2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่า : แม่ทัพเรือใหญ่แห่งคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ (ตอนที่ 2)

เมื่ออะรูจญ์ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองแอลจีเรีย คิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺก็มองเห็นโอกาสในการขยายฐานอำนาจในแอฟริกาเหนือ จึงได้เสนอการสนับสนุนทางการเงินและการเมืองแก่ 2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่า ด้วยการสนับสนุนนี้ 2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่าจึงมีความมั่นคงมากขึ้นในภูมิภาคนี้

ต่อมา คิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺก็ได้เสนอตำแหน่งผู้ปกครองแอลจีเรียอย่างเป็นทางการให้แก่อะรูจญ์ และตำแหน่งหัวหน้ากองเรือแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกให้แก่ค็อยรุดดีน ทั้ง 2 รับข้อเสนอ กองเรื่องบาร์บาร็อสซ่าจึงได้ชักธงสัญลักษณ์อุษมานียะฮฺขึ้นโบกสะบัด เป็นธงสีเขียวเขียนข้อความว่า

نَصْرٌ مِّنَ اللَّـهِ وَفَتْحٌ قَرِيبٌ وَبَشِّرِ الْمُؤْمِنِينَ يَا مُحَمَّد
“ความช่วยเหลือมาจากอัลลอฮฺ และการพิชิตใกล้เข้ามาแล้ว และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธาเถิด โอ้มุฮัมหมัด”

และยังมีการเขียนชื่อคุละฟาอ์อัรรอชิดีนทั้ง 4 ท่าน มีรูปดาบซุลฟิกอร หัว 2 แฉก และรูปดาว 6 เหลี่ยม ดาราแห่งเดวิดด้วย

ในปี ค.ศ.1518 สเปนและพันธมิตรได้ยกทัพกลับมา หวังจะยึดแอลจีเรียคืนมาจาก 2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่า สเปนปลุกปั่นผู้นำ (อะมีร) เมืองติลิมซานให้ต่อต้านอะรูจญ์ จนเกิดการต่อสู้ที่หนักหน่วง กระทั่งอะรูจญ์ถูกจับตัวไปและไม่นานเขาก็เสียชีวิตลง สเปนชนะสงครามและยึดแอลจีเรียคืนไปได้

คิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺจึงได้แต่งตั้งให้ค็อยรุดดีนเป็น “เบย์เลอเบย์” (หมายถึง ผู้นำ, แม่ทัพ หรือผู้แทนในพื้นที่) ตำแหน่งผู้ปกครองแอลจีเรียจึงถูกส่งต่อให้กับ “ค็อยรุดดีน บาร์บาร็อสซ่า” ในตอนนี้ฉายาบาร์บาร็อสซ่าเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวแล้ว เขาได้รับการสนับสนุนจากสุลต่านอุษมานียะฮฺในการต่อสู้กับสเปน และสามารถยึดแอลจีเรียกลับคืนมาได้ แอลจีเรียจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ อีกทั้งยังเป็นฐานบัญชาการหลักในภูมิภาคทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกด้วย

เมื่อสุลต่านซาลิมที่ 2 เสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1520 ลูกชายที่ชื่อ “สุลัยมาน” ก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งสุลต่านคนต่อไป โลกตะวันตกเรียกสุลต่านสุลัยมานว่า “สุลัยมานผู้เกรียงไกร” (The Magnificent) ส่วนในโลกอิสลามเอง ประชาชนให้ฉายาเขาว่า “สุลัยมานผู้ตรากฏหมาย (ที่ยุติธรรม)” (سُلَيْمَان القَانُوْنِي) และเพื่อเป็นการตอบแทนคุณ ค็อยรุดดีนได้ให้คำสัตย์ต่อสุลต่านสุลัยมานว่า กองเรือของเขาพร้อมจะรับใช้คิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺอย่างเต็มที่

ค็อยรุดดีน บาร์บาร็อสซ่า เป็นผู้นำที่มีทักษะสูง เขาฉลาด กล้าหาญ และรอบรู้หลายภาษา กองเรือของเขาได้ทำการต่อสู้กับสเปนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาขัดขวางกองเรือสเปนที่บรรทุกทองคำมาจากแผ่นดินอเมริกา และเข้าโจมตีชายฝั่งทะเลในสเปน อีตาลี และฝรั่งเศษด้วย

ในปี ค.ศ.1522 ค็อยรุดดีนได้ส่ง “กูรโตกลู” (Kurtoğlu) ทหารคนสนิทคนหนึ่งของเขาพร้อมกองเรือจำนวนหนึ่ง เข้าพิชิตเกาะโรดส์ ป้อมปราการของอัศวินเซนต์จอห์นคือ “คณะอัศวินบริบาล” หรือ “อิศวินฮอสพิทัลเลอร์” (Knights Hospitaller) ที่หลงเหลือมาจากสงครามครูเสด ซึ่งมักจะสร้างปัญหาให้กับคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺอยู่เสมอ พวกเขาคอยโจมตีเรืออุษมานียะฮฺที่ปฏิบัติการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นประจำ การพิชิตในครั้งนี้ถือเป็นการขจัดเสี้ยนหนามที่รบกวนปฏิบัติการต่าง ๆ ของคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺออกไป

ส่วนในปี ค.ศ.1529 ค็อยรุดดีน บาร์บาร็อสซ่า ก็ได้ช่วยเหลือมุสลิมชาวมัวร์กว่า 70,000 คน หนีออกมาจากแผ่นดินอันดาลุส (สเปน) ไว้ได้สำเร็จ ในนั้นมีชาวยิวรวมอยู่ด้วย และตั้งแต่ปี ค.ศ.1530 เขาได้ล่องเรือต่อสู้กับกองเรือคริสเตียน พิชิตเกาะปาลมาส และเมืองต่าง ๆในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และในปี ค.ศ.1534 กองเรือของเขาก็ได้แล่นตรงไปที่แม่น้ำไทเบอร์ สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วกรุงโรม

คิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด สุลต่านสุลัยมานผู้เกรียงไกรนำกองทัพเข้าพิชิตหลายเมืองในยุโรปทางภาคพื้นดิน ส่วนค็อยรุดดีนนำกองเรือเข้าพิชิตน่านน้ำต่าง ๆ ทางภาคพื้นทะเล สุลต่านสุลัยมานประทับใจและยกย่องค็อยรุดดีนเป็นอย่างมาก

กระทั่งในปี ค.ศ.1533 ค็อยรุดดีน บาร์บาร็อสซ่า ลูกชายช่างทำเครื่องปั้นดินเผา ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับกองเรือคริสเตียนในฐานะโจรสลัด ที่ตอนนี้กลายมาเป็นผู้นำกองเรือที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ ก็ได้รับเกียรติจากสุลต่านสุลัยมาน ถูกแต่งตั้งให้เป็น “กาปูดัน ปาชา” แม่ทัพเรือสูงสุดของคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานั้น

ความแข็งแกร่งของกองเรือบาร์บาร็อสซ่า ไม่เพียงสร้างปัญหาให้แก่สเปนและโปรตุเกสเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่สำหรับชาติยุโรปทั้งหมดด้วย

ติดตามตอนต่อไป ตอนที่ 3 https://www.theustaz.com/?p=4236


อ้างอิง :
1. خيرالدين بربروس ดู https://ar.wikipedia.org/…/%D8%AE%D9%8A%D8%B1_%D8%A7%D9%84%…
2. عروج بربروس ดู https://ar.wikipedia.org/…/%D8%B9%D8%B1%D9%88%D8%AC_%D8%A8%…
3. “From Pirate to Admiral: The Tale of Barbarossa” เขียนโดย John P. Rafferty ดู https://www.britannica.com/…/from-pirate-to-admiral-the-tal…
4. “Admiral Hayreddin Barbarossa” เขียนโดย Kallie Szczepanski ดู https://www.thoughtco.com/admiral-hayreddin-barbarossa-1957…
5. “Hayreddin Barbarossa: Causing a Ruckus as the Notorious Pirate Redbeard” เขียนโดย Ḏḥwty ดู http://www.ancient-origins.net/…/hayreddin-barbarossa-causi…


อ่านตอนที่ 1 https://www.theustaz.com/?p=4083
อ่านตอนที่ 2 https://www.theustaz.com/?p=4232
อ่านตอนที่ 3 https://www.theustaz.com/?p=4236

ที่มา : GenFa : ประวัติศาสตร์สร้างคนรุ่นใหม่

สุนทรพจน์แห่งศตวรรษ

แอร์โดฆานกล่าวสุนทรพจน์เปลี่ยนประวัติศาสตร์ ว่าด้วย “มัสยิดอายาโซเฟีย” ฉบับแปลคำต่อคำ

ขึ้นแท่นสุนทรพจน์ยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ ประกาศตัวตน อุดมการณ์และวิสัยทัศน์ และข้อมูลประวัติศาสตร์เชิงลึกชนิดอ่านมาทั้งชีวิตก็ยากจะพบเจอ

สุนทรพจน์ที่ยาวเหยียด แอร์โดฆานประกาศชัดเจน จะสืบทอดอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ออตโตมัน ต่อศาสนา โลกมุสลิม ประชาชาติอิสลามและมนุษยชาติ มิตรและศัตรู พร้อมยกย่องสรรเสริญสุลต่านออตโตมัน และวิพากษ์รัฐบาลอะตาเติร์กว่าทรยศ ทำผิดกฎหมาย

หลังจากศาลตุรกีในการยกเลิกการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีในยุคอะตาเติร์กซึ่งเปลี่ยนอายาโซเฟียจากมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์ หลังจากที่ศาลมีคำสั่งคืนสภาพอายาโซเฟียกลับไปเป็นมัสยิด อีกครั้ง เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2020 ประธานาธิบดีตุรกีกล่าวสุนทรพจน์เปลี่ยนประวัติศาสตร์ในทันที

เจ้าชายโอรฮาน อุสมานอูฆโล สายสกุลสุลต่านออตโตมันพอใจอย่างยิ่ง โพสต์เฟสบุ๊คระบุ ” วัตถุประสงค์บรรลุแล้ว ขอให้ความพอใจของอัลเลาะห์บังเกิดแก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน”

และทันทีเช่นกัน หลังจากนั้น ทนายความ Pinar Akbina ตัวแทนพรรคปลดปล่อยประชาชน ( HKP ) ประจำอิสตันบูล ได้ยื่นฟ้องประธานาธิบดีตุรกีในวันอาทิตย์ 26/7/2020 ในความผิดฐาน “ละเมิดและโจมตีอะตาร์เติร์ก ” จากการที่แอร์โดฆานออกแถลงการณ์ หลังจากศาลเปิดมัสยิดอายาโซเฟียเพื่อการประกอบศาสนกิจอีกครั้ง

แอร์โดฆานก้าวสู่ความเสี่ยงทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่เคยติดคุกในข้อหานี้มาแล้วในยุคดำรงดำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงอิสตันบูล

งานนี้ เกมส์ออฟโทรน หมากแต่ละตา บอกได้เลยว่า แอร์ทูฆรุลอยู่เบื้องหลัง เกมส์ออตโตมันทวงบัลลังก์

ไม่แปลกที่บรรดาอุลามาอ์และองค์กรศาสนาอิสลามทั่วโลกออกมาตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง

ข้อความต่อไปนี้เป็นข้อความที่เกือบสมบูรณ์แบบของวาทะประธานาธิบดีแอร์โดฆาน


เราวางแผนที่จะเปิดอายาโซเฟียเพื่อประกอบศาสนกิจในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ โดยมีการละหมาดวันศุกร์ในวันนั้นและค่าธรรมเนียมแรกเข้าสู่มัสยิดจะถูกยกเลิกหลังจากยกเลิกการเป็นพิพิธภัณฑ์

วันนี้ศาลปกครองสูงสุดล้มคว่ำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 1934 ซึ่งตัดสินใจเปลี่ยนอายาโซเฟียในอิสตันบูลจากมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์

