มาเลเซียยุคอันวาร์ (Ep.2)

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม  2565 เวลา 16.30 น. ณ อาคาร Seri Perdana, Putrajaya นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของผู้นำประเทศ ด้วยการเชิญผู้รู้ทางศาสนาและนักวิชาการอิสลามกว่า 100 คนร่วมพบปะในงาน Program Pertemuan Mahabbah (โครงการพบปะด้วยความรักและเอื้ออาทร) ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

ไฮไลท์ของงานไม่พ้นคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีที่พูดโดยไม่มีสคริปต์ตามสไตล์ แต่แฝงด้วยสาระ เนื้อหาสำคัญสรุปได้ดังนี้

– บทบาทของผู้รู้ศาสนาที่ต้องชี้นำสังคม ให้การอบรมสั่งสอนและเผยแผ่ศาสนารวมทั้งปกป้องจรรยาบรรณของความรู้ เมื่อผู้นำ (Umara’) และผู้รู้ศาสนา ( Ulama’) สามารถผนึกกำลังอย่างลงตัว ย่อมเป็นนิมิตหมายอันดีงามของสังคมและชาติบ้านเมือง

– ยังมีความเชื่อมั่นว่า ชาวมลายูและศักดิ์ศรีของศาสนาอิสลามสามารถพัฒนาได้ด้วยผู้นำที่แน่วแน่ที่จะปกป้องชะตากรรมของประชาชนตลอดจนผู้ที่มีจริยธรรมในการบริหารสูง

– เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงมติไว้วางใจ และการลงมติไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในรัฐสภามีความสำคัญมาก ตราบใดที่เราต้องการมอบอำนาจที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนประเทศและประชาชน

– ไม่ประนีประนอมกับวัฒนธรรมคอร์รัปชั่นโดยเด็ดขาด คำเตือนนี้ไม่ใช่วาทศิลป์ทางการเมือง แต่เป็นสัญญาประชาคมที่จะปราบปรามวัฒนธรรมคอร์รัปชั่นไม่ให้แพร่กระจายต่อไป และพร้อมถอดถอนรัฐมนตรีในสังกัดทันทีที่มีหลักฐานว่ามีส่วนพัวพันกับทุจริตคอร์รัปชั่น

– ความเชื่อมั่นขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีที่จะแสดงให้เห็นว่าระบบการบริหารระดับชาติด้วยหลักธรรมาภิบาล สามารถส่งเสริมวัฒนธรรมและจริยธรรมอันสูงส่งและซื่อสัตย์ต่อประชาชนและประเทศ

– การบริหารจะมุ่งเน้นไปที่แก้ไขปัญหาความยากจนขั้นรุนแรง ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงหลอกหลอนชาวมลายู เช่นเดียวกับชาวอินเดียและโอรัง อัสลี และชนเผ่าที่ยากจนกว่าที่ซาบาห์และซาราวัก

– นายกรัฐมนตรีอันวาร์ได้ยกเนื้อหาบทสุดท้ายของกิตาบมุนยะตุลมุศอลลีย์ ผลงานเขียนอุละมาอฺปาตานีนามอุโฆษชัยค์ดาวูด อัลฟาฏอนี โดยเนื้อหาหนังสือเป็นคำสอนว่าด้วยการละหมาด และจบบทสุดท้ายด้วยการตักเตือนผู้นำให้บริหารบ้านเมืองด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยเฉพาะเรื่องความยุติธรรม

บรรยากาศในงานพบปะครั้งนี้ เป็นไปด้วยความชื่นมื่น เพียงแต่ผู้เขียนสังเกตว่ามีจุดด่างเล็กๆจุดเดียวที่แปดเปื้อนบรรยากาศนี้ นั่นคือการปรากฏตัวของนักวิชาการสายอะห์บาชและฏอรีกัตสายนักซะบันดีย์ ผู้เป็นสาวกของชัยค์นาซิม ฮักกอนีย์ ผู้นำทางจิตวิญญาณของศูฟีย์ชาวไซปรัสตุรกี เสียชีวิตปี 2014 ซึ่งสำนักงานบริหารกิจการศาสนา (JAKIM) ได้เคยออกฟัตวาว่า ลัทธิศูฟีย์สายนี้มีแนวคำสอนที่บิดเบือนและผิดเพี้ยนจากคำสอนอิสลาม ซึ่งในคำพูดของนักวิชาการสายศูฟีย์นิยมนาซิม ฮักกอนีย์คนนี้ ได้กล่าวพาดพิง “วะฮ์ฮาบี” อย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นสำนักคิดสายสุดโต่งที่ต้องเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยังเสนอแนะให้นายกรัฐมนตรีทบทวนหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาเตาฮีดที่สอนเรื่องเตาฮีด 3 ประเภทอีกด้วย

