ผลงานเถื่อนบัชชาร์

โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในแอเลบโปโดนกองกำลังทมิฬบัชชาร์ที่สนับสนุนโดยอิหร่านถล่มด้วยขีปนาวุธ ทำให้เด็กน้อย 6 คนเสียชีวิต และโรงพยาบาลได้รับความเสียหายทั้งหลัง

นับเป็นเวลานาน 10 ปีที่นายบัชชาร์ อะสัด เข่าฆ่า สังหารและทำลายบ้านเรือน โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากกองกำลังที่มาจากอิหร่าน แต่ประชาคมโลกยังทำอะไรไม่ได้กับบัชชาร์แม้เพียงประณาม


ขอบคุณคลิปจาก TRT عربي

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

4 บุคคลทรงอิทธิพลในซีเรีย

หลังจากซีเรียต้องอยู่ภายใต้อุ้งมือของ 2 พ่อลูกตระกูลอะสัดมานานกว่า 50 ปี ซีเรียมีบุคคลอย่างน้อย 4 คนที่ทรงอิทธิพลเหนือดินแดนชาม ได้แก่

            1.         ฮาฟิศ อะสัด ถือกำเนิดที่เมืองลาซิกียะฮ์ ถิ่นผู้นับถือลัทธินุศ็อยรีย์มีจำนวนไม่ถึง 5% ของประชากรซีเรียซึ่งมีจำนวนกว่า 90% ของประเทศเป็นมุสลิมสุนหนี่ สมัยที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปี 1967 เขาได้ฝากผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการขายที่ราบสูงโกลันให้แก่อิสราเอลในละครสงคราม 6 วันด้วยการรับสินบนจำนวน 6 ล้านดอลลาร์ ในปี 1970 เขาได้รับการคัดเลือกเป็นผู้นำด้วยคะแนนสนับสนุนท่วมท้นจำนวน 99.98 % โดยมีเสียงไม่เห็นด้วยเพียง 219 เสียงเท่านั้น เขาปกครองซีเรียทั้งประเทศเหมือนเป็นเรือกสวนไร่นาของตัวเอง ท่ามกลางน้ำตา คราบเลือดและซากศพของผู้บริสุทธิ์ชาวมุสลิมสุนหนี่ผู้บริสุทธิ์ เขาเสียชีวิตหลังจากสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าเหนือแผ่นดินซีเรียเมื่อปีค.ศ. 2000 ขณะอายุ 70 ปี

            2.         ชัยค์อัลอัลลามะฮ์ มูฮัมมัด สะอี้ด รอมฎอนอัลบูฏีย์ ชาวเคิร์ดผู้ถือกำเนิดที่ตุรกี แต่อพยพพร้อมบิดาและครอบครัว ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่กรุงดามัสกัส ซีเรีย เป็นอุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่สายอะชาอิเราะฮ์ ด้วยผลงานทางวิชาการด้านอิสลามศึกษามากมาย ชัยค์อัลบูฏีย์ถือเป็นผู้สนับสนุนผู้นำ 2 พ่อลูกตระกูลอะสัดอย่างสุดซอย ท่านได้นำละหมาดญะนาซะฮ์ของนายฮาฟิศ อะสัด และร่ำไห้ต่อหน้าศพอย่างอาลัยอาวรณ์ หลังจากนายบาสิล อะสัด(ลูกชายคนโตของนายฮาฟิศอะสัด) เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุรถยนต์ ท่านบอกว่าได้ฝันว่านายบาสิลอยู่ในสวรรค์ นอกจากนี้ท่านยังกล่าวขื่นชมนายหะซัน นัศรุลลอฮ์ ผู้นำฮิสบุลลอฮ์แห่งเลบานอน ท่านเสียชีวิตในเหตุการณ์ลอบสังหารด้วยระเบิดในมัสยิดที่ท่านสอนหนังสือเมื่อปี 2013 ขณะมีอายุ 84 ปี ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งด้านบวกและลบ โดยเฉพาะจุดยืนของท่านที่ไม่เห็นด้วยกับการประท้วงรัฐบาลของชาวซีเรีย

غفر الله له  وتجاوز عنه ورحمه وأدخله فسيح جناته

          3.         ชัยค์อัลอัลลามะฮ์มูฮัมมัด อาลี อัศศอบูนีย์

อุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เกิดเมื่อ 1 มกราคม 1930 ที่เมืองหะลับ(แอเลบโป) ซีเรีย เสียชีวิตแล้ว เมื่อ 19 มีนาคม 2021 ขณะอายุ 91 ปี ถือเป็นการสูญเสียผู้รู้ที่สำคัญในโลกอิสลามโดยเฉพาะด้านตัฟซีรอัลกุรอาน เจ้าของผลงานตำราด้านอิสลามศึกษากว่า 50 เล่ม

ถูกรัฐบาลซีเรียยุคฮาฟิศอะสัด ขึ้นบัญชีดำหมายหัว เนื่องจากท่านมีทัศนะว่า ผู้นำคนไหนที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจโดยวิธีการบังคับและการใช้กำลัง ผู้นำคนนั้นจะต้องได้รับการต่อต้านจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้นำเรียกร้องประชาชนให้ปฏิเสธพระเจ้าและสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าอย่างฮาฟิศอะสัด