ในความเป็นจริง การตัดสินใจในช่วงระยะเวลาการปกครองของพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในปี 1934 ไม่เพียงแต่เป็นการทรยศต่อประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังผิดกฎหมายอีกด้วย เพราะอายาโซเฟียไม่ได้เป็นทรัพย์สินของรัฐหรือสถาบันใด ๆ มันเป็นทรัพย์สินของการบริจาคของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์

ด้วยคำตัดสินของศาล สถานที่ดังกล่าวก็ได้กลับสู่สถานะมัสยิดอีกครั้ง ใช่ หลังจาก 86 ปี จะกลับไปเป็นมัสยิดตามที่ระบุไว้ในการบริจาคของสุลต่านมูฮัมมัด อัลฟาติห์

กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวตุรกีและประธานฝ่ายศาสนาของประเทศได้เริ่มการเตรียมการที่จำเป็นในกรอบนี้ทันที

ข้อบกพร่องบางอย่างจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด เนื่องจากการเตรียมการบางอย่างจะเกิดขึ้นภายในหกเดือน อินชาอัลลอฮ์ เราจะทำมันให้เสร็จในช่วงเวลานั้น และแน่นอนเราเตรียมการ

ผู้ใดจะมา ก็ขอให้มา ทั้งมุสลิม ไม่ใช่มุสลิมและคริสเตียน เมื่อพวกเขาทั้งหมดมา จะเห็นว่าที่เป็นอยู่ที่นี่ไม่เหมือนกับว่าๆกัน ในทางตรงกันข้ามเราจะนำเสนอตัวอย่างที่ดีที่สุดแก่พวกเขาในการถ่ายโอนมรดกที่เราได้รับจากบรรพบุรุษของเราไปสู่อนาคต

อายาโซเฟียจะยังคงเป็นมรดกของมนุษยชาติโดยทั่วไป จะเปิดประตูต้อนรับชาวมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม รวมถึงมัสยิดทั้งหมดของเรา ที่จะต้อนรับทุกคนต่อไปอย่างจริงใจ เราขอเรียกร้องให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของหน่วยงานตุลาการและฝ่ายบริหารในตุรกี

จุดยืนใด ๆ ที่อยู่นอกเหนือการแสดงความคิดเห็นถือเป็นการละเมิดอธิปไตยของเรา

สิทธิในการดำเนินการกับอายาโซเฟียนั้นเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของตุรกี และเรายอมรับมุมมองระดับนานาชาติในประเด็นนี้ แน่นอนว่าเราเข้าใจความคิดเห็นทั้งหมดที่แสดงในเวทีระหว่างประเทศในเรื่องนี้ ยกเว้นว่าจุดประสงค์ที่จะใช้สถานที่นั้นเกี่ยวข้องกับสิทธิของอธิปไตยของตุรกี ดังนั้น การเปิดให้นมัสการผ่านการแก้ไขกฎหมายเป็นสิทธิอธิปไตยของประเทศของเรา ตุรกีไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ประเทศอื่น ๆ ทำกับสถานที่เคารพสักการะทางศาสนา

ด้วยเหตุนี้ เราจะรอความเข้าใจแบบเดียวกันจากประเทศต่างๆ เกี่ยวกับการสงวนสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์และทางกฎหมายของตุรกี ที่สิทธิเหล่านี้ไม่ย้อนกลับไป 50 ปี หรือ 100 ปี แต่เป็น 567 ปี

และถ้าการถกเถียงในวันนี้มุ่งเน้นไปที่ความเชื่อ ก็ไม่ควรเป็นกรณีอายาโซเฟีย แต่เป็นการต่อต้านศาสนาอิสลามและเกลียดกลัวชาวต่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันทั่วโลก

ข้าพเจ้าขอย้ำว่า การตัดสินใจนั้นเกี่ยวข้องกับกฎหมายภายในและสิทธิทางประวัติศาสตร์ของเราเท่านั้น และขอบคุณทุกคน ทุกพรรคการเมือง ผู้นำทางการเมืองและองค์กรประชาสังคมที่ให้การสนับสนุนการตัดสินใจครั้งนี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตุรกีมีสิทธิ์แปลงอายาโซเฟียเป็นมัสยิดตามข้อกำหนดของเอกสารสัญญาวะกัฟ ดูที่ภาพข้างหลัง จะเห็นเอกสารสัญญาดังกล่าวอย่างชัดเจน มันคือสัญญาวะกัฟของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ สาระของสัญญาเหล่านี้เป็นหลักอ้างอิงของเรา

เราไม่ลืมว่ามีโบสถ์และธรรมศาลามากกว่า 453 แห่งในตุรกี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการรับรู้ของเราว่า เรายอมรับในความแตกต่าง ที่ช่วยให้เรายิ่งพัฒนามากขึ้น

แน่นอนว่า แนวคิดแบบเดียวกันนี้ ซึ่งต่อต้านการฟื้นฟูมัสยิดอายาโซเฟีย อาจมีข้อเสนอให้เปลี่ยนมัสยิดสุลต่านอาหมัดอัญมณีของมัสยิดอิสตันบูลเป็นพิพิธภัณฑ์เช่นกัน ความคิดนี้ในอดีตอยากให้มัสยิดสุลต่านอาหมัดเป็นนิทรรศการภาพถ่าย พระราชวัง ยิลดิซ Yildiz Palace เป็นสถานพนัน และอายาโซเฟียเป็นชมรมดนตรีแจ๊ส และพวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ไปแล้วบางส่วน

มุมมองนี้ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานมาตลอดทุกยุคสมัย ไม่มีอะไรนอกจากการปรากฏตัวของแนวความคิดต่อต้านความเป็นสมัยใหม่ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความทันสมัยที่เรียกว่าสมัยใหม่ และสนับสนุนให้ปิดนครวาติกันและเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ พร้อมเปลี่ยนอายาโซเฟียเป็นพิพิธภัณฑ์ ล้วนเป็นผลงานของตรรกะเดียวกัน

ดังนั้น เราจึงไม่แปลกใจ ถ้าในอนาคตอันใกล้ คนเหล่านี้จะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงกะอ์บะหซึ่งเป็นศาสนาสถานที่เก่าแก่ที่สุดหรือมัสยิดอัลอักซอเป็นพิพิธภัณฑ์เช่นกัน

หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ตุรกีที่สว่างที่สุดคือการพิชิตอิสตันบูล และการเปลี่ยนแปลงอายาโซเฟียไปเป็นมัสยิด หลังจากการปิดล้อมเป็นเวลานาน สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ก็เข้าสู่อิสตันบูล เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1453 และตรงไปที่อายาโซเฟีย จากนั้นชาวไบเซนไทน์ที่ต่างตกอยู่ในความกลัวและความวิตกกังวล รอชะตากรรมของพวกเขาในวิหารอายาโซเฟีย แต่สุลต่านกลับให้การรับรองความปลอดภัยในชีวิตและเสรีภาพของพวกเขา

จากนั้นสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ก็เข้าสู่วิหารอายาโซเฟีย แล้วปักธงเป็นสัญลักษณ์ของการพิชิตในสถานที่ที่มิห์รอบตั้งอยู่ในปัจจุบัน ยิงลูกศรไปยังทิศของโดมแล้วทำการอะซานครั้งแรกภายในวิหาร แล้วย้ายไปที่มุมหนึ่งของวิหาร ลงสุญูดขอบคุณแล้วละหมาด 2 ร็อกอัต ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นการเปลี่ยนวิหารอายาโซเฟียเป็นมัสยิด สุลต่านได้ทำการตรวจสอบไข่มุกแห่งอิสตันบูลอย่างละเอียดจากพื้นถึงเพดาน

นักประวัติศาสตร์ได้รายงานว่า สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ได้ท่องบทกวีสองวรรค ขณะที่เขายืนอยู่หน้าซากปรักหักพังที่เกิดขึ้นกับตัวอาคารอายาโซเฟีย

บทกวีกล่าวว่า “แมงมุมทอผ้าม่านในวังของซีซาร์ และนกฮูกปกป้องดูแลหอคอยอัฟราสิยาบ “

นี่คือสภาพเมืองคอนสแตนติโนเปิ้ลและอายาโซเฟียที่พังพินาศขณะที่สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ เข้าปกครอง

อายาโซเฟียที่สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ รับมา เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 บนซากปรักหักพังของโบสถ์คริสตจักร 2 หลัง ที่ถูกเผาทำลายในช่วงความวุ่นวาย

สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ได้เปิดอายาโซเฟียเพื่อละหมาดวันศุกร์ หลังจากเมืองถูกพิชิตเพียง 3 วัน ด้วยความพยายามอย่างหนัก

ในวันนั้น เมื่อสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ เข้ามาในมัสยิดพร้อมกับทหารและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีการต้อนรับด้วยเสียงตักบีร์และซอลาวาต โดยที่อ๊ากชัมสุดดีน กล่าวคุตบะฮ์และเป็นอิหม่ามละหมาดวันศุกร์ในวันนั้น

และเมื่อสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ พิชิตคอนสแตนติโนเปิ้ล ก็ได้รับฉายาเป็น “จักรพรรดิโรมัน” และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จดทะเบียนในนามของราชวงศ์ไบแซนไทน์ และตามกฎนี้ อายาโซเฟียก็จดทะเบียนในนามของมุฮัมมัด อัลฟาติห์และในนามหน่วยทรัพย์วะกัฟที่สุลต่านตั้งขึ้น

และในยุคสาธารณรัฐ ได้มีการออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่หน่วยวะกัฟนี้อย่างเป็นทางการในภาษาตุรกีปัจจุบัน เพื่อจดทะเบียนสถานะทางกฎหมาย

ถ้ามัสยิดอายาโซเฟียไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ก็จะไม่มีสิทธิ์ที่จะอุทิศสถานที่แห่งนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ กล่าวไว้ในเอกสารวะกัฟกว่า 100 หน้า ลงวันที่ 1 มิถุนายน 1453 ต่อไปนี้

“บุคคลใดที่เปลี่ยนแปลงองค์กรทรัพย์วะกัฟนี้ที่ได้เปลี่ยนอายาโซเฟียเป็นมัสยิด หรือเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดข้อหนึ่งข้อใด หรือยกเลิกหรือแก้ไข หรือแม้กระทั่งพยายามที่จะหยุดผลของการวะกัฟเกี่ยวกับมัสยิด ด้วยการคัดค้านหรือทุจริต หรือการตีความที่ผิดวิธี หรือเปลี่ยนต้นหลัก และขัดขวางการใช้ผลประโยชน์ หรือช่วยเหลือและชี้นำผู้ที่ทำเช่นนั้น หรือมีส่วนร่วมกับผู้ที่กระทำการดังกล่าวอย่างผิดกฎหมาย หรือทำให้อายาโซเฟียพ้นสภาพจากการเป็นมัสยิด หรือเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นผู้ปกครองดูแลผ่านวิธีการเท็จ หรือยึดครองเป็นกรรมสิทธิ์โดยทุจริต ข้าพเจ้าขอพูดกับทุกท่านว่า เขาได้กระทำสิ่งต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและกระทำบาป

ผู้ใดก็ตามที่เปลี่ยนแปลงวะกัฟนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือกลุ่มคน เขาจะต้องถูกสาปแช่งจากพระเจ้า ศาสนทูต มะลาอิกะฮ์ ผู้ปกครอง และชาวมุสลิมทุกคนตลอดไป

และเราขอให้พระเจ้าไม่ลดหย่อนการทรมาน และไม่มองใบหน้าของพวกเขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ

ใครก็ตามที่ได้ฟังคำพูดเหล่านี้ และยังดำเนินการเปลี่ยนแปลง ความผิดของเขาจะตกแก่ผู้อนุญาตให้เปลี่ยนแปลง และพวกเขาทั้งหมดจะได้รับการทรมานจากพระเจ้า และอัลลอฮ์ทรงได้ยินและทรงรู้ “

