อัฟกานิสถาน ฏอลิบานรีเทิร์นและการคาดการณ์ในอนาคต [ตอนที่ 2]

กษัตริย์อาห์มัด ชาห์ ดุรรานี่จากเผ่าอับดาลี่ ถือเป็นกษัตริย์ผู้สถาปนาอัฟกานิสถานยุคใหม่ พระองค์ทรงครองราชย์ช่วงค.ศ.1747-1772  ซึ่งสามารถรวบรวมชนเผ่าต่างๆในอัฟกานิสถานกว่า 20 เผ่าพันธุ์และดินแดนบางส่วนในประเทศปากีสถานปัจจุบันทั้งปันจาบ ลาโฮร์ และแคชเมียร์ เคยยกทัพหวังยึดครองกรุงเดลฮีแต่ถูกราชวงศ์มองโกลซึ่งรับอิสลามต้านทานจนต้องล่าถอย หลังจากนั้นอาณาจักรได้อ่อนแอลง จนกระทั่งถูกเฉือนแบ่งราวที่ดินมรดก ในยุค”เกมครั้งยิ่งใหญ่”โดย 2 มหาอำนาจโลกขณะนั้นคือสิงโตแห่งอังกฤษและหมีขาวแห่งรัสเซีย

อัฟกานิสถานหรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ท่านผู้อ่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://th.m.wikipedia.org/wiki/ประเทศอัฟกานิสถาน

#สถิติอื่นๆที่น่าสนใจ

สถิติปัญหาว่างงานสูงถึง 40% (ข้อมูลปี 2005) และประชาชนอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน 53% (ข้อมูลปี 2003) เปรียบเทียบกับประเทศไทยที่

มีอัตราว่างงานสูงสุดในเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ 4.5%  ในขณะที่คนจนมีจำนวน ทั้งสิ้น 5.40 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.79% ของประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูล 2019)

มีรายได้จากการปลูกยาเสพติดชนิดต่างๆ สูงถึง 3,000 ล้านดอลล่าร์ ตามรายงานระบุว่าอัฟกานิสถานสามารถผลิตเฮโรอีนจำนวน 6,700 ตันต่อปี (ข้อมูล 2006) คิดเป็น 92% ของการผลิตเฮโรอีนทั่วโลก

#ไทม์ไลน์สำคัญของอัฟกานิสถาน

  • 1747 สถาปนาอัฟกานิสถานยุคใหม่โดยอาห์มัด  ชาห์ ดุรรานี่จากเผ่าอับดาลี่  โดยมีนครกันดาฮาร์เป็นเมืองหลวง และในปี 1775 ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังคาบูลจนถึงปัจจุบัน โดยราชวงศ์นี้สามารถปกครองอัฟกานิสถานเพียง 37 ปีเท่านั้น
  • 1839-1873 สงครามอัฟกานิสถาน-อังกฤษครั้งแรก ที่จบด้วยความพ่ายแพ้ของอังกฤษจนต้องถอนกำลังออกจากประเทศ
  • 1873 กำหนดเส้นพรมแดนระหว่างรัสเซียและอัฟกานิสถาน
  • 1878-1880 สงครามอัฟกานิสถาน- อังกฤษครั้งที่ 2 ที่จบด้วยสัญญาสงบศึก โดยที่อังกฤษยอมถอนกองกำลังพร้อมแต่งตั้งอะมีรอับดุรเราะห์มาน ข่านเป็นผู้นำ
  • 1893 กำหนดเส้นพรมแดนระหว่างอัฟกานิสถานและอินเดีย จนเกิดปัญหาการแยกประเทศของเผ่าปาทาน หลังจากการกำเนิดของประเทศปากีสถานในปี 1947
  • 1919 สงครามอัฟกานิสถาน- อังกฤษครั้งที่ 3 โดยสิ้นสุดด้วยอังกฤษยอมรับเอกราชของอัฟกานิสถาน ภายใต้ผู้นำอัฟกันคนใหม่คืออะมีร อามานุลลอฮ์ โดยอดีตสหภาพโซเวียตเป็นชาติแรกที่ให้การรับรอง
  • 1921 ลงนามในสัญญามิตรภาพอัฟกาโซเวียต ปูทางให้โซเวียตเข้ามาสร้างบารมีในอัฟกานิสถาน
  • 1973 สิ้นสุดระบอบกษัตริย์และสถาปนาระบอบประธานาธิบดีโดยมีนายดาวูด ข่านเป็นประธานาธิบดีคนแรกด้วยการสนับสนุนจากฝ่ายสังคมนิยม
  • 1978 นายดาวูด ข่าน ถูกทหารฝ่ายสังคมนิยมปฏิวัติและสังหารพร้อมครอบครัว โดยนายนูรมูฮัมมัด ตะรอกีย์ เลขาธิการพรรคสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ สถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดี ถือเป็นการเปิดฉากซีรีย์การแย่งอำนาจที่นำไปสู่การนองเลือดที่ยืดเยื้อในดินแดนอัฟกานิสถาน
  • 1979 ทหารโซเวียตจำนวน 100,000 นายบุกโจมตีอัฟกานิสถาน หะฟีซุลลอฮ์อะมีน ประธานาธิบดีคนใหม่ถูกสังหารหลังอยู่ในตำแหน่งเพียง 4 เดือนหลังจากนูรมูฮัมมัดตะรอกีถูกสังหารก่อนหน้านี้ นายบาบรัค คาร์มัล ถูกส่งตัวจากโซเวียตเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ ท่ามกลางกระแสการต่อต้านจากประชาชน
  • 1989 อดีตสหภาพโซเวีต ถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน ประกาศความพ่ายแพ้อย่างยับเยินหลังสูญเสียพลทหารกว่า 15,000 นาย ถลุงงบประมาณด้านการทหาร กว่า 7 หมื่นล้านดอลล่าร์ตลอดระยะเวลาการทำสงครามนานกว่า 10 ปี นายนาญีบุลลอฮ์ ซึ่งเป็นสาวกผู้สวามิภักดิ์ต่ออดีตสหภาพโซเวียตได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ท่ามกลางการปฎิเสธของกลุ่มมุญาฮิดีน
  • 1992กองกำลังมุญาฮิดีนได้เข้าบุกยึดกรุงคาบูลภายใต้การนำของหิกมัตเทียร์ ผู้นำพรรคอิสลามและพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่มีเผ่าบัชทุนสนับสนุน โดยมีอาห์มัด ชาห์ประธานกลุ่มอิสลามและพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่มีเผ่าทาจิกสนับสนุน ซึ่งลงเอยด้วยสงครามกลางเมืองระหว่าง 2 ฝ่าย สุดท้ายกองกำลังที่นำโดยอาห์มัดชาห์ สามารถคุมพื้นที่ในกรุงคาบูล
  • 1993 สัญญาสงบศึกระหว่างกองกำลังติดอาวุธต่างๆในอัฟกานิสถาน จัดขึ้นที่อิสลามาบัด สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมนาน 18 เดือน โดยมีนายร็อบบานี รับหน้าที่ประธานาธิบดีชั่วคราว ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ แต่ก็ต้องสะดุดกลางคันเมื่อนายหิกมัตเทียร์ ลุกขึ้นปฏิวัติ  ถึงแม้ไม่สำเร็จก็ตาม แต่ก็เพียงพอที่ทำให้แผนสันติภาพและสมานฉันท์แห่งชาติต้องล้มกระดานไป
  • 1994 การปรากฏตัวครั้งแรกของกลุ่ม ฏอลิบาน โดยใช้เมืองกันดาฮาร์เป็นศูนย์บัญชาการ
  • 1996 กลุ่มฏอลิบานสามารถบุกยึดกรุงคาบูลได้สำเร็จ และได้ประหารชีวิตนายนายีบุลลอฮ์ ผู้นำใฝ่คอมมิวนิสต์ที่ได้รับการอารักขาในอาคารสหประชาชาติที่กรุงคาบูลตั้งแต่ปี 1992
  • 1997 กลุ่มฏอลิบานสามารถบุกยึดเมืองทางตอนเหนือโดยเฉพาะมะซาร์ ชะรีฟ แต่ถูกต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังชีอะฮ์ จนต้องล่าถอย
  • 1998 กลุ่มฏอลิบานสามารถบุกยึดเมืองมะซาร์ชะรีฟอีกครั้ง ด้วยการทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มชีอะฮ์
  • 1999 เกิด 2 รัฐบาลคู่ขนานในอัฟกานิสถาน คือ 1) รัฐบาลที่นำโดยนายร็อบบานี ที่นานาชาติให้การรับรอง แต่สามารถปกครองเพียง 15% ของประเทศเท่านั้น 2) รัฐบาลที่นำโดยฏอลิบานที่สามารถปกครองประเทศโดยส่วนใหญ่แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติยกเว้นปากีสถาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบียเท่านั้น
  • 2000 เกิดการปะทะอย่างรุนแรงทางภาคเหนือระหว่างกองกำลังของอาห์มัดชาห์กับกลุ่มฏอลิบานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอัลกออิดะฮ์ของอูซามะฮ์บินลาเด็นและชาติอาหรับ
  • 2001 ฏอลิบานระเบิดทำลายพระพุทธรูปแห่งบาบียัน ท่ามกลางเสียงคัดค้านทั่วโลก
  • 2001 อาห์มัดชาห์ ถูกมือระเบิดพลีชีพสังหารเสียชีวิต ขณะนำทัพต่อสู้กับกลุ่มฏอลิบานทางภาคเหนือของประเทศ
  • 2001 11 กันยา เกิดเหตุการณ์ช๊อคโลกเมื่อ WTC สหรัฐอเมริกาถูกถล่ม พร้อมๆกับการปรากฏตัวของนายอูซามะฮ์บินลาเด็นและกลุ่มอัลกออิดะฮ์
  • 2001 สหรัฐอเมริกาปูพรมถล่มอัฟกานิสถาน เป็นเวลานานกว่า 40 วัน โดยอ้างว่าฏอลิบานให้แหล่งพักพิงแก่บินลาเด็น  ประธานาธิบดีบุชในขณะนั้นได้ประกาศการสิ้นสลายของกลุ่มฏอลิบานอย่างเป็นทางการ
  • 2001 ฮามิด คาร์ไซ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว 18 เดือนเพื่อเตรียมการเลือกตั้งใหญ่ ภายใต้การอุปถัมภ์ของสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความขัดแย้งและการนองเลือดอย่างต่อเนื่อง
  • 15 สิงหาคม 2021 กลุ่มฏอลิบานได้ทำลายสถิติโลกด้วยการบุกยึดกรุงคาบูลสำเร็จชนิดหักปากกาเซียนในขณะที่ประธานาธิบดีนายอัชร็อฟ ฆานี พร้อมบริวารได้หลบหนีลี้ภัยไปยังประเทศทาจิกิสถาน พร้อมขนเงินเต็ม 4 คันรถและเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ จบวีรกรรมของการทุจริตคอร์รัปชั่นบนซากปรักหักพังและภาวะสิ้นเนื้อประดาตัวของชาติและประชาชน