ชัยค์อัศศอบูนีย์ได้วิจารณ์นายบัชชาร์ อะสัด ประธานาธิบดีซีเรียคนปัจจุบันว่าเป็น มุสัยลิมะฮ์ อัลกัซซาบ และตักเตือนชัยค์มูฮัมมัด รอมฎอน อัลบูฏีย์ ด้วยคำตักเตือนที่รุนแรงชนิดไม่อ้อมค้อม เพราะชัยค์อัลบูฏีย์สนับสนุนนายฮาฟิศ อะสัด และบัชชาร์ อะสัด รวมทั้งไม่เห็นด้วยที่ขาวซีเรียลุกขึ้นประท้วงนายบัชชาร์อะสัดเมื่อปี 2011

ด้วยจุดยืนอันดุดันและมั่นคงที่สนับสนุนและเคียงข้างการประท้วงของชาวซีเรีย ทำให้สื่ออาหรับและชาวซีเรียตั้งฉายาท่านว่า “الشيخ الثائر” หรือผู้เฒ่านักปฏิวัติและถือเป็นอุละมาอฺผู้ยืนหยัดพูดสัจธรรมต่อหน้าผู้นำเผด็จการ

غفر الله له ورحمه رحمة واسعة وأدخله فسيح جناته ورزق لأهله وذويه الصبر والسلوان

            4.         บัชชาร์ อะสัด

ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีปี 2000 หลังอสัญกรรมของบิดานายฮาฟิศ อะสัด และยังอยู่ยงคงกระพันในอำนาจจนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลานานถึง 22 ปีแล้ว ผลงานเถื่อนในระยะเวลา 10 ปีหลังนี้คือการทำให้ประเทศซีเรียทั้งประเทศกลายเป็นทุ่งสังหารและดินแดนมิคสัญญีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ทำให้มีผู้อพยพกว่า 10 ล้านคน ประชาชนถูกสังหารกว่า 1 ล้านคน บ้านเรือนและอาคารถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากลอง แต่เขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้นำสูงสุดของซีเรียอย่างเหนียวแน่น

3 คนได้จากไปแล้วด้วยผลงานอันมากมายทั้งดีและชั่ว ทั้งบวกและลบ แต่การตัดสินที่ยุติธรรมที่สุด ละเอียดที่สุดแม้เท่าผงธุลี คือการตัดสินของพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมและทรงรอบรู้ ทั้ง 3 ท่านกำลังได้รับการพิจารณาและรับผลอานิสงค์ที่ตนเองได้กระทำแล้ว

ส่วนอีกคน กำลังโลดแล่นบนยุทธจักรเถื่อนมากมาย เขาอาจจะรอดพ้นจากการตัดสินและได้รับการอุ้มชูจากมหาอำนาจบนโลกนี้ แต่เขาไม่มีวันรอดพ้นจากการพิพากษาของพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาลอย่างแน่นอน


โดย Mazlan Muhammad

สตรีชาวอเมริกันเข้ารับอิสลามหลังติดตามซีรีส์ประวัติศาสตร์ชื่อดังของตุรกี “Ertugrul Resurrection-คืนชีพคืนแผ่นดิน”

ได้รับอิทธิพลจากซีรีส์ประวัติศาสตร์ชื่อดังของตุรกี “Ertugrul Resurrection-คืนชีพคืนแผ่นดิน” สตรีชาวอเมริกันในนิวยอร์กซิตี้ประกาศนับถือศาสนาอิสลาม หลังจากติดตามเหตุการณ์ในซีรีส์ที่พูดถึงยุคที่มีส่วนในการก่อตั้งจักรวรรดิออตโตมัน

นางเปลี่ยนชื่อเป็น“คอดีญะฮ์” กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว “อนาโตเลีย” ว่า เธอตัดสินใจเข้ารับอิสลามเนื่องจากได้รับผลกระทบจากซีรีส์เรื่อง The Resurrection of Ertugrul และสิ่งที่เธอได้ยินเกี่ยวกับพระเจ้า, อิสลาม, สันติภาพ, ความยุติธรรม และช่วยเหลือผู้ถูกกดขี่

หญิงวัย 60 ปีกล่าวว่า ก่อนที่เธอจะดูซีรีส์เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยุคประวัติศาสตร์นั้น และซีรีส์นี้ดึงดูดเธอด้วยการเสนอแนวคิดของศาสนาอิสลามความยุติธรรมและการช่วยเหลือผู้ถูกกดขี่

เธอระบุว่าเธอรักตัวละครของแอร์ตุฆรุล ตูร์กูต  และ เซลจัน มากกว่าคนอื่น ๆ ในซีรีส์ โดยแสดงความผิดหวังเมื่อเธอรู้ว่า บัมซี  ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแอร์ตุฆรุลและยืนอยู่ข้างเขา

ตัวละครอิบนุอารอบีก็เป็นที่ชื่นชอบของเธอ  เธอดูซีรีส์นี้ 4 ครั้งติดต่อกันและตอนนี้เธอดูซีรีส์นี้เป็นครั้งที่ 5 โดยแสดงความชื่นชมในคุณค่าที่เขานำเสนอโดยเฉพาะเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม

นอกจากนี้เธอยังชี้ให้เห็นว่าเธอถูก “แยกทางสังคม” โดยเพื่อนของเธอหลังจากที่พวกเขาทราบข่าวเกี่ยวกับการเข้ารับศาสนาอิสลามของเธอ โดยแสดงความหวังว่าเธอจะได้ไปเยือนตุรกี และชมสุสานทางประวัติศาสตร์ของตัวละครในซีรีส์โดยเร็วที่สุด


