ตุรกี & กรีซ มหากาพย์แห่งความขัดแย้ง (ตอนที่ 2)

وَلَن تَرضَى عَنكَ اليَهُودُ وَلَا النَصَارَى حَتٌَى تَتَّبِعَ مِلَّتَهُم (البقرة/120)

ความว่า : และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่พึงพอใจเจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา

ตุรกีและกรีซมีปัญหาความขัดแย้งที่ปะทุมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์หากผู้อ่านย้อนอดีตสมัยสุลตานมูฮัมมัด อัลฟาติห์ บุกพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1453 ซึ่งถือเป็นการสิ้นอำนาจของจักรวรรดิไบเซนไทน์ที่รุ่งเรืองมากกว่า 1,100 ปี ก็สามารถต่อภาพจิ๊กซอว์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งในปัจจุบันคือกรุงอิสตันบูล ถือเป็นเมืองหลวงของอารยธรรมกรีกที่จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 และสมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 ครองราชย์และมีอำนาจในเมืองนี้ หลังการล่มสลาย ชาวกรีกก็อพยพไปยังส่วนต่างๆของยุโรปโดยเฉพาะอิตาลีและกรีซในปัจจุบัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือรัฐกรีซในปัจจุบัน ก็คืออาณาจักรไบเซนไทน์ในอดีตนั่นเอง (ดู https://th.m.wikipedia.org/wiki/การเสียกรุงคอนสแตนติโนเปิล)

กาลเวลาผ่านไปเกือบ 600 ปี ไฟแค้นที่มีต่อลูกหลานของสุลตานมูฮัมมัด อัลฟาติห์ยังคงคุกรุ่นตลอดเวลา

สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ได้รับการบันทึกให้ดูเหมือนว่า เกิดขึ้นเพราะชาติยุโรปมีความขัดแย้งกันเอง ซึ่งอาจมีส่วนถูกบ้างเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้น เพราะอีกกว่า 90% คือต้องการทำลายอาณาจักรอุษมานียะฮ์ล้วนๆ เพราะฝ่ายที่สูญเสียและได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสงครามโลกครั้งที่ 1 หาใช่ชาติยุโรปที่แพ้สงคราม แต่กลับกลายเป็นอาณาจักรอุษมานียะฮ์ ที่หลังจากถูกเฉือนแบ่งจนแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว ชาติตะวันตกยังวางบ่วงบาศคล้องคอตุรกีใหม่ให้กลายเป็นรัฐอัมพาตนับร้อยปี (ดู https://www.theustaz.com/?p=4287 ) โดยที่ชาติยุโรปอื่นๆที่แพ้สงครามไม่ได้ถูกลงโทษด้วยมาตรการที่รุนแรงเหมือนตุรกีเลย ยิ่งไปกว่านั้นชาติยุโรปโดยผู้นำหุ่นเชิดที่นำโดยมุสตะฟา เคมาลได้บีบบังคับให้ตุรกีปฏิเสธอิสลาม พร้อมถอดคำสอนศาสนาเหมือนถอดเสื้อโต้บที่สวมใส่

หากผู้อ่านศึกษาชะตากรรมของลูกหลานสุลตานอุษมานียะฮ์ ที่ต้องระเหเร่ร่อนเยี่ยงขอทานทั่วยุโรปแล้ว จะรู้เลยว่าความแค้นของพวกเขา มีความรุนแรงและลุ่มลึกแค่ไหน (ดู https://www.facebook.com/groups/422133821263587/permalink/1451275405016085/)

หากชาติตะวันตกที่นำโดยคริสตจักร มีความบริสุทธิ์ใจต่อศาสนาอิสลามและประชาชาติมุสลิม แม้เพียงวันเดียว อัลกุรอานในซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์/120 จะกลายเป็นโมฆะทันที ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้โดยเด็ดขาด เพราะอัลกุรอานคือพจนารถแห่งอัลลอฮ์ ผู้ตรัสจริงเสมอ