ยังไม่รวมการปรากฏตัวของ Ust. Ahmad Awang แกนนำพรรค PAS ในอดีตที่แยกตัวจาก PAS ไปเป็นที่ปรึกษาพรรคอะมานะฮ์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีกลิ่นอายของกระแสปฏิวัติโคมัยนี่ติดตัวอยู่

ยอมรับว่าการพบปะกับนักวิชาการครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอันวาร์ถูกกำหนดโดยอุละมาอ์สายสัรบั่นเขียวและสายสัรบั่นดำไป ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

รึว่าเป็นเพียงแค่ปฐมบทของละครซีรีย์ที่มีเป็นร้อย ๆ ตอน

รอดูตอนต่อไปครับ

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก เพจ Anwar Ibrahim

ดูคลิปบรรยากาศเต็ม

https://fb.watch/hmgNPhOVYN/?mibextid=cr9u03


โดย Mazlan Muhammad

มาเลเซียยุคอันวาร์ (Ep.1)

ช่วงปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด อันวาร์ อิบราฮิมได้ย้ำตลอดว่าคนแรกที่จะเป็นไข้ตัวสั่นหากตนก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศคือตุนมหาธีร์ โมฮัมมัด

คำพูดนี้ไม่ได้หมายความว่าอันวาร์ต้องการล้างแค้น หรือกลั่นแกล้งคู่ต่อสู้ทางการเมืองของตน แต่เป็นการประกาศจุดยืนว่าตนจะไม่ประนีประนอมกับการใช้อำนาจในทางที่ผิด การทุจริตคอร์รัปชั่นและเอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวกและบุคคลในตระกูลเดียวกัน

ถึงแม้จะมีการกลั่นแกล้งใส่ร้ายด้วยสารพัดรูปแบบเพื่อสกัดกั้นความฝันของอันวาร์ แต่ด้วยความประสงค์ของอัลลอฮ์ อันวาร์สามารถก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของมาเลเซียเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สานฝันที่รอคอยมานานเกือบ 30 ปี

นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของมาเลเซีย จนกระทั่งปัจจุบัน เรายังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าตุนมหาธีร์เป็นไข้ตัวสั่นหรือไม่ เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้เก็บตัวเงียบและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

แต่ที่แน่ ๆ อันวาร์ยังสงวนท่าทีที่จะเปิดศึกกับตุนมหาธีร์ ทั้ง ๆ ที่จังหวะและโอกาสสุกงอมเต็มที

หลังประชุมครม.นัดแรกและเข้าปฏิบัติงานที่กระทรวงการคลังในฐานะรมว.การคลัง อันวาร์ได้แสดงความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาชาติและภาวะเศรษฐกิจถดถอย อันเป็นผลสืบเนื่องจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาลชุดก่อน

อันวาร์ยืนยันว่า คณะรัฐมนตรีชุดนี้เป็นคณะรัฐมนตรีเพื่อความปรองดองแห่งชาติ ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบายหลายประการตั้งแต่ ธรรมาภิบาล การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลดภาระด้านค่าครองชีพให้กับประชาชน

การประกาศนโยบายเบื้องต้นของอันวาร์ เชื่อว่าหลาย ๆ คนเริ่มมีอาการเป็นไข้ตัวร้อนกันแล้ว

หลังประชุมครม.นัดแรก อันวาร์ประกาศให้ครม.ทั้งชุดยอมลดเงินเดือน 20% นาน 3 ปี หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวโดยที่ตนเองได้ประกาศตอนหาเสียงแล้วว่าจะไม่ขอรับเงินเดือนประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ลดงวดสลากกินแบ่งรัฐบาลจาก 22 ครั้งต่อปีเป็น 8 ครั้งต่อปี ยอมรับความเป็นไปได้ที่รัฐบาลชุดก่อนใช้เงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นทุนในการหาเสียงเลือกตั้ง PRU15 ที่ผ่านมา ทำข้อตกลงกับ Syed Mokhtar Al-Bukhary (70 ปี) นักธุรกิจจากรัฐเคดาห์และประธานมูลนิธิเพื่อการกุศล Al-Bukhary เพื่อให้การสนับสนุนช่วยเหลือชาวนาจำนวน 10 ล้านริงกิตในปีนี้ และ 50 ล้านริงกิตในปีหน้า  ทบทวนแผนเครือข่าย 5G มูลค่า 1.1 พันล้านริงกิต ที่อนุมัติโดยรัฐบาลชุดก่อนเนื่องจากมีข้อกังวลว่าไม่ได้จัดทำขึ้นอย่างโปร่งใส พร้อมทั้งตรวจสอบการรั่วไหลของงบประมาณมูลค่า 600 พันล้านริงกิตช่วงมาตรการแก้ไขและเยียวยาวิกฤตโควิดของรัฐบาลที่ผ่านมา