โดย Ghazali Benmad

ทหารอิสราเอลสั่งห้ามซ่อมแซมมัสยิดโดมทอง

24 มกราคม 2021 ทหารอิสราเอลบุกเข้ามัสยิดโดมทองพร้อมสั่งห้ามบูรณะซ่อมแซมมัสยิดในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศปาเลสไตน์ ประณามการ กระทำครั้งนี้และถือว่าเป็นการทำลายความรู้สึกของชาวอาหรับและมุสลิมทั่วโลก

กองกำลังอิสราเอลได้บุกเข้าไปในมัสยิดโดมทองในบริเวณมัสยิดอักศอและสั่งยุติการบูรณะซ่อมแซมข้างในมัสยิด พร้อมข่มขู่คนงานว่าจะขับไล่ออกจากสถานที่หรืออาจถูกจับกุม

ก่อนหน้านี้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง กองกำลังอิสราเอลได้สั่งห้ามการบูรณะซ่อมแซมห้องน้ำและห้องอาบน้ำละหมาดมัสยิดมัรวานมาแล้ว

กระทรวงการต่างประเทศปาเลสไตน์เรียกร้ององค์กรสากลโดยเฉพาะยูเนสโกให้รีบดำเนินการยับยั้งการกระทำของอิสราเอลในครั้งนี้ ทั้งนี้อาคารศาสนสถานของศาสนาคริสต์และอิสลามถูกละเมิดโดยกองกำลังอิสราเอลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องมายาวนาน


โดยทีมข่าวต่างประเทศ

มนุษย์ในมุมมองของจอมเผด็จการ

คำกล่าวของประธานาธิบดีแห่งอียิปต์นายซีซีย์ได้สร้างกระแสความไม่พอใจแก่ชาวอียิปต์อย่างมาก หลังจากที่นายซีซีย์เรียกร้องให้ประชาชนชาวอียิปต์ควบคุมกำเนิด ก่อนที่พวกเขาจะเรียกร้องให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

หลังจากที่ชาวอียิปต์ทุกหมู่เหล่า ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง นายซีซีย์ได้กล่าวแก่ประชาชนว่าก่อนที่ท่านทั้งหลายจะเรียกร้องให้เร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษา ขอให้ท่านทั้งหลายเร่งดำเนินการคุมกำเนิดให้ได้ผลก่อน

คำพูดของนายซีซีย์ สร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนชาวอียิปต์อย่างมาก โดยเฉพาะชาวโลกออนไลน์ที่ได้ตอบโต้ว่า “เบื้องหลังความสำเร็จของญี่ปุ่น ทั้งๆที่เป็นประเทศที่เล็กกว่าอียิปต์ มีทรัพยากรน้อยกว่าและมากด้วยภัยธรรมชาติ เนื่องจากญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการศึกษา ในขณะที่รัฐบาลอียิปต์มองว่า มนุษย์เป็นตัวถ่วงความเจริญและการพัฒนา”

หะซัน อับดุรเราะห์มาน เขียนในทวีตส่วนตัวว่า “ การเพิ่มอัตราประชากรเป็นการเพิ่มขีดความสามารถสู่การพัฒนาและความเจริญของประเทศที่ปกครองโดยประชาธิปไตยที่แท้จริง ในขณะที่รัฐบาลเผด็จการถือว่า มันเป็นตัวถ่วงความเจริญ”

ผู้ใช้ทวีตคนหนึ่งเขียนว่า “ เขามักจะอ้างความยากจน แล้วที่เขาสร้างปราสาทราชวังใหญ่โต รัฐบาลใช้งบประมานส่วนไหนกันแน่”

ในขณะที่ประชาชนผู้สนับสนุนนายซีซีย์ และยกย่องนายซีซีย์เป็นผู้ปกครองทรงคุณธรรมแห่งอียิปต์ กล่าวว่า มาตรการคุมกำเนิด เป็นโครงการที่เราต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะครอบครัวชาวอียิปต์จำนวนมากที่ไม่สามารถส่งเสียลูกหลานให้เรียนหนังสือ เนื่องจากมีลูกมากและไม่มีการควบคุมกำเนิด


อ้างจาก

https://www.aljazeera.net/programs/aja-interactive/2021/1/24/تسألوني-عن-التعليم-أسألكم-عن-تحديد?fbclid=IwAR3hJrhT5iZA1dGeMqo5TQ-chGWXcE9oze-K878UKb4OlGFnuxPRekFDs1g

โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

รัฐบาลคูเวตแถลงซาอุดิอาระเบียคืนดีกับกาตาร์แล้ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคูเวต นายอาห์มัด อัลมุบาร็อค อัศเศาะบาห์ แถลงว่า ซาอุดิอาระเบียประกาศรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกาตาร์เนื่องในประชุมสุดยอดสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองอุลา เมืองเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ อยู่ทางตอนเหนือของกรุงมะดีนะฮ์ 300 กม. เมื่อวันอังคารที่ 5 มกราคม 2564

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคูเวตกล่าวยืนยันว่า ได้มีข้อตกลงเปิดน่านฟ้าและพรมแดนทั้งทางบกและทะเลระหว่างซาอุดิอาระเบียกับกาตาร์ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564

ก่อนหน้านี้เจ้าผู้ครองรัฐคูเวต เชคนาวาฟ อัลอะห์มัด อัลญาบิร์ อัศเศาะบาห์ได้ออกแถลงการณ์ว่า ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ความพยายามในการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและกาตาร์ประสบผลสำเร็จ เราดีใจที่ความขัดแย้งระหว่างสองพี่น้อง สามารถคลี่คลายไปในทางที่ดีและมุ่งมั่นสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคและชาติอาหรับต่อไป

