มนุษย์เราสื่อภาษารักด้วยกัน 5 แบบภาษา

เคยสังเกตไหม ว่าทำไมกับบางคนเรารู้สึกดีที่ได้อยู่กับเค้า รู้สึกว่าเค้า “รู้ใจ” เค้าตอบโจทย์ความเป็นเรา อยู่ด้วยกันแล้วไม่เหนื่อยใจ เค้าคือคนที่ “พูดจาภาษาเดียวกัน” แต่บางคน อยู่กินกันก็หลายปีดีดัก ความเข้าใจคืออะไรยังต้องเปิดพจนานุกรม เพราะไม่เคยได้รับได้รู้จักจากอีกฝ่ายเค้าเลย

จะดีแค่ไหนหากคนใกล้ตัวในชีวิต คู่สมรส ลูกๆ รู้สึกว่าเราเป็นคนที่เข้าใจเค้าที่สุด รู้ใจสุดๆ ที่เค้าไม่ต้องไปหาเศษหาเลยจากที่ไหนแล้ว เพราะที่มีอยู่ที่บ้านก็เติมเต็ม love tank ที่เค้ามีได้พอดีอยู่แล้ว

ดร.แกรี่ แช้ปแมนนักจิตวิทยาชื่อดังบอกไว้ว่า มนุษย์เราสื่อภาษารักด้วยกัน 5 แบบภาษา จะมนุษย์หน้าไหน ก็ย่อมต้องการความรักที่ไม่หนีไปจาก 5 รูปแบบภาษานี้ ไหนลองมาเช็คของตัวเองกันซิ
1 สัมผัสกาย ได้โอบกอดหอมแก้มแล้วรู้สึกดีๆ (physical touch)
2 คำพูดดีๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกดีๆ (words of affirmation)
3 เวลาดีๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันแล้วรู้สึกดีๆ (quality time)
4 ของขวัญ ทำเซอร์ไพร้สด้วยอะไรที่ทำให้รู้สึกดีๆ (gifts)
5 การให้ความช่วยเหลือ เสนอตัวออกแรงทำนั่นโน่นนี่แล้วรู้สึกดีๆ (act of service)

ในห้าภาษารักนี้เราทุกคนไฝ่หามันทั้งหมดนั่นแหละ บ้างก็ต้องการสองข้อ สามรึสี่ข้อแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดทั้งปวง จะมีอยู่ภาษาหนึ่งที่ทำให้คนๆหนึ่งรู้สึก “คลิ้กเป็นพิเศษ” ที่ประมาณว่าหากได้ยินภาษารักข้อนั้นแล้วรู้สึก “ตอบโจทย์” ที่สุด รู้สึกว่าเค้าคนนั้น “เข้าใจ” ฉันเป็นที่สุด that’s why I love to be with her/him …ประมาณนั้น …

ยกตัวอย่างเช่น กรณีของฉันเองนะ
ลูกสาวคนโตของฉัน ก่อนหน้านี้ฉันเข้าใจว่าเค้าเป็นคนเข้าใจยากคนหนึ่ง จนกระทั่งได้ลองศึกษาเค้าตามภาษารักที่หนังสือแนะนำมาและลองมาชั่งตวงดูจึงได้รู้ เค้าไม่ค่อยชอบให้กอดเท่าไหร่นะ หรือถ้าได้ถูกกอดเค้าจะเฉยๆ อ่านไม่ออกว่านั่นคือการแสดงความรัก คำพูดดีๆก็ไม่ค่อยจะเวิอร์คสำหรับเค้านักในบางครั้ง บางทีเราช่วยอะไรเค้า เค้าก็ชอบนั่นแหละ แต่เค้าก็ไม่ได้เห็นว่ามันเป็นอะไรที่ต้องซาบซึ้งนัก แต่.. เมื่อใดที่ฉันมีอะไรเซอร์ไพร้สให้เค้า เค้าจะหัวใจพองโตขึ้นมาทันที เค้าจะอมยิ้มแฮปปี้ และว่านอนสอนง่ายขึ้น เป็นเด็กดีที่ทำเอาแม่คนนี้ใจละลายไปทันทีทันใด

