บทความ บทความวิชาการ

มาครงไร้มารยาท

● บทความโดย  ดร.มุฮัมมัด  ซอฆีร

กรรมการสหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ  International Union of Muslim Scholars

● อ่านบทความต้นฉบับ

http://iumsonline.org/ar/ContentDetails.aspx?ID=12505

ยุคอาณานิคมที่ผ่านมา อังกฤษและฝรั่งเศสจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศมหาอำนาจที่ยึดครองประเทศอื่น ๆ และสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ด้วยความมั่งคั่งและการกดขี่ประชาชน

แต่การยึดครองของฝรั่งเศสแตกต่างจากอังกฤษ ที่ไกลกว่าระดับการปล้นชิงความมั่งคั่งและความพยายามในการควบคุมความเข้มแข็งไปสู่ความพยายามเพื่อเปลี่ยนอัตลักษณ์และรื้อโครงสร้างทางสังคม และบังคับใช้วัฒนธรรมฝรั่งเศสในทุกมิติ โดยเฉพาะภาษา  ฝรั่งเศสเปิดตัวสงครามที่ดุเดือดกับภาษาอื่น ๆ บังคับใช้ภาษาฝรั่งเศสในการติดต่อสื่อสารและการศึกษา  บุกขยี้สังคมเพื่อเปลี่ยนขนบธรรมเนียมประเพณีและวิธีคิด

ในขณะที่อังกฤษ มักเพียงพอกับการมีกองกำลังทหารอยู่รอบๆ เพื่อให้มั่นใจว่า สามารถควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจได้เท่านั้น

ประวัติศาสตร์ยังบันทึกอาชญากรรมและการสังหารโหดในประวัติศาสตร์ในอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่ประเทศอื่นไม่สามารถทัดเทียมได้ ไม่ว่า ณ ที่ใดก็ตาม โดยที่ฝรั่งเศสเองเป็นผู้บันทึกการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ผ่านพิพิธภัณฑ์ “มานุษยวิทยา” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกรุงปารีส ซึ่งมีการจัดแสดงกะโหลกศีรษะและกระดูกของผู้นำการปฏิวัติและกลุ่มต่อต้านที่ฝรั่งเศสได้ทรมาน สังหารและทำร้ายศพพวกเขา และนำศพของพวกเขามาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ เพื่ออวดอำนาจและข่มขู่ฝ่ายต่อต้าน

และเมื่อไม่นานมานี้ แอลจีเรียได้นำกะโหลกศีรษะของผู้พลีชีพบางส่วนคืนไป เป็นกะโหลกผู้เสียชีวิตจากการปฏิวัติแอลจีเรียที่ต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศสที่นานกว่า 130 ปี ฝรั่งเศสก่ออาชญากรรมในแอลจีเรีย เทียบเท่ากับอาชญากรรมในทุกประเทศที่ฝรั่งเศสยึดครอง

เพียงแค่ในวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 ฝรั่งเศสได้สังหารผู้พลีชีพไป 45,000 คนจากเมืองเซติฟและบริเวณรายรอบ

จำนวนชาวแอลจีเรียทั้งหมดที่ฝรั่งเศสสังหารมีถึง 7 ล้านคน รวมถึงผู้พลีชีพมากกว่าหนึ่งล้านคนในช่วงการปฏิวัติปลดปล่อย 7 ปี 

เมื่อฝรั่งเศสจะจากไป ก็ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในทะเลทรายแอลจีเรีย  ทิ้งผลกระทบและความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานจนถึงปัจจุบัน

อคติและการเหยียดเชื้อชาติที่ถูกฝังลึก

จากนั้นประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล  มาครง ก็ได้แถลงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางอารยธรรมของสาธารณรัฐฝรั่งเศสและความกลัวอิสลามที่มีต่ออนาคตและองค์ประกอบหลักของฝรั่งเศส รวมทั้งการแสดงออกถึงความเกลียดชังที่ซ่อนเร้น และเปิดเผยการเหยียดเชื้อชาติอย่างลึกซึ้งด้วยการโจมตีอิสลามในฐานะศาสนา  โดยอธิบายว่าอิสลามอยู่ในช่วงวิกฤต 

[ ทั้งนี้ ในการแถลงดังกล่าว มาครงนอกจากจะโจมตีกลุ่มหัวรุนแรงแล้ว ยังได้โจมตีหลักการอิสลามในเรื่องการแบ่งแยกชายหญิง ตลอดจนการคลุมหิญาบ การแยกกิจกรรมเฉพาะศาสนาอิสลาม การแยกสระว่ายน้ำชายหญิง และการละหมาดในสถาบันของรัฐ ไม่เพียงเฉพาะในฝรั่งเศส แต่ยังลามไปถึงมุสลิมทั่วโลก- ผู้แปล ]

https://m.youtube.com/watch?feature=emb_rel_end&v=VrkF50Ye86U

นี่คือพัฒนาการที่อันตรายและเป็นการดูหมิ่นศาสนาโดยตรง ไม่ใช่มุสลิมบางคนที่เชื่อในศาสนานี้หรือเป็นศาสนิกของศาสนา และเป็นการใช้สำนวนที่แสดงถึงการเหยียดศาสนาที่ขัดแย้งกับลัทธิฆราวาสของฝรั่งเศสที่พูดถึงการแยกศาสนาออกจากรัฐ ซึ่งในความเป็นจริง กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับปรัชญาการเมืองฝรั่งเศส