กระทรวงการต่างประเทศตุรกีได้สดุดีต่อความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างสองประเทศที่ถือเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องนี้ พร้อมระบุ มติเปิดพรมแดนระหว่างซาอุดิอาระเบียกับกาตาร์ถือเป็นนิมิตหมายอันดีและมีนัยสำคัญต่อการแก้ไขวิกฤตอ่าวอาหรับต่อไป

กาตาร์ถูกโดดเดี่ยวจากประเทศต่างๆ ภายใต้การนำของซาอุดีอาระเบียตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 หลังจากซาอุดีอาระเบียและหลายประเทศในตะวันออกกลางประกาศระงับความสัมพันธ์กับกาตาร์ทุกมิติ พร้อมกับกล่าวหากาตาร์ว่าให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายและมีสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับรัฐบาลอิหร่าน


อ้างอิง

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

ปฏิบัติตามสัญญา แม้เวลาจะผ่านไปนานถึง 26 ปี

วารสาร AL-Mujtama แห่งคูเวตเผยแพร่ข่าวการให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดีแอร์โดอาน ขณะที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอิสตันบูลระหว่างปี ค.ศ. 1994-1998

โดยสำนักข่าวอัลญาซีร่าห์ ได้เผยแพร่ข่าววารสาร AL-Mujtama ฉบับที่ 1097 ประจำวันที่ 26/4/1994 ได้สัมภาษณ์นายแอร์โดอาน ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอิสตันบูลขณะนั้น ซึ่งเขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่า “ อายาโซเฟีย ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นโบสถ์ได้ ถึงแม้จะมีความพยายามมากมายแค่ไหนก็ตาม” เขาย้ำว่า ความคิดนี้เป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น พร้อมกล่าวว่าอายาโซเฟีย คือศาสนสมบัติของชาวมุสลิมและจะคงอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป”

แอร์โดอานให้สัมภาษณ์ว่า “พวกเราทุกคนทราบดีว่า กษัตริย์ผู้พิชิตสุลฏอน มูฮัมมัด อัลฟาติห์ ไม่ได้ยึดครองอายาโซเฟีย แต่พระองค์ได้บริจาคทรัพย์สินส่วนพระองค์ซื้ออายาโซเฟียและทรงวากัฟ (บริจาคเป็นศาสนสมบัติให้แก่ชาวมุสลิม) ผู้ใดที่ใช้มันอย่างผิดวัตถุประสงค์นี้ อัลลอฮ์และรอซูลจะสาปแช่งพวกเขา”

แอร์โดอานเสริมว่า “ หัวหน้าพรรครอฟาห์ ศ.ดร. นัจมุดดีน อัรบะกาน (พรรคสังกัดแอร์โดอานขณะนั้น)  ได้ประกาศว่า อายาโซเฟียจะกลับคืนเป็นมัสยิดอีกครั้ง และนี่คือสัญญาแห่งศาสนาที่เป็นภารกิจของพรรคราฟาห์ เราพร้อมปฎิบัติตามสัญญา เมื่อโอกาสมาถึง

เวลาผ่านไป 26 ปี เมื่อวันศุกร์ที่ 10/7/2020 ประธานาธิบดีแอร์โดอาน ได้ลงนามประกาศอายาโซเฟียเป็นมัสยิดอย่างเป็นทางการ โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การกิจการศาสนา พร้อมทวิตข้อความว่า ขอให้อัลลอฮ์ทรงประทานความสิริมงคลแก่ท่านทั้งหลาย มัสยิดอายาโซเฟีย

ประกาศฉบับนี้ ถือเป็นการยกเลิกกฎหมายที่เปลี่ยนมัสยิดเป็นพิพิธภัณฑ์เมื่อปีค.ศ. 1934 หรือ 86 ปีที่แล้ว และเป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่แอร์โดอานได้สัญญากับประชาชนชาวตุรกีและประชาชาติมุสลิมเมื่อ 26 ปีที่ผ่านมา

และเมื่อวันที่ 3 ซุลหิจญะฮ์ 1441 (24/7/2020) ประธานาธิบดีแอร์โดอานร่วมกับคณะรัฐบาล ประชาชนนับแสนคน ร่วมกันละหมาดวันศุกร์แรกในรอบ 86 ปี ที่มัสยิดอายาโซเฟีย โดยการนำละหมาดของอิมามใหญ่อายาโซเฟีย พร้อมเสียงตักบีรเนื่องในวัน 10 วันแรกของเดือนซุลหิจญะฮ์ที่ดังกระหึ่มทั่วอิสตันบูล และถูกไลฟ์สดไปยังทั่วทุกมุมโลก

ถือเป็นวันยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์อีกวันหนึ่งที่บันดาลความสุขให้แก่ชาวมุสลิมทั่วโลก ถึงแม้บรรดาผู้ปฎิเสธและผู้กลับกลอกจะชิงชังก็ตาม

 بسم الله والحمد لله والله أكبر


โดย ทีมข่าวต่างประเทศ

อ้างอิงจาก

https://mubasher.aljazeera.net/news/politics/2020/07/11/آيا-صوفيا-مسجدا-كيف-وفى-أردوغان-بوعد?gb=true

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาเซอร์ไบจาน ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 100 ปี

…………….