อันวาร์ยังสั่งให้ทบทวนโครงการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมจากงบประมาณที่ตั้งไว้ในรัฐบาลชุดก่อน 15 พันล้านริงกิต เป็น 7 พันล้านริงกิต เนื่องจากตรวจสอบว่าผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อตกลง

“ผมขอย้ำว่าสิ่งดังกล่าวจะไม่ดำเนินอีกต่อไปเพื่อรักษาความโปร่งใสและการปฏิบัติตามข้อกฎหมายของบ้านเมือง” อันวาร์กล่าวหนักแน่น

อันวาร์ยืนยันว่า ตนมีแฟ้มหลักฐานแน่นหนาที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ากองสลากกินแบ่งถูกเบิกใช้เพื่อเป็นทุนในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุด

นี่คืองานปัดกวาดบ้านครั้งใหญ่ของอันวาร์ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย

ส่วนท่าทีการยอมรับจากโลกภายนอก เริ่มต้นจากอาเซียน ถือว่าอันวาร์ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทั่วโลก ถึงขนาดกษัตริย์บรูไนดารุสสลามทรงเสด็จเยือนกัวลาลัมเปอร์ครั้งแรกในรอบ 3 ปี พร้อมทรงขับรถด้วยพระองค์เองนำอันวาร์จากสนามบิน KLIA สู่ปุตราจายา นอกจากนี้ประธานาธิบดีแอร์โดอานแห่งตุรกี ได้ส่งลูกชายนำคณะนักธุรกิจเพื่อเจรจาทวิภาคีถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ พร้อมปูทางการมาเยี่ยมเยือนมาเลเซียของประธานาธิบดีแอร์โดอานที่จะมีขึ้นเร็ว ๆ นี้

ภาพจาก Twitter : Anwar Ibrahim
ภาพจาก Twitter : Anwar Ibrahim
ภาพจาก Twitter : Anwar Ibrahim
ภาพจาก Twitter : Anwar Ibrahim

แม้กระทั่งแกนนำหะมาสอย่างอิสมาอีล ฮะนียะฮ์ ยังโทรศัพท์แสดงความยินดีกับอันวาร์ อันแสดงถึงความสัมพันธ์อันยาวนานและการยอมรับของชาติอาหรับที่มีต่ออันวาร์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ อันวาร์ถูกกลั่นแกล้งด้วยข้อหาจากพรรคฝ่ายค้านว่า อันวาร์เป็นสมาชิกฟรีเมสันและสวามิภักดิ์ต่อองค์กรลับยิวสากล โดยทั้งแกนนำระดับอุละมาอฺและสมาชิกพรรค ต่างก็เชื่อข่าวสุดสกปรกนี้อย่างสนิทใจ

ภาพจาก Twitter : Anwar Ibrahim

เชื่อว่ารัฐนาวาของอันวาร์ยังมีคลื่นลูกใหญ่ที่ต้องฝ่าฟัน และคลื่นใหญ่ที่สุดที่อันวาร์ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือคลื่นใต้น้ำที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง

กาลเวลาและระยะทางเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์


โดย Mazlan Muhammad

ฆอนิม อัลมุฟตาห์ เยาวชนกาตาร์ ผู้ที่อ่านอัลกุรอานพิธีเปิด บอลโลก 2022

เรื่องราวของเยาวชนกาตาร์ที่อ่านคัมภีร์กุรอานในพิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022

 โลกประหลาดใจกับการปรากฏตัวของฆอนิม อัลมุฟตาห์ เยาวชนกาตาร์   ผู้ที่เป็นโรคถดถอยของไขสันหลัง  ในพิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลโลก กาตาร์  2022 World Cup  ที่อ่านอัลกุรอานและสนทนากับมอร์แกน ฟรีเเมน  ดาราระดับนานาชาติที่อยู่ข้าง ๆ

ฆอนิม อัลมุฟตาห์ คือใคร ?

❝ ร่างกายฉันเล็ก แต่ใจใหญ่  พระเจ้าประทานสิ่งดีๆให้ฉันมากมาย แล้วทำไมฉันจะไม่ยิ้มล่ะ

ความหมายเชิงบวกที่สำคัญที่สุดของคนคือความพึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าเลือก ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา และมนุษย์ต้องยอมรับของประทานจากพระเจ้า เพื่อที่เขาจะได้เห็นโลกในแง่ดี ❞

ด้วยคำพูดเหล่านี้  ฆอนิม อัลมุฟตาห์แนะนำตัวเอง ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อหลายปีก่อนในงาน Third Arab Media Forum ระหว่างการสนทนากับนักข่าว

