อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 3

1.ฝ่าฝืนบทบัญญัติของอัลลอฮฺและไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง

สถานเริงรมย์ ผับบาร์ เหล้าสุรา นารีและดนตรีกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ขาดเสียไม่ได้ บรรดาผู้นำแทนที่จะห่วงใยประชาชน ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข กลับกลายเป็นบำเรอสุขให้ตนเองและกระจายทุกข์แก่ปวงประชา อบายมุขกลายเป็นความเคยชิน ในขณะที่การยึดมั่นในศาสนาได้กลายเป็นคนแปลกหน้า

ยุคหนึ่งผู้พิชิตชาวอาหรับคือผู้ธำรงไว้ในความยุติธรรม ถึงขนาดนักประวัติศาสตร์ชาวสเปนกล่าวสดุดีว่า เราแปลกใจว่าพวกเขาคือกลุ่มชนที่ผุดออกมาจากใต้ดินหรือจุติลงมาจากฟากฟ้ากันแน่ เพราะพวกเขาคือความยุติธรรม มีใจอันประเสริฐที่เดินเหินบนหน้าแผ่นดิน ที่เราไม่เคยพบเห็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ชนะสงครามที่ไหนมาก่อนในประวัติศาสตร์

พวกเขาไม่เคยหลาบจำคำเตือนของอัลลอฮฺ ความว่า
“และกี่เมืองแล้วที่เราได้ทำลายมัน(เพราะความดื้อรั้นของพวกเขา) โดยที่การลงโทษของเรามายังเมืองนั้น ในยามค่ำคืนหรือในขณะที่พวกเขานอนพักผ่อนยามบ่าย (อัลอะรอฟ,7 : 4)

2.ความฟุ่มเฟือยและใช้ชีวิตที่หรูหรา จนทำให้หลงลืมปฏิบัติภารกิจสำคัญ ในขณะที่ศัตรูคอยสบโอกาสทุกยามเมื่อ อิบนุคอลดูนกล่าวว่า “ฉันไม่เคยเห็นชุมชนที่มีความฟุ่มเฟือย ยกเว้นมีอธรรมควบคู่ด้วย”
ทรัพย์สมบัติและทรัพยากร แทนที่จะถูกแจกจ่ายแก่ประชาชนอย่างทั่งถึง กลับถูกกักใช้เป็นสมบัติผลัดกันชมในกลุ่มอำมาตย์เท่านั้น แข่งขันสร้างตึกรโหฐานและสิ่งประดับประดา ถึงขนาดกษัตริย์องค์หนึ่งโกรธกริ้วอย่างอารมณ์เสีย เนื่องจากไม่พอใจวิศวกรไม่สามารถสร้างราชวังตามความต้องการของพระองค์ ทั้งๆที่ในขณะนั้นศัตรูจากทั่วสารทิศได้โจมตีเมืองและสร้างภยันตรายแก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้า

พวกเขาลืมสิ้นแล้ว คำเตือนของอัลลอฮฺที่กล่าวความว่า

“และเมื่อเราปรารถนาจะทำลายเมืองหนึ่ง เราจึงบัญชาให้พวกฟุ่มเฟือยในเมืองนั้น และพวกเขาก็ฝ่าฝืนในเมืองนั้น ดังนั้นการลงโทษก็จะประสบแก่เมืองนั้น และเราได้ทำลายมันอย่างพินาศเด็ดขาด” (อัลอิสรออ.,17 : 16)

3.ไว้ใจศัตรูและมอบความรักแก่คู่อริอย่างหมดหัวใจ

เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและรักษาไว้ซึ่งราชบัลลังค์ ผู้นำยุคอันดาลูเซียบางคนยอมทำสัญญาผูกไมตรีกับกษัตริย์คริสเตียนให้ยกทัพปราบปรามกองทัพมุสลิม พร้อมยกดินแดนส่วนหนึ่งเป็นของกำนัล ดังที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ว่าเมืองชื่ออะบูซัยด์กับกษัตริย์คริสเตียนพระองค์หนึ่ง พร้อมยอมถวายเครื่องราชฯแสดงความจงรักษ์ภักดี จนกระทั่งในที่สุดผู้ว่าการอะบูซัยด์ยอมรับเป็นคริสตชน

เช่นเดียวกันกับอาณาจักร Bani Ahmar ที่กอดคอร่วมกับอาณาจักรคริสเตียน Castellae ทำสงครามกับกองทัพมุสลิมเพียงเพื่อรักษาบัลลังค์ของตนเอง

พวกเขาไม่เคยถอดบทเรียนและนำคำสอนของอัลกุรอานที่เตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ความว่า
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร เพราะในระหว่างพวกเขา ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างกัน” (อัลมาอิดะฮฺ, 5 : 51)

4.(ต่อ….)