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ผู้ถูกกดขี่ ได้รับชัยชนะเหนือผู้กดขี่

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ดินแดนที่ถูกยึดครอง ได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ผู้บุกรุกต้องพ่ายแพ้และประกาศยอมจำนน

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ประชาชนที่ไม่ใช่มุสลิม ต้องระเหระหนกลับบ้านเก่า หลังจากบรรยากาศเช่นนี้กลายเป็นภาพขาประจำของชาวมุสลิม

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่ผลการเจรจาเป็นไปตามความต้องการและเงื่อนไขของชาวมุสลิมทุกประการ และสอนให้โลกรู้ว่าการเจรจาที่ได้ผลจริงคือการเจรจาที่ชี้ขาดในสมรภูมิสงคราม

ครั้งแรกในรอบ 100 ปี ที่มติของสหประชาขาติถูกปฏิบัติจริง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่กระดาษเปื้อนหมึกและคำสัญญาบนโต๊ะเจรจาเท่านั้น

ครั้งแรกในรอบ 100 ปีที่เราสามารถเห็นพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของชาติผู้บุกรุกที่เผาอาคารบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรม ก่อนที่จะออกจากพื้นที่ดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่า ไม่ยอมให้ชาวมุสลิมใช้ประโยชน์ ทั้งๆที่เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วพวกเขาบังคับมุสลิมนับล้านคนให้ละทิ้งบ้านเรือน โดยที่มุสลิมมีสิทธิ์พากุญแจบ้านติดตัวเท่านั้น

……………………

ทั่วโลกยินดีปรีดากับประเทศที่ชูถ้วยฟุตบอลโลก แม้กระทั่งชาวมุสลิมนับล้านยังเฉลิมฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่เฝ้าฝันมานานหลายสิบปีแต่ชัยชนะของชาวอาเซอร์ไบจานเหนืออาร์เมเนียที่สมรภูมินากอร์โน-คาราบัค ที่ใช้เวลานาน 44 วัน กลับไม่ได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักของโลกเท่าที่ควร

แม้กระทั่งมุสลิมบางคน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คาราบัคอยู่ที่ไหน สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ทำไมธงตุรกีสะบัดพลิ้วพร้อมๆ กับธงอาเซอร์ไบจาน ตุรกีมีบทบาทอะไรในสมรภูมิครั้งนี้ ชาติตุรกีกระหายสงครามจริงหรือ ใครอยู่เบื้องหลังสนับสนุนกองทัพอาร์เมเนีย ด้วยเหตุผลอะไรที่ผู้นำอาร์เมเนียยอมยกธงขาวในสงครามครั้งนี้ ท่ามกลางอารมณ์โกรธแทบลุกเป็นไฟของชาวอาร์เมเนีย หลังพ่ายแพ้สะบักสะบอม ทำไมประธานาธิบดีแห่งอาร์เมเนียต้องวิ่งโร่ไปยังกรุงดูไบ และโลกได้รับรู้ความสถุนถ่อยของชาวอาร์เมเนียอย่างไรบ้าง

หากมีมัสยิดเพียง 1 หลังที่มีอายุ 100 ปี ถูกเปลี่ยนเป็นคอกวัวคอกหมู แล้วชาวมุสลิมสามารถยึดคืน แล้วเสียงอาซานดังก้องกังวาลอีกครั้ง เราจะชุโกร์ต่ออัลลอฮ์อย่างไรบ้าง เราจะกล่าวแก่ผู้สนับสนุนช่วยเหลือการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้อย่างไร

ที่อาเซอร์ไบจาน มัสยิดและสถานอิบาดัตที่มีอายุร้อยๆปี บางมัสยิดมีอายุเกือบพันปีจำนวนมากมายนับร้อยแห่ง ถูกใช้เป็นคอกวัวคอกหมู แต่ขณะนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากพี่น้องมุสลิมแล้ว

ชาวอาเซอร์ไบจานเฉลิมฉลองกับชัยชนะครั้งนี้ ถึงแม้เสียงตักบีรของพวกเขา ไม่สามารถสร้างกระแสไปยังทั่วโลกก็ตาม


โดย Mazlan Muhammad

ทำไมประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบันมีอคติลึกกับอิสลามและมุสลิม ?

หลังจากก้าวสู่ทำเนียบประธานาธิบดีบาเลเดอลีเซแห่งนครปารีสเมื่อปีพ.ศ. 2560 ดูเหมือนว่า นายเอมานูแอล มาครง ได้ปลุกกระแสความเกลียดชังต่ออิสลามและมุสลิมอย่างต่อเนื่อง

หลังจากใช้วาทกรรม”มุสลิมหัวรุนแรง”ในเวทีต่างๆ ล่าสุดเขาได้ผลิตวาทกรรมใหม่เพื่อตอกย้ำความอคติลึกนี้ด้วยประโยคใหม่ว่า “อิสลามกำลังเผชิญกับวิกฤตทั่วโลก” เขาจึงเสนอร่างกฎหมายโดยเฉพาะเพื่อรับมือกับความเชื่ออันโสโครกของเขา