โดย Mazlan Muhammad

อัฟกานิสถาน ฏอลิบานรีเทิร์นและการคาดการณ์ในอนาคต [ตอนที่ 1]

อัฟกานิสถาน ประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างเอเชียกลาง เอเชียตะวันตกและเอเชียใต้ ซึ่งในอดีต กองกำลังมองโกลยุคเจงกิสข่านผู้ไม่เคยปราชัยในสมรภูมิต้องประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกในสงครามเมืองคาบูล ภายใต้แม่ทัพอิสลามนามญะลาลุดดีน แต่เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างมุสลิมด้วยกัน ทำให้เจงกิสข่านสามารถยึดครองดินแดนแถบนี้ ในตำนานเล่าว่าส่วนหนึ่งของลูกหลานเจงกิสข่าน ได้รับอิสลามและได้สร้างอาณาจักรอิสลามอันยิ่งใหญ่บริเวณชมพูทวีปในเวลาต่อมา

จากความโดดเด่นทางภูมิศาสตร์และความร่ำรวยทางทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นที่หมายปองของเหล่านักล่าโดยเฉพาะพญามังกร พญาหมี สิงโตและพญาเหยี่ยวจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

หลังจากสิ้นยุคสิงโตครองโลกช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ถึงคราวยุคพญาหมีที่ได้ทีเข้าตะปบเหยื่อ ณ ดินแดนแห่งนี้อย่างรุนแรงและยาวนานกว่า 10 ปี แต่สุดท้ายต้องซมซานกลับเข้าถ้ำอย่างสะบักสะบอมที่สุด พร้อมๆกับการล่มสลายของอาณาจักรพญาหมีอันยิ่งใหญ่

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พญาเหยี่ยวได้ปูพรมถล่มดินแดนนักต่อสู้แห่งนี้ จนราบเป็นหน้ากลอง พร้อมประกาศอย่างอหังการว่า ฏอลิบานได้ถึงยุคอวสานแล้ว พร้อมๆกับจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเขิดของตน ที่คอยเถลิงอำนาจและสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองและพวกพ้อง บนคราบน้ำตาและความยากจนข้นแค้นของชาวอัฟกัน

แต่แล้วโลกทั้งใบต่างงงงวย เมื่อฏอลิบาน ไม่ได้อวสานตามที่ป่าวประกาศ แต่กลับผงาดบุกยึดกรุงคาบูลเบ็ดเสร็จเมื่อ 15/8/2021 โดยข่าวล่าสุดรายงานว่า ผู้นำรัฐบาลหุ่นเชิดได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านพร้อมสินทรัพย์มหาศาล ท่ามกลางสถานการณ์ความชุลมุนวุ่นวายในกรุงคาบูล สะท้อนถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของแผนการณ์พญาเหยี่ยว ที่แม้แต่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯออกโรงจี้ให้ประธานาธิบดีไบเดนลาออกจากตำแหน่ง เพราะถือเป็นต้นเหตุที่นำความพ่ายแพ้อย่างอัปยศที่สุดของสหรัฐฯทีเดียว

เราค่อยๆมาทำความรู้จักกับอัฟกันแบบค่อยเป็นค่อยไปน่ะครับ


โดย Mazlan Muhammad

ว่าด้วยการสร้างภาพและเล่นการเมือง [ตอนที่ 3]

นี่คือผลสรุปของกลุ่มมนุษย์ประเภทหนึ่งที่มีต่อผลงานของเขาที่ได้ทุ่มเทมากว่า40ปี

-เขาคือจอมหลอกลวง

-ในกระเป๋าถือของเขา เต็มด้วยเงินนับล้านที่คอยแจกให้ชาวบ้านคนเอาวามที่เป็นเหยื่อ

-เขาคือนักฉวยโอกาสตัวยง หาประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง นักสร้างภาพ ฯลฯ

-เขาคือจอมฟิตนะฮ์ หน้าไหว้หลังหลอก หน้าซื่อใจคด ( ประโยคหลังนี้ได้ยินมากับหูเลยครับ)

-เขาคือเด็กสร้างของยิว สุนัขรับใช้ ผู้ขัดขวางอุดมการณ์

-เขาคือผู้สร้างความแตกแยก ผู้เกลียดชังและทำลายภาพลักษณ์อุละมาอฺรุ่นก่อน

– ที่อาบน้ำละหมาด(กอเลาะฮ์) ในปอเนาะ เขามีคาถาพิเศษ หากใครคนไหนที่อาบน้ำละหมาดที่นั่น เขาจะเป็นคนเหมือนโดนเวทย์มนต์ที่คอยสะกดให้เชื่อ

ฟังเขาพูดอย่างว่านอนสอนง่ายทันที

-ห้ามฟังคำสอนของเขา ไม่ว่าฟังสด จากเทปคาสเส็ท วิทยุหรือสื่อต่างๆ เพราะหากฟังแม้ครั้งเดียว จะติดใจเหมือนคนเสพติด

-เขาคือวะฮ์ฮาบีตัวพ่อที่มีอะกีดะฮ์ผิดเพี้ยน ลุ่มหลง และเป็นหมานรก

نعوذ بالله من ذلك

اللهم اهد قومنا فإنهم لا يعلمون

ลองหายใจลึกๆแล้วมองบนท้องฟ้า

มองรอบๆตัวเอง แล้วคิดว่า

หากเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ แสดงว่า

– เขาคงมีคดีฉ้อโกงมากมายที่มีคนฟ้องร้องทั่วประเทศ

– ต่างชาติโดยเฉพาะประเทศอ่าวอาหรับคงไม่โง่พอที่จะสนับสนุนคนฉ้อโกงมโหฬารแบบนี้มาอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปีแล้ว

– 40 กว่าปีที่อาสากลับทำงานในบ้านเกิดเมืองนอน เขาสามารถกอบโกยสะสมเงินทองกี่ร้อยล้าน มีเงินฝากในธนาคารกี่สิบล้าน มีที่ดินจัดสรรรอบๆมหาวิทยาลัยและที่อื่นๆกี่ร้อยไร่

– กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดิเอสไอ) เคยรับเรื่องสอบสวนเขากี่คดีแล้ว

– เราเคยมีผู้หลอกลวง อะกีดะฮ์เพี้ยนคนไหนบ้างในประเทศนี้และในโลกนี้ที่มีผลงานเช่นเขา

ทำไมเราไม่เคยมองคุณูปการอันอเนกอนันต์ที่เขาสร้างมาตลอดระยะเวลาดังกล่าว อาทิ

– มัสยิดนับร้อยทั่วประเทศที่เขาช่วยประสานติดต่อและให้การรับรอง ที่บางคนมองว่าเป็นแหล่งสร้างฟิตนะฮ์และความแตกแยก แต่สำหรับอิสลามถือว่า ผู้ใดสร้างมัสยิด 1 หลัง เขาจะได้รับผลบุญเทียบเท่ากับสร้างบ้านในสวรรค์ทีเดียว

– เขาให้ใบรับรองแก่เยาวชนจำนวนนับพันๆคนเพื่อศึกษาต่อในระดับต่างๆทั้งในและต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยหลายสิบแห่งทั่วโลกก็ยังคงต้องการใบรับรองจากเขา (หากเขาเก็บค่าธรรมเนียมใบรับรองคนละ 100-200 เชื่อว่าน่าจะสามารถสร้างบ้านหลังเล็กๆให้ลูกหลานได้หลังหนึ่ง)

– เขาคือสะพานเชื่อมให้องค์กรระหว่างประเทศโดยเฉพาะองค์กรสาธารณกุศลจากประเทศอาหรับมาให้ความช่วยเหลือและพัฒนาสังคมด้วยโครงการต่างๆนับพันโครงการ

– สร้างมหาวิทยาลัยด้วยงบประมาณ 0 บาทจนกลายเป็นพันๆล้านบาทจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการประเมินฯในทุกขั้นตอน

– เขาสร้างภาพได้อย่างไรให้นักธุรกิจจากมาเลเซีย อินโดนีเซียและอื่นๆสนใจร่วมลงทุนในโครงการมะดีนะตุสสลาม