เช่นตัวอย่างกรณีผ้าคลุมศีรษะ  จะเห็นว่าฝรั่งเศสใช้ความสามารถทั้งหมดในการต่อต้านการคลุมศีรษะและถือว่าผ้าคลุมเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่บ่งบอกถึงศาสนาอิสลาม ไม่ใช่ความปรารถนาที่จะสงวนเนื้อสงวนตัวปกปิดไม่ให้ประเจิดประเจ้อ  และถือว่าเป็นหลักคำสอนทางศาสนา ไม่ใช่เรื่องเสรีภาพส่วนบุคคล 

เราได้เห็นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สมาชิกรัฐสภาฝรั่งเศสลุกขึ้นและออกจากห้องประชุม เนื่องจากการมีสตรีมุสลิมจากสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งคลุมศีรษะเข้าร่วมประชุม  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยืนยันว่า ความอคติต่ออิสลาม ยังสถิตอยู่ในความคิดและในจิตวิญญาณของพวกเขา  และวิกฤตที่แท้จริงอยู่ที่ความรู้สึกเหยียดหยามเผ่าพันธุ์ในตัวของพวกเขา และความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่มาพร้อมกับมาครงตั้งแต่เริ่มต้นการบริหารประเทศของเขา  และความพยายามของมาครงที่จะเอาใจชาวฝรั่งเศสสุดโต่งด้วยการนำเสนอประเด็นที่น่ารังเกียจนี้  ตลอดจนความพยายามที่จะยึดโยงกับความสำเร็จปลอมๆ แม้จะอยู่นอกดินแดนฝรั่งเศสก็ตาม ดังที่เราเห็นในเหตุระเบิดท่าเรือเบรุต ซึ่งมาครงยืนกรานที่จะเป็นผู้นำในสถานการณ์ในเลบานอน ที่ทั้งจูบและกอดสตรี เพื่อให้ลืมปัญหากลุ่มเสื้อเหลืองและความล้มเหลวซ้ำซากในฝรั่งเศส

อิสลามและเเอร์โดฆาน

นอกจากนั้น มาครงยังสับสนระหว่างศาสนาอิสลามและแอร์โดฆาน  เป็นที่รู้จักกันดีว่า ประธานาธิบดีตุรกีสร้างความปวดหัวอย่างต่อเนื่องให้กับมาครง เพราะทุกการเผชิญหน้าที่ต่อสู้กับแอร์โดฆาน มาครงไม่ประสบความสำเร็จ และถอยกลับมาอย่างน่าสมเพช ตั้งแต่ในลิเบีย  ปัญหาเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกและข้อพิพาทกับกรีซ  และล่าสุดก็ในอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจาน

ดังนั้น คำตอบของประธานาธิบดีตุรกีจึงรุนแรงและเหมาะสมกับการโจมตีของมาครงต่อศาสนาอิสลาม  แอร์โดฆานอธิบายว่า คำพูดของมาครงหยาบคายและไร้มารยาท

นอกจากคำตอบโต้ของเเอร์โดฆาน เราไม่ได้ยินเสียงของผู้นำอาหรับคนใดอีก  มีแต่กระบอกเสียงของพวกเขาพากันกล่าวว่า  เเอร์โดฆานเล่นกับอารมณ์ของมวลชน  ราวกับว่าผู้นำของพวกเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึก

ส่วนในระดับมวลชนนั้น ปฏิกิริยาแสดงมาอย่างกรี้ยวโกรธสะเทือนในโลกไซเบอร์และสื่อออนไลน์ ในการประณามคำพูดของมาครง และการเหยียดเชื้อชาติของเขา และคนหนุ่มสาวได้อธิบายวิกฤตที่แท้จริงของมาครงด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ

รวมถึงนักวิชาการ หน่วยงานและสถาบันทางวิชาการต่างพากันติดตามเหตุการณ์ดังกล่าว  พวกเขาได้นำเหตุผลมาหักล้างข้อสงสัยเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชัยค์อัซฮัร และสภาอุลามาอ์อาวุโสของอัลอัซฮัร  พวกเขาเน้นย้ำว่าข้อความเหล่านี้เป็นข้อกล่าวหาที่โมเมและสับสน  ถูกนำมาใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต่ำช้า

สหพันธ์อุลามาอ์อิสลามนานาชาติ  International Union of Muslim Scholars รวมถึง ศ.ดร.อาลี  กอเราะฮ์ดาฆี  เลขาธิการสหพันธ์ฯ  ยืนยันว่า มาครงตกอยู่ในภาวะวิกฤติทางศีลธรรม  และอิสลามไม่แบกรับความผิดพลาดของผู้นำจอมปลอมที่สร้างวิกฤตด้วยการช่วยเหลือของพวกเขา

ชัยค์อะหมัด  คอลีลีย์  มุฟตีแห่งรัฐสุลต่านโอมานยังได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่าสิ่งที่มาครงพูดเป็นผลของความอคติที่มาจากความเกลียดชังในใจเขา

 สิ่งเหล่านี้เป็นจุดยืนที่น่ายกย่อง แต่มีเพียงน้อยนิดและไม่เหมาะสม เมื่อเทียบกับในโลกอิสลามที่กว้างใหญ่ไพศาลที่ถูกกล่าวหาในด้านความเชื่อ  ปฏิกิริยาตอบสนองยังไม่เหมาะสมกับความผิดที่ได้ก่อไว้   มุสลิมน่าจะออกมาปกป้องศาสนาของพวกเขา เช่นดังการปกป้องในยามที่ธงของรัฐถูกเผา  หรือบิดเบือนเหยียดหยามภาพของผู้นำ

บรรดาผู้ที่ไม่ได้สนใจและเมินเฉยต่อเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของพวกเขากับอิสลาม  และตรวจสอบดูว่าสมาชิกภาพของเขาที่มีต่ออิสลาม มีความชอบธรรมหรือไม่


แปลสรุปโดย

Ghazali Benmad