…นั่นแสดงว่าภาษารักที่ตอบโจทย์เค้ามากที่สุดคือ gifts …
ตรงกันข้ามกับลูกสาวคนเล็ก ที่เป็นคนชอบนัวเนีย ถ้าจะชนะใจเค้าคนนี้ไม่ยากนัก เค้าชอบให้ฉันกอด บอกรักเค้า และเค้าก็ชอบกอดฉันทุกครั้งที่เค้ารู้สึกดี นั่นแสดงว่า physical touch สัมผัสกายคือภาษารักของเค้า เด็กคนนี้จะไม่เชื่อฟังถ้าใช้คำพูดที่แทงใจดำ แต่หากเปลี่ยนเป็นคำชมแล้วบอกว่าเรารู้สึกดีกับเค้ายังไง เค้าจะกลายเป็นเด็กน่ารักคนหนึ่งที่พ่อแม่ร๊ากเค้าจนไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว

…นั่นแสดงว่า words of affirmation คือภาษารักที่เค้าเข้าใจมากที่สุด…

ไม่เฉพาะกับลูกๆนะ ภาษารักทั้งห้านี้สามารถใช้วัดใจใครก็ได้ในวงจรความรักของเรา รวมไปถึงสามีภรรยาและคนใกล้ตัวที่เราอยากดูแลและรู้สึกดี

คู่รักบางคู่ ดอกไม้มันไม่เวิอร์คอ่ะ ผู้ชายบางคนก็พยาย๊าม พยายามจะเข้าใจความเป็นผู้หญิงของภรรยาตัวเอง เข้าใจว่าผู้หญิงทั้งโลกจะใจอ่อนด้วยดอกไม้และของขวัญทำเซอร์ไพร้ส์ แต่เปล่า พอเราคุยกับภรรยาของเค้า กลับได้คำตอบว่าฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากเค้าเลย แค่ให้เค้ารู้สึกอยากจะช่วยฉันทำงานบ้านมันก็วิเศษเหลือคณาแล้ว ผู้หญิงแบบนี้ต้องการ act of service เป็นการบอกภาษารัก (เห็นไหม ศึกษากันสักนิดตั้งแต่แรกก็คงดี แค่ช่วยล้างจานก็ชนะใจเหลือเฟือแล้ว)

ผู้หญิงบางคนได้สามีมั่งคั่ง ขนาดได้รถได้บ้านใหญ่โตอย่างที่หลายคนเค้าปรารถนา ก็ยังเรียกร้องและตัดพ้อว่าสามีตัวเองไม่เข้าใจ เพราะจริงๆแล้วภาษารักที่ตอบโจทย์เธอไม่ใช่ของนอกกาย แต่เป็นเวลาต่างหากที่เธอโหยหาและรู้สึก “คลิ้ก” ทุกครั้งเมื่อสามีมีเวลาให้กัน (รู้งี้คงไม่ต้องลงทุนไปซะเยอะ แค่มีเวลาทำอะไรด้วยกันกับเค้าก็เหลือเฟือแล้ว)

ผู้ชายบางคน เค้าไม่ได้ต้องการให้ภรรยาช่วยงานอะไรเค้าเลยนะ แต่ภรรยาไม่เข้าใจ คิดว่าการที่เธอลงทุนออกไปทำงานนอกบ้านช่วยหาเงินกับเค้า ลงทุนเป็นแม่บ้านทำทุกอย่างให้ดูดีมันพอจะชนะใจเค้าได้ แต่พอได้ฟังสามีมาระบายจึงได้รู้ว่าการทำนั่นนี่ให้น่ะ มันไม่ได้ตอบโจทย์เค้าเลย เค้ากลับบอกว่า “บ้านน่ะ ให้ผมจ้างใครมาทำความสะอาดให้ก็ได้ เค้าจะได้เลิกบ่นให้ผมฟังซะทีว่าเหนื่อยนั่นนี่ งานนอกบ้านผมทำคนเดียวก็พอเพียงจะเลี้ยงปากท้องทั้งครอบครัวได้ แต่สิ่งที่ผมอยากได้จากเค้า คือกำลังใจมากกว่า ถามผมซักคำว่าเหนื่อยไหม มีคำพูดดีๆให้กันบ้าง รู้สึกดีนะที่มีผมในชีวิต นี่แหละที่ผมไม่เคยได้ยินจากเค้าเลย”

…บางครั้ง แค่ words of affirmation ก็ชนะใจผู้ชายประเภทนี้แล้ว…ถามว่าทำยากไหมล่ะ? ก็น่าจะไม่นะ แค่ภรรยาเอ่ยปากบอกความรู้สึกตัวเองบ้างไรบ้าง จับให้ถูกจุดว่าสามีตัวเองชอบอะไรแบบไหน แค่นี้ความสัมพันธ์มันก็ชุ่มชื่นขึ้นเยอะแล้ว เหตุทั้งหมด เพราะเธอไม่เข้าใจภาษารักของสามีตัวเองใช่ไหม?