นายมาครง มองเลบานอนเหมือนประเทศในอาณัติในอดีตและยังคิดว่า ตูนิเซียและเเอลจีเรียเป็นประเทศในอาณานิคมของตน ได้อ้างว่า เขาสามารถแยกแยะระหว่างอิสลามสายกลางกับอิสลามสุดโต่ง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเกลียดชังอิสลามทั้งสองสายจนเข้ากระดูกดำด้วยซ้ำ เขาได้เป็นเจ้าภาพผลิตนโยบายสร้าง”ความหวาดกลัว” และลงทุนในธุรกิจการเมืองท่ามกลางสถานการณ์”อิสลาโมโฟเบีย”ที่แพร่กระจายในยุโรปโดยเฉพาะและโลกตะวันตกโดยรวม ด้วยเหตุผลสร้างกระแสนิยมในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในปี 2022 นี้ อย่างน้อยเพื่อสกัดกระแสคะแนนนิยมของกลุ่มขวาจัดที่ได้รับการตอบรับดีวันดีคืนในฝรั่งเศส

ฝรั่งเศสกำลังร่างกฏหมายต่อต้านมุสลิมรุ่น 2 และ 3 ในฝรั่งเศสที่รัฐบาลมาครงออกมายอมรับว่า รัฐบาล ล้มเหลวในการโน้มน้าวมุสลิมทั้งสองรุ่นนี้ให้หลอมละลายในสังคมฝรั่งเศส

ความจริงอิสลามไม่ใช่เป็นต้นเหตุของวิกฤต มาครงต่างหากที่กำลังจมปลักในวิกฤตความคิดที่อคติเช่นเดียวกันกับอีกหลายประเทศในยุโรป

สหรัฐอเมริกาคงได้บทเรียนราคาแพงในกรณีการเหยียดผิวหลังการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ซึ่งเสียชีวิตในสภาพที่ถูกใส่กุญแจมือและนอนคว่ำหน้ากับพื้นถนนระหว่างถูกจับกุมโดยตำรวจชาวอเมริกันเชื้อสายยุโรป ซึ่งใช้เข่ากดคอด้านหลัง ทำให้ฟลอยด์เป็นลม หมดสติและเสียชีวิตอย่างอนาถ

แต่เสียดายที่นายมาครงมองข้ามบทเรียนนี้ และเขากำลังดำเนินนโยบายเหยียดศาสนาอิสลามที่มีชาวฝรั่งเศสกว่า 6 ล้านคน นับถือศาสนานี้ทั่วประเทศ

อิสลามวิกฤตที่นายมาครงหมายถึงน่าจะเป็นอิสลามฉบับถ่ายสำเนาจากสหรัฐอเมริกาที่มีหน่วยข่าวกรอง ซีไอเอและพันธมิตรในยุโรปหนุนหลังอยู่ พวกเขาได้ผลิตและส่งออกอิสลามวิกฤตินี้เข้าไปยังโลกมุสลิมเพื่อปฏิบัติภารกิจความรุนแรงทั้งฆ่าสังหาร ระเบิดพลีชีพและสร้างความปั่นป่วนในสังคมมุสลิมพร้อมสร้างเครือข่ายแห่งความชั่วร้ายอย่างชัดเจนที่สุด

รัฐบาลฝรั่งเศสได้ออกกฏหมายบังคับให้ชุมชนมุสลิมต้องอาศัยอยู่ในสลัมซึ่งเป็นบริเวณเฉพาะที่ถูกตัดขาดจากสังคมภายนอก ทั้งๆ ที่อาศัยอยู่ในชานเมืองนครปารีสก็ตาม ชาวฝรั่งเศสมองพวกเขาเสมือนเป็นเชื้อโรคและปฏิบัติต่อพวกเขายิ่งกว่าราษฎรชั้น 10 ด้วยซ้ำ โดยที่พวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไรนอกจากมีสีผิวและความเชื่อที่ต่างกันเท่านั้น แต่แล้ว นายมาครงกล่าวหาพวกเขาว่าไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับชาวฝรั่งเศส

การเหยียดผิวและความเชื่อที่ทำให้ประชาชนต้องแยกสถานที่อยู่อาศัย โรงเรียนและโรงพยาบาลในลักษณะนี้ เราแทบไม่สามารถพบเจอในประเทศยุโรปโดยส่วนใหญ่ แม้กระทั่งเพื่อนบ้านอย่างประเทศอังกฤษยังสร้างที่อยู่อาศัยคนยากจนท่ามกลางชุมชนเมืองเพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกแปลกแยกและมีการเลือกปฏิบัติ แถมอังกฤษยังมีกฎหมายต่อต้านการเหยียดผิวที่เกิดขึ้นตามโรงเรียนหรือสนามกีฬาต่างๆ ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่รักษาความรู้สึกของบรรดาผู้อพยพเท่านั้น แต่เพื่อรักษาความสงบสันติในสังคมอีกด้วย ที่เรายกประเด็นนี้ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยกับพฤติกรรมทุกประการของรัฐบาลอังกฤษในกรณีการเหยียดผิว แต่เพียงจะชี้ให้เห็นว่าเพื่อนบ้านของเขาอย่างฝรั่งเศสกำลังนำพาประเทศเข้าคูคลองแห่งความมืดมนและผิดพลาด

พฤติกรรมการเสพติดความโหดร้ายของอิสลามและชาวมุสลิมของนายมาครง ตลอดจนการโหมโรงโจมตีพวกเขาในโอกาสต่างๆถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อความมั่นคงของฝรั่งเศสทัศนคติเชิงลบนี้ทำให้กระแสอิสลาโมโฟเบียและกลุ่มคลั่งลัทธิต่างๆมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเยียวยาโดยด่วน