ใช่ สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ กล่าวไว้เช่นนั้น และด้วยการตัดสินใจของเราในวันนี้ เราจะรอดพ้นจากโทษฑัณฑ์ของดุอาอ์เหล่านั้น

สุลต่านได้เข้ามาปกป้องและพัฒนาคริสตจักรออร์โธด็อกซ์ซึ่งถูกอัปเปหิจากนิกายคริสเตียนอื่น ๆ

ภายในอาณาบริเวณโดมของมหาวิหารและรั้วกำแพงแห่งนี้ นับตั้งแต่วันนั้น และตลอดระยะเวลา 481 ปี เป็นที่อะซาน การซอลาวาต การตักบีร ดุอาอ์ พิธีคอตัมอัลกุรอาน และการเฉลิมฉลองเมาลิดินนบี

ด้วยการพิชิตครั้งนั้น อิสตันบูลที่มีอายาโซเฟียเป็นสัญลักษณ์ ได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากทรุดโทรมมานานหลายศตวรรษจากแผ่นดินไหว ไฟไหม้ การลักขโมยและการปล่อยปละละเลย

ในฐานะของสุลต่าน มุฮัมมัด อัลฟาติห์ จึงพยายามเพิ่มความสวยงามให้กับอิสตันบูล และวิหารอายาโซเฟียซึ่งเป็นที่รู้จักมานานในฐานะ “มัสยิดแห่งเมืองใหญ่” หลังจากการเพิ่มเติมรอบนอก และได้กลายเป็นมัสยิดที่ให้บริการแก่ผู้ศรัทธาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

อายาโซเฟียผ่านการบูรณะมานับครั้งไม่ถ้วน กว่าจะสวยงามอลังการและเป็นที่ประทับใจของตุรกีในวันนี้

และแม้กระทั่งชื่อของมัน ซึ่งหมายถึง “ปัญญาของพระเจ้า” ก็ยังคงไว้เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า บรรพบุรุษของเราไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนวิหารนี้เป็นมัสยิด หลังจากตกอยู่กับใครซากปรักหักพังและทรุดโทรมในรัฐที่กำลังล่มสลาย พร้อมการฟื้นฟูและยกสถานะ

เป็นที่น่าสังเกตว่าอายาโซเฟียมีสถานะพิเศษในหัวใจของชาวตุรกีตลอดมาทุกยุคสมัย และในใจเรามีความรักเป็นพิเศษสำหรับอายาโซเฟียตั้งแต่เรายังเด็ก

เรามั่นใจว่า เราได้ให้บริการที่ดีต่อคนของเรา โดยการเปิดประตูของอาคารทางวัฒนธรรมแห่งนี้เพื่อการปฏิบัติศาสนกิจและคืนสถานะเดิม

การพิชิตอิสตันบูลนั้นเป็นญิฮาดเล็กๆ สำหรับผู้คน แต่การทำนุบำรุงให้มีชีวิตชีวาต่างหากที่เป็นหนึ่งในญิฮาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เมื่ออายาโซเฟียถูกสร้างขึ้นในยุคของกรุงโรมตะวันออก วัสดุก่อสร้างถูกนำมาจากเขตชานเมืองของจักรวรรดิ จากอียิปต์ถึงอิซเมียร์ และจากซีเรียไปจนถึง Palexir

สำหรับสุลต่านหลังจากการพิชิต พวกเขานำผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะมาจากอนาโตเลียและรูมิลลี (ดินแดนยุโรปในจักรวรรดิออตโตมัน) มาที่อิสตันบูลเพื่อบูรณะและเสริมสร้างอายาโซเฟียขึ้นมาอีกครั้ง

และสุลต่านออตโตมันก็ใช้ประโยชน์จากมรดกทางวัฒนธรรมที่พวกเขาได้สืบทอดมา

ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้คือการที่มุฮัมมัด อัลฟาติห์ อนุรักษ์โมเสคของภายในอายาโซเฟียเป็นอย่างดี

โมเสคนี้ยังคงเหมือนเดิมตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากนั้นถูกปกคลุมเพื่อปกป้องจากปัจจัยภายนอก และการกระทำนี้สอดคล้องกับสาระสำคัญของศาสนาอิสลามและสิ่งที่ศาสดาแนะนำ เมื่อท่านขอให้ชาวมุสลิมไม่โจมตีและการก่อวินาศกรรมเมื่อเผยแผ่ศาสนา

เมื่อท่านอุมัร์ บินคอตต๊อบ เข้ากรุงเยรูซาเล็ม ท่านรับรองสิทธิของคริสเตียนและชาวยิว และปกป้องสถานที่นมัสการของพวกเขา และตามวิถีทางของรัฐที่บรรพบุรุษก่อตั้งขึ้น ผู้นำของจักรวรรดิออตโตมันได้ดำเนินรอยตามรูปแบบการพิชิตที่สืบทอดมรดกมา

ดังนั้น อายาโซเฟียที่มาถึงทุกวันนี้ หลังจากเวลาผ่านไป 481 ปีแล้ว ยังคงรักษามิห์รอบ แท่นมิมบัร หออาซาน เครื่องหมายราชวงศ์ ภาพวาด แกะสลัก เชิงเทียน พรมและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ

ตลอดประวัติศาสตร์ในอิสตันบูล อายาโซเฟียเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด เพื่อพบกับฝูงชนเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ฝูงชนชมความปลื้มปิติในช่วงวันพิเศษเช่น ตารอเวียะห์ ลัยละตุลกอดร์ และงานเลี้ยง ดังนั้นสิทธิของชาวตุรกีต่ออายาโซเฟียไม่น้อยไปกว่าผู้สร้างยุคแรก

ด้วยการพิชิตอิสตันบูล ทำให้เมืองกลายเป็นเมืองแห่งสันติภาพที่ชาวมุสลิม คริสเตียนและยิว ได้อาศัยอยู่อย่างสันติสุข

ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่เราทำเพื่อความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง ความสงบสุข และความถ้อยทีถ้อยอาศัยในทุกที่ที่เราไปพิชิต และวันนี้บริเวณข้างๆ มัสยิดของเราในทุกหนแห่งทั่วประเทศจะมีโบสถ์โบราณของศาสนาต่างๆนับพันแห่ง ตั้งอยู่เคียงข้าง

นอกจากนี้ โบสถ์คริสต์และศาสนสถานตั้งอยู่ในชุมชนที่สมาชิกของพวกเขารวมตัวกัน ขณะนี้มีโบสถ์และศาสนสถาน 435 แห่ง ที่เปิดให้ประกอบศาสนกิจในประเทศของเรา ภาพเช่นนี้เราไม่สามารถหาได้ในภูมิภาคอื่น ๆ เป็นการแสดงออกถึงความเข้าใจของเราที่เห็นความแตกต่าง เป็นความมั่งคั่ง แม้ว่าในฐานะชาติ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้

ในยุโรปตะวันออกและภูมิภาคบอลข่านซึ่งชาวออตโตมานถูกบังคับให้อพยพออกมา ศาสนสถานที่บรรพบุรุษของเราสร้างขึ้นมาหลายศตวรรษคงเหลือเพียงไม่กี่แห่ง

แต่สิ่งไม่ดีเหล่านี้ไม่สามารถเป็นตัวอย่างได้ เราจะรักษาอารยธรรมแห่งการสร้างสรรค์ของเราอย่างแข็งขัน

เป็นที่น่าสังเกตว่ากรณีพิพาทเกี่ยวกับอายาโซเฟียนั้น สามารถย้อนกลับไปถึงหนึ่งศตวรรษ ในช่วงเวลาหลายปีที่ อนาโตเลียและอิสตันบูลถูกยึดครอง ได้มีการหารือกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนอายาโซเฟียให้เป็นโบสถ์ และก้าวย่างแรกที่สะท้อนถึงเจตนาของหน่วยทหารของฝ่ายยึดครอง คือการตั้งฐานทัพพร้อมอุปกรณ์พรั่งพร้อมที่หน้าประตูอายาโซเฟีย

ในเวลานั้นผู้บัญชาการฝรั่งเศสของหน่วยทหารนี้บอกเจ้าหน้าที่ออตโตมันว่าเขาต้องการตั้งฐานทัพขจที่นี่และทหารตุรกีควรออกจากมัสยิดอายาโซเฟีย

แต่เจ้าหน้าที่ชาวออตโตมันในขณะนั้น พันตรีเตาฟีก เบ ซึ่งถูกมอบหมายหน้าที่ให้ปกป้องอายาโซเฟีย พร้อมกับทหารของเขา พวกเขาบอกกับทหารฝรั่งเศสว่า“ คุณไม่สามารถเข้ามาที่นี่และคุณจะไม่มีวันเข้าไปได้ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นศาสนสถานของเรา และถ้าคุณพยายาม อาวุธหนักเหล่านี้จะให้การตอบสนองครั้งแรก จากนั้นการตอบสนองครั้งที่สองจะมาถึงคุณจากมุมต่าง ๆ ของมัสยิด และหากคุณต้องการเห็นการล่มสลายของอายาโซเฟียบนหัวของคุณก็ลองเข้ามา”

เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวต่างชาติมีความสนใจในอายาโซเฟียอย่างต่อเนื่องในหลายปีต่อมา ด้วยเหตุผลข้อแก้ตัวต่าง ๆ เช่น งานฟื้นฟูโมเสก

ในช่วงเวลาของรัฐบาลพรรคเดียว (ในตอนต้นของการก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี) รัฐบาลได้กำหนดพระราชกฤษฎีกา ให้ระยะทางระหว่างมัสยิดอย่างน้อย 500 เมตร เพื่อปิดมัสยิดอายาโซเฟียมิให้มีการปฏิบัติศาสนกิจอีกต่อไป

หลังจากนั้นไม่นานในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1935 ได้มีการประกาศว่าสถานที่แห่งนี้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้ผู้เยี่ยมชม

ในช่วงหลายปีที่อายาโซเฟียถูกปิดมิให้ปฏิบัติศาสนกิจ มัสยิดถูกเบียดเบียนอย่างหนัก พวกเขาทำลายโรงเรียนอายาโซเฟียซึ่งเป็นโรงเรียนที่สร้างโดยสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ข้างอาคารอายาโซเฟีย เป็นสถานศึกษาที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยออตโตมันแห่งแรก โดยไม่มีเหตุผลใดๆ แล้วพวกเขาก็ตัดพรมที่หายากที่ตกแต่งบนพื้นแล้วแจกจ่ายไปทั่วๆกัน และพวกเขายังนำแท่งเทียนโบราณไปทำลายในที่หลอมละลาย

เช่นเดียวกัน ภาพเขียนที่ยังคงอยู่ในสถานที่ปัจจุบัน ในตอนแรกภาพเหล่านั้นถูกวางไว้ในโกดังเพราะพวกเขาไม่สามารถพาออกไปจากประตู เพราะภาพมีขนาดใหญ่ และก็ถูกนำมาวางอีกครั้งในภายหลังในยุคของพรรคประชาธิปไตย

การทำลายล้างอายาโซเฟียยังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นี้ สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการให้อะไรที่เกี่ยวกับอายาโซเฟียเมื่อมันเป็นมัสยิด ใพวกเขาเกือบจะทำลายแม้แต่หออะซาน เพราะหออะซานเล็กของอายาโซเฟียที่สร้างขึ้นในช่วงรัชสมัยของสุลต่านบายาซีด ที่ 2 ถูกทำลายในชั่วข้ามคืนโดยไม่มีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายใด ๆ มารองรับ

ดังนั้น เมื่ออิบราฮิม ฮัคกี้ คอนยาลี นักประวัติศาสตร์ นักข่าว และนักดนตรี เห็นว่า คิวต่อไปต้องเป็นมัสยิดอายาโซเฟียแน่ เขาจึงตีพิมพ์รายงานทันทีว่า หออะซานเหล่านี้เป็นสิ่งสนับสนุนโดมของมัสยิด และถ้าหออะซานถูกทำลาย จากนั้นมัสยิดอายาโซเฟียก็จะถูกทำลายตาม และหลังจากนั้นพวกเขาก็ยกเลิกโครงการทำลายหออะซาน