ความพิการอย่างหนักที่เกือบจะขัดขวางไม่ให้ใช้ชีวิตตามปกติ ฆอนิม อัลมุฟตาห์ พูดถึงมันว่า  ❝ ฉันยอมรับความพิการของฉันและอยู่ร่วมกับมันด้วยความรักและความสบายใจ ฉันต้องพบเจอสิ่งไม่ดีจากการมองที่เด็กบางคนมีต่อฉัน แต่ก็ไม่ได้กวนใจฉัน ทุกคนที่มองมาที่ฉัน จะสรรเสริญอัลลอฮ์สำหรับสิ่งดีๆที่เขามี และฉันจะได้รับผลบุญเพราะฉันเป็นเหตุให้พวกเขาระลึกถึงอัลลอฮ์  ❞

ความท้าทายใหญ่ที่ ฆอนิม อัลมุฟตาห์ ต้องเผชิญ เนื่องจากความทุพพลภาพอันเนื่องมาจากการที่เขามีร่างกายเพียงท่อนเดียว

ไม่มีทหารนิรนามในชีวิตของเขา ยกเว้นแม่ของเขา

ที่ดูแลเขา สอนการเข้ากับสังคม และมีส่วนร่วมในสังคม

แนะนำให้ติดต่อ พูดดีๆกับคนอื่น และปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเมตตากรุณา เพื่อไม่ให้อยู่คนเดียว

เธอพิมพ์เรื่องราวและหนังสือเกี่ยวกับเขา แจกจ่ายให้กับโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆ พยายามทุกวิถีทาง  มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนมองคนพิการ  ซึ่งทำให้พวกเขามีความมั่นใจในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น

ชมฉากการอ่านอัลกุรอานของฆอนิมในฟุตบอลโลก กาตาร์  2022 World Cup

#ฟีฟ่าเวิลด์คัพ


โดย ผศ.ดร.Ghazali Benmad

มกุฎราชกุมาร-นายกซาอุฯเดินทางถึงไทย ร่วมประชุม เอเปค2565

(ค่ำวันที่ 17 พฤษจิกายน พ.ศ.2565 ) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับเสด็จเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน. 6) ดอนเมือง

..

การเสด็จฯ เยือนไทยดังกล่าวของมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นครั้งแรกของการเยือนไทย โดยผู้นำซาอุฯ ในรอบ 32 ปี หลังมีการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีนี้

โดย มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีซาอุฯ เสด็จฯ เข้าร่วมการประชุมกับผู้นำเอเปค ในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ และจะหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในการเสด็จฯ เยือนไทยทางการในช่วงดึกของวันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล

ภาพจาก กระทรวงการต่างประเทศ | MFA of Thailand

ภาพจาก กระทรวงการต่างประเทศ | MFA of Thailand
ภาพจาก กระทรวงการต่างประเทศ | MFA of Thailand
ภาพจาก กระทรวงการต่างประเทศ | MFA of Thailand

..

กำหนดการวันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ณ ทำเนียบรัฐบาล

เวลา 22.00 น.   มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เสด็จฯ ถึงทำเนียบรัฐบาล

– นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลเชิญมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ฉายพระรูปร่วมกับนายกรัฐมนตรี ณ บันไดโถงกลาง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

– ลงพระนามในสมุดเยี่ยมของรัฐบาล ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

(อนุญาตช่างภาพสำนักโฆษก ช่างภาพพูลต่างประเทศ ช่างภาพทางการซาอุดีฯ ช่างภาพช่อง 7/การแต่งกายช่างภาพชุดสูทสากล)

เวลา 22.15 น.   การหารือทวิภาคี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล             

เวลา 23.00 น.   นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลเชิญมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เสด็จฯ ไปยังโถงกลางตึกสันติไมตรี เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ

เวลา 23.15 น.   งานถวายพระกระยาหารค่ำ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

เวลา 00.15 น.   นายกรัฐมนตรี ส่งเสด็จ มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ณ จุดเทียบรถยนต์พระที่นั่ง ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล


ทีมข่าว Theustaz

ร่วมยินดี รองฯพาตีเมาะ สะดียามู สตรีมุสลิมคนแรก ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าฯปัตตานี

.

15 พ.ย.2565 จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหลาโหม เป็นประธาน มีมติเห็นชอบแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงและโยกย้ายข้าราชการ กระทรวงมหาดไทย รวม 37 ตำแหน่ง โดยแบ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด 26 จังหวัด ผู้ตรวจราชการ 11 ตำแหน่ง ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

.

ล่าสุดชาวเน็ตจำนวนมาก ได้แสดงความยินดีกับ นางพาตีเมาะ สะดียามู รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมี “ผู้ว่าฯหญิงมุสลิมคนแรก”

.

สำหรับนางพาตีเมาะ สะดียามู เกิดเมื่อ 19 พ.ย. 2508 เป็นคนบ้านปีซัด หมู่ 1 ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา เริ่มต้นการศึกษาระดับประถมตอนต้น-ตอนปลายที่ ร.ร.วัดลำใหม่ และ ร.ร.พัฒนาวิทยา จ.ยะลา ตามลำดับ ก่อนเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย ที่ ร.ร.พัฒนาวิทยา จ.ยะลา และ ร.ร.สาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.สงขลา

.