ตอนที่ 4 > https://www.theustaz.com/?p=406

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 2

ไอสไตน์เคยกล่าวว่า ในโลกนี้ไม่มีคำว่าปาฏิหารย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเหตุและผลทั้งสิ้น เพียงแต่ไอสไตน์ไม่สามารถอธิบายต่อว่า ใครคือผู้กำหนดเหตุและผล เขาพยายามอธิบายว่า เมื่อมีไฟ ย่อมมีร้อนและย่อมเกิดการเผาไหม้ แต่เขาไม่เคยให้คำตอบว่าใครคือผู้วางกติกาให้ไฟนำความร้อนและเกิดการเผาไหม้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยพบกรณีนบีอิบรอฮีมที่ถูกไฟไหม้ แต่ไม่ก่ออันตรายใดๆแก่นบีอิบรอฮีมเลย

อัลกุรอานได้สอนเราว่า อัลลอฮฺได้กำหนดทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมนองคลองธรรม( سنن كونية) เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผลตามมา เช่นเดียวกันกับวิถีของประชาชาติ

“นั่นคือวิถีของอัลลอฮ์แก่บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแต่กาลก่อน และเจ้าจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในวิถีของอัลลอฮฺ”
(อัลอะห์ซาบ,33 : 62)

ชีวิตของประชาชาติ ก็ไม่ต่างไปจากชีวิตของคน เป็นไปไม่ได้ที่เราเห็นคนๆหนึ่งมีพละกำลังแข็งแรงกำยำ หรือเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจ โดยปราศจากการฝึกซ้อมและการเตรียมตัวอย่างดี เช่นเดียวกับคนป่วยที่นอนซมบนเตียงพยาบาล ซึ่งมาจากโรคประจำตัวเขานั่นเอง

ปาฏิหารย์เท่านั้นหรือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะเป็นแชมป์วิ่งร้อยเมตรระดับโอลิมปิก และเป็นสิ่งอัศจรรย์มากๆหากคนรักษาสุขภาพอย่างดี แต่กลับเจ็บออดแอดเนื่องจากร่างกายอ่อนแอ

อันดาลูเซียคือเรือนร่างที่เข้มแข็งสมบูรณ์ที่สุด สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมโลกอย่างอเนกอนันต์ และกลายเป็นกระดูกสันหลังที่สร้างอารยธรรมแก่ชาวโลกมายาวนาน

แต่เมื่อถึงวันร่วงโรย อันดาลูเซียกลับถูกทิ้งขว้าง หนำซ้ำยังถูกลบเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์ ไร้ร่องรอยของความยิ่งใหญ่ ไม่หลงเหลือเค้าอดีตอันรุ่งเรืองให้เห็นแม้แต่ชิ้นเดียว

อันดาลูเซียได้ประสบกับวิถีของอัลลอฮฺที่ได้เกิดขึ้นแก่ชนชาติที่ล่มสลายก่อนหน้านี้ และนี่คือกฏกติกาของอัลลอฮฺที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และนี่คือสาเหตุหลักการล่มสลายของอันดาลูเซียที่เรากำลังพูดถึง สรุปได้ดังนี้

1.