ในช่วงเวลาดังกล่าว มัสยิดและโรงเรียนหลายแห่งประสบภัยพิบัติในลักษณะเดียวกัน

การคืนสภาพมัสยิดอายาโซเฟีย ถือเป็นการฟื้นคืนชีพครั้งใหม่ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในสถานที่นี้นับตั้งแต่วันก่อตั้งในอดีต

การฟื้นคืนมัสยิดอายาโซเฟียเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอิสรภาพของมัสยิดอัลอักศอ มันเป็นเสมือนเสียงเท้าของชาวมุสลิมทั่วโลกในการย่ำเดินออกจากยุคของความโดดเดี่ยวเดียวดาย และการฟื้นฟูครั้งนี้ยังเป็นความหวังครั้งใหม่สำหรับผู้ถูกกดขี่ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ผู้ถูกสังหารและการล่าอาณานิคมทั่วโลก

และเช่นเดียวกัน การฟื้นฟูอายาโซเฟีย ยังมีความหมายว่า เราในฐานะชาวตุรกี ชาวมุสลิม และมนุษยชาติทั้งมวล เรามีสิ่งที่จะบอกกับโลกว่า เรามีประวัติศาสตร์ของเราเอง ตั้งแต่สมรภูมิบัดร์ ยสมรภูมิมาลาซการ์ Battle of Malazir(ค.ศ.1701) สมรภูมินิโคโปลิส Battle of Nicopolis ( ค.ศ.1396 )ไปจนสมรภูมิแกลิโปลี (ค.ศ.1915) เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะแบกรับมรดกของผู้สละชีพและนักรบของเรา ในอดีตที่ผ่านมา แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของเราก็ตาม

การฟื้นคืนชีพให้มัสยิดอายาโซเฟีย ไม่มีความหมายอื่นใดนอกจากเป็นการทักทายจากศูนย์กลางไปยังทุกเมืองที่เป็นสัญลักษณ์อารยธรรมของเรา ตั้งแต่เมืองบุคคอรอ(อุซเบกิสสถาน) ไปจนถึงแอนดาลุสเซีย การฟื้นฟูครั้งนี้เป็นภาระหน้าที่ที่จำเป็นสำหรับเราที่มีต่อสุลต่านอาลับ อัรสะลาน (สุลต่านเซลจู๊ก) ถึงสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ และสุลต่านอับดุลหะมีด ข่าน

นอกจากนี้ การฟื้นฟูอายาโซเฟียในครั้งนี้ ยังเป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาอีกครั้งของอาทิตย์อุทัยแห่งอารยธรรมของเราที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม มโนธรรม จริยธรรม เอกภาพ และภราดรภาพ เป็นอารยธรรมที่ความปรารถนาของมวลมนุษยชาติตั้งตารอ และเป็นการทำลายโซ่ตรวนที่ล่ามตรึงอยู่ที่ประตูของวิหารนี้ และผูกล่ามหัวใจและข้อเท้าของมวลมนุษย์ชาติเอาไว้

การที่อายาโซเฟียซึ่งเป็นภารกิจที่สุลต่านอัลฟาติห์ฝากให้เราดูแล ได้กลับกลายเป็นมัสยิดอีกครั้งหลังจาก 86 ปี ไม่มีความหมายใด นอกจากเป็นการลุกขึ้นสู้ครั้งใหม่ และเป็นการตอบโต้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการโจมตีที่เลวทรามต่ำช้าต่อคุณค่าอัตลักษณ์ของเราทั่วโลกอิสลาม

ตุรกีในทุกขั้นตอนที่ได้ดำเนินการในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีความกระตือรือร้นที่จะเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ ในทุกเวลาและทุกสถานที่

ในการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์ที่เราต่อสู้ในฐานะชาติ เราสร้างสะพานจากอดีตสู่อนาคตที่รวบรวมมนุษยชาติทั้งหมด เพื่ออนาคตที่สดใสของอารยธรรมที่เราเป็นตัวแทน

เรามุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามเส้นทางอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ด้วยการเสียสละอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง หากพระเจ้าประสงค์ โดยไม่หยุดและไม่รู้เหนื่อยจนกว่าจะไปถึงเป้าหมาย

มัสยิดอายาโซเฟียมีสถานะพิเศษในหมู่นักเขียนและกวี นักการทูตและกวีชาวตุรกี Yahya Kemal Beyatli เขียนบทความ ในปี 1922 ว่า

“รัฐนี้มีรากฐานทางศีลธรรมสอง ประการแรกคือการเรียกร้องให้ละหมาดจากหออะซานอายาโซเฟียที่ยังคงได้ยิน

และประการที่สองคือการอ่านอัลกุรอานต่อหน้าผ้าคลุมอันทรงเกียรติ (ผ้าคลุมของพระศาสดาที่วังโตบกาปี ในอิสตันบูล) ที่ยังคงเปล่งประกาย”

ในทำนองเดียวกันกวีและศิลปินตุรกีจำนวนมากได้เขียนประเด็นการห้ามละหมาดในอายาโซเฟีย

บทกวีที่เขียนโดยนักเขียนชาวตุรกี หรือนักร้องเพลงผู้ที่ถือเอาอายาโซเฟียเป็นเครื่องหมายสำหรับการพิชิตอิสตันบูล เช่น นาจิบ ฟาดิล กัสสาคุรก์ Naguib Fadel Kassakurk นักเขียนชาวตุรกี กวีและนักคิด ที่กล่าวว่า

“ผู้ที่หวาดกลัวว่าเติร์กจะยังคงอยู่ในดินแดนนี้ได้หรือไม่ เป็นคนเดียวกันที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเปิดอายาโซเฟียเพื่อประกอบศาสนกิจอีกครั้ง”

และจากบทกวีของนาซีม หิกมัต Nazim Hekmat เมื่อร้องลำนำเกี่ยวกับการพิชิตอิสตันบูล ว่า

“วันยิ่งใหญ่ที่เฝ้ารอของอิสลาม อิสตันบูลเติร์กหลังจากเป็นคอนสแตนติโนเปิ้ลแห่งโรม พิชิตอิสตันบูลในแปดสัปดาห์กับสามวัน สุลต่านแห่งเติร์กขี่ม้าป่า เป็นจอมทัพผู้ท้าทายโลกเข้ามาทางประตูอะเดรนา คือผู้รับใช้ที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า สุลต่านผู้พิชิตเมืองดี พระเจ้ามอบพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้แก่เรา เมื่อเขาได้ละหมาดตอนบ่ายในฮาเกียโซเฟีย”

ยิ่งไปกว่านั้น นิฮาน อาซีซ นักประวัติศาสตร์และกวีชาวตุรกี ถูกถามว่า “ถ้าคุณมาที่โลกอีกครั้ง คุณต้องการเป็นอะไร?” เขาตอบว่า “ฉันต้องการเป็นอิหม่ามของอายาโซเฟีย”

คอลีล ไอนาลิเจก นักประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศชาวตุรกี กล่าวว่า “ตะวันตกไม่เคยลืมการพิชิตอิสตันบูลหรืออายาโซเฟีย” หมายความว่า ประเด็นของอายาโซเฟียและการพิชิตอิสตันบูลเป็นประเด็นทางการเมืองมากกว่า

ในเรื่องนี้นักเขียนนวนิยายชาวตุรกีบายามิก็พูดว่า “การเปลี่ยนมัสยิดอายาโซเฟียเป็นพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้บ่อนทำลายแรงบันดาลใจของคริสเตียนที่มีต่อเมืองอิสตันบูล ในทางตรงกันข้ามกลับเพิ่มความกล้าหาญและความกระตือรือร้น”

อุสมาน ยูกเซล ซัรเดงเจต Osman Yuxel Sardengchet นักเขียนชาวตุรกี กล่าวถึงบทความที่เป็นเหตุให้ถูกพิพากษาประหารชีวิต ในหัวข้อ “อายาโซเฟีย Hagia Sophia”

เขากล่าวว่า
“โอ้ มหาวิหารอายาโซเฟีย ไม่ต้องกังวลลูกหลานของผู้พิชิตจะทำลายเจว็ดทั้งหลายแหล่ พวกเขาจะเปลี่ยนท่านกลับไปเป็นมัสยิดอีกครั้ง พวกเขาจะใช้น้ำตาทำน้ำละหมาด พวกเขาจะก้มกราบระหว่างฝากำแพงของท่าน เสียงตะห์ลีลและตักบีร์จากโดมเสาจะกู่ก้องให้ได้ยินอีกคำรบ และจะเป็นการพิชิตครั้งที่สอง เหล่ากวีจะเขียนเกี่ยวกับมหากาพย์นี้ เสียงอะซานจะดังขึ้นอีกครั้ง รวมถึงเสียงตักบีร์จากหออะซานที่เงียบเหงาน่าสงสารเหล่านั้น ระเบียงของหออะซานของท่านจะเรืองรองด้วยแสงไฟในการแสดงความเคารพต่อพระเจ้าและเกียรติยศของศาสดา จนกระทั่งผู้คนตกอยู่ในความฉงนสนเท่ห์ว่า อัลฟาติห์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้งหรือไฉน ทุกสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น โอ้ อายาโซเฟีย และการพิชิตครั้งที่สองจะเป็นการฟื้นคืนชีพหลังจากความตาย นี่คือสิ่งแน่นอนไม่ต้องกังวล และวันเหล่านี้ใกล้เข้ามา บางทีพรุ่งนี้หรือบางทีอาจจะเร็วกว่า “

ขอบคุณอัลลอฮ์ที่เรามาถึงวันที่กวีผู้นี้ได้รำพึงรำพันไว้ในอดีต
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าบทกวีที่ดีที่สุดที่เขียนเกี่ยวกับอายาโซเฟีย มีไว้สำหรับนิฮาล อาเซีย กวีชาวตุรกึ

ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีกับทุกคนอีกครั้งในการพิจารณาคดีครั้งนี้ ซึ่งทำให้อายาโซเฟียเปลี่ยนมาเป็นมัสยิดอีกครั้ง และข้าพเจ้าขอย้ำว่า เราจะเปิดมัสยิดเพื่อนมัสการพร้อมกับรักษามรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติไปพร้อมๆกัน

ดูคลิปต้นฉบับ

อ่านต้นฉบับภาษาอาหรับ

https://www.trtarabi.com/now/%D8%A7%D9%84%D9%86%D8%B5-%D8%A7%D9%84%D9%83%D8%A7%D9%85%D9%84-%D9%84%D8%AE%D8%B7%D8%A7%D8%A8-%D8%A3%D8%B1%D8%AF%D9%88%D8%BA%D8%A7%D9%86-%D8%A7%D9%84%D8%AA%D8%A7%D8%B1%D9%8A%D8%AE%D9%8A-%D9%84%D9%84%D8%A3%D9%85%D8%A9-%D8%AD%D9%88%D9%84-%D8%A2%D9%8A%D8%A7-%D8%B5%D9%88%D9%81%D9%8A%D8%A7-27221


แปลโดย Ghazali Benmad

คุตบะฮ์เสียงเพรียกจากอายาโซเฟีย คำต่อคำ

24 กรกฎาคม 2020 ศ.ดร.อาลี อัรบัช ประมุขฝ่ายศาสนาของตุรกี คุตบะฮ์ครั้งแรกที่มัสยิดอายาโซเฟีย เมื่อวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2020 โดยมีผู้คน ราว 350,000 คน เข้าร่วมเป็นประจักษ์พยานและร่วมพิธีละหมาดวันศุกร์ครั้งประวัติศาสตร์นี้