โดย Mazlan Muhammad

ตุรกี & กรีซ มหากาพย์แห่งความขัดแย้ง (ตอนที่ 1)

1. ภาพแรก เป็นการแสดงแผนที่ของทั้ง 2 ประเทศ โดยประเทศกรีซ คือพื้นที่สีเหลืองทั้งหมด ซึ่งมีเกาะเล็กเกาะน้อยนับสิบกว่าเกาะที่ติดชายแดนตุรกีที่มีสีม่วง แต่เกาะดังกล่าวคือส่วนหนึ่งของประเทศกรีซ ถึงแม้บางเกาะ อยู่ติดชายฝั่งตุรกีเพียง 2 กม. และห่างไกลจากกรีซแผ่นดินใหญ่กว่า 500 กม. สนธิสัญญาโลซานได้วางหมากอัปยศที่เป็นระเบิดเวลานี้ ที่สร้างความเจ็บแค้นแก่ชาวตุรกี ซึ่งมองว่า นอกจากเป็นการตบหน้าชาติตุรกี ด้วยการขีดเส้นพรมแดนที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกแล้ว ตะวันตกยังมีเจตนาร้ายที่ต้องการใช้หมู่เกาะเหล่านี้เป็นป้อมยามที่คอยเฝ้าระวังตุรกีทุกฝีก้าวอีกด้วย ชาวตุรกีต้องกัดฟันอย่างอดทนสุดๆมาเกือบร้อยปี

2. ภาพที่ 2 เป็นข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศเรื่องอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ตามอนุสัญญาสหประชาขาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ซึ่งทั้ง 2 ประเทศมีสิทธิ์ใช้ประโยชน์จากทะเลเอเจี้ยนที่ห่างจากชายฝั่งของตนระยะ 6 ไมล์ ในรูป พื้นที่สีฟ้าคืออาณาเขตทางทะเลของกรีซ และพื้นที่สีส้มเข้มคืออาณาเขตทางทะเลของตุรกี ส่วนพื้นที่สีขาวคือเขตน่านน้ำสากล ที่ตุรกีสามารถใช้ประโยชน์ออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

นี่คือข้อตกลงตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล

แต่วันดีคืนดี กรีซเรียกร้องว่าตนมีสิทธิ์ครอบครองอาณาเขตทางทะเลที่ห่างจากฝั่งของตนยาว 12 ไมล์ อาศัยที่กรีซมีเกาะมากมายเรียงรายประชิดชายฝั่งตุรกี ทำให้กรีซมีอาณาเขตทางทะเลเพิ่มขึ้นมากมาย จนไปทับเขตน่านน้ำสากล ทั่วทะเลเอเจี้ยน จึงมีสีฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ตุรกีไม่มีเส้นทางออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนโดยปริยาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องการปิดกั้นตุรกีไม่ให้ออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เนียนนั่นเอง

ตุรกีประกาศอยู่ตลอดเวลาว่าพร้อมเจรจาโดยสันติ และพร้อมกางแผนที่แสดงอาณาเขตทางทะเลตามข้อตกลง ตุรกีไม่เคยมีเจตนารุกล้ำเขตเพื่อนบ้านนอกจากปกป้องสิทธิของตนเท่านั้น

แต่ในขณะเดียวกัน ตุรกีพร้อมทำสงครามเพื่อปกป้องอธิปไตยเหนือทะเลเอเจี้ยน และประกาศอย่างดุดันว่า ตุรกีในปัจจุบันไม่ใช่ตุรกีในอดีตที่ชาติตะวันตกสามารถลูบศีรษะได้ตามอำเภอใจ ยุคแห่งการปล้นสะดมของชาติตะวันตกที่มีต่อชาติที่อ่อนแอกว่าได้หมดไปแล้ว