ดังนั้น การตอบสนองให้ความรักแก่คนที่เรารักจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น หากเรารู้ “กึ๋น” ว่าเค้ารู้สึกดีกับภาษาใดเป็นที่สุด ภาษารักข้อใดที่ตอบโจทย์ความเป็นเค้ามากที่สุด จะรู้ได้อย่างไรนั้นหรอ? อันนี้ต้องใช้เวลาศึกษาและใช้หัวใจสังเกตแล้วล่ะ ลองทำทุกข้อทั้งหมดให้เค้าได้สัมผัส (ไม่ต้องทำทีเดียวกันทุกข้อนะ) แล้วค่อยๆดูว่าวิธีไหนที่ชนะใจเค้ามากที่สุด ที่เค้ารู้สึกดีและแฮปปี้มากที่สุด หากเราเจอข้อนั้นแล้ว นั่นแหละคือภาษารักที่เค้าเข้าใจมากที่สุด แล้วคนใกล้ตัวอย่างเราก็จะเป็นคนๆหนึ่งที่เค้ารักมาก รู้ใจเค้ามาก ที่สำคัญ เค้าจะเห็นความรักจากเราได้ง่ายขึ้น ความสัมพันธ์ของสองเราก็ไม่ต้องมาเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่มันไม่ใช่ หรือเสียเวลากับการเติมเต็มแต่ไม่ตอบโจทย์ซะที

แค่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ “เข้าใจ”เค้า ก็เพียงพอแล้ว เค้าคงไม่ขออะไรมากมาย เพราะที่สุดแล้ว มนุษย์เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความเข้าใจ ไม่ใช่หรือ?

..ลองเอาไปใช้และ “ศึกษา” คนที่เรารักดูนะ 🙂


(ใจบันดาลแรง จากหนังสือ five love languages of children ที่ได้คุยกันใน mother circle ที่โรงเรียนลูก เอามาผสมด้วยรักและประสบการณ์ของตัวเองในฐานะ “ศิราณี” ของใครหลายๆคน) ^_<

เขียนโดย ครูฟาร์ Andalas Farr

เวลาพักผ่อนของนักสู้ผู้ทรหด ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี

“วันหนึ่ง ช่วงที่กำลังทำงานอยู่ที่มัสยิดอะตาบะฮ์ในกรุงไคโร และที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มอิควานมุสลิมีน ที่หิลมียะฮ์ ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งขอให้กลับบ้านด่วน

ข้าพเจ้าทราบดีว่าบิดาป่วย แต่ก็ไม่คิดว่าจะป่วยหนัก

เมื่อข้าพเจ้าถึงไปยังหมู่บ้าน ก็รู้สึกสงสัย จากใบหน้าของหลายๆ คน

ร้านของเราที่เห็นได้จากระยะไกล
น้องชายยืนอยู่ที่หน้าประตู ข้าพเจ้าก็ตระหนักได้ว่าบิดาไม่สบาย จึงรีบตรงดิ่งไปที่บ้านในทันที

ถึงที่บ้าน ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่กำลังร้องไห้ ในขณะที่บิดานอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ กับนาง

ข้าพเจ้าจับมือบิดา แล้วบรรจงจูบด้วยความรัก

พอเห็นหน้าข้าพเจ้า บิดาก็แสดงออกถึงความดีอกดีใจ

ข้าพเจ้าเห็นขวดยาวางอยู่ข้างๆ ก็รู้ว่า หมอมาแล้วและเขียนใบสั่งยาให้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้อาการของบิดาดีขึ้นก็ตาม

ข้าพเจ้าไปตามหมอมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะอาการของบิดาทรุดลงอีก เมื่อหมอมาถึงก็ไม่ได้พยายามปิดบังอะไรอีก ข้าพเจ้าจึงทราบว่าบิดาเป็นโรคทางเดินปัสสาวะหลายโรค จนถึงขั้นไม่อาจจะรักษาเยียวยาได้อีก รวมทั้งเป็นโรคนิ่วรุนแรงจนไม่อาจปัสสาวะได้ อีกทั้งร่างกายก็ไม่พร้อมที่จะผ่าตัด