ในนามแห่งอัลลอฮ์ผู้กรุณาปรานี
‎اِنَّمَا يَعْمُرُ مَسَاجِدَ اللّٰهِ مَنْ اٰمَنَ بِاللّٰهِ وَالْيَوْمِ الْاٰخِرِ وَاَقَامَ الصَّلٰوةَ وَاٰتَى الزَّكٰوةَ وَلَمْ يَخْشَ اِلَّا اللّٰهَ فَعَسٰٓى اُو۬لٰٓئِكَ اَنْ يَكُونُوا مِنَ الْمُهْتَد۪ينَ.
“แท้จริง ผู้ที่จะทำนุบำรุงบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์นั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และเขามิได้ยำเกรงผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้น ชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้รับคำแนะนำ”

ท่านศาสนทูต صلى الله عليه وسلم กล่าวว่า
‎لَتُفْتَحَنَّ الْقُسْطَنْطِينِيَّةُ فَلَنِعْمَ الْأَمِيرُ أَمِيرُهَا وَلَنِعْمَ الْجَيْشُ ذَلِكَ الْجَيْشُ.
“คอนสแตนติโนเปิลจะถูกเปิด ผู้นำผู้นั้นเป็นสุดยอดผู้นำ และกองทัพนั้นเป็นสุดยอดกองทัพ”

อายาโซเฟียสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และของฝากของสุลต่านมูฮัมหมัด อัลฟาติห์ ให้มุสลิมดูแลรักษา

มวลมุสลิมทั้งหลาย
สันติสวัสดีจากอัลลอฮ์ ตลอดจนการดูแลของพระองค์ และบารอกะฮ์จงมีแด่ท่านทั้งหลาย

ในห้วงเวลาอันประเสริฐ ในสถานที่อันประเสริฐวันนี้ พร้อมๆกับวันอีดิลอัฎฮาที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ในวันที่ 3 ซุลฮิจญะฮ์ มัสยิดอายาโซเฟียได้พบหน้ากับผู้ละหมาดอีกครั้ง และเป็นวันที่แผลบาดลึกได้หายขาด ความโศกเศร้าเสียใจของชาวตุรกีได้สิ้นสุดลง

ขอขอบคุณต่ออัลลอฮ์อย่างที่สุด
วันนี้โดมทั้งหลายของอายาโซเฟีย กึกก้องไปด้วยเสียงตักบีร์ ตะห์ลีล และซอลาวาต เสียงอาซานและซิกิรดังก้องจากหออะซาน นี่คือความกระตือรือร้นและความปรารถนาของลูกหลานของสุลต่านอัลฟาติห์ได้สำเร็จลงแล้ว ความเงียบงันของศาสนสถานแห่งนี้สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน วันนี้ มัสยิดอายาโซเฟียได้พบกับผู้มาละหมาดแล้ว

วันนี้คล้ายคลึงกับเมื่อ 70 ปีที่แล้ว เมื่อ 16 มุอัซซิน (ผู้อะซาน) ของ 16 หออะซาน ณ มัสยิดสุลต่านอะหมัด ( ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับอายาโซเฟีย ) ได้ดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ต้องหยุดไป 18 ปี

วันนี้ เป็นวันที่ชาวมุสลิมยืนละหมาดด้วยน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปิติยินดี ด้วยความนอบน้อมและความซาบซึ้ง สูยูดด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อองค์อภิบาล

มวลการสรรเสริญและการขอบคุณ เป็นสิทธิของอัลลอฮ์ ที่ทำให้เราได้มารวมตัวกันในวันนี้

พรและสันติสุข จงมีแด่ท่านศาสนทูตมุฮัมมัด صلى الله عليه وسلم ผู้กล่าวว่า
‎لَتُفْتَحَنَّ الْقُسْطَنْطِينِيَّةُ فَلَنِعْمَ الْأَمِيرُ أَمِيرُهَا وَلَنِعْمَ الْجَيْشُ ذَلِكَ الْجَيْشُ.
“คอนสแตนติโนเปิลจะถูกเปิด ผู้นำผู้นั้นเป็นสุดยอดผู้นำ และกองทัพนั้นเป็นสุดยอดกองทัพ”

สันติสุขจงบังเกิดแก่ซอฮาบะฮ์ผู้ทรงเกียรติ ผู้ออกไปในวิถีแห่งอัลลอฮ์ เพื่อเสาะแสวงวาจาสิทธิ์ดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอบูอัยยูบ อัลอันซอรี ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้สถาปนาทางจิตวิญญาณแห่งอิสตันบูล ตลอดจนบรรดาผู้เจริญรอยตามพวกเขาเหล่านั้น และบรรดาชะฮีดและนักรบของเรา ผู้ทำให้อานาโตเลียเป็นแดนดินถิ่นอาศัยสำหรับเรา และพิทักษ์ปกป้องอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเสมอมา

สันติสุขจงบังเกิดแก่ อ๊าก ชัมซุดดีน ผู้ทรงวิชาและภูมิปัญญา ที่ได้สลักความรักความปรารถนาที่จะพิชิตอายาโซเฟียในหัวใจของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ และได้เป็นอิหม่ามนำละหมาดในมัสยิดอายาโซเฟียครั้งแรก ในวันที่ 1 มิถุนายน 1453

‎فَاِذَا عَزَمْتَ فَتَوَكَّلْ عَلَى اللّٰهِۜ اِنَّ اللّٰهَ يُحِبُّ الْمُتَوَكِّل۪ينَ
“เมื่อท่านได้ตัดสินใจแล้ว ก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮ์เถิด เพราะความจริงอัลลอฮ์รักบรรดาผู้มอบหมายต่อพระองค์”

สันติสุขจงบังเกิดแก่ผู้นำหนุ่ม สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ ผู้สร้างเทคโนโลยีระดับแนวหน้าในยุคนั้น ผู้สร้างเรือบก ที่ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ ทำให้สามารถพิชิตอิสตันบูลได้ และผู้ไม่ยอมให้เมืองนี้เสียหายแม้เพียงหินก้อนก็ห้ามมิให้ทุบทำลาย

สันติสุขจงบังเกิดแก่สินาน นายช่างใหญ่และสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ ที่ได้สร้างหออาซานประดับมัสยิดอายาโซเฟีย ที่ยังคงตระหง่านตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษของท่าน

สันติสุขจงบังเกิดแก่พี่น้องผู้ร่วมศรัทธาจากทุกแดนดิน และผู้ที่อดทนรอเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดมัสยิดอายาโซเฟียเพื่อประกอบศาสนกิจอีกคำรบหนึ่ง

สันติสุขพึงบังเกิดแก่บรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ที่ได้อุทิศชีวิตเพื่อสัจธรรม ศีลธรรมจรรยา ธำรงความยุติธรรมในแผ่นดิน ตลอดจนความดีงามและมนุษยธรรม

สันติสุขพึงบังเกิดแก่บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศของเรา รวมถึงผู้นำทางความรู้ วิชาการและภูมิปัญญา และความดีงาม ตลอดจนผู้ที่ทุ่มเทความพยายามด้วยความอดทน ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งวันนี้ เพื่อให้ของฝากอันมีค่านี้ได้รองรับผู้ละหมาดอีกครั้ง

สันติสุขจงบังเกิดแก่ประชาชนชาวตุรกี ที่มีวิชาความรู้และปัญญา ที่ได้ปลูกความหวังและความอดทน ตลอดจนบรรดาเพื่อนๆผู้ทรงวิชาและความดีงามทั้งหลาย ขอให้ได้รับความเมตตาปรานีจากองค์อภิบาลโดยทั่วกัน

กวีรจนาไว้ว่า
“อายาโซเฟียคือวิญญาณ และทิพยสถานพิเศษสำหรับเรา”
และว่า
“อายาโซเฟียจะต้องเปิดแน่นอน โอ้คนหนุ่มสาว จงรอ รอความเมตตาที่จะลงมา หลังจากฝนห่าใหญ่ จะต้องมีน้ำไหลบ่า ฉันขอเป็นเศษหญ้าบนธารน้ำนั้น ฉันไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านั้น อายาโซเฟียจะต้องเปิด ดุจดั่งทิพย์คัมภีร์ที่ไม่มีวันปิดได้”

ผู้ศรัทธาที่มีเกียรติทั้งหลาย
ด้วยอายุที่ยาวนานกว่า 15 ศตวรรษ อายาโซเฟียถือเป็นสถานแห่งวิชาการและศาสนพิธีที่มีคุณค่ายิ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ วิหารโบราณแห่งนี้บ่งชี้ถึงสภาพการเคารพสักการะอย่างยอดเยี่ยมต่ออัลลอฮ์ องค์อภิบาลแห่งสากลโลก

อายาโซเฟีย สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ และของฝากของสุลต่านมูฮัมหมัด อัลฟาติห์ ให้มุสลิมดูแลรักษา สุลต่านได้บริจาควะกัฟให้ไว้ เป็นมัสยิดตราบจนวันฟื้นคืนชีพ

ตามหลักความเชื่อของเรา ทรัพย์วะกัฟเป็นสิ่งที่ห้ามล่วงละเมิด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากเจตนาของผู้บริจาคได้ ผู้ใดละเมิดจะถูกสาปแช่ง

ดังนั้น นับตั้งแต่วันที่สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ได้บริจาค สถานที่นี้จะไม่ใช่ทิพยสถานสำหรับชาวตุรกีเท่านั้น แต่เป็นสมบัติของประชาชาติทั้งมวลของท่านนบีมุฮัมมัด صلى الله عليه وسلم

อายาโซเฟีย เป็นสถานที่ที่ประกาศความเมตตาของอิสลามต่อสังคมโลก สุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ กล่าวกับชาวเมืองที่หนีเข้ามาหลบภัยในวิหารอายาโซเฟียภายหลังการพิชิตเพราะกลัวการลงโทษ ว่า “อย่าได้กลัวเลย นับแต่นี้ไปไม่ต้องกลัวว่าจะมีการละเมิดเสรีภาพและชีวิตของพวกท่าน ไม่มีใครถูกปล้นชิง ไม่มีใครเบียดเบียนใคร ไม่มีใครถูกลงโทษเพราะความเชื่อทางศาสนา”

ด้วยเหตุนี้ อายาโซเฟียจึงเป็นสัญลักษณ์ของการเคารพต่อความศรัทธาในศาสนาและจริยธรรมการใช้ชีวิตที่หลากหลาย

โอ้ศรัทธาชนผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
การเปิดอายาโซเฟียสำหรับการประกอบศาสนกิจ เป็นการแสดงถึงการเป็นทิพยสถานสำหรับมุสลิมในฐานะมัสยิดมานานถึง 500 ปี และเป็นการหวนคืนสู่สถานะเดิม

การเปิดอายาโซเฟียสำหรับการประกอบศาสนกิจ เป็นการย้ำเตือนถึงสถานภาพมัสยิดต่างๆทั่วโลก ที่กำลังโศกเศร้าเพราะการถูกกดขี่บีฑา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัสยิดอักซอ ที่ความหวังยังคงมั่นไม่สั่นคลอน

การเปิดอายาโซเฟียสำหรับการประกอบศาสนกิจ ถือเป็นการสืบทอดอารธรรมของเราที่มีหลักศรัทธาต่ออัลลอฮ์เป็นรากฐาน มีวิทยาการเป็นก้อนอิฐ มีจริยธรรมจรรยาเป็นพื้นปู สู่ความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ต่อไป

มวลมุสลิมผู้ทรงเกียรติ
อารยธรรมของเรามีมัสยิดเป็นแกนกลาง มัสยิดคือแหล่งกำเนิดของความสามัคคี ความรุ่งเรือง วิทยาการและวิชาความรู้ของเรา

อัลลอฮ์กล่าวถึงผู้มีสิทธิทำนุบำรุงมัสยิดว่า
‎”اِنَّمَا يَعْمُرُ مَسَاجِدَ اللّٰهِ مَنْ اٰمَنَ بِاللّٰهِ وَالْيَوْمِ الْاٰخِرِ وَاَقَامَ الصَّلٰوةَ وَاٰتَى الزَّكٰوةَ وَلَمْ يَخْشَ اِلَّا اللّٰهَ فَعَسٰٓى اُو۬لٰٓئِكَ اَنْ يَكُونُوا مِنَ الْمُهْتَد۪ينَ”
“แท้จริง ผู้ที่จะทำนุบำรุงบรรดามัสยิดของอัลลอฮ์นั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และชำระซะกาต และเขามิได้ยำเกรงผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น ดังนั้น ชนเหล่านี้แหละจะเป็นผู้ที่อยู่ในหมู่ผู้รับคำแนะนำ”