– นี่คือผลงานของชาวนรก ผู้มีอะกีดะฮ์ผิดเพี้ยนลุ่มหลงกระนั้นหรือ

แต่มีมนุษย์แมลงวันบางประเภท คอยตอกย้ำความผิดพลาดของมือขวาของเขาที่ครั้งหนึ่ง ไปสัมผัสนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศ เพื่อประกาศให้สังคมจดจำว่านี่คือบาปอันใหญ่หลวงที่เขาได้กระทำที่ต้องกระชากให้เข้านรกให้จงได้

ไม่รู้ว่าใช้จิตใจส่วนไหนไปจินตนาการ และสมองซีกไหนไปคิด

โดยปิดตาและมองข้ามสองมือของเขา ที่ยกมือขอดุอาให้อัลลอฮ์ยกโทษยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและช่วงเวลาและโอกาสต่างๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาอันประเสริฐสุดขณะเข้าในอาคารกะอฺบะฮ์ในเดือนรอมฎอน

ด้วยมือขวาอันเดียวกัน เขาเคยสัมผัสบุคคลระดับองค์ประมุขของประเทศ ผู้นำ อุละมาอฺ นักวิชาการระดับโลกมากมายนับไม่ถ้วน

ด้วยมือขวาอันเดียวกัน ที่เขาจรดปากกาเขียนตำรา หนังสือ บทความทางวิชาการในหัวข้อต่างๆมากกว่า 150 ชื่อเรื่อง หนึ่งในนี้คืออัซการ์เช้าเย็น ที่เขาเขียนเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ที่คนเรียนศาสนาบางคนในยุคนั้นแทบไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร นับประสาอะไรกับคนเอาวาม

ด้วยมือขวาอันเดียวกัน ที่เขาเริ่มเขียนตำราเรียนระดับตาดีกาและอิบติดาอีย์สมัยที่เขามีอายุเพียง 17 ปี และยังคงใช้เป็นตำราเรียนในหลายโรงเรียนจวบจนปัจจุบัน ซึ่งอาจมีบางคนที่กำลังด่าทอเขาขณะนี้ อาจเคยร่ำเรียนจากตำราที่เขาเขียนมาก็ได้

ด้วยมือขวาเดียวกัน เขาเคยลูบสัมผัสเด็กกำพร้า คนยากจน เยาวชนและผู้คนจากทั่วสารทิศ

ด้วยสองมือนี้ เขาคือส่วนหนึ่งในจำนวนผู้พลิกแดนระเบียงมักกะฮ์ที่แห้งเหือดที่แม้กระทั่ง ในยุคหนึ่ง สังคมที่นี่มองว่า การสอนตัฟซีร สอนหะดีษคือความลุ่มหลง การใส่ฮิญาบดำของมุสลิมะฮ์คืออาภรณ์ของชาวนรก จนเกิดกระแสผีขนุนที่สร้างความหวาดกลัวในสังคมยุคนั้น การเอี้ยะติก้าฟทำให้มัสยิดสกปรกด้วยน้ำลายและมัสยิดไม่ใช่เป็นที่ซุกหัวนอน ให้กลายเป็นดินแดนที่กระชุ่มกระชวยด้วยทางนำและการปฏิบัติสุนนะฮ์นบีอย่างกว้างขวาง

ด้วยสองมือนี้ เขาได้มีส่วนพัฒนาสังคมโดยเฉพาะด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่แม้แต่นักการเมืองระดับชาติบางคนก็ยังไม่สามารถทำดีได้เท่า

بعد التوفيق والكرم والمنة من الله تعالى

เราไม่เคยยกย่องเขาว่า เป็นผู้วิเศษวิโสที่สามารถหายตัวไปละหมาดวันศุกร์หน้ากะอฺบะฮ์ทุกอาทิตย์

เพราะเขาคือปุถุชนที่มีความอ่อนแอและความผิดพลาดมากมาย ที่เราหวังว่าอัลลอฮ์ยกโทษให้เขาและเราทั้งปวง

เพียงแต่เราอยากขอบคุณ ให้กำลังใจและร่วมคาราวานพร้อมกับเขาในการเดินหน้าร่วมพัฒนาสังคมตามกำลังความสามารถและโอกาส

เพราะอิสลามสอนว่า

“จะไม่ใช่เป็นผู้ขอบคุณอัลลอฮ์ สำหรับคนที่ไม่รู้จักขอบคุณเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”

คนที่กล่าวหา ใส่ร้ายและฟิตนะฮ์เขาในวันนี้

ลองถามตัวเองหน่อยไหมว่า

คุณสะสมความดีมากมายแค่ไหน ที่จะชดเชยให้เขาในวันกิยามะฮ์

ความผิดพลาดและบาปของเขาที่คุณเที่ยวตอกย้ำอย่างเป็นระบบและเทศกาล คุณพร้อมที่จะแบกรับมันใช่หรือไม่

#โปรดหายใจลึกๆ

#แล้วมองไปยังฟ้ากว้างอีกครั้ง

أعوذ بالله من الشيطان الرجيم

قُلْ هَٰذِهِ سَبِيلِي أَدْعُو إِلَى اللَّهِ ۚ عَلَىٰ بَصِيرَةٍ أَنَا وَمَنِ اتَّبَعَنِي ۖ وَسُبْحَانَ اللَّهِ وَمَا أَنَا مِنَ الْمُشْرِكِينَ (يوسف/١٠٨)


โดย Mazlan Muhammad

ว่าด้วยเรื่องการสร้างภาพและการเมือง [ตอนที่ 2]

นอกจากคนไทย 3 คนจากประเทศไทยในฐานะทีมช่างทำประตูกะอฺบะฮ์ ซึ่งนำโดยอ. อับดุลลอฮ์ นาคนาวาในฐานะล่าม ที่ได้รับโอกาสเข้ากะอฺบะฮ์เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว (ดู http://islamhouse.muslimthaipost.com/article/21931 และแอดมินมีโอกาสสัมภาษณ์ ตลอดจนพูดคุยกับอ. อับดุลลอฮ์ นาคนาวาเมื่อ 6-7 ปีแล้วที่รีสอร์ทของท่านก่อนถึงเขายายเที่ยง โคราช) แอดมินยังไม่ทราบว่ามีชาวไทยคนไหนบ้างที่ได้รับเกียรติเข้ากะอฺบะฮ์ในฐานะแขกพิเศษของกษัตริย์ผู้อุปถัมภ์มัสยิดหะเราะมัยน์อันทรงเกียรติ

หากกวาดสายตาไปยังลูกหลานฟาฏอนี แดนระเบียงมักกะฮ์ด้วยแล้ว ด้วยความรู้อันน้อยนิดของแอดมิน ยังไม่ทราบว่ามีลูกหลานชาวฟาฏอนี ระเบียงมักกะฮ์ คนไหนบ้างที่มีโอกาสสุดพิเศษนี้ (หากมี ช่วยส่งข้อมูลด้วยครับ)

แต่ที่แน่ๆ ชายวัยเฉียด 70 ปีคนหนึ่ง ซึ่งชาวดินแดนระเบียงมักกะฮ์ส่วนหนึ่งขับไล่ไส่ส่งเขา ด่าทอและสาปแช่งเขา ฟิตนะฮ์และใส่ร้ายเขาตลอดเวลา แม้กระทั่งเด็กอมมือและนักเลงคีย์บอร์ดยังริจาบจ้วงเขาทุกยามเมื่อชนิดไม่หยุดหย่อน

เขาเคยถูกตัดต่อภาพสีเป็นรูปพระใส่จีวรเหลือง แลัวใส่รูปของเขาที่โกนหัวแทน เพื่อสื่อว่า แท้จริงเขาตกมุรตัดแล้ว (เป็นเหตุการณ์เกิดเมื่อราว 20 ปีแล้วในตัวเมืองของจังหวัดแห่งหนึ่งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ในช่วงรอมฎอน) พร้อมคำใส่ร้ายด้วยฉายาอื่นๆมากมาย

คนๆเดียวกันนี้ ได้รับเขิญจากกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย กษัตริย์คูเวต เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ รัฐบาลโอมาน รัฐบาลมอร็อคโกให้เดินทางละศีลอดร่วมกับแขกพิเศษ 40-50 คนทั่วโลก พร้อมได้รับการต้อนรับอย่างทรงเกียรติในนามแขกรัฐบาล

ที่สำคัญที่สุด เขาได้รับโอกาสเข้าในกะอฺบะฮ์และรับของขวัญผ้าชิ้นส่วนกะอฺบะฮ์จากผู้แทนกษัตริย์มาจำนวนมากกว่า 3 ครั้ง

(ผ้าชิ้นส่วนกะอฺบะฮ์ เป็นธุรกิจซื้อขายที่ได้รับความสนใจในหมู่ลูกหลานชาวระเบียงมักกะฮ์มาก โดยเฉพาะสายเปย์มือหนักๆ ถึงขั้นยอมควักจ่ายเงินเป็นแสนเพื่อได้ชิ้นส่วนผ้ากะอฺบะฮ์ ซึ่งไม่มีใครรับรองว่าเป็นของแท้ ดีไม่ดีกลายเป็นเม็ดอินชวาก็มีถมไป แต่พกกลับบ้านอย่างสบายอุรา)

เราไม่ทราบว่า เขาดุอาอะไรบ้างในอาคารกะอฺบะฮ์อันทรงเกียรตินั้น แต่เราแอบหวังว่า เราคือหนึ่งในดุอาของเขา เราพอใจแล้ว