หากคุณเป็นชาติตุรกี
ถามว่าคุณจะมอบกระเช้าดอกไม้ แสดงความยินดีกับประเทศกรีซหรือ


โดย Mazlan Muhammad

น้ำใจจากซาอุฯสู่เลบานอน

ศูนย์บรรเทาทุกข์กษัตริย์ซัลมานได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และยาเวชภัณฑ์แก่โรงพยาบาลในเลบานอนจำนวน 8 แห่ง พร้อมให้การบริการฟรีแก่ผู้มารับบริการ

ประเทศซาอุดิอาระเบียถือเป็นประเทศแรกๆ ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเลบานอนเนื่องจากเหตุระเบิดถล่มเบรุตเมื่อ 4 สิงหาคม 2563

แหล่งข่าว
سفارة المملكة العربية السعودية ، عمان
Royal Embassy of Saidi Arabia,Amman

หนุ่มยูทูเบอร์ชาวอังกฤษรับอิสลาม

Jay Palfrey ยูทูปเบอร์ชาวอังกฤษ ประกาศเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในมัสยิดแห่งหนึ่งในตุรกี หลังจากเดินทางค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรมมายาวนาน เขากล่าวว่า ชีวิตในประเทศอิสลามทำให้เขาอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนาที่สวยงามและสงบสุขนี้

ดูเพิ่มเติม https://www.facebook.com/103622369714881/posts/3791697677573980/


โดยทีมงานต่างประเทศ

ชาวปาเลสไตน์ได้รับเนื้อกุรบานจากพี่น้องเมืองไทย

ตามที่กลุ่มเพราะเราคือเรือนร่างเดียวกันและภาคีองค์กรได้แก่ มัสยิดอัตตะอาวุน Jaringan Badan-Badan Islam dan Masjid Wilayah Jala -JABIM มูลนิธิอัสสลามเพื่อเยาวชนและ theustaz.com ซึ่งเป็นองค์กรในภาคีเครือข่ายสภาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรีได้ดำเนินโครงการกุรบาน ณ เมืองชาม ซึ่งสามารถเก็บยอดเงินบริจาคจำนวน 415,880 บาท โดยส่วนหนึ่งได้มอบให้แก่ AL-Quds Foundation Malaysia จำนวน 195,900 บาท นั้น

ในช่วงอิดิลอัฎฮา 1441 ที่ผ่านมา AL-Quds Foundation Malaysia ได้เป็นตัวแทนของพี่น้องชาวไทยเชือดกุรบานที่เขตเวสต์แบงค์ ชานเมืองบัยตุลมักดิสและเมืองกาซ่าโดยสามารถเชือดแกะจำนวน 45 ตัวและสามารถจ่ายเนื้อกุรบานไปยังครอบครัวยากจนในปาเลสไตน์กว่า 150 ครอบครัว

Dr. Sharif Abu Shammala ผู้อำนวยการ AL-Quds Foundation Malaysia กล่าวว่า ในนามพี่น้องชาวปาเลสไตน์ ต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวไทยทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมครั้งนี้ จุดยืนของท่านที่มีต่อแผ่นดินอันจำเริญนี้ ถือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจทั้งรูปธรรมและนามธรรม ที่สะท้อนถึงเอกภาพของประชาชาติมุสลิม ซึ่งพี่น้องจากประเทศไทยได้ยืนหยัดเคียงข้างกับปัญหาปาเลสไตน์ด้วยดีเสมอมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่า อัลลอฮ์จะทรงตอบรับการงานที่ดีของท่านและสะสมในสมุดบันทึกแห่งความดีงาม