พี่น้องทั้งหลาย
จะมีอะไรที่น่าเศร้าเสียใจมากไปกว่ามัสยิดที่หออาซานที่ไร้สรรพเสียง แท่น มิมบัรที่วังเวง ลานมัสยิดที่เงียบเหงา ไร้ผู้คน

วันนี้ มุสลิมในประเทศต่างๆทั่วโลกยังคงถูกย่ำยีอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากมัสยิดที่ถูกละเมิด บ้างถูกปิดตาย บ้างถูกระเบิดทำลายทิ้ง มุสลิมหลายล้านคนถูกย่ำยี

ณ ที่นี่ ข้าพเจ้าต้องการแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ยอดเยี่ยมของสุลต่านมุฮัมมัด อัลฟาติห์ที่ได้ปฏิบัติต่ออายาโซเฟีย และขอเรียกร้องให้หยุดวาทกรรม การกระทำ และการประทุษร้ายต่ออิสลาม

พี่น้องทั้งหลาย
ในฐานะผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ที่ทราบถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่และภาระอันบริสุทธิ์ที่มีต่ออายาโซเฟีย หน้าที่ที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราในวันนี้คือการเผยแพร่เมตตาธรรม ความเห็นอกเห็นใจ สันติภาพ ความสงบสุขและความดีงามไปให้ทั่วหล้า เพราะรากเดิมของอิสลามคือสันติภาพ และความรอดพ้น

นี่เป็นเหตุผลของการส่งท่านนบีแห่งความเมตตาและบรรดาศาสนทูตผู้ทรงเกียรติ صلوات الله عليهم أجمعين

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือการทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อให้แน่ใจว่าความเมตตากรุณา ความถูกต้องและความยุติธรรม ได้มีชัยมีอำนาจในโลกนี้

เราต้องเป็นความหวังเพื่อความรอดของมนุษยชาติที่อยู่ในวงจรของปัญหาที่ยิ่งใหญ่ เราจำเป็นต้องรักษาความยุติธรรมในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ล้อมรอบไปด้วยการกดขี่ ความอยุติธรรม น้ำตา และความสิ้นหวัง

เราจำเป็นต้องสดับรับฟังคำเรียกร้องที่ว่า “ มุสลิมเอย ! จงทำความเข้าใจอิสลามในความหมายที่ถูกต้องและสวยงาม จงใช้ชีวิต และเผยแพร่ศาสนา แม้ว่ามีใครก็ตามที่จะมาฆ่าท่าน แต่เขากลับได้รับพบทางรอดเพราะท่าน !

เราเชื่อตามที่อาลีกล่าวไว้ว่า“ ทุกคนเป็นพี่น้องกันในศาสนาของท่าน หรือเท่าเทียมกับท่านในความเป็นมนุษย์ ” เราเชื่อว่าโลกเป็นบ้านของเราที่ใช้ร่วมกัน เราเชื่อว่าสมาชิกทุกคนในบ้านนี้ โดยไม่คำนึงถึงศาสนา เชื้อชาติ สีผิวหรือประเทศ มีสิทธิ์ที่จะอยู่อย่างอิสระ และอย่างมนุษย์ อย่างปลอดภัยในกรอบของค่านิยมสากล และหลักการทางศีลธรรม

ภายใต้โดมแห่งอายาโซเฟีย เราเรียกร้องให้มนุษยชาติทุกคนรักษาความยุติธรรม ความสงบ ความเห็นอกเห็นใจ และความชอบธรรม

เราเรียกร้องให้ปกป้องคุณค่าสากลและหลักการทางศีลธรรมที่ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และทำให้เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเกียรติที่สุด

ในฐานะศาสนิกของศาสนาสุดท้ายและศาสนาที่แท้จริงซึ่งประกาศว่า ชีวิตของแต่ละคน โดยไม่คำนึงถึงเพศและอายุนั้น ไม่สามารถล่วงละเมิดได้ เราขอให้มนุษยชาติให้ความร่วมมือและร่วมมือกันในการปกป้องชีวิต ศาสนา สติปัญญา ทรัพย์สินและเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทุกคน

เพราะในวันนี้ เรามีความจำเป็นยิ่งกว่าในยุคใดๆ ต่อการบูรณาการหัวใจกับสามัญสำนึกเข้าด้วยกัน บูรณาการระหว่างเหตุผลกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเข้าด้วยกัน สร้างความใกล้ชิดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

ในตอนท้ายของคุตบะฮ์ ข้าพเจ้าเรียกร้องสังคมโลกจากสถานที่อันทรงเกียรตินี้

โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย !

ประตูของมัสยิดอายาโซเฟียจะยังคงเปิดให้แก่บ่าวทุกคนของอัลลอฮ์โดยไม่เลือกปฏิบัติ เหมือนประตูมัสยิดสุไลมานี มัสยิดสะลีมะยะฮ์ มัสยิดสุลต่านอาหมัด และมัสยิดอื่น ๆ ของเรา

การเดินทางสู่ความศรัทธา การนมัสการ ประวัติศาสตร์และการไตร่ตรองในบรรยากาศทางจิตวิญญาณของมัสยิดอายาโซเฟียจะดำเนินต่อไปอย่างไม่ขาดสาย

ขออัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจ โปรดช่วยให้เราสามารถรับใช้มัสยิดอายาโซเฟียที่มีสถานะพิเศษในประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของเรา และคุณค่าพิเศษในหัวใจของเรา ขออัลลอฮโปรดอำนวยให้เราให้เกียรติที่เหมาะสมคู่ควรกับมัสยิดพิเศษเฉกเช่นอายาโซเฟีย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่ทุ่มเทความพยายามเพื่อปกป้องวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของเรา และการนำมัสยิดอายาโซเฟียคืนสู่สถานะเดิม ขอให้อัลลอฮ์รับพวกเขาให้อยู่ในกลุ่มบ่าวผู้ประเสริฐของพระองค์ ที่พระองค์รักและพึงพอใจต่อพวกเขา

■ ต้นฉบับภาษาอาหรับ
https://www.aa.com.tr/ar/%D8%AA%D8%B1%D9%83%D9%8A%D8%A7/%D9%86%D8%B5-%D8%A3%D9%88%D9%84-%D8%AE%D8%B7%D8%A8%D8%A9-%D8%AC%D9%85%D8%B9%D8%A9-%D9%81%D9%8A-%D8%A2%D9%8A%D8%A7-%D8%B5%D9%88%D9%81%D9%8A%D8%A7-%D8%A8%D8%B9%D8%AF-86-%D8%B9%D8%A7%D9%85%D8%A7-%D9%88%D8%AB%D9%8A%D9%82%D8%A9/1921128

■ ต้นฉบับภาษาอังกฤษ
https://www.trtworld.com/magazine/hagia-sophia-friday-prayer-full-transcript-of-the-sermon-38377?fbclid=IwAR0tetlAn58Fs1dYaHffwoirTRanoL5YUAaIHD_F4jqZzp2h-YqcRrJ8nxc


แปลโดย Ghazali Benmad

เล่าเรื่อง “ปาเลสไตน์” ผ่านแผนที่ (1)

ตามที่ได้สัญญาเอาไว้ครับ ผมตั้งใจจะเขียนเล่าเรื่องราวปัญหาปาเลสไตน์โดยอธิบายผ่านแผนที่ ซึ่งสำนักข่าวอัลญะซีเราะฮ์ได้รวบรวมเอาไว้ในบทความที่ใช้ชื่อหัวเรื่องว่า Palestine and Israel: Mapping an Annexation

บทความที่ว่านี้พยายามฉายภาพพัฒนาการของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลค่อย ๆ ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจนดินแดนปาเลสไตน์แทบจะไม่มีเหลือเป็นชิ้นเป็นอัน ล่าสุดคือความพยายามที่จะผนวกดินแดนบางส่วนของเวสต์แบงก์ โดยเฉพาะในหุบเขาจอร์แดน อันเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งนอกเหนือจากกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งอิสราเอลได้ผนวกและประกาศให้เป็นเมืองหลวงของประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันนี้ผมจึงขอเริ่มต้นอธิบายแผนที่อันแรกของบทความดังกล่าว (ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 27 แผนที่) อันเป็นแผนที่ปาเลสไตน์ก่อนปี 1917

ขอเล่าย้อนประวัติศาสตร์สั้น ๆ อย่างนี้ครับ เมื่อราว ๆ ค.ศ. 1915 มีการติดต่อกันทางจดหมายระหว่าง เซอร์ เฮนรี่ เมคมาฮอน (Sir Henry McMahon) ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำอียิปต์ กับ ชารีฟ ฮุสเซน (Sharif Hussein) ผู้ครองแคว้นฮิญาชและเป็นตัวแทนของชาวอาหรับทั้งผอง

เมคมาฮอนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ชาวอาหรับสนับสนุนฝ่ายมหาอำนาจพันธมิตร สู้รบกับฝ่ายมหาอำนาจอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสัญญาจะให้เอกราชแก่ชาวอาหรับในทุก ๆ ดินแดนหลังจากสงครามยุติลง รวมถึงปาเลสไตน์ด้วย ด้วยเหตุนี้ อังกฤษจึงได้ลงนามในข้อตกลงแองโกล-อาหรับในฤดูใบไม้ร่วงปี 1915

คำสัญญาดังกล่าวทำให้ ชารีฟ ฮุสเซน เข้าร่วมรบกับกองทัพฝ่ายพันธมิตร ขณะเดียวกัน ชาวอาหรับจากซีเรีย เลบานอน และปาเลสไตน์ ก็เข้าร่วมลุกฮือขึ้นก่อกบฎต่อต้านอาณาจักรออตโตมานที่ประกาศเข้าร่วมสงครามในนามฝ่ายอักษะ

ชาวอาหรับยินดีต้อนรับกองทัพอังกฤษที่เข้ามาในปาเลสไตน์ เปรียบทหารอังกฤษเหล่านั้นเป็นเสมือนผู้มาปลดปล่อยให้พวกเขามีอิสรภาพหลังจากต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของออตโตมานเติร์กมานานเกือบ 500 ปี

แต่แล้วชาวอาหรับก็ถูกหักหลัง เพราะไม่เพียงแต่อังกฤษจะไม่รักษาคำมั่นสัญญาเท่านั้น แต่ยังไปสนับสนุนองค์กรยิวไซออนิสต์ให้จัดตั้งรัฐยิวขึ้นในปาเลสไตน์ผ่านคำแถลงการณ์บัลโฟร์ (Balfour Declaration) ซึ่งมีชื่อเรียกตามนามของรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษสมัยนั้น คือ เซอร์ อาร์เธอร์ เจมส์ บัลโฟร์ (Sir Arthur James Balfour)

คำแถลงการณ์บัลโฟร์นี้ ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอังกฤษในเดือนตุลาคม 1917 มาถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 103 ปีแล้วครับ

ใจความของคำแถลงการณ์ตอนสำคัญมีความว่า

“รัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพิจารณาด้วยความเห็นชอบ ในการตั้งถิ่นฐานสำหรับพวกยิวขึ้นแห่งหนึ่งในประเทศปาเลสไตน์ และจะใช้ความพยายามจนสุดความสามารถที่จะอำนวยความสะดวกต่อการบรรลุถึงวัตถุประสงค์ข้อนี้ เป็นที่เข้าใจอย่างแจ้งชัดว่า จะไม่มีการปฏิบัติการใด ๆ อันเป็นผลร้ายต่อสิทธิพลเรือนและการนับถือศาสนา ของหมู่ชนที่มิใช่ชาวยิวในประเทศปาเลสไตน์ หรือสิทธิและสถานภาพทางการเมืองที่พวกยิวได้รับในประเทศอื่น”