เข้าศึกษาคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (ม.อ.) ก่อนจะต่อระดับปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาพัฒนาสังคม) สาขา การจัดการการพัฒนาสังคม คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

เคยดำรงตำแหน่ง ผช.เลขาธิการ ศอ.บต. (สป.มท.) หัวหน้าสำนักงานจังหวัดพัทลุง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และรองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ก่อนจะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี

.

นางพาตีเมาะ ถือเป็นสตรีมุสลิมที่มีบทบาทในพื้นที่ ซึ่งทุกภาคส่วนยอมรับและต่างชื่นชมในการทำงาน

.


ขอบคุณข่าว จาก SOUTH : White news

ทีมข่าว Theustaz

เราไม่ทิ้งกัน

นายซอลาฮุดดีน หะยียูโซะ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและเลขานุการสำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี ได้เขียนในไลน์ส่วนตัวว่า เมื่อบ่ายวันศุกร์ ที่​ 14 ตุลาคม​ 2565​ เวลา​ 13:30 น.​ ณ​ สนามบินหาดใหญ่ และ สนามบินสุวรรณภูมิ​ คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย

ได้ออกเดินทางไป​ จ.อุดรธานี​ เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่​ จ.หนองบัวลำภู​ และในการเดินทางครั้งนี้ได้จัดการประชุมคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยสัญจรในภาคอีสานพร้อมกันด้วย

เด็กที่เสียชีวิต 26 รายส่วนใหญ่ถูกฟันที่หัวและตามลำตัว ส่วนที่เหลือเป็นผู้ใหญ่ ถูกกระสุนและถูกรถชนและเหยียบ

“คนไทยทุกคน​ ทุกภูมิภาค​ ล้วนเป็นพี่น้องกัน​ ยามสุขเราก็ดีใจด้วยกัน

ยามทุกข์เราเสียใจอย่างสุดซึ้ง เราไม่ทิ้งกัน” พร้อมนี้ ได้มอบเงินเยียวยาแก่ครอบครัวผู้สูญเสียรายละ 10,000 บาททั้ง 46 ราย รวมเงินทั้งสิ้น 460,000 บาท นายซอลาฮุดดีนกล่าวทิ้งท้าย


Credit : ซอลาฮุดดีน หะยียูโซะ

มฟน. จัดพิธีมอบปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์

มหาวิทยาลัยฟาฏอนี จัดพิธีมอบปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ณ ห้องชมัยมรุเชฐ ชั้น 3 สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร  ในฐานะผู้ที่มีบทบาทในการสร้างความปรองดองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

..

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ จบการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จากนั้นจึงเข้าศึกษาต่อ ณ โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 1 และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 12 โดยสำเร็จการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2508 และเริ่มต้นรับราชการประจำศูนย์การทหารราบเป็นหน่วยงานแรก หลังเข้ารับราชการทหารได้สอบผ่านหลักสูตรอบรมสำคัญๆ หลายหลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรจู่โจม รุ่นที่ 11 ศูนย์การทหารราบ หลักสูตรชั้นนายร้อยเหล่าทหารราบ หลักสูตรส่งกำลังทางอากาศจู่โจม หลักสูตรชั้นนายพันเหล่าทหารราบจากสหรัฐอเมริกา หลักสูตรเสนาธิการทหารบก รุ่นที่  52 หลักสูตรเสนาธิการทหารบกจากสหรัฐอเมริกา หลักสูตรการบริหารทรัพยากรกระทรวงกลาโหมจากสหรัฐอเมริกา และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ตามลำดับ ตลอดอายุการรับราชการทหารได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆหลายตำแหน่ง ได้แก่  ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุดในที่สุด ระหว่าง พ.ศ. 2545 – 2546 และในปี พ.ศ. 2546 ได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิตโดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 จวบจนปัจจุบัน 

..

นอกจากนี้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ยังได้รับรางวัล “คนดีของแผ่นดิน” จากมูลนิธิรัฐบุรุษ พ.ศ. 2543 ด้วยเป็นคนให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ผืนป่าและเป็นผู้นิยมการเดินป่า จึงได้รับแต่งตั้งเป็นประธานมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นกรรมการ“โครงการสายใจไทยสู่ใจใต้” ริเริ่มโครงการครอบครัวอุปถัมภ์นำเยาวชนมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอยู่กับครอบครัวมุสลิมในต่างพื้นที่เป็นระยะเวลา 20 วัน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิถีและประสบการณ์ชีวิต