ต่อครับ
อิน ชาอฺ อัลลอฮ

ตอนที่ 3 > https://www.theustaz.com/?p=400

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ

อันดาลูเซีย อัญมณีที่สาปสูญ ตอนที่ 1

อิสลามได้เผยแพร่ในดินแดนอันดาลูเซีย(สเปนปัจจุบัน) ตั้งแต่ปีฮ.ศ.93-897 (ค.ศ.688-1492) ตลอดระยะกว่า 8 ศตวรรษ ชาวมุสลิมได้สร้างอารยธรรมที่เจริญสุดขีดทั้งด้าน สังคม วัฒนธรรม การศึกษา การเมือง เศรษฐกิจ การพัฒนาเมืองและอื่นๆ ในขณะที่ยุโรปยุคนั้น กำลังจมปลักในความเสื่อมโทรมและเสื่อมทรามทางศาสนา วัฒนธรรมและสังคม จนกระทั่งนักปรัชญาสตรีชาวอิตาลี เพทราค (ค.ศ.1330) ได้ประดิษฐ์วาทกรรมสะท้อนสังคมยุคนี้ว่าเป็น ยุคมืด ( Dark Ages)

อันดาลูเซียภายใต้การปกครองของมุสลิม ได้กลายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ที่ผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามาตักตวงศาสตร์ในทุกแขนงวิชา ทั้งอิสลามศึกษา ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ การแพทย์ สถาปัตยกรรมและอื่นๆ ชาวยุโรปจึงนิยมส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนจากบรรดาคณาจารย์ชาวอาหรับ จนกระทั่งการพูดสนทนาภาษาอาหรับในยุคนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนศิวิไลส์ทีเดียว

แต่แล้วอันดาลูเซียก็ประสบกับสัจธรรมแห่งวงล้อชีวิต ที่ทุกอย่างเมื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว ย่อมเสื่อมถอยและร่วงโรยเป็นธรรมดา

มุสลิมเสียเมืองกรานาดา ฐานที่มั่นสุดท้ายเมื่อ มุฮัมมัดหรือโบอับดิล (Boabdil) ยอมจำนนต่อกองทัพคริสเตียนแห่งคารธิล ซึ่งนำโดยกษัตริย์เฟอร์ดินานด์และพระราชินีอิซาเบลล่า โดยได้มีการลงนามในสัญญาที่บรรจุเนื้อหา 67 ข้อ ซึ่งเป็นสัญญายอมจำนนที่ยาวที่สุดในโลก พร้อมทั้งมอบกุญแจเมืองแก่กษัตริย์เฟอร์ดินานในวันที่ 2 มกราคม 1492 ซึ่งถือเป็นการปิดฉากของการปกครองของมุสลิมในแผ่นดินอันดาลูเซียที่ยาวนานถึง 804 ปี

การล่มสลายของประชาชาติถือเป็นสิ่งปกติในประวัติศาสตร์ แต่การสูญสิ้นอารยธรรมที่สะสมกันอย่างต่อเนื่องกว่า 800 ปี เสมือนไม่เคยปรากฏมาก่อน เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยคาดคิดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

มันคือการทำลายล้างทางอารยธรรมอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เพียงแต่ในความสมบูรณ์แบบนี้ อุดมด้วยความอำมหิตและโหดร้ายสยดสยองชวนขนลุกทีเดียว

แต่แล้วอันดาลูเซียก็ประสบกับสัจธรรมแห่งวงล้อชีวิต ที่ทุกอย่างเมื่อถึงจุดสูงสุดแล้ว ย่อมเสื่อมถอยและร่วงโรยเป็นธรรมดา

  • อารยธรรมอิสลามที่เคยเจริญสุดขีดได้พบจุดจบอย่างเบ็ดเสร็จได้อย่างไร อะไรคือคือสาเหตุหลักของการล่มสลายในครั้งนี้
  • ทำไมอันดาลูเซียหรือสเปนในปัจจุบันจึงไม่มีร่องรอยของอารยธรรมอิสลามแม้แต่น้อย ทั้งๆที่ ณ ดินแดนแห่งนี้อาทิตย์อุทัยแห่งอิสลามเคยเจิสจรัสทอแสงนานกว่า 800 ปี
  • ประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อเป็นบทเรียน ไม่ใช่สร้างโอกาสความภาคภูมิใจที่ไม่มีตัวตนหรือเป็นเวทีแสดงบทเศร้าที่ไม่รู้จักจบ

พบคำตอบได้ในตอนต่อไปครับ
เชิญติดตาม

ตอนที่ 2 > https://www.theustaz.com/?p=395

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