั่งนักปรัชญาสตรีชาวอิตาลี เพทราค (ค.ศ.1330) ได้ประดิษฐ์วาทกรรมสะท้อนสังคมยุคนี้ว่าเป็น ยุคมืด ( Dark Ages)

อันดาลูเซียภายใต้การปกครองของมุสลิม ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ที่ผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามาตักตวงศาสตร์ในทุกแขนงวิชา ทั้งอิสลามศึกษา ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ การแพทย์ สถาปัตยกรรมและอื่นๆ ชาวยุโรปจึงนิยมส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนจากบรรดาคณาจารย์ชาวอาหรับ จนกระทั่งการพูดสนทนาภาษาอาหรับในยุคนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนศิวิไลส์ทีเดียว

แต่แล้วอันดาลูเซียก็ประสบกับสัจธรรมแห่งวงล้อชีวิต ที่ทุกอย่างเมื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว ย่อมเสื่อมถอยและร่วงโรยเป็นธรรมดา

มุสลิมเสียเมืองกรานาดา ฐานที่มั่นสุดท้ายเมื่อ มุฮัมมัดหรือโบอับดิล (Boabdil) ยอมจำนนต่อกองทัพคริสเตียนแห่งคารธิล ซึ่งนำโดยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์และพระราชินีอิซาเบลล่า โดยได้มีการลงนามในสัญญาที่บรรจุเนื้อหา 67 ข้อ ซึ่งเป็นสัญญายอมจำนนที่ยาวที่สุดในโลก พร้อมทั้งมอบกุญแจเมืองแก่กษัตริย์เฟอร์ดินานในวันที่ 2 มกราคม 1492 ซึ่งถือเป็นการปิดฉากของการปกครองของมุสลิมในแผ่นดินอันดาลูเซียที่ยาวนานถึง 804 ปี

การล่มสลายของประชาชาติถือเป็นสิ่งปกติในประวัติศาสตร์ แต่การสูญสิ้นอารยธรรมที่สะสมกันอย่างต่อเนื่องกว่า 800 ปี เสมือนไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยคาดคิดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

มันคือการทำลายล้างทางอารยธรรมอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เพียงแต่ในความสมบูรณ์แบบนี้ อุดมด้วยความอำมหิตและโหดร้ายสยดสยองชวนขนลุกทีเดียว

แต่แล้วอันดาลูเซียก็ประสบกับสัจธรรมแห่งวงล้อชีวิต ที่ทุกอย่างเมื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว ย่อมเสื่อมถอยและร่วงโรยเป็นธรรมดา

  • อารยธรรมอิสลามที่เคยเจริญสุดขีดได้พบจุดจบอย่างเบ็ดเสร็จได้อย่างไร อะไรคือคือสาเหตุหลักของการล่มสลายในครั้งนี้
  • ทำไมอันดาลูเซียหรือสเปนในปัจจุบันจึงไม่มีร่องรอยของอารยธรรมอิสลามแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ ณ ดินแดนแห่งนี้อาทิตย์อุทัยแห่งอิสลามเคยเจิสจรัสทอแสงนานกว่า 800 ปี
  • ประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อเป็นบทเรียน ไม่ใช่สร้างโอกาสความภาคภูมิใจที่ไม่มีตัวตนหรือเป็นเวทีแสดงบทเศร้าที่ไม่รู้จักจบ

พบคำตอบได้ในตอนต่อไปครับ
เชิญติดตาม

ตอนที่ 2 > https://www.theustaz.com/?p=395

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

การเอื้ออาทรที่ชั่วร้ายที่สุด… โดย อิบนุตัยมียะฮ์ฯ

อิบนุตัยมียะฮ์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์กล่าวว่า
การเอื้ออาทรที่ชั่วร้ายที่สุดคือ การเอื้อเฟื้อที่ท่านได้มอบผลบุญความดีงามของท่านให้แก่คนอื่นในวันกิยามะฮ์ ด้วยการนินทา ใส่ไคล้ จาบจ้วง ให้ร้าย ด่าทอ สาปแช่งคนอื่น หรือพูดง่ายๆคือ อันธพาล
——————
จงระวังการเอื้อเฟื้อประเภทนี้
แอดมินจำได้ว่า เริ่มแรกที่เป็นครูโรงเรียนประถมที่ Sekolah Rendah Hira’, Klang, Selangor เมื่อ 25 ปีที่แล้ว นักเรียนชอบมาฟ้องว่าตนถูกเพื่อน Bully หรือบอกว่าคนนั้นชอบ Bully เพื่อน อาศัยที่เป็นคนบ้านนอกเข้ากรุงใหม่ๆ จึงไม่เข้าใจคำนี้ เลยถามเพื่อนครูแบบเขินๆว่า Bully คืออะไร ซึ่งเพื่อนก็อธิบายด้วยดี
หลังจากนั้น ก็ไม่เคยได้ยินคำนี้อีกเลย จนกระทั่งมีกระแสในโลกโชเชี่ยลปัจจุบัน
—————
นบีได้พูดถึงคนที่ชอบระรานและใส่ร้ายคนอื่นว่าเป็นคนที่ล้มละลายตัวจริง เพราะในวันอาคิเราะฮ์ ความดีของเขาที่สะสมมาทั้งชีวิต จะถูกถ่ายโอนไปยังคนที่เขาเคยทำร้ายด้วยวาจาและการกระทำเพื่อไถ่บาป หากยังไม่เพียงพอ อัลลอฮ์จะถ่ายโอนบาปของคนที่เขาเคยทำร้ายมาให้เขา จนกระทั่งจากที่เขาเคยเป็นคนที่มีความดีมากมาย กลับกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยบาป จนกระทั่งเขาถูกตัดสินให้เข้านรก نعوذ بالله من ذلك
นี่คืออันตรายของ Bully

ยิ่งในตอนนี้ เราสามารถ Bully ผู้คน โดยที่เหยื่อแทบไม่มีโอกาสรู้จักเราด้วยซ้ำ
ยุคโซเชี่ยล ทำให้คนๆหนึ่งกร่างเมื่ออยู่คนเดียวหน้าจอ แต่ดูสุขุมคัมภีรภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน
————
บางคนหาญกล้า Bully อุละมาอฺที่เสียชีวิตไปแล้วร้อยๆปีด้วยผลงานอันมากมาย แต่เรากลับ Bully พวกเขาด้วยความญาฮิลของเรา
เรา Bully คนเดียวหน้าจอก็จริง
แต่คิดว่า จะรอดหรือ

ชมคลิปการบรรยาย โดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ ด้านล่างนี้