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 24 ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ได้วางยุทธศาสตร์ประชาชนอยู่ดีมีสุข โดยเน้นการพัฒนาคนและครอบครัวให้พึ่งพาตนเองได้ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และได้เดินทางลงพื้นที่ภาคใต้เพื่อพบปะและรับฟังเสียงของประชาชนและผู้นำในพื้นที่หลายครั้ง เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นในหลักคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริต บริหารกิจการกองทัพและชาติบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม ถือมั่นในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ไม่ฝักใฝ่ไม่เลือกข้างในการปฏิบัติงาน บุคลิกภาพสุขุม ใฝ่สันติ ดำรงไว้ซึ่งคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่ดี นำพาชาติบ้านเมืองให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆมาได้ด้วยดี ทั้งวิกฤตการเมือง ภัยคุกคามจากยาเสพติด และการกัดกร่อนจากภัยก่อการร้าย เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ สภามหาวิทยาลัยฟาฏอนี จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รับปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป


CR : FB Zakariya Hama

พิธีประสาทปริญญา ครั้งที่ 17 มหาวิทยาลัยฟาฏอนี

(วันอาทิตย์ ที่ 4 กันยายน 2565) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายกสภามหาวิทยาลัยฟาฏอนี เป็นประธานในพิธีประสาทปริญญาครั้งที่ 17 โดยมีรศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดี รองอธิการบดี คณะผู้บริหาร คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อการอุดมศึกษาอิสลามภาคใต้ บัณฑิตและผู้ปกครองร่วมให้การต้อนรับ

นายกสภามหาวิทยาลัยกล่าวคำโอวาทแก่บัณฑิตความตอนหนึ่งว่า “บรรดาการสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง เป็นวันแห่งการชุมนุมยินดีความสำเร็จของท่านทั้งหลายที่ได้ใช้ความพยายามในการบ่มเพาะความรู้และหล่อหลอมตนเองตามแนวทางการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยฟาฏอนีที่มุ่งเน้น “การสร้างชีวิตก่อนอาชีพ” การศึกษาที่พัฒนาและเติมเต็มชีวิตตามเจตนารมณ์ของผู้ทรงสร้างมนุษย์และผู้ส่งสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้สู่ทางนำแห่งความสำเร็จของพระองค์นั่นคือ “อัลกุรอาน”

รศ. ดร. อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา กล่าวรายงานผลการดำเนินการตามภารกิจหลักของสถาบันว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยฟาฏอนี เปิดสอนในระดับปริญญาเอก 2 หลักสูตร ระดับปริญญาโท 5 หลักสูตร ระดับประกาศษนียบัตรบัณฑิต 1 หลักสูตรและระดับปริญญาตรี 21 หลักสูตร รวมทั้งสิ้น 29 หลักสูตร  โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาครั้งนี้ทั้งสิ้น  1,831 คน

พิธีประสาทปริญญาครั้งนี้ สภามหาวิทยาลัยมีมติมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงินและการธนาคารให้แก่ Tan Sri Dr. Mohd Daud Bakar ประธานที่ปรึกษาชะรีอะฮ์ ธนาคารแห่งชาติมาเลเซีย ผู้ก่อตั้ง Amanie Advisors อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติแห่งมาเลเซีย (IIUM) มอบโล่ Alim Rabbani (ผู้ทรงภูมิความรู้ดีเด่น) ให้แก่ Dr. Salim Seqaf Al-Jufri รองประธานสภาชะรีอะฮ์แห่งชาติ – สภาอุลามาอฺอินโดนีเซีย (Dewan Syariah Nasional -Majelis Ulama Indonesia ) มอบโล่ Tokoh Berjasa (ผู้สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมดีเด่น ให้แก่ กระทรวงศาสนสมบัติและกิจการอิสลามประเทศกาตาร์ และอุสต้าซอับดุลลอฮ์ อาเก็ม ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยอันดามันอานาโตเลียน ผู้รับใบอนุญาตและผู้อำนวยการโรงเรียนธรรมศาสน์วิทยาจังหวัดสตูล

الحمد لله الذي بنعمته تتم الصالحات

تهانينا وتبريكاتنا للخريجين


โดย Mazlan Muhammad

‘ซัลมาน รุชดี’ นักเขียนชื่อดัง ถูกมือมีดจ้วงแทงกลางเวทีที่นิวยอร์ก

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ส.ค. 2565) ตามเวลาในสหรัฐฯ รุชดีมีกำหนดขึ้นบรรยายที่เทศกาลวรรณกรรมของสถาบันชูโทกัว (Chautauqua Institution) ในขณะที่กำลังจะเริ่มพูดนั้น ชายผู้ก่อเหตุก็บุกทำร้าย ผู้เห็นเหตุการณ์อ้างว่า เขาถูกแทงถึง 10-15 ครั้ง ในเวลาไม่ถึง 20 วินาที ในส่วนลำตัวและคอ