จากคำประกาศดังกล่าวนี้อังกฤษได้ออกมาตรการต่าง ๆ ขึ้นมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวยิวได้อพยพเข้ามาในแผ่นดินปาเลสไตน์แบบไม่จำกัดจำนวน

ในเวลานั้น ประชากรของประเทศปาเลสไตน์ทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 700,000 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 หรือประมาณ 600,000 คนเป็นชาวอาหรับมุสลิม ส่วนชาวยิวซึ่งเป็นคนท้องถิ่นเดิมมีประชากรอยู่แต่ร้อยละ 6 เท่านั้น (ดูตามแผนที่และข้อมูลข้างใต้บทความนี้)

แต่หลังจากปี 1917 โครงสร้างประชากรในดินแดนปาเลสไตน์ก็เปลี่ยนไปอย่างมากครับ ดูจากแผนที่ข้างใต้นี้ปาเลสไตน์ยังอาศัยอยู่กันเต็มพื้นที่เห็นเป็นสีเขียวจนแทบไม่เห็นประชากรชาวยิวท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยกันอยู่ในพื้นที่สีฟ้า

แล้วค่อยมาว่ากันต่อก็แล้วกันครับ


เขียนโดย Srawoot Aree

ความเป็นมาของอายาโซเฟีย

ความเป็นมาของอายาโซเฟีย : จากมหาวิหารที่สำคัญที่สุดในคริสต์ออโตดอกซ์ของจักรวรรดิโรมันผู้ยึดครอง เป็นมัสยิดอิสลาม สู่พิพิธภัณฑ์ และเป็นมัสยิดอีกครั้งในวันนี้

ศาลปกครองสูงสุดของตุรกี หรือที่เรียกว่า “สภาแห่งรัฐ” ประกาศการฟื้นฟูอายาโซเฟีย หรือฮาเกียโซเฟีย Hagia Sophia จากพิพิธภัณฑ์ไปยังมัสยิด อันเป็นการกลับคำสั่ง 86 ปี ของคณะรัฐมนตรีภายใต้ประธานาธิบดีมุสตาฟา กามาล อาตาเติร์ก

มหาวิหารอายาโซเฟียถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.360 เพื่อเป็นศาสนสถานมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในโลกของคริสตจักรออร์โธดอกซ์มาเกือบพันปี ตามคำสั่งของจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งไบเซนไทน์โรมันตะวันออก เงาทะมึนแห่งอาณาจักรโรมันผู้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามายึดครองดินแดนแถบอาระเบีย และแอฟริกาเหนือในยุคนั้น

ในยุคไบเซนไตน์ นอกจากมหาวิหารอายาโซเฟียจะเป็นศาสนสถานสำคัญแล้ว ยังเป็นสถานประกอบรัฐพิธี เช่น การสถาปนากษัตริย์องค์ใหม่ เป็นต้น

การล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล แห่งไบเซนไตน์โรมันตะวันออก และการเข้าสู่อิสลามได้รับการบอกล่วงหน้าโดยท่านศาสดามูฮัมหมัด (สันติภาพจงมีแด่ท่าน ) กองทัพมุสลิมได้พยายามอย่างต่อเนื่องในทำตามคำพยากรณ์นี้โดยเริ่มจากยุคคอลีฟะฮ์สายสกุลอุมัยยะฮ์ Umayyad Dynasty ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 7

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันวุ่นวาย อายาโซเฟียเคยถูกดัดแปลงเป็นวิหารโรมันคาทอลิคมาเกือบ 60 ปีในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ. 1204

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการปกครองกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ลถูกควบคุมโดยสุลต่านมุฮัมมัดที่สอง หรือมุฮัมมัด ฟาติห์ แห่งออตโตมัน ในปี ค.ศ. 1453 มหาวิหารฮาเกียโซเฟียถูกดัดแปลงให้เป็นสุเหร่าใหญ่ในเมืองหลวงใหม่ของอาณาจักรออตโตมัน ที่เปลี่ยนชื่อเมืองจาก “กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล” สู่ “กรุงอิสตันบูล”

ผลพวงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

หลังการล่มสลายของออตโตมัน ในปี ค.ศ.1923 กามาล อะตาเติร์ก ได้สถาปนาสาธารณรัฐตุรกี เป็นรัฐเซคคิวลาร์ และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความปรารถนาดีต่อโลกของชาวคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ กามาล อะตาเติร์กได้เปลี่ยนสถานะมัสยิดอายาโซเฟียแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ ในปี ค.ศ.1934

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าตุรกีจะเป็นรัฐเซคคิวลาร์ แต่ก็ยังเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มีการรณรงค์มาหลายสิบปีเพื่อฟื้นฟูอาคารโบราณแห่งนี้ให้เป็นมัสยิด

คำร้องเพื่อใช้อายาโซเฟียในการละหมาด ในปี 2016 ได้ถูกศาลปฏิเสธ แต่ปรากฏว่าในรอบนี้ ศาลสนับสนุนการเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีแอร์โดฆาน ผู้ซึ่งเมื่อปีที่แล้วได้กล่าวว่า “การเปลี่ยนมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์เป็นความผิดใหญ่หลวง”


เขียนโดย Ghazali Benmad

2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่า : แม่ทัพเรือใหญ่แห่งคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ (ตอนที่ 1)

ในยุคที่คิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺเรืองอำนาจ มีชายคนหนึ่งที่ได้ขึ้นปกครองแผ่นดินแอฟริกา เขาคือผู้ช่วยเหลือประชาชาติอิสลามและชาวยิวนับหมื่นชีวิตจากความโหดร้ายทารุณของกษัตริย์คริสเตียนในสเปน ร่วมกับน้องชายของเขา ที่ต่อมาได้กลายเป็นแม่ทัพเรือใหญ่ที่กล้าหาญแห่งคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ เขาไม่เคยพ่ายแพ้ในศึกทางเรือเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผู้คนต่างเรียกขานพวกเขาว่า “บาร์บาร็อสซ่า” ที่ในภาษาอิตาลีหมายถึง “เคราแดง” และพวกเขาทั้งคู่ก็มีเคราสีแดงจริง ๆ พวกเขาคือ อะรูจญ์และค็อยรุดดีน 2 พี่น้อง บาร์บาร็อสซ่า

อะรูจญ์และค็อยรุดดีนเกิดในช่วงปี ค.ศ.1470-1480 ที่ Paleokipos บนเกาะเลสบอสหรือบางครั้งก็เรียกว่า มีตีลีนีในประเทศกรีซ ซึ่งในตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ แม่ของพวกเขาชื่อว่า “แคทเทอรินา” เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นชาวคริสเตียน (อะฮฺลุลกิตาบ) ส่วนพ่อชื่อ “ยะอฺกูบ” ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเป็นคนจากที่ไหน บ้างบอกว่าเป็นคนตุรกี โดยเป็นทหารม้าในกองทัพที่บุกพิชิตเกาะเลสบอส เมื่อปี ค.ศ.1462 ในยุคของสุลต่านมุฮัมหมัด อัลฟาติหฺ บ้างก็ว่าเป็นชาวกรีซ หรือแอลเบเนีย อะรูจญ์เป็นลูกชายคนโต ส่วนค็อยรุดดีนเป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้องชาย 4 คน

ยะอฺกูบเป็นช่างทำเครื่องปั้นดินเผา เขามีเรือลำหนึ่งที่ใช้บรรทุกเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตไปขายตามเกาะต่าง ๆ ลูก ๆ ของเขาได้ฝึกฝนการล่องเรือเพื่อช่วยเหลือธุรกิจของครอบครัว ลูกชาย 2 คนคือ อะรูจญ์และอิลยาสทำงานช่วยเหลือคุณพ่อบนเรือลำดังกล่าว ส่วนค็อยรุดดีนมักจะประจำอยู่บนเกาะเพื่อผลิตเครื่องปั้นดินเผา แต่เมื่อคุณพ่อเสียชีวิต พวกเขาก็ได้สานต่อธุรกิจของคุณพ่อ และออกผจญภัยบนท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียนร่วมกัน

วันหนึ่งเรือของพวกเขาถูกอัศวินแห่งโรดส์โจมตี ทำให้เรือสำเภาและสินค้าเสียหายหมดสิ้น อีกทั้งอิลยาส น้องชายคนเล็กก็เสียชีวิตด้วย การตายของอิลยาสทำให้อะรูจญ์และค็อยรุดดีนเศร้าโศกเสียใจอย่างมาก พวกเขาโกรธและต้องการแก้แค้นให้กับน้องชาย จึงตัดสินใจบุกโจมตีเรือรบคริสเตียนทีละลำสองลำ และยกระดับการโจมตีให้หนักและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาได้ร่วมมือกับกอร์คูด (ลูกชายของสุลต่านบะยาซิดที่ 2) ขัดขวางการขนส่งของชาติสเปนและโปรตุเกสในฝั่งตะวันตกของทะเลเมดิเตอร์ริเนียนด้วย กองเรือของอะรูจญ์และค็อยรุดดีนขยายใหญ่และเข้มแข็งขึ้นมาก ชื่อเสียงของพวกเขาดังไปทั่ว ในตอนนี้เองที่พวกเขาถูกเรียกว่าเป็น “โจรสลัดเคราแดง” หรือ “บาร์บาร็อสซ่า”

300 ปีแรกของศตวรรษที่ 15 เป็นช่วงเวลาที่มีการแข่งขันทางการค้าสูงมากระหว่างพ่อค้าคริสเตียนและมุสลิมในเขตชายฝั่งต่าง ๆ ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมาในปี ค.ศ.1492 เมื่อราชอาณาจักรกัสติยาและอารากอนได้บุกยึดกรานาดา และทำลายรัฐอิสลามสุดท้ายบนคาบสมุทรไอบีเรียลง ทำให้อำนาจการปกครองของอิสลามบนแผ่นดินอันดาลุส ซึ่งดำรงอยู่นานกว่า 700 ปีต้องสิ้นสุดลด ชาวมุสลิมและยิวจำนวนมากถูกฆ่าตาย และอีกหลายหมื่นชีวิตต้องต้องอพยพหนีออกมา

อะรูจญ์และค็อยรุดดีนได้เปลี่ยนเจตนารมณ์การต่อสู้ของพวกเขาจากการแก้แค้นให้กับน้องชาย มาเป็นการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ระหว่างปี ค.ศ. 1504-1510 พวกเขาพร้อมทหารชาวมัวร์จากแอฟริกาเหนือได้นำกองเรือเข้าไปในสเปนหลายครั้ง ต่อสู้กับกองทัพเรือสเปนตามแนวชายฝั่งอย่างกล้าหาญ และเข้าช่วยเหลือชาวมุสลิมและชาวยิวอพยพออกจากสเปนมายังแอฟริกาเหนือ ผู้อพยพเหล่านี้เรียกอะรูจญ์ว่า “บาบา อะรูจญ์”

2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่าเริ่มมีชื่อเสียงในสังคมแอฟริกาเหนือ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมในกองเรือของรัฐใด พวกเขาสร้างกองเรือของตัวเอง และประสบความสำเร็จอย่างมากในการขัดขวางทหารสเปนและโปรตุเกสที่พยายามเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์บนแผ่นดินแอฟริกาเหนือ

สิ่งที่ 2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่าทำ คือการลุกขึ้นต่อต้านการกดขี่ข่มเหง แต่สำหรับราชอาณาจักรคริสเตียกัสติยาแล้ว บาร์บาร็อสซ่าคือพวกโจรสลัดที่ชอบบุกปล้นเรือของผู้อื่นเท่านั้น