กลุ่มมุสลิมสุดโต่งที่เลือกใช้วิธีการรุนแรงในฝรั่งเศส เช่นกลุ่มที่บุกโจมตีสำนักพิมพ์นิตยสารชาร์ลี แอ็บโดในปี 2015 ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกประณามจากทุกฝ่ายและทุกศาสนา ก็ถือเป็นปฏิกิริยาโต้กลับที่สืบเนื่องจากพฤติกรรมอันไร้ศีลธรรมของพวกเขา ที่จงใจเติมเชื้อเพลิงด้วยการเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียนนบีมูฮัมมัด صلى الله عليه وسلم  ซึ่งแทนที่พวกเขาจะหยุดการกระทำอันไร้จรรยาบรรณนี้ พวกเขากลับเผยแพร่ภาพการ์ตูนล้อเลียนอีกครั้งเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาใช้ตรรกะวิบัติในประเด็นอิสรภาพในการจาบจ้วง หาใช่อิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

หากอิสลามตกอยู่ในภาวะวิกฤตจริงสาเหตุหลักคงไม่พ้นการแทรกแซงของชาติตะวันตกต่อกิจการภายในของประเทศอิสลามในรูปแบบการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เราลองตั้งชุดคำถามดูว่า

– ใครเล่าที่สนับสนุนรัฐก่อการร้ายอิสราเอล

– ใครเล่าที่คอยเสริมปัจจัยทางวัตถุดิบและเทคโนโลยีให้แก่อิสราเอลเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

– ใครเล่าที่ยึดครองอิรักและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอิรักกว่า 2 ล้านคน พร้อมแปลงอิรักทั้งประเทศให้กลายเป็นประเทศที่ล่มสลายจนราบเป็นหน้ากลอง

– ใครเล่าที่คอยฝึกฝนกองกำลังทหารและสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่กลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มสุดโต่งที่ซีเรีย

– ใครเล่าที่เปลี่ยนลิเบียให้กลายเป็นรัฐล้มเหลวพร้อมขับไล่ประชากรกว่าครึ่งออกนอกประเทศ อีกทั้งยังปล้นสะดมความร่ำรวยของชาวลิเบียแล้วขนกลับไปยังประเทศของตนราวโจรสลัด

หวังว่านายมาครงจะมาให้คำตอบอย่างกระจ่างในเรื่องนี้ ถึงแม้จะเป็นความหวังที่เป็นไปไม่ได้และไม่มีทางเกิดขึ้นก็ตาม


อ่านเอกสารต้นฉบับ

โดยทีมข่าวต่างประเทศ

ตุรกี & กรีซ มหากาพย์แห่งความขัดแย้ง (ตอนที่ 3)

ถึงแม้ทั้งตุรกีและกรีซเป็นสมาชิกขององค์การนาโต้ แต่ทั้งสองก็มีข้อพิพาทกระทบกระทั่งกันมาโดยตลอด ชนวนความขัดแย้งสรุปได้ดังนี้

1. เกาะไซปรัส
ไซปรัสเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก อยู่ทางตอนใต้ของประเทศตุรกีราว 64 ไมล์ ห่างจากเกาะโรดส์และเกาะคาร์ปาทอสของกรีซราว 240 ไมล์ สมัยยุคกลางเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิไบเซนไทน์ ต่อมาถูกจักรวรรดิอุสมานียะฮ์เข้ายึดครอง หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้เข้ายึดครองจนกระทั่งประกาศเอกราชเมื่อปี 1960 แล้วจัดตั้งเป็นประเทศอย่างเป็นทางการชื่อว่าสาธารณรัฐไซปรัส

ถึงเเม้โดยนิตินัย ไซปรัสเป็นประเทศเดียว แต่โดยพฤตินัย ประเทศนี้ถูกแบ่งเป็นไซปรัสส่วนใต้ มีเนื้อที่ 5,895 ตร. กม. หรือ 65%ของพื้นที่ทั้งหมด ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวกรีซ นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกส์ และไซปรัสเหนือ มีเนื้อที่ 3,355 ตร. กม. หรือ 35%ของพื้นที่ทั้งหมด ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เชื้อสายตุรกี

กรีซและสหประชาขาติให้การรับรองกรีซส่วนใต้ ในขณะที่ตุรกีเพียงประเทศเดียวที่ให้การรับรองกรีซส่วนเหนือ

ปัญหาเกาะไซปรัสเป็นปัญหาที่เปราะบางที่สุดระหว่างตุรกีกับกรีซ ซึ่งในอดีตได้เป็นชนวนทำให้เกิดสงครามกลางเมืองมาแล้ว

2. ปัญหาพรมแดน
ปัญหาพรมแดนระหว่างตุรกีกับกรีซนับเป็นระเบิดเวลาที่กำหนดโดยข้อตกลงในสนธิสัญญาโลซาน ทั้งนี้ในทะเลอีเจียนซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างสองประเทศนี้ ประกอบด้วยหมู่เกาะมากมายกว่า 2,000 เกาะ โดยหมู่เกาะเหล่านี้เกือบทั้งหมดตกเป็นของกรีซ ถึงแม้บางเกาะจะอยู่ติดชายฝั่งของตุรกีเพียง 2 กม. ก็ตาม สถานการณ์ยิ่งตึงเครียด เมื่อกรีซยกประเด็นการครอบครองเขตน่านน้ำห่างจากชายฝั่งของตน 12 ไมล์ แทน 6 ไมล์ตามข้อตกลงสากล ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอีเจียนเป็นกรรมสิทธิ์ของกรีซโดยปริยาย และทำให้ตุรกีประสบปัญหา ไม่มีเส้นทางออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกเลย ซึ่งตุรกีถือว่า ประเทศอียูโดยเฉพาะฝรั่งเศสและอิตาลี พยายามให้ท้ายกรีซคิดการใหญ่เข่นนี้ ซึ่งตุรกีถือว่าเป็นการประกาศสงครามในภูมิภาคทีเดียว