หลังจากนั้น รุชดีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในรัฐเพนซิลเวเนียด้วยเฮลิคอปเตอร์ ก่อนจะเข้ารับการผ่าตัด แพทย์พบตับและเส้นประสาทในแขนเสียหาย ขณะที่ผู้สัมภาษณ์บนเวที ราลฟ์ เฮนรี รีส ซึ่งถูกทำร้ายในเหตุการณ์เดียวกัน ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และออกจากโรงพยาบาลแล้ว

ซัลมาน รุชดี วัย 75 ปีชาวอังกฤษ เชื้อสายอินเดีย ได้สร้างความโกรธแค้นในโลกมุสลิมด้วยงานเขียนของเขา เคยถูกขู่ฆ่าหลายครั้งหลังจากที่ตีพิมพ์นวนิยายที่ชื่อ ‘The Satanic Verses’ หรือ ‘โองการปีศาจ’ เมื่อปี 2531 ซึ่งมีเนื้อหาที่มุสลิมบางส่วนมองว่าเป็นการลบหลู่ศาสนาจนไม่อาจยอมรับได้

ทำให้ อยาตุลเลาะห์ โคไมนี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านในขณะนั้น สั่งแบนหนังสือ และออก ‘ฟัตวา’ หรือคำวินิจฉัย ให้สังหารรุชดี พร้อมกับตั้งค่าหัวเป็นจำนวน 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ซัลมาน รุชดีได้รับการอารักขาแน่นหนาจากรัฐบาลอังกฤษ เขาไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ยกเว้นในช่วงปลายศตวรรษที่ผ่านมา หลังจากอิหร่านประกาศยกเลิกคำฟัตวามรณะดังกล่าว

ทั้งนี้ นายซัลมาน รุชดี พลเมืองสัญชาติอเมริกัน-อังกฤษ เกิดมาในครอบครัวมุสลิมที่ไม่เคร่งครัดศาสนาในอินเดีย และประกาศตัวเป็นผู้ไม่มีศาสนา และกลายเป็นแกนนำผู้เรียกร้องเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะงานเขียนของเขาที่มีเจตนาจาบจ้วงศาสนาอิสลามตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา

อ้างอิง

https://www.aljazeera.net/news/2022/8/12/%D8%B4%D8%A7%D9%87%D8%AF-%D8%B3%D9%84%D9%85%D8%A7%D9%86-%D8%B1%D8%B4%D8%AF%D9%8A-%D9%8A%D8%AA%D8%B9%D8%B1%D8%B6-%D9%84%D9%84%D8%B7%D8%B9%D9%86-%D8%AE%D9%84%D8%A7%D9%84


โดย Mazlan Muhammad

อาลัยฮีโร่ที่ไม่มี “รางวัลโนเบล”

สรรสาระวันหยุด : อาลัยฮีโร่ที่ไม่มี “รางวัลโนเบล” ทีมนักเตรียมสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีเออร์โดกันของตุรกี

เมื่อวันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ตุรกีกล่าวคำอำลาเมาลานา อิดรีสเซงเกน Maulana Idris Zengin นักกวีและนักเขียนวรรณกรรมเด็กที่   เสียชีวิต ในวัย 56 ปี ขณะเข้ารับการรักษาในจังหวัด Kahramanmaraş (ทางใต้) เพื่อผ่าตัดหัวใจและเปลี่ยนตำแหน่งของหลอดเลือดทั้ง 4 เส้น  แม้ว่าแพทย์จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ก็ตาม และผู้ติดตามงานเขียนของเขาหลายพันคนเข้าร่วมพิธีศพที่มัสยิดสุลต่านอัยยูบ อันเก่าแก่ในอิสตันบูล

เมาลานา อิดรีสเซงเกน นักเขียนวรรณกรรมเด็กที่โดดเด่นคนหนึ่งในไม่กี่คนที่เติบโตขึ้นมาในตุรกีในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา  เกิดในปี 1966 ในเขต Andreen ของ Kahramanmaraş  เป็นผู้แต่งหนังสือสำหรับเด็กมากกว่า 70 เล่ม และหนังสือของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาเยอรมัน อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เปอร์เซีย อาหรับ อูรดู และฮังการี  และงานเขียนบางส่วนของเขาได้กลายเป็นภาพยนตร์การ์ตูนที่ฉายทางช่องทีวี

สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในเยอรมนีดูแลการแปลหนังสือที่เขาเขียนในชุด “Stranger Men” เป็น 9 ภาษาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการออกเป็นหนังสือ