ในปี ค.ศ.1516 ซาลิม อัตตูมีย์ ผู้นำในพื้นที่แอลจีเรียได้ร้องขอให้ 2 พี่น้องบาร์บาร็อสซ่าเข้าโจมตีแอลจีเรีย พวกเขาขอให้บาร์บาร็อสซ่าช่วยปลดปล่อยแอลจีเรียจากอำนาจของสเปน ซึ่งพวกเขาก็ประสบความสำเร็จ สามารถขับไล่ทหารสเปนออกจากแอลจีเรียได้จนหมดสิ้น พวกเขาใช้ที่นี้เป็นฐานที่มั่นในการป้องกันการโจมตีของศัตรู ความสำเร็จในครั้งนี้และอิทธิพลที่สูงมากของทั้งคู่ ทำให้สุดท้ายอะรูจญ์ได้ขึ้นเป็นผู้นำปกครองแอลจีเรีย โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากประชาชน

ติดตามตอนต่อไป ตอนที่ 2 https://www.theustaz.com/?p=4232


อ้างอิง :
1. خيرالدين بربروس ดู https://ar.wikipedia.org/…/%D8%AE%D9%8A%D8%B1_%D8%A7%D9%84%…
2. عروج بربروس ดู https://ar.wikipedia.org/…/%D8%B9%D8%B1%D9%88%D8%AC_%D8%A8%…
3. “Admiral Hayreddin Barbarossa” เขียนโดย Kallie Szczepanski ดู https://www.thoughtco.com/admiral-hayreddin-barbarossa-1957…
4. “Barbary Pirate” ดู https://www.britannica.com/topic/Barbary-pirate


อ่านตอนที่ 1 https://www.theustaz.com/?p=4083
อ่านตอนที่ 2 https://www.theustaz.com/?p=4232
อ่านตอนที่ 3 https://www.theustaz.com/?p=4236

ที่มา GenFa : ประวัติศาสตร์สร้างคนรุ่นใหม่

ระเบียบตะวันออกกลางในยุคโควิด-19 (จบ)

ปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในตะวันออกกลางหลังอาหรับสปริงคือสงครามกลางเมืองอันทำให้หลายประเทศในภูมิภาคตกอยู่ในสภาพรัฐอ่อนแอ ทั้งกรณีสงครามในซีเรีย ลิเบีย เยเมน และอิรัก

อีกทั้งในแต่ละสงครามกลางเมืองยังมีตัวแสดงจากทั้งภายในภูมิภาคและมหาอำนาจโลกเข้ามาแทรกแซงแสดงบทบาทอยู่อย่างต่อเนื่อง

พร้อม ๆ ไปกับสภาพที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงดังกล่าวก็ทำให้กลุ่มติดอาวุธประเภทต่าง ๆ ถือกำเนิดเกิดขึ้นมากมาย ทั้งกลุ่มติดอาวุธข้ามพรมแดนที่ยึดโยงกันทางชาติพันธุ์และสำนักคิดทางศาสนา กลุ่มกบฏต่อต้านรัฐ กลุ่มกองกำลังชนเผ่า องค์กรก่อการร้าย ทหารรับจ้าง และนักรบต่างชาติ

กลุ่มเหล่านี้ได้ท้าทายอำนาจรัฐในฐานะที่เป็นผู้ผูกขาดการใช้ความรุนแรงและผูกขาดการควบคุมพื้นที่ดินแดนของประเทศแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ในระยะหลังกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ก็สามารถใช้กำลังความรุนแรงและสามารถสถาปนาหน่วยการปกครองในดินแดนบางส่วนของประเทศได้เช่นกัน

วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ได้เกิดขึ้นซ้อนทับกับสภาพสงครามกลางเมืองและสงครามตัวแทนที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของตะวันออกกลางดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ประเทศไหนก็ตามที่สมรรถนะของรัฐไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาโรคระบาดได้ (เนื่องเพราะต้องเผชิญกับภาวะสงครามกลางเมืองมายาวนาน) หน้าที่ดังกล่าวก็จะถูกช่วงชิงไปโดยกลุ่มกองกำลังติดอาวุธประเภทต่าง ๆ ในการเข้าไปให้บริการสาธารณะแก่ชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในดินแดนที่อำนาจรัฐไม่สามารถเข้าไปถึง

ขณะเดียวกัน รัฐอ่อนแอที่ตกอยู่ในสภาพสงครามกลางเมืองเหล่านี้ก็เป็นดินแดนที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดหากเกิดการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้เนื่องจากทั้ง ซีเรีย ลิเบีย เยเมน และอิรัก ล้วนเป็นประเทศที่โรงพยาบาลและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณสุขตกเป็นเป้าการถล่มโจมตีจากกลุ่มฝ่ายต่าง ๆ รวมถึงการโจมตีโดยมหาอำนาจภายนอกด้วย

สภาพการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกับการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างตัวแสดงฝ่ายต่าง ๆ ทั้งชนชั้นนำทางการเมือง บรรดากลุ่มติดอาวุธ และมหาอำนาจภายนอก (ที่เข้ามาทำสงครามตัวแทนในพื้นที่ขัดแย้ง) เพื่อช่วงชิงอิทธิพลอำนาจและทรัพยากรในดินแดนประเทศต่าง ๆ

ด้วยเหตุนี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ทุกกลุ่มฝ่ายในตะวันออกกลางหันมาร่วมมือสร้างสันติภาพระหว่างกัน ในทางตรงข้าม โควิด-19 อาจเป็นปัจจัยหนุนเสริมให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเกิดเป็นปัญหาความขัดแย้งซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

เพราะนอกจากตัวแสดงฝ่ายต่าง ๆ จะช่วงชิงแก่งแย่งอิทธิพลอำนาจเหนือดินแดนและทรัพยากรระหว่างกันแล้ว เรายังอาจเห็นการแข่งขันกันเพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขในยามที่ผู้คนจำนวนมากกำลังล้มป่วยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกด้วย

ทั้งนี้ การเข้าถึงและครอบครองอุปกรณ์ทางการแพทย์และการมีระบบสาธารณสุขที่ดีนับเป็นการเรียกคะแนนความนิยมและความเชื่อมั่นจากประชาชน อีกทั้งยังสามารถสร้างชื่อเสียงอันจะเป็นการเสริมภาพลักษณ์และสถาปนาความชอบธรรมให้กับฝ่ายตนได้

การที่รัฐบาลของรัฐอ่อนแอต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายรอบด้านและติดพันกับการทำศึกสงครามมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงทำให้การรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 เป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ลักษณะเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวแสดงที่ต่ำกว่ารัฐหรือกลุ่มติดอาวุธได้แสดงบทบาทฉายภาพให้เห็นว่าตนเองสามารถทำงานได้ดีกว่ารัฐ

หากตัวแสดงเหล่านี้ทำได้จริงเรื่องนี้ก็จะกระทบกระเทือนอำนาจความชอบธรรมของรัฐเป็นอย่างยิ่ง แต่หากไม่สามารถจะรับมือกับโควิด-19 ได้อย่างที่อ้าง กลุ่มเหล่านี้ก็จะขาดความชอบธรรม และสูญเสียอิทธิพลให้แก่ฝ่ายรัฐบาลในท้ายที่สุด

ด้วยเหตุนี้จึงมีรายงานออกมาระบุว่า ในบางประเทศของตะวันออกกลางมีกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมโรคระบาด ยกตัวอย่างเช่นในซีเรียนั้น กลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มมีการวางร่างแถลงการณ์ร่วมกันว่าจะไม่ขัดขวางหรือทำร้ายเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ปฏิบัติการณ์ยับยั้งโรคระบาดและจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อพลเรือนหรือละเมิดสิทธิมนุษยชน

กลุ่มติดอาวุธบางกลุ่มที่จัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวในบางพื้นที่ยึดครองของซีเรียยังออกแถลงการณ์สร้างความตระหนักเกี่ยวกับโรคระบาดให้กับประชาชนในพื้นที่ของตัวเอง และในทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียก็มีการประกาศลดความแออัดของเรือนจำเพื่อลดความเสี่ยงของการระบาด เป็นต้น

กล่าวอย่างรวบรัดคือในสภาพที่เกิดสงครามกลางเมืองในหลายประเทศของตะวันออกกลางนั้น วิกฤตโควิด-19 อาจกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รัฐและกลุ่มติดอาวุธเพิ่มการแข่งขันเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครองดินแดนต่าง ๆ ส่วนใครจะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งความหนักหนาสาหัสของวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นในแต่ละดินแดน มาตรการในการรับมือ การเข้าถึงเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ตลอดรวมถึงประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุข

แต่ปัจจัยที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือแรงสนับสนุนจากตัวแสดงที่เป็นมหาอำนาจภายนอกที่เข้ามาทำสงครามตัวแทน (proxy war) ในพื้นที่ความขัดแย้งที่เป็นสงครามกลางเมืองในตะวันออกกลาง

แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่า ตัวแสดงที่เป็นมหาอำนาจโลกและตัวแสดงในภูมิภาค ซึ่งเข้ามาแทรกแซงแสดงบทบาทในสงครามกลางเมือง กำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขภายในประเทศของตนเองอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ขณะเดียวกัน โรคระบาดที่เกิดขึ้นยังส่งผลต่อตลาดพลังงานโลก ทำให้ราคาน้ำมันดำดิ่งลงไปเนื่องจากความต้องการในการใช้น้ำมันของตลาดโลกลดลงไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้มหาอำนาจฝ่ายต่าง ๆ ที่เข้าไปทำสงครามตัวแทนในตะวันออกกลางจึงต้องคำนึงถึงความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของประเทศตนเองเป็นหลักเสียก่อน และคงต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศตนหลังวิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้นไป

ด้วยเหตุนี้ การที่แต่ละตัวแสดงที่เป็นมหาอำนาจภายนอกจะดำเนินการสนับสนุนตัวแทนของตนในสมรภูมิสงครามกลางเมืองเหมือนอย่างเดิมคงเป็นไปได้ยาก

อันที่จริงก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ตัดสินใจถอนกำลังทหารออกไปบางส่วนจากซีเรียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สหภาพยุโรปเองก็ไม่มีแผนการเชิงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมในการจัดการกับปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ขณะเดียวกันแม้รัสเซียกับตุรกีดูจะยังแสดงบทบาทเด่นชัดในสมรภูมิความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดในเรื่องสภาพเศรษฐกิจถดถอยที่จะตามมาหลังจากนี้ ก็คงส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศต้องลดการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางมากขึ้น

ส่วนอิหร่านและซาอุดิอาระเบียนั้นก็ถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอิหร่านซึ่งเผชิญความยากลำบากไม่เฉพาะแต่โควิด-19 เท่านั้น แต่ยังถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และไม่สามารถขายน้ำมันได้เหมือนเดิม สภาพอย่างนี้อาจทำให้อิหร่านไม่สามารถให้การหนุนหลังกลุ่มฝ่ายตัวแทนของตนในประเทศต่าง ๆ ได้เหมือนในอดีต

ยิ่งกว่านั้น ประชาชนของประเทศต่าง ๆ ที่เข้าไปแทรกแซงแสดงบทบาทในสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางคงจะออกมาเรียกร้องให้ผู้นำประเทศของตนหันมาให้ความใส่ใจกิจการภายในประเทศของตน

บางประเทศเหล่านี้กำลังจะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง อย่างเช่นสหรัฐอเมริกาที่จะจัดการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมาคือประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ก็คงต้องกลับมานั่งทบทวนนโยบายการต่างประเทศของตนเสียใหม่ โดยเฉพาะนโยบายการใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองในประเทศอื่น ซึ่งอาจไม่ได้สร้างประโยชน์คุ้มค่าเหมือนในอดีตอีกต่อไปท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ความไร้เสถียรภาพของราคาน้ำมัน และปัญหาโรคระบาดข้ามชาติที่ยังไม่ทราบว่าจะจบลงเมื่อใด

หากสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ก็อาจทำให้วิกฤตสงครามตัวแทนในตะวันออกกลางค่อย ๆ ลดความร้อนแรงลงไป อันจะส่งผลถึงสถานการณ์สงครามกลางเมืองที่จะเปลี่ยนไปในแต่ละประเทศ

เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นไปในทิศทางนั้น


โดย Srawut Aree