ส่วนจะมีโอกาสเข้าในกะอฺบะฮ์เหมือนเขาบ้างนั้น แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ลำพังแค่จูบหินดำและดุอาใต้รางทอง ก็กลายเป็นตำนานที่เล่าขานให้ลูกหลานไม่รู้จบแล้ว

เขาสร้างภาพเลอเลิศแค่ไหน ที่ได้โอกาสสุดพิเศษเยี่ยงนี้

#ถามจริง


โดย Mazlan Muhammad

ว่าด้วยการสร้างภาพและเล่นการเมือง [ตอนที่ 1]

น่าจะเป็นตำราวิชาการเล่มแรกกระมังที่เป็นผลงานเขียนของชาวฟาฏอนีในยุคนี้ ที่ได้รับการตีพิมพ์จำนวน 7 ครั้งในรอบกว่า 30 ปีโดยสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงสำนักหนึ่ง ณ ดินแดนกิบลัตแห่งความรู้อย่างอิยิปต์

ตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกจนกระทั่งพิมพ์ครั้งล่าสุด ท่านยังคงใช้ชื่อที่พ่วงท้ายด้วยคำว่า فطاني ย้ำครับว่า فطاني ที่มี ط ไม่ใช่ ت ตามที่ทุกคนเข้าใจนั่นแหละครับ

ที่มาของตำราเล่มนี้คือวิทยานิพนธ์ป.เอก ที่คณะกรรมการสอบคือปรมาจารย์ชั้นยอดด้านกฎหมายอิสลามในซาอุดิอาระเบียในขณะนั้น ซึ่งมีมติเอกฉันท์ให้คะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 ประเภทดีเลิศ พร้อมได้รับการแนะนำให้พิมพ์เผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ประชาคมโลก ซึ่งในวงการวิชาการถือว่าเป็นการให้คุณค่าและเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงยิ่งแก่เจ้าของวิทยานิพนธ์

จนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์มาแล้ว 7 ครั้ง และถูกวางจำหน่ายไปยังร้านหนังสือทั่วโลกอาหรับและโลกอิสลาม รวมทั้งห้องสมุดมหาวิทยาลัยอิสลามชั้นนำกว่า 100 สถาบันการศึกษาทั่วโลก แม้กระทั่งบุคคลระดับดร. ยูซุฟ อัลเกาะเราะฎอวีย์ ยังใช้เป็นหนึ่งในหนังสืออ้างอิงในหนังสือของท่าน فقه الجهاد ที่ท่านได้ทุ่มเท ฝังตัวเองในบ้านและห้องสมุดเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้นานกว่า 5 ปี และที่สำคัญดร. อัลเกาะเราะฎอวีย์ได้ให้เกียรติด้วยการมอบหนังสือ فقه الجهاد อันทรงคุณค่านี้ให้กับนายฟาฏอนีคนนี้ด้วยมือของท่านเองเมื่อราว 7-8 ปีที่แล้ว พร้อมลงลายมือชื่อแทนความรักและการให้เกียรติที่มีต่อกัน

นี่คือเสี้ยวหนึ่งของการสร้างภาพและเล่นการเมืองของนายฟาฏอนีคนนี้ครับ

ปล.  เขาเริ่มสร้างภาพด้วยการใช้คำว่า “ฟาฎอนี” ที่ลงท้ายชื่อตัวเองเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว สมัยที่ใครบางคนยังอยู่ในโลกวิญญาณด้วยซ้ำ

جزاه الله كل خير  وبارك في جهوده وحفظه ورعاه وكثر أمثاله


โดย Mazlan Muhammad

โพสต์จากใจชาวอาหรับแฟนพันธุ์แท้ซีรีส์ “แอร์ตุฆรุล”

โลกออนไลน์กระหน่ำแชร์ข้อความโพสต์จากใจชาวอาหรับแฟนพันธุ์แท้ซีรีส์ “แอร์ตุฆรุล”  เป็นกำลังใจชั้นเยี่ยมให้แก่คนที่ตั้งใจทำงาน ทั้งทีมผู้สร้างและนักแสดง

ข้อความที่แชร์ กล่าวว่า :

เพื่อนของฉัน ถามฉัน ทำไมถึงชอบซีรีส์แอร์ตุฆรุลอย่างบ้าคลั่ง ทำไมถึงภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาวเติร์กราวกับว่าพวกเขาเป็นชาวอาหรับ? ไม่ใช่ประเทศของคุณและวีรบุรุษของคุณหรือที่คู่ควรกับความรักและการเชิดชูนี้ … ?? !!

ฉันจึงบอกเขาว่า :

“ฉันจะตอบคุณโดยมีเงื่อนไขที่ว่า คุณต้องวางใจเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใครๆ ยำเกรงต่อพระเจ้าและไม่กลัวใครๆ เกี่ยวกับหลักการของพระองค์ ! !!

เขากล่าวว่า : “ได้”

ฉันบอกเขาว่า :

“ใช่ ฉันเป็นคนอาหรับ แต่ฉันรักศาสนาของฉันมากกว่าความเป็นอาหรับ ความภักดีแรกและสุดท้ายของฉัน มีเพียงต่อศาสนา ..

ฉันรักและสนับสนุนคนที่ส่งเสริมศาสนาแม้ว่าเขาจะเป็นชาวต่างชาติ  และฉันก็เกลียดและเป็นปฏิปักษ์กับคนที่ทำร้ายศาสนา แม้ว่าพี่ชายของฉัน  จะเป็นลูกของแม่ของฉัน  ไม่ใช่แค่คนอาหรับเท่านั้น !

เราชอบซีรี่ส์นี้ เพราะได้บอกความจริงที่ถูกไอ้งั่งบิดเบือน

นั่นคือ เรื่องราวของชาวตุรกีที่ปกป้องศาสนาอิสลามและชาวมุสลิมด้วยชีวิตของพวกเขา ด้วยเลือดเนื้อของพวกเขา  และชูธงของญิฮาดและความรู้ในสี่ทิศของโลก  พวกเขาเสียสละลูก ๆ ภรรยา ตัวเองและสิ่งมีค่าทั้งหมด

พวกเขาถูกอธรรม แต่มีความอดทนและอดทน

พวกเขามุ่งมั่นต่อสู้ จนอัลลอฮ์ประทานชัยชนะแก่พวกเขา

พวกเขาได้ก่อตั้งระบอบคอลีฟะฮ์ที่ปกครองดินแดนกว่าสองในสามของโลกด้วยความยุติธรรมและความเมตตา

พวกเขาตัดหัวอสรพิษร้ายและทำลายอาณาจักรที่มันสร้างขึ้นบนกะโหลกของทารกมุสลิม ล้างแค้นให้ผู้หญิงที่ถูกหยามเกียรติ และคืนสิทธิให้กับเจ้าของแม้จะไม่ใช่มุสลิมก็ตาม

ข้อเท็จจริงที่ถูกเปลี่ยนแปลงและบิดเบือนในหนังสือประวัติศาสตร์ เราอ่านหนังสือของเราตอนที่เรายังเด็ก มีคำถามในข้อสอบว่า (จงบอกถึงข้อเสียของการยึดครองของชาวเติร์กในประเทศของเธอ และผลดีของการยึดครองของฝรั่งเศส !!)

การพิชิตของออตโตมันจึงกลายเป็นการยึดครอง และการยึดครองอันเหี้ยมโหดของฝรั่งเศสเป็นข้อดี.

ไม่มีใครถูกอธรรมในประวัติศาสตร์เท่ากับวีรบุรุษของตุรกีถูกอธรรม ..

พวกเขาถูกอธรรมจากคนนอกรีตและการผิดศีลธรรม แต่ความอยุติธรรมที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือความอยุติธรรมของพี่น้องในศาสนา …

และน่าเสียใจยิ่งที่ความอยุติธรรมนี้ยังคงดำเนินอยู่จนปัจจุบัน

สุดท้ายนี้ เพื่อนพึงทราบเถิดว่า  กฎของพระเจ้าไม่ได้เข้าข้างใคร ผู้ใดพยายามผู้นั้นย่อมประสบความสำเร็จ

พวกเขาพยายามและสร้างผลงานทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้คนนับพันเข้าสู่ศาสนาของพระเจ้า หลังจากมีการรับชมเกินกว่าสี่พันล้านคน นั่นคือประมาณสองในสามของโลก

เชื่อหรือไม่ ซีรีส์นี้ในหลาย ๆ ฉาก  ยกย่องวีรบุรุษในประเทศของฉัน รวมถึงผู้คนและนักวิชาการในประเทศของฉัน ไม่ต้องพูดถึงการเชิดชูอันยิ่งใหญ่ต่อท่านนบี ศอลฯ  ตลอดจนภรรยาที่บริสุทธิ์ของท่านและซอฮาบะฮ์ที่มีเกียรติของท่าน 》》


โดย Ghazali Benmad

เรื่องเล่าชายแดนใต้ [ 3 ]

ตอน มาเยี่ยมมาเยือน

เมื่อวันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น.