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

โครงการกุรบาน ณ เมืองชาม 1441 ได้เงินบริจาคทะลุเป้า

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ตรงกับวันที่ 9 ซุลฮิจญะฮ์ 1441 ถือเป็นวันอะเราะฟะฮ์ที่มีความประเสริฐยิ่ง เวลาประมาณ 11.30 น. ทีมงานเพราะเราคือเรือนร่างเดียวกันนำโดย ผศ. มัสลัน มาหะมะ นำเงินบริจาคของพี่น้องชาวไทยจำนวน 415,880 บาท เพื่อจัดโครงการกุรบาน ณ เมืองชาม โดยมี 2 องค์กรภาคีได้แก่ AL-Amal For Development & Social Care และ AL-Quds Foundation Malaysia รับดำเนินการจัดทำกุรบานในพื้นที่ที่ครอบคลุมประเทศเลบานอน ปาเลสไตน์และซีเรีย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากภัยสงครามและถูกปิดล้อมประเทศ

ผศ. มัสลัน มาหะมะ ในฐานะผู้ประสานกลุ่มเพราะเราคือเรือนร่างเดียวกัน เปิดเผยว่า จากการที่องค์กรภาคเอกชนในพื้นที่ที่ได้ทำงานเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้แก่ JABIM มัสยิดตะอาวุนบางปู มูลนิธิอัสสลามเพื่อเยาวชน theustaz.com และเพราะเราคือเรือนร่างเดียวกัน ซึ่งเป็นองค์กรภาคีเครือข่ายที่อยู่ภายใต้สังกัดสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี ได้ระดมเงินบริจาคตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 15-29 กรกฎาคม 2563 โดยสามารถเก็บยอดบริจาคได้จำนวน 415,880 บาท ซึ่งเกินเป้าที่ได้กำหนดไว้ โดยเงินจำนวนดังกล่าวได้โอนเข้าบัญชีของ 2 องค์กรภาคีแล้วตามวัตถุประสงค์ทุกประการผ่านธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยสาขายะลา 2 ยะลา ผลการดำเนินงานจะรายงานให้ทราบอีกครั้ง

ในโอกาสนี้ จึงใคร่ขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ร่วมบริจาคและอำนวยความสะดวกให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนความดีงามที่ได้ปฏิบัติในวันอันประเสริฐนี้ เเละทรงบันทึกในแฟ้มสะสมความดีในวันอาคิเราะฮ์

ربنا تقبل منا إنك أنت السميع العليم وتب علينا إنك أنت التواب الرحيم واجعل هذه الأعمال في سجلات حسناتنا يوم القيامه آمين يا رب العالمين

ละครอิงประวัติศาสตร์ การพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล

เริ่มต้นด้วยการแจ้งข่าวดีของเราะสูลุลลอฮ์ที่กล่าวว่า “คอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิตอย่างแน่นอน แม่ทัพที่ดีที่สุดคือแม่ทัพที่พิชิตเมืองนี้ และกองทัพที่ดีที่สุดคือกองทัพนี้เช่นกัน”

หลังจากการแจ้งข่าวดีนี้ โลกอิสลามต้องรอเกือบ 800 ปี กว่าจะเกิดขึ้นจริงในปี 1453 เมื่อสุลตานหนุ่มมูฮัมมัด อัลฟาติห์พร้อมไพร่พล 300,000 นาย บุกพิชิตเมืองหลวงอาณาจักรไบเซนไทน์ภาคตะวันออกนี้

ประวัติศาสตร์การต่อสู้ การเตรียมความพร้อม การปลูกความหวัง การทำสิ่งนอกความคาดหมาย การบากบั่นมุ่งมั่นใฝ่สัมฤทธิ์ เราสามารถเรียนรู้ผ่านละครอิงประวัติศาสตร์ตอนนี้

อาลัยอายาโซเฟียหรืออาการหวาดกลัวอิสลามกันแน่

ศ.ดร.อะหมัด รัยซูนีย์ ประธานสหพันธ์อุลามาอิสลามนานาชาติ International Union for Muslim Scholar – IUMS