3. ปัญหาผู้อพยพ
วิกฤติซีเรียและอิรักทำให้ประชาชนหลั่งไหลอพยพหนีตายเข้าไปในตุรกีกว่า 4 ล้านคน บางส่วนได้อพยพเข้าในประเทศสหภาพยุโรปไปแล้วกว่า 1 ล้านคน ทำให้ประเทศอียูได้ทำข้อตกลงกับตุรกีว่าให้ระงับการอพยพของชาวซีเรียเข้าไปในยุโรป โดยที่ประเทศอียูให้สัญญาว่าจะมอบความช่วยเหลือด้านงบประมาณแก่ตุรกี แต่ในความเป็นจริงประเทศอียูไม่เคยปฏิบัติตามสัญญา โดยปล่อยให้เป็นภาระของตุรกีตามลำพัง ทำให้ตุรกีขู่ว่าจะปล่อยผู้อพยพบางส่วนเข้าไปในประเทศยุโรปโดยเฉพาะประเทศกรีซ จนเกิดภาวะความตึงเครียดระหว่างชายแดนของทั้งสองประเทศมาโดยตลอด

4.มัสยิดอายาโซเฟีย
อายาโซเฟียในอดีตคือโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดยุคจักรวรรดิไบเซนไทน์ นิกาย ออร์โธดอกส์และเป็นสัญลักษณ์ความยิ่งใหญ่ของกรุงคอนสแตนติโนเปิลนานกว่า 900 ปี ต่อมาหลังการล่มสลายของอาณาจักรนี้ ก็ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นมัสยิดเป็นเวลานานเกือบ 500 ปี ในยุคอุสมานียะฮ์ หลังการล่มสลายของอาณาจักรอุสมานียะฮ์ ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์นาน 86 ปี จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 เดือนกรกฎาคม 2020 ประธานาธิบดีแอร์โดอานแห่งตุรกี ได้ลงนามประกาศอายาโซเฟียเป็นมัสยิดอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสภาคริสตจักรสากลและผู้นำนานาชาติหลายประเทศที่ถือว่าเป็นการสร้างชนวนความขัดแย้งทางศาสนาที่เปราะบางที่สุด แต่ก็ไม่ทำให้ตุรกีเปลี่ยนจุดยืนแม้แต่น้อย พร้อมตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยวว่า นี่คือกิจการภายในของตุรกี ที่มีอิสระตัดสินใจกระทำตามกระบวนการทางกฎหมายต่างชาติไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายกิจการภายในของตุรกี พร้อมยืนยันว่าตุรกียุคใหม่ไม่ใช่ตุรกียุคเก่าที่คอยปฏิบัติตามคำสั่งของชาติตะวันตกอีกแล้ว

จุดยืนของตุรกีครั้งนี้ สร้างความปิติยินดีเเก่ชาวมุสลิมและผู้ใฝ่หาความยุติธรรมทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกัน ได้ทิ่มแทงแผลเก่าที่เจ็บลึกให้แก่ชาติยุโรป โดยเฉพาะประเทศกรีซ

อายาโซเฟียคือคือชีพจรที่เป็นตัวชี้วัดการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ระหว่างชาติตุรกีกับชาติตะวันตกที่นำโดยประเทศกรีซ

5.ชนกลุ่มน้อย
ตุรกีกล่าวหากรีซว่ารัฐบาลกรีซล้มเหลวในการจัดการปัญหาชนกลุ่มน้อยที่เป็นชาวตุรกีมุสลิมในประเทศกรีซ โดยเฉพาะปัญหาทางการศึกษาและความอิสระในการปฏิบัติตนตามความเชื่อ ประธานาธิบดีแอร์โดอานกล่าวว่า กรุงเอเธนส์ซึ่งเป็นเมืองหลวงกรีก คือเมืองหลวงแห่งเดียวในสหภาพยุโรปที่ไม่มีมัสยิด ในขณะเดียวกันกรีซก็กดดันตุรกีให้เปิดโรงเรียนสอนศาสนานิกายออร์โธดอกส์ที่อิสตันบูล นอกเหนือจากโบสถ์ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งตุรกียังไม่อนุญาต

6.รัฐประหารล้มเหลว
ในค่ำคืนรัฐประหารล้มเหลวที่อิสตันบูลเมื่อปี 2016 มีนายพลจำนวน 8 นายที่หลบหนีไปกบดานที่เกาะกรีซที่อยู่เรียงรายชายฝั่งตุรกี ซึ่งรัฐบาลตุรกีได้ทำหนังสือเรียกร้องให้กรีซส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนทั้ง 8 คนมาดำเนินคดีที่ตุรกี แต่จนกระทั่งปัจจุบันยังไม่ได้รับความร่วมมือใดๆจากสมาชิกนาโต้ประเทศนี้เลย

ทั้ง 6 ประเด็นนี้ คือระเบิดเวลาที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ซึ่งหลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจบานปลายนำไปสู่สงครามในภูมิภาคโดยเฉพาะหลังการตรวจพบแหล่งพลังงานอันมหาศาลทั้งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันของประเทศตุรกี


โดย Mazlan Muhammad

ดูเพิ่มเติมที่ https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/8/29/تركيا-واليونان-تاريخ-طويل-من