คณะผู้ดูแลกองทุนเพื่อการศึกษานายซูเฟียน อาแว นำโดยนายอาฟิฟ วามุ พร้อมด้วยผศ. มัสลัน มาหะมะและทีมงาน ได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านเลขที่ 12/2 ม. 5 ต. กระเสาะ อ. มายอ จ. ปัตตานี  ซึ่งเป็นบ้านปู่ย่าของนายซูเฟียน อาแว หลังจากชาวมือบนร่วมระดมบริจาคให้นายซูเฟียน อาแวเป็นเงินจำนวน 90,000 บาท (ข้อมูลวันที่ 5 มี.ค. 64) ผ่านการโพสต์เรื่องราวในเพจ Mazlan Muhammad และเว็บไซต์ theustaz.com

คุณปู่ของนายซูเฟียน ปัจจุบันอายุ 75 ปี เล่าว่า ตนมีลูกชาย 2 คน ลูกคนโตคือบิดาของนายซูเฟียน ประกอบอาชีพกรีดยางพาราที่สวนยางของตนที่ อ. สะเดา จ. สงขลา ช่วงเกิดเหตุ ลูกชายของตนกลับบ้านกระเสาะ เพื่อเยี่ยมภรรยาและลูกชายวัย 3 ขวบ(นายซูเฟียน) และลูกชายที่เพิ่งคลอด ส่วนตนและภรรยา(คุณย่า) กรีดยางที่สวนยางที่สะเดา โดยไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับลูกชาย

คุณปู่เล่าต่อว่า เมื่อราวกลางปี 2548 ช่วงกลางคืน มีคนร้ายรอซุ่มในเงามืดหน้าบ้าน เมื่อลูกชายของตนเปิดประตูที่ระเบียงหน้าบ้าน เพื่อจะหยิบขนมให้ลูกชาย คนร้ายได้ยิงด้วยปืนลูกซองเข้ากลางอกของลูกชาย 1 นัด จนเสียชีวิตคาที่ ท่ามกลางความตื่นตระหนกของลูกน้อยทั้งสองและภรรยา เมื่อทราบข่าว ตนจึงกลับบ้าน หลังจากนั้น ตนและภรรยาไม่สามารถกรีดยางที่สะเดาอีกต่อไป เนื่องจากอดีตสะใภ้มีครอบครัวใหม่ ทำให้ตนต้องอุปการะเลี้ยงดูหลานกำพร้าทั้งสอง และมอบหมายให้ลูกชายอีกคนดูแลสวนยางแทน

คุณปู่เล่าว่า เวลาผ่านไป 16 ปี ไม่มีหน่วยงานทางราชการมาให้ความช่วยเหลือ และไม่เคยได้รับการเยียวยาใดๆ เนื่องจาก ช่วงนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก มีเหตุร้ายเกิดขึ้นแทบทุกวัน ตนจึงตั้งใจจะอุปการะเลี้ยงดูหลานทั้งสองคนนี้ ให้เป็นคนดี มีการศึกษา แต่ตอนนี้ตนอายุมากแล้ว ไม่สามารถทำงานหนักได้เนื่องจากเป็นโรคประจำตัว เหลือแต่ยายที่เป็นเสาหลักให้ครอบครัว ทำงานหาเข้ากินค่ำ มีรายได้วันละ 150 บาท และต้องส่งเสียเป็นค่าเล่าเรียนให้หลานชายทั้งสองอาทิตย์ละ 400-600 บาท ตนจึงต้องเก็บหอมรอมริบเพื่อเลี้ยงดูหลานต่อไป

คุณปู่พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า ตนขอบคุณอัลลอฮ์ ที่ตอบรับดุอาให้ความช่วยเหลือด้วยพลังกุศลเจตนาของชาวมือบนที่สนับสนุนกองทุนเพื่อการศึกษาให้หลานรักทั้งสอง ตนดีใจมากและขอพรให้หลานทั้งสองตั้งใจเรียน เป็นเด็กดีเพื่ออนาคตที่ดีต่อไป

นายซูเฟียน อาแว กล่าวด้วยความดีใจว่า ขอชุโกร์ต่ออัลลอฮ์ ขอขอบคุณคุณปู่คุณย่า ผู้บริหาร ครู อุสต้าสและเพื่อนๆ ในโรงเรียนส่งเสริมศาสน์ ต. ตันหยงดาลอ อ. ยะหริ่ง จ. ปัตตานีที่ให้กำลังใจด้วยดีเสมอมา ตนขอสัญญาว่า จะใช้จ่ายกองทุนนี้เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคทุกประการ ที่สำคัญขอขอบคุณเป็นอย่างสูงแก่เพจ Mazlan Muhammad และเว็บไซต์ theustaz.com ตลอดจนชาวมือบนทุกท่านที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการระดมทุนครั้งนี้

หลังจากนั้น คณะฯได้เดินทางไปยังเมืองปัตตานี เพื่อเปิดบัญชีใหม่ โดยในเบื้องต้นได้ถอนเงินจำนวน 90,000 บาท จากบัญชีธนาคารของนายซูเฟียน อาแว พร้อมฝากเข้าบัญชีใหม่ของธนาคารอิสลามในนาม นายซูเฟียน อาแว นายอาฟิฟ วามุ (ผู้แทนโรงเรียนส่งเสริมศาสน์)และนายมัสลัน มาหะมะ

หมายเลขบัญชี 0361193483 สาขาบิ๊กซี ปัตตานี

สำหรับผู้ที่จะร่วมสมทบทุนการศึกษานี้สามารถโอนเข้าบัญชีใหม่ตามระบุข้างต้น  โดยคณะผู้ดูแลจะคอยติดตามและดำเนินการใช้จ่ายเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนนี้ทุกประการ

وجزاكم الله خيرا


โดย Mazlan Muhammad

เรื่องเล่าชายแดนใต้ (2)

นายซูเฟียน อาแว (19 ปี) ภูมิลำเนาที่หมู่บ้านกระเสาะ ต. กระเสาะ อ. มายอ จ. ปัตตานี กำลังศึกษาชั้นม. 5 โรงเรียนส่งเสริมศาสน์ ตันหยงดาลอ อ. ยะหริ่ง จ.  ปัตตานี ขณะอายุประมาณ 3 ขวบ มีคนร้ายบุกเข้าบ้านกลางคืนจ่อยิงคุณพ่อเสียชีวิตจมกองเลือดต่อหน้าต่อตาของหนูน้อยซูเฟียน จากการพูดคุย นายซูเฟียน เล่าว่าตนยังจำเหตุการณ์เมื่อ 16 ปีในอดีตได้อย่างดี มันคือฝันร้ายที่เป็นจริงที่คอยหลอกหลอนในความทรงจำจนถึงทุกวันนี้ ขณะนี้ตนอาศัยอยู่กับตายาย ซึ่งมีฐานะยากลำบากมาก แต่ทั้งสองยังจุนเจืออุปการะตนให้ได้รับการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่งปัจจุบัน ตนจึงใช้เวลาว่างรับจ้างทั่วไปทั้งถางป่า กวาดขยะ ช่วยงานที่โรงเรียนและอื่นๆ เพื่อแบ่งเบาภาระของคุณยาย ในอนาคตนายซูเฟียนตั้งใจจะเรียนสายอาขีวะ เพื่อเป็นหลักประกันการใช้ชีวิตที่ดีและสามารถทดแทนบุญคุณของคุณตาคุณยายต่อไป

จากการสอบถามผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนส่งเสริมศาสน์  อุสต้าซมะห์มูด วามุ ทราบว่า นายซูเฟียน อาแว ได้เข้าเรียนที่นี่ตั้งแต่ระดับอนุบาล เป็นเด็กตั้งใจเรียน นิสัยดีเรียบร้อย มีจิตอาสาและชอบช่วยเหลืองานโรงเรียนมาโดยตลอด จึงเป็นที่รักของบรรดาเพื่อนๆ คุณครูและอุสต้าซ ทางโรงเรียนได้มอบซะกาตให้น้องซูเฟียนมาโดยตลอด

16 ปีที่ผ่านมา ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เพิ่งเริ่มปะทุ และได้ยืดเยื้อจนกระทั่งปัจจุบัน ช่วงนั้น หน่วยงานภาครัฐที่ให้ความช่วยเหลือเยียวยาอาจอยู่ในช่วงการเริ่มต้นและความสับสน จึงอาจตกสำรวจคดีที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่หมู่บ้านกระเสาะในอดีต เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวของมันอาจถูกกลบด้วยคดีรายวันต่างๆมากมาย จนทำให้เคสของหนูน้อยซูเฟียนถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา

แต่หนูน้อยซูเฟียน อาแว ที่คลานอยู่ในกองเลือดของคุณพ่อ ก็ได้เติบใหญ่พร้อมลุกขึ้นใช้ชีวิตบนโลกนี้ต่อไปด้วยความอดทนและเข้มแข็ง

16 ปีที่ต้องสู้ชีวิตพร้อมตายายที่มีฐานะยากจน สภาพแวดล้อม มีความเสี่ยงที่จะฉุดคร่าหนูน้อยซูเฟียนให้ตกในวังวนของปัญหาเยาวชนอันมืดมิด แต่เขาลุกขึ้นสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ตัวเองพร้อมตั้งใจเรียนอย่างขยันขันแข็ง ท่ามกลางข้อจำกัดมากมาย – ด้วยเตาฟิกจากอัลลอฮ์

นายซูเฟียน อาแว จึงเป็นอีก 1 เสียงของเหยื่อความรุนแรงที่ไม่ค่อยมีใครได้ยิน อีก 1 เรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครเล่าขาน