วินาทีที่มีการตัดสินใจคืนสถานภาพมัสยิดใหญ่ ที่รู้จักกันในนามมัสยิดอายาโซเฟียในเมืองอิสตันบูลของตุรกี สู่สถานภาพเดิมดังที่เคยเป็นมาก่อนปี ค.ศ. 1932 คลื่นแห่งความโกรธ การประท้วงและการผรุสวาสกล่าวร้าย ก็พลันปรากฏออกมาจากกลุ่มนิกายคริสต์บางส่วน ชาติตะวันตกบางส่วน แล้วก็ตามมาด้วยชาวอาหรับใจคดเหมือนเดิม

น่าแปลกใจที่ยูเนสโกซึ่งน่าจะเป็นกลางในประเด็นทางศาสนาและการเมือง กลับเข้าร่วมกระบวนกับพวกเขาด้วย

ขั้นตอนของศาลยุติธรรมตุรกีและประธานาธิบดีตุรกีคือการไม่แปลงโบสถ์เป็นมัสยิดอย่างที่บางคนกล่าว หรือจะเปลี่ยนโบสถ์เป็นพิพิธภัณฑ์หรือปิดโบสถ์

แต่เป็นการเปลี่ยนมัสยิดที่เสียหายให้กลายเป็นมัสยิดที่ใช้งานได้

อะไรเป็นอันตรายต่อคริสเตียนและคริสตจักรของพวกเขาในการเปลี่ยนอาคารอายาโซเฟียจากสถานที่ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ซึ่งเป็นที่สักการะพระเจ้าและกล่าวถึงพระเจ้า

ชาวคริสต์ต้องการที่จะให้อายาโซเฟียเป็นที่ท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเปิดให้เป็นสถานที่เคารพพระเจ้าผู้ทรงอำนาจและการอ่านอัลกุรอานหรือ

อัลกุรอานกล่าวถึงบทบาทของศาสนสถานต่างๆ ยกย่องภารกิจและสิทธิในการปกป้อง ตราบใดที่พวกเขานมัสการ และกล่าวถึงพระเจ้า

อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจกล่าวว่า:
وَلَوْلَا دَفْعُ اللَّهِ النَّاسَ بَعْضَهُمْ بِبَعْضٍ لَهُدِّمَتْ صَوَامِعُ وَبِيَعٌ وَصَلَوَاتٌ وَمَسَاجِدُ يُذْكَرُ فِيهَا اسْمُ اللَّهِ كَثِيرًا وَلَيَنْصُرَنَّ اللَّهُ مَنْ يَنْصُرُهُ إِنَّ اللَّهَ لَقَوِيٌّ عَزِيزٌ} [الحج: 40].
สำหรับการเปลี่ยนอายาโซเฟีย (Hagia Sophia) จากโบสถ์เป็นมัสยิดนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานกว่าห้าศตวรรษครึ่ง และความจริงวันนี้ควรพุ่งเป้าความโกรธไปที่ตุรกีร่วมสมัยและประธานาธิบดีแอร์โดฆาน ไม่ใช่จักรวรรดิออตโตมันและสุลต่านมุฮัมมัด ผู้พิชิต

สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเปิดมัสยิดอีกครั้งและกลับไปทำหน้าที่เดิม สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเหตุให้ใครๆต้องโกรธเคืองหรือคัดค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นเรื่องภายในของตุรกีแต่เพียงผู้เดียว เหตุใดจึงต้องเป็นทำแบบผู้ปกครองสั่งผู้อยู่ใต้อาณัติ และความคิดบงการเหนือผู้อื่น

แต่ถ้าเราต้องการกลับไปที่ปัญหาของการเปลี่ยนโบสถ์คริสตจักรให้กลายเป็นมัสยิด สิ่งนี้จะนำเราไปสู่การวิจารณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ไม่สิ้นสุด หากเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องเปิดประเด็นมัสยิดในแอนดาลุสเซีย ซีซิลี รัสเซียและยูโกสลาเวียด้วยเช่นกัน

และไม่ต้องย้อนกลับไปไกลมากฝรั่งเศสก็ปิดทำการปิด 50 มัสยิด ในรอบไม่กี่ปีล่วงมานี้ โดยไม่ต้องกล่าวถึงกรณีของอินเดีย จีนและพม่า