เมาลานา อิดรีสเซงเกน ได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัลวรรณกรรมสำหรับเด็ก ที่มอบให้โดย Gokyuzo Publishing House ในปี 1987 จากหนังสือกวีนิพนธ์เรื่อง “My Childhood in the Colours of Birds” รวมถึงรางวัลวรรณกรรมสำหรับเด็กจากสหภาพนักเขียนชาวตุรกีในปี 1998 จากผลงานเขียนหนังสือ “ร้านสยองขวัญ” รวมถึงรางวัลระดับนานาชาติที่นำเสนอโดยนิตยสาร “ภาษาตุรกีของฉัน” ที่ตีพิมพ์ในโคโซโว / พริซเรนในปี 2008 ที่เป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้มีส่วนสนับสนุนภาษาตุรกี

เมาลานา อิดรีสเซงเกน ยังได้รับรางวัล “นักเขียนวรรณกรรมเด็กที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด” ในปี 2011 จากมูลนิธิ Berikim Foundation for Education และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษาและจัดพิมพ์หนังสือเด็ก ซึ่งก่อตั้งขึ้นภายใต้การนำของมุสตาฟา รูฮิ ชีริน หนึ่งในนักเขียนวรรณกรรมเด็กที่มีชื่อเสียงที่สุดในตุรกี

งานเขียนของเซงเกนได้รับการศึกษาวิจัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในกรุงไคโร  เบอร์ลิน  อิสตันบูล ชานัคคาเล และเออร์ซูรุมในตุรกี

เมาลานา อิดรีสเซงเกน ได้เข้าร่วมในการประชุมและกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับวรรณกรรมสำหรับเด็กในหลายเมืองทั่วโลก รวมถึงแฟรงก์เฟิร์ต ดามัสกัส โคโลญ บูดาเปสต์  พริสตินา   ลอนดอน และปักกิ่ง และยังทำงานเป็นที่ปรึกษาและผู้แต่งสารคดีหลายเรื่อง และเป็นหนึ่งในผู้เตรียมสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีเออร์โดกันของตุรกี

เมาลานา อิดรีสเซงเกน ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอบรมเลี้ยงดูเยาวชนคนรุ่นใหม่และการปกป้องสิทธิของพวกเขา แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของผู้ใหญ่  และยังได้ออกนิตยสารสำหรับเด็กชื่อ “Cheto” พร้อมหนังสือนิทาน 

นิตยสารดังกล่าวมีการตีพิมพ์บทความ บทกวี เรื่องราว ความทรงจำ และภาพวาดของเยาวชนในระดับมัธยมต้น  มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย โดยมีสโลแกนว่า “หากคุณมีปัญญา ก็อย่าอวดดีเลย”

อิดรีสเซงเกนเชื่อว่าจิตใจของเด็กและคนหนุ่มสาวควรถูกหล่อหลอมผ่านเรื่องราว เกมการละเล่น และแอนิเมชั่นที่สะท้อนถึงค่านิยมเฉพาะในภูมิภาคของเรา

เด็ก ๆ ของตุรกี ตลอดจนผู้ใหญ่ที่คงมีหัวใจอยู่ในวัยเด็กต่างเสียใจกับการสูญเสียอิดรีสเซงเกน ผู้มีจิตวิญญาณที่สงบ  จริงใจและสวยงาม

อิดรีสเซงเกนขึ้นครองบัลลังก์แห่งหัวใจนับพันๆดวง ด้วยบทกวีและเรื่องเล่าของเขา และมีส่วนสนับสนุนอย่างมากต่อวรรณกรรมสำหรับเด็กในโลกนี้ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายและจากโลกนี้ไป

เราสามารถสรุปบุคลิกของอิดรีสเซงเกนได้ในลักษณะเหล่านี้ : สงบ เศร้า  ใจกว้าง ร่าเริง มีสติสัมปชัญญะ ขี้อาย ฉลาด หน่อมแน้ม กังวล ล้อเล่น ใจดี และสง่างาม…

ผู้มีบุคลิกที่สวยงามมากมายเช่นเมาลานา อิดรีสเซงเกนซึ่งตะวันออกอำลาสู่ปรโลก วีรบุรุษตะวันออกที่โลกไม่รู้จักเหล่านี้ทุ่มเทความพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อสร้างผลงานในโลกนี้ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาจากเราไว้อย่างเงียบ ๆ โดยปราศจากการได้รับสถานะที่เหมาะสมในระดับโลก

นักเขียนชาวตะวันตกคนหนึ่งบอกว่า: “ถ้าเมาลานา อิดรีสเซงเกน เป็นนักเขียนชาวตะวันตก เขาได้รับรางวัลโนเบลสำหรับนิทานมหัศจรรย์เหล่านี้ตั้งนานแล้ว”

เช่นเดียวกับนักเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งตะวันออกจำนวนมาก น่าเสียดายที่ เมาลานา อิดรีสเซงเกน อพยพไปพำนักยังโลกของความเป็นอมตะ  โดยไม่ได้รับรางวัลใดๆ ในระดับโลก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเป็นวีรบุรุษในสายตาของผู้คนมากมายตลอดไป


Credit: Ghazali Benmad