นับจากนี้

# อย่าปล่อยให้น้องซูเฟียน อาแว เดินอย่างเดียวดายเลยครับ


พี่น้องสามารถสมทบทุนการศึกษาให้น้องซูเฟียนผ่านหมายเลขบัญชี

ชื่อ นายซูเฟียน อาแว

หมายเลขบัญชี

929-300-267-1

ธนาคารกรุงไทย

บัญชีออมทรัพย์

สาขาเจริญประดิษฐ์

เรื่องสยองบนแผ่นดินอันดาลูเซีย

เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวอันดาลูเซียนาม Muhammad Saghir ซึ่งใช้ชีวิตภายใต้กฎเหล็กของศาลศาสนาที่บีบบังคับชาวกรานาดาละทิ้งอิสลามและหันกลับนับถือศาสนาคริสต์ตามคำบัญชาของกษัตริย์เจ้าปกครอง

ชัยค์อาลี ฏอนฏอวีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ (เสียชีวิตปีค.ศ.1999) ได้จรดปลายปากกาเขียนเรื่องนี้ ผ่านตัวละครเอก Muhammad Saghir ซึ่งได้เล่าประสบการณ์ชีวิตของตนเองในวัยเด็กว่า

ขณะนั้น ฉันยังเด็กอยู่ จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายนัก เพียงแต่ฉันสังเกตว่า ทุกครั้งที่ฉันกลับจากโรงเรียน คุณพ่อจะกระวนกระวายคล้ายคนอมทุกข์ ทุกครั้งที่ฉันอ่านบทสวดที่ได้ท่องจำมาจากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์และอ่านเนื้อหาที่ฉันได้เรียนมา แววตาของท่านจะเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

พ่อรีบผละออกจากฉัน แล้วเดินไปยังห้องลึกลับในบ้าน พ่อไม่อนุญาตใครผู้ใดเข้าไปในห้องนี้โดยเด็ดขาด ทุกๆวันพ่อจะใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานพอสมควร

ฉันไม่รู้ว่าพ่อทำอะไรในห้องนั้น แต่ทุกครั้งที่พ่อออกจากห้อง ฉันเห็นดวงตาของท่านแดงก่ำ เหมือนคนเพิ่งร้องไห้หนัก พ่อมองฉันด้วยสายตาที่เอ็นดู พร้อมขมิบริมฝีปากเหมือนพูดอะไรบางอย่าง แต่ทุกครั้งที่ฉันตั้งใจเงี่ยหูฟัง พ่อจะหันหลังและเดินไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ส่วนคุณแม่ ทุกครั้งที่ส่งฉันไปโรงเรียนหน้าบ้าน แม่จะโผกอดฉันแน่นครั้งแล้วครั้งเล่าและร้องไห้สะอีกสะอื้น จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า น้ำตาคุณแม่ที่ไหลอาบบนแก้มฉัน ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นตลอดทั้งวัน

ฉันได้แต่แปลกใจ แต่ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพราะสาเหตุใด

เมื่อฉันกลับจากโรงเรียน คุณแม่จะโผวิ่งมาหาฉันและกอดฉันราวกับว่า ฉันพรากจากบ้านนานนับสิบๆวัน บ่อยครั้งที่ฉันสังเกตพ่อแม่ถอยห่างจากตัวฉันและกระซิบเสียงด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาสเปน ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลย เมื่อฉันเข้าใกล้ ทั้งสองก็หยุดสนทนาดื้อๆ แล้วเริ่มพูดด้วยภาษาสเปน จนทำให้ฉันรู้สึกน้อยอกน้อยใจและคิดเรื่อยเปื่อยว่า บางทีฉันคงไม่ใช่ลูกแท้ๆของทั้งสองก็ได้ บางครั้ง ฉันแอบร้องไห้คนเดียวในบ้าน จนกระทั่งฉันกลายเป็นเด็กเก็บกด ไม่ค่อยสุงสิงร่าเริงกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ฉันจึงชอบอยู่คนเดียว จนกระทั่งพี่เลี้ยงมาดึงเสื้อฉันให้ไปละหมาดที่โบสถ์

ต่อมา แม่คลอดลูกชายอีกคน เมื่อพ่อทราบข่าวว่าฉันได้น้องชายคนใหม่แทนที่จะดีใจ ฉันเห็นใบหน้าพ่อหมองเศร้าและสายตาเหม่อลอย สมองของฉันจึงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบ ฉันรู้สึกเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

จนกระทั่งเทศกาลเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ได้เวียนบรรจบอีกครั้ง เมืองกรานาดาถูกประดับประดาด้วยแสงสีตระการตาพร้อมด้วยน้ำหอม โดยเฉพาะโบสถ์และหอสวด

ในค่ำคืนอันเงียบสงัดที่ผู้คนได้หลับสนิท พ่อเรียกฉันและจูงมือฉันไปที่ห้องลับ หัวใจฉันเต้นระทึกระคนหวาดกลัว เมื่อฉันอยู่กลางห้อง พ่อรีบปิดประตูแน่นหนา และหาตะเกียง ฉันรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่อยู่ในความมืด ณ วินาทีนั้น ช่างยืดเยื้อยาวนานเหมือนแรมปี เมื่อห้องเริ่มสว่างมัวๆ ฉันเริ่มกวาดสายตาไปยังห้อง ฉันพบแต่ความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากพรมผืนหนึ่งกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นและดาบเล่มหนึ่งที่แขวนติดผนัง

พ่อบอกให้ฉันนั่งบนพรมและเพ่งมองฉันด้วยสายตาที่เปล่งประกาย จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า ฉันกำลังอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด วังเวงและลึกลับ ณ สถานที่แห่งนี้

ฉันไม่รู้จะอธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้นได้อย่างไร พ่อจับมือฉันอย่างอ่อนโยนและกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“ลูกรัก บัดนี้เจ้าอายุ 10 ขวบแล้ว เจ้าเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว พ่อจะบอกความลับที่พ่อปิดบังเจ้ามาตลอด เจ้าสัญญาไหมว่าจะปิดความลับนี้ และไม่บอกให้ใครรู้เด็ดขาดถึงแม้จะเป็นคุณแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทหรือใครคนไหนก็ตาม”

“หากความลับนี้แตกเมื่อไหร่ ความหายนะของครอบครัวเรา จะต้องมาเยือนแน่นอน เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาต้องลงโทษพวกเราอย่างทารุณ”

พลันที่ได้ยินคำว่าศาลศาสนา หัวใจของฉันเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว ความสยดสยองพรั่งพรูเข้ามาในความรู้สึก ถึงแม้ฉันอายุยังน้อย แต่ก็พอรู้ถึงกิตติศัพท์ความโหดร้ายคนกลุ่มนี้ เพราะในระหว่างที่ฉันเดินทางไปกลับจากโรงเรียน ฉันเห็นผู้คนถูกทรมานเเทบทุกวัน บ้างก็โดนเผาตายทั้งเป็น บ้างก็โดนตรึงที่ไม้กางเขน บ้างก็ถูกคว้านท้อง ผู้หญิงบางคนถูกแขวนด้วยผมศีรษะของนางแล้วถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทรมานก็ชวนทำให้ขนลุกขนพอง

ภาพอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ เข้ามาหลอนในความรู้สึกของฉัน จนกระทั่ง เนื้อตัวเย็นชา ฉันแน่นิ่งชั่วขณะ

พ่อ : ทำไมลูกเงียบ สัญญากับพ่อไหมลูก

ลูก : ครับพ่อ ฉันสัญญา

พ่อ : เจ้าจะไม่บอกให้ใครทราบ ไม่ว่าจะเป็นแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนหรือใครก็ตาม

ลูก : ครับพ่อ

พ่อ : ขยับเข้ามาใกล้หาพ่อซิลูกรัก

“ พ่อต้องกระซิบบอกเจ้า เพราะเกรงว่าผนังห้องจะแอบได้ยิน แล้วมันจะไปฟ้องที่ศาลศาสนา”

ลูก : ฉันพร้อมครับพ่อ

พ่อ : เจ้ารู้ไหมว่า นี่คือหนังสืออะไร

ลูก : ไม่ทราบครับ

พ่อ : นี่คือคัมภีร์ของพระเจ้า

ลูก : อ้อ คัมภีร์ของอีซา บุตรพระเจ้า ที่ฉันท่องที่โรงเรียนทุกวันใช่ไหมครับพ่อ

พ่อ : ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงเอกา พระองค์ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด พระองค์ไม่มีบุตรและพระองค์ไม่ใช่เป็นบุตรของใคร ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์เล่มนี้ให้แก่ศาสนทูตคนสุดท้ายผู้ประเสริฐสุด นบีมูฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์ صلى الله عليه وسلم

ฉันเปิดตาดูหนังสือเล่มนั้น แต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย

พ่อ : ลูกรัก นี่คือคัมภีร์ของอิสลาม ศาสนาที่อัลลอฮ์ทรงประทานนบีมูฮัมมัดมายังมนุษยชาติ ก่อกำเนิดแรกเริ่มท่ามกลางทะเลทรายอันไกลโพ้น ณ นครมักกะฮ์ ท่ามกลางชาวอาหรับเบดูอินที่งมงาย ป่าเถื่อนและบูชาเจว็ด อัลลอฮ์ให้ทางนำแก่พวกเขา พระองค์ประทานความเข้มแข็ง ความรู้และอารยธรรมอันสูงส่ง ทำให้พวกเขาได้เผยแพร่สัจธรรมทั่วคาบสมุทรอาหรับและทั่วแว่นแคว้น ทั้งทางภาคตะวันออกและตะวันตก จนกระทั่งอรุณแห่งอิสลามได้ขจรขจายมายังบริเวณนี้ ณ ประเทศสเปน