เราขอให้ผู้ประท้วงที่โกรธเคืองจากการเปลี่ยนพิพิธภัณฑ์เป็นมัสยิดอายาโซเฟีย ถ้าตุรกีเปลี่ยนจากพิพิธภัณฑ์เป็นโรงภาพยนตร์ โรงละครโอเปร่าหรือสนามสู้วัวกระทิง คุณจะโกรธไหม? หรือคุณจะเงียบ หรือคุณจะตบมือ?!

สำหรับผู้ที่ร้องไห้กับ “มรดกของมนุษยชาติ” “ที่มนุษยชาติจะถูกลิดรอน จะบอกว่า – และพวกเขารู้เรื่องนี้ – ว่าอาคารจะยังคงเป็นอย่างที่มันเป็น หรือจะดีกว่าที่มันเป็น

สำหรับการจัดแสดงทางศิลปะโบราณคดีและประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านั้นจะกลับไปยังสถานที่ที่เหมาะสม

ส่วนมรดกทางสถาปัตยกรรมนั้น ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในนามของมัสยิด และสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับโบสถ์ ก็จะได้รับการบำรุงรักษาที่สมบูรณ์

ไม่ต้องทำให้เข้าใจผิดดีกว่า พูดอย่างเปิดเผยเลยว่า : เราต่อต้านศาสนาอิสลาม ต่อต้านการละหมาด และต่อการอ่านอัลกุรอาน


แปลสรุปโดย Ghazali Benmad

อ้างจาก https://www.facebook.com/iumsonline/posts/3455862327780140

ราชกิจจานุเบกษาตุรกีประกาศ สถานะใหม่ของอายาโซเฟีย

ราชกิจจานุเบกษาตุรกีประกาศคำสั่งของประธานาธิบดีว่าด้วยสถานะใหม่ของอายาโซเฟีย

ด้วยศาลปกครองสูงสุดแห่งตุรกีได้มีมติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีตุรกีเมื่อปี ค.ศ. 1934 ว่าด้วยการเปลี่ยนสถานะอายาโซเฟียจากมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ในนามรัฐบาลตุรกี ขอประกาศว่าบัดนี้ กิจการการดำเนินงานของอายาโซเฟียจะอยู่ภายใต้กำกับดูแลของกรมกิจการศาสนาในฐานะมัสยิดโดยบริบูรณ์

Recep Tayyip Erdogan
presiden Turki
10 – 07 – 2020


โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

นับถอยหลังสู่อิสรภาพ

การรอคอยคือการทรมาน แต่บางครั้งคือความหวังของผู้ศรัทธา ถึงแม้จะเนิ่นนานสักปานใดก็ตาม

Sameeh Qa”adan (77 ปี) จากเมืองราฟะห์ กาซ่า นับปฏิทินถอยหลังรอคอยลูกชายชื่อ Abdul Rauf ซึ่งถูกทหารยิวจับตัวและตัดสินเข้าคุกนาน 17 ปี

123 คือจำนวนวันที่ยังหลงเหลือของลูกชายที่จะกลับสู่อิสรภาพอีกครั้ง ส่วนคุณแม่ของ Abdul Rauf ได้กลับสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์โดยไม่มีโอกาสเห็นหน้าลูกรักอีกเลย หวังว่าครอบครัวนี้ จะอยู่กันพร้อมหน้าอย่างสุขสถาพรอีกครั้งในสวรรค์ฟิรเดาส์

เป็นภาพที่ไม่สามารถดูได้นอกจากที่ปาเลสไตน์ และไม่มีใครที่สามารถสร้างอธรรมที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ นอกจากยิวไซออนิสต์

เอื้อเฟื้อภาพ โดย شريف أبو شمالة ซึ่งนำเรื่องราวจาก Hani AL-shaer