ในอดีตราว 800 ปีที่แล้ว ดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ทรราช กดขี่ประชาชน สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จนกระทั่งกองทัพอิสลามเข้ามาพิชิตดินแดนแห่งนี้และปกครองยาวนานกว่า 8 ศตวรรษ ด้วยความยุติธรรม พร้อมสร้างความเจริญและอารยธรรมอันสูงส่งประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขมาอย่างยาวนาน

ลูกรัก เราคืออาหรับมุสลิมที่สร้างความเจริญมากมายบนแผ่นดินนี้

ลูก : อาหรับมุสลิมคือใครครับคุณพ่อ

พ่อ : เราคือเจ้าของแผ่นดินนี้ เราได้สร้างพระราชวังอัลฮัมบราอันยิ่งใหญ่ ที่ปัจจุบันกลายเป็นที่พักอาศัยของศัตรู โบสถ์ที่ใหญ่โตคือมัสยิดอันสวยงามของกรานาดาในอดีต หอสวดที่สูงตระหง่านนั่นคือหออะซานที่ก้องกังวาลในอดีต เราได้สร้างถนนหนทาง ไฟถนน สะพานเชื่อม ระบบน้ำประปาและพัฒนาด้านเกษตรกรรมจนกลายเป็นเรือกสวนไร่นาอันเจียวขจี

แต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ( ค.ศ. 1492) กษัตริย์ผู้น่าสงสารชื่อ อับดุลลอฮ์ ศอฆีร ซึ่งเป็นกษัตริย์อันดาลูเซียองค์สุดท้ายของมุสลิมได้หลงกลกับคำมั่นสัญญาของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 5 และเจ้าหญิงอิสซาเบลล่า พระองค์จึงมอบกุญแจเมืองให้แก่กษัตริย์แห่งสเปนในสภาพที่น่าสมเพชเวทนายิ่ง จากนั้น พระองค์ได้อพยพไปยังดินแดนฝั่งตะวันตก และเสียชีวิตที่นั่นอย่างโดดเดี่ยวและน่าสงสารที่สุด กรานาดาซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของอันดาลูเซียจึงตกในกำมือของศัตรู ก่อนที่พระองค์จะมอบกุญแจเมือง พระองค์ได้ทำสัญญากับกษัตริย์สเปนว่า ขอให้ปกครองประชาชนด้วยความยุติธรรม เสมอภาค และให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่เมื่อพวกเขามีอำนาจ พวกเขาบิดพลิ้วสัญญาและได้ก่อตั้งศาลศาสนาเพื่อบังคับมุสลิมให้นับถือศาสนาคริสต์ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกทรมานแล้วฆ่าอย่างทารุณ นี่คือเหตุผลที่ทำให้พ่อต้องแอบทำอิบาดะฮ์อย่างหลบๆซ่อนๆ

พวกเขาบีบบังคับให้ลูกหลานเราตกศาสนาและบังคับให้เราสนทนาด้วยภาษาสเปน ทั้งๆที่ภาษาของเราคือภาษาอาหรับ 40 ปีแล้วที่เรายอมอดทนเราศรัทธาว่า สักวัน อัลลอฮ์จะช่วยเหลือเรา อิสลามสอนเราอย่าเป็นคนที่สิ้นหวังเด็ดขาด

ลูกรัก เจ้าต้องปิดปากเงียบ ชีวิตของพ่อขึ้นอยู่กับริมฝีปากของเจ้า พ่อไม่กลัวตายหรอก แต่ความตั้งใจของพ่อ คือจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ สอนศาสนาและภาษาให้แก่เจ้า พ่อจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความมืดมิดของการตั้งภาคี สู่แสงสว่างแห่งการศรัทธาให้ได้ ลุกขึ้นเถิดโอ้ลูกรัก

นับตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ฉันเห็นพระราชวังอัลฮัมบราและหออะซานกรานาดา หัวใจฉันเต้นระทึก มันคือช่วงเวลาที่ฉันดื่มกินความโศกเศร้า คลุกเคล้าความหดหู่ จิตใจถูกรุมเร้าด้วยเรื่องราวของความผิดหวังและเศร้าหมอง ฉันขังตัวเองอยู่ในวังวนของความทุกข์อาลัยอาวรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน หัวใจฉันชุ่มฉ่ำเบิกบานด้วยความรักและภาคภูมิใจเมื่อนึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของกลุ่มชนที่ได้สร้างอารยธรรมอันสูงส่งเหล่านี้

พวกเขาคือหยาดฝนแห่งความสมัครสมาน  เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงาม คาราวานแห่งความรู้และสายธารแห่งสันติภาพที่ไหลเวียนและงอกเงยบนแผ่นดินอันดาลูเซียนานกว่า 8 ศตวรรษ

แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงความโหดเหี้ยมของศาลศาสนา ทำให้ฉันรีบวิ่งกลับบ้าน เพื่อท่องตำราที่ฉันเรียนกับคุณพ่อฉันเริ่มหัดเขียนอักขระอาหรับ เรียนรู้วิธีอาบน้ำละหมาด และเริ่มละหมาดตามหลังคุณพ่อในห้องลับนั้น

ช่วงนี้ คุณพ่อมักทดสอบฉันอยู่เนืองๆ คุณแม่มักจะถามฉันตลอดว่า พ่อสอนอะไรบ้าง แม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรลับๆกับพ่อ เจ้ามีอะไรปิดบังแม่หรือ ทุกครั้งที่แม่ถามเรื่องนี้ ฉันตอบว่าไม่ ไม่รู้ ไม่ทราบ ถึงแม้คุณแม่จะคะยั้นคะยอแค่ไหนก็ตาม

จนกระทั่งฉันเริ่มแตกฉานภาษาอาหรับ อ่านอัลกุรอานได้อย่างคล่องแคล่ว และเข้าใจหลักการอิสลามเบื้องต้นเป็นอย่างดี พ่อได้แนะนำให้ฉันรู้จักกับลุงคนหนึ่ง เราทั้ง 3 ได้นัดแนะเพื่อทบทวนบทเรียนและทำอิบาดะฮ์ร่วมกันเสมอ

ศาลศาสนาได้เพิ่มดีกรีความโหดร้ายเป็นทวีคูณ ทุกๆวันฉันเห็นคนทั้งชายหญิงถูกทรมานมากมายนับสิบๆคน บางคนถูกตรึงที่ไม้กางเขน บางคนถูกเผาทั้งเป็น บางคนถูกถอดเล็บมือเล็บเท้า บางคนถูกตัดนิ้วมือแล้วนำไปเผา ก่อนที่จะจ่อใส่ปากนักโทษ บางคนถูกเฆี่ยนตีจนเนื้อหนังแตกกระจุย

วันเวลาผ่านไปหลายปี เช้าวันหนึ่ง คุณพ่อบอกฉันว่า โอ้ลูกรัก พ่อรู้สึกว่าวันเวลาใกล้มาทุกขณะแล้ว พ่อเฝ้าฝันถึงชะฮีดทุกเมื่อยาม บางทีอัลลอฮ์จะประทานสวนสวรรค์ให้พ่ออีกในไม่ช้า หลังจากที่พ่อช่วยพยุงเจ้าให้ออกจากมุมมืดของการตั้งภาคี พ่อไม่ได้หวังอะไรในชีวิตนี้อีกแล้ว ลูกรัก เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจงเชื่อฟังลุงคนนั้น อย่าขัดขืนคำสั่งของเขาโดยเด็ดขาด

วันเวลาผันผ่าน ในค่ำคืนอันมืดมิด ลุงมาหาฉันและสั่งให้ตามเขา ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ เราสามารถลัดเลาะเส้นทางที่แสนอันตราย เพื่อมุ่งสู่ทิศตะวันตก

เมื่อฉันมั่นใจว่าปลอดภัย ฉันถามลุงว่าพ่อและแม่ฉันอยู่ที่ไหน ลุงกำมือฉันแน่น พร้อมตอบว่า พ่อของเจ้าเคยสั่งให้เชื่อฟังฉันไม่ใช่หรือ ฉันเงียบและเดินตามลุงโดยดี

ลุงบอกฉันว่า จงอดทนเถิดหนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าคงสุขสบายในสวรรค์ฟิรเดาส์ด้วยน้ำมือของศาลศาสนาแล้วกระมัง

ทั้งสองมุ่งเดินทางไปยังชายฝั่งตะวันตกและได้ถึงที่ตูนิเซีย เมืองมุสลิมโดยสวัสดิภาพ และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น

หลายปีหลังจากนั้น ณ ดินแดนตูนิเซีย ได้ปรากฏผู้รู้ผู้ยิ่งใหญ่นามว่า มูฮัมมัด บินอับดุลรอฟีอฺ ท่านใช้ชีวิตที่ตูนิเซียและเป็นอุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่ที่เผยแพร่อิสลามและแต่งตำราทางศาสนามากมาย ท่านเสียชีวิตปี ฮ.ศ. 1052

رحم الله العالم الرباني الشيخ محمد بن عبد الرفيع بن محمد الشريف الحسيني المرسي الأندلسي وغفر له ولوالديه وأسكنهم فسيح جناته وجمعنا معهم في الفردوس الأعلى من الجنة آمين يا رب العالمين


โดย Mazlan Muhammad

อ้างอิงจาก

https://3.bp.blogspot.com/-GQr37gxI8wQ/UeCAHapp62I/AAAAAAAAASs/JySu-Ed-K2w/s1600/Screenshot_2013-07-12-20-02-38.png

Catacombs of Paris สุสานกะโหลกใต้เมืองปารีส [ตอนที่ 2]

มหานครปารีสเมืองที่ผสมผสานระหว่างเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้หลงใหลกลิ่นน้ำหอม และผู้นำแฟชั่น แต่ในขณะเดียวกัน คือเมืองแห่งความสยดสยองที่ชวนขนลุก ซึ่งใต้เมืองน้ำหอมอันแสนโรแมนติกนี้ กลับเป็นสุสานที่อัดแน่นไปด้วยกระดูกและหัวกะโหลกหลายล้านชิ้นจากร่างไร้วิญญาณกว่า 6 ล้านชีวิตที่ถูกเรียงพะเนินเต็มผนังใต้ดินที่ลึกกว่า 20 เมตรและมีความคดเคี้ยว เวิ้งว้างและมืดมนชวนหลอนที่ยาวกว่า 300 กิโลเมตรทีเดียว ซึ่งครั้งหนึ่ง กลิ่นเน่าเหม็นของซากศพได้โชยไปทั่วเมืองจนสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณนั้น นอกเหนือจากเป็นแหล่งเชื้อโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย

มหานครปารีสคือภาพที่สะท้อนถึงโลกแห่งความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เหินห่างราวฟ้ากับก้นเหว ระหว่างกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่เดินเหินบนหน้าแผ่นดินอย่างหยิ่งทรนงและสุขสำราญสนุกสนาน กับอีกกลุ่มชนที่ใช้ชีวิตบนคราบน้ำตาและหยาดเลือดที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ยอมเป็นทาสรับใช้ตลอดชีวิต

ฝรั่งเศสหนึ่งในประเทศล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 ที่เคยนำเอาคนพื้นถิ่นในแอฟริกาและที่อื่นๆซึ่งกองทัพเรือของฝรั่งเศสเดินทางไปถึง มาจัดแสดงให้ชาวยุโรปผิวขาวได้ชมในสวนสัตว์มนุษย์ ราวกับคนเหล่านั้นเป็น “สัตว์ประหลาด” ชนิดหนึ่งมาแล้วเมื่อราว 200 ปีก่อน  (ดู https://news.goosiam.com/html/0005067.html ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับในปี 1786 ที่เจ้าของเหมืองหินปูนผู้ศรัทธาในคริสต์ศาสนาในกรุงปารีสได้อุทิศเหมืองให้ใช้เป็นสุสานแห่งใหม่ เนื่องจากกำแพงของสุสาน Les Innocents ได้ถล่มลงในปี 1780 ด้วยสาเหตุฝนตกหนักอย่างยาวนาน การขุดเคลื่อนย้ายศพจากสุสานต่างๆทั่วปารีสมาไว้ที่เหมืองนี้ จึงเริ่มขึ้น จนกระทั่งเสร็จสิ้นในปี 1860  ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนย้ายศพ ต้องใช้เวลานานถึง 80 ปีทีเดียว ( ดู https://travel.kapook.com/view225119.html)

ท่านผู้อ่านไม่เคยฉุกคิดเลยหรือว่า ชายใจบุญคนนั้นสร้างเหมืองที่ลึกลงใต้ดินกว่า 20 เมตรได้อย่างไร เขาใช้กรรมวิธีไหนที่สามารถขุดเจาะอุโมงค์อันคดเคี้ยวลึกลับยาว 300 กิโลเมตร ฝรั่งเศสในยุคนั้นมีเครื่องมือและเทคโนโลยีการขุดเจาะอันทันสมัยแล้วหรือ รีว่ากระดูกและหัวกะโหลกนับล้านชิ้นเหล่านั้นคือคำตอบอันแสนลึกลับนี้

ระหว่างปี 1789-1799 ได้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยุคสมัยแห่งกลียุคทางสังคมและการเมืองที่เปลี่ยนถึงรากฐานในฝรั่งเศสอย่างรุนแรงที่สุด ถือเป็นยุคสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัวของฝรั่งเศสโดยแท้จริง (ดู https://th.m.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติฝรั่งเศส)

หากพี่น้องสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าการริเริ่มใช้เหมืองหินปูนเป็นสุสานระหว่างปี 1780- 1860 คือช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ปะทุขึ้นระหว่าง 1789-1799 และเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับงานเวิลด์แฟร์ ที่แสดงนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ ซึ่งถูกจัดขึ้นในกรุงปารีสในปี 1889 โดยเป็นที่ทราบว่า สวนสัตว์มนุษย์เป็นที่นิยมอย่างมากในยุโรปในระหว่างปลายศตวรรษที่ 1800 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 1900

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ที่คลุมทวีปแอฟริกาซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศอิสลาม ส่วนหนึ่งได้แก่ ยึดครองแอลจีเรียตั้งแต่ 1830 -1962 (332ปี) ยึดครองตูนิเซียตั้งแต่ 1881 – 1956 (75ปี) ยึดครองมอร็อกโกตั้งแต่ 1912 -1956 (44ปี) ยึดครองจิบูตีตั้งแต่ 1884 – 1997 (117ปี) รวมทั้งยึดครองทั้งซีเรียและเลบานอน

ตลอดระยะเวลาของการยึดครองแอลจีเรีย ทหารฝรั่งเศสได้สังหารประชาชนชาวแอลจีเรียกว่า 7 ล้านคน พวกเขาได้ตัดศีรษะบรรดาแกนนำนักต่อสู้โดยทิ้งส่วนร่างกายลงในทะเลและนำศีรษะกลับไปยังกรุงปารีส เพื่อเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์คนในกรุงปารีส ทั้งนี้เพื่อทิ้งร่องรอยไม่ให้ชาวแอลจีเรียรำลึกถึงบรรดานักต่อสู้เหล่านั้น อีกทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่ผู้ที่คิดจะต่อสู้ให้ชนรุ่นหลังว่า จะประสบชะตากรรมเช่นไร

ส่วนหนึ่งความป่าเถื่อนของฝรั่งเศสต่อชาวแอลจีเรีย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2020 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประกาศเอกราชของแอลจีเรีย รัฐบาลแอลจีเรียได้เรียกคืนหัวกะโหลกบรรดาแกนนำนักต่อสู้เพื่อเอกราชจำนวน 24 ชิ้นกลับสู่ประเทศหลังจากถูกแสดงในพิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศสนานกว่า 170 ปี ในขณะที่สื่อฝรั่งเศสระบุในปี 2016 ว่า ยังมีหัวกะโหลกกว่า 18,000 ชิ้นที่ยังถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์คนในกรุงปารีส (ดู https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/7/2/الجزائر-تستعيد-من-فرنسا-رفات-24-من-قادة)

รัฐบาลแอลจีเรียทำพิธีต้อนรับหัวกะโหลกของนักต่อสู้เพื่อเอกราช
จำนวน 24 ชิ้น ที่ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสนำไปเก็บที่พิพิธภัณฑ์คนที่กรุงปารีส

ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า ชนชาติที่มีทัศนคติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเช่นนี้ สามารถยึดครองหัวใจของชาวโลกได้หรือไม่ และพวกเขาต้องสะสมชุดความคิดอันเลวร้ายนี้นานเท่าไหร่ กว่าที่พวกเขาสามารถตกผลึกจนสามารถปฏิบัติได้ในนามรัฐชาติได้

ณ ที่นี่ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาเหมารวมชาวฝรั่งเศสทั้งชาติ แต่เสียงส่วนน้อยที่เป็นพลังความดี เป็นเพียงแสงหิ่งห้อยท่ามกลางความมืดมิดในป่าทึบ ยังไม่สามารถเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้คนได้ เเม้กระทั่งสถาบันทางศาสนา แทบไม่มีบทบาทชี้นำสังคมที่ทุพพลภาพนี้เลย

ในอดีต ดาร์วินเคยหลอกคนทั้งโลกว่ามนุษย์มาจากลิงตามทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ในขณะที่มัลทัส สำทับว่ามนุษย์จะล้นโลกตามทฤษฎีประชากรศาสตร์ของเขาเช่นกัน

แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้คนค่อนโลก แม้กระทั่งดีกรีนักเรียนนอก ก็ยังเชื่อทฤษฎีดังกล่าวชนิดหัวปักหัวปำ จนกระทั่งสโลแกน “ลูกมากยากจน” กลายเป็นวาระสากลทีเดียว

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ในปัจจุบัน มีบุคคลที่ยังคงหลงเหลือเชื่อทฤษฎีนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่า คนค่อนโลก เริ่มรู้ว่าเป็นทฤษฎีแหกตาชาวโลกเท่านั้น

แต่สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจที่ยุคนี้ คนค่อนโลกยังโดนฝรั่งเศสหลอกให้เชื่ออย่างสนิทใจเรื่องสุสานกะโหลกใต้กรุงปารีสตามคำบันทึกของฝรั่งเศส แถมยังต้องชื่อตั๋วเข้าชมเป็นเงินหลายยูโรอีกด้วย

ฝรั่งเศสยังคงสามารถสร้างความมั่งคั่งของประเทศจากกลุ่มชนที่น่าสงสารและถูกอธรรมจำนวน 6 ล้านคนนี้ ไม่ว่าในขณะที่พวกเขาเป็นคนหรือกลายเป็นกะโหลกและกระดูกก็ตาม

นครปารีสยังคงเป็นเมืองแฟชั่นอันดับ 1 ของโลกที่เป็นจุดศูนย์รวมของสไตลิสต์ ดีไซเนอร์และผู้นำแฟชั่นทั้งหลายทั่วโลก แถมยังมีแบรนด์ชั้นนำเกิดขึ้นมากมาย จนกลบมิดภาพหลอนอันโหดร้ายใต้ดินที่ถูกสะสมมานานนับร้อยปี


เขียนโดย Mazlan Muhammad