เราได้ผลัดเปลี่ยนกันดูแลบิดา
ในขณะที่คุณแม่ได้แต่พยายามรบเร้าให้เราไปหาหมอ เพื่อรักษาอาการบิดาที่ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง แต่คุณหมอปฏิเสธไม่ยอมมา เพราะเขาหมดหวังที่จะรักษา

หลังเที่ยงวัน ข้าพเจ้าก็นอนหลับยาว เนื่องจากเมื่อคืนไม่ได้นอนหลับ และเฝ้าบิดาทั้งคืน

ข้าพเจ้าไปนั่งข้างๆบิดา และละหมาดอยู่ใกล้ๆ

หลังจากละหมาดอีชา
ข้าพเจ้าได้เฝ้าสังเกต
คืนนี้ช่างเป็นคืนที่เงียบสงบยิ่งนัก
ทุกคนในบ้านล้วนหลับสนิทอันเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย

คงเหลือเพียงข้าพเจ้าคนเดียวที่ยังตื่นอยู่
บิดากล่าวเบาๆ กับข้าพเจ้าว่า “พ่อกำลังจะตายแล้วนะ”

ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบ

ตะเกียงน้ำมันที่ถูกวางไว้ที่ข้างผนังบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเห็นเปลวตะเกียงกำลังสั่นไหววูบ
ข้าพเจ้าพูดกับตัวเอง “หรือยมทูตได้เข้ามาแล้วกระพือปีก จนกระทั่งเปลวตะเกียงสั่นวูบ”

ข้าพเจ้าเงี่ยหูฟัง ได้ยินบิดากำลังขอดุอาให้แก่ข้าพเจ้า ก่อนที่็จะเงียบหายไป อย่างถาวร

ในตอนเช้า ผู้ชายหลายคนได้หามศพของบิดา ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่จับเกาะอยู่กับเท้าของบิดาผู้จากไป นางจูบแล้วฝังใบหน้าลงในฝ่าเท้าของท่าน เหมือนกับคนใกล้สิ้นสติ

กว่าจะเอาศพบิดาให้พ้นไปจากการเกาะเกี่ยวของนาง ช่างแสนยากลำบาก

ข้าพเจ้าก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ อย่างที่สุด แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ข้าพเจ้าจะต้องอดทน

ถึงวันนี้ ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสที่สุดในครอบครัว หากข้าพเจ้าล้มครืน พวกเขาย่อมล้มตาม

ข้าพเจ้าจะต้องทำตัวให้เหมือนกับพ่อ ที่ต้องฝืนแสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากความเชื่อมั่นในความเมตตาของอัลเลาะห์เท่านั้น

สายใยผูกพันของสมาชิกในครอบครัวช่างยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้ากล่าวกับคุณแม่และพี่น้องทุกคน ในขณะที่กำลังจะเดินทางไปยังกรุงไคโรเพื่อเริ่มต้นทำงานอีกครั้งหนึ่งว่า ให้ถือว่าบิดายังไม่ตาย พี่จะดูแลทุกคนด้วยกรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ จนกว่าน้องชายทุกคนจะสำเร็จการศึกษา และน้องสาวทุกคนได้แต่งงานออกเรือนไป

อัลเลาะห์ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้า ทำให้ทุกคำพูดของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลทุกคำโดยไม่ผิดเพี้ยน”

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี
ในหนังสือ ประวัติชีวิต
«قصة حياة/مذكرات الشيخ محمد الغزالي»

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย ‎Ghazali Benmad

งานเลี้ยงวันแต่งงาน ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี

หลังจากข้าพเจ้าได้ทำงานราชการ ก็ได้แต่งงาน

ซึ่งท่านหัวหน้าหะซัน อัลบันนา ได้เข้ามาเป็นธุระแก้ปัญหาที่ค่อนข้างยากลำบากในตอนแรก เพราะพ่อของหญิงที่ข้าพเจ้าเลือก ต้องการหาสามีให้ลูกสาวที่รวยกว่าข้าพเจ้า แม้เขาจะเป็นคนบ้านเดียวกับเรา แต่ก็เป็นข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมประจำกรุงไคโร เขารู้ดีว่าเงินเดือนของข้าพเจ้า เพียง 6 ปอนด์ และข้าพเจ้ามอบให้แก่บิดาเสียครึ่งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ท่านหัวหน้าหะซัน บันนา ได้ทำให้พ่อของหญิงสาวคนนั้นมั่นใจว่า ข้าพเจ้าดีกว่าผู้อื่น และบอกว่าอนาคตเป็นเรื่องของอัลเลาะห์ และจะต้องดีอย่างแน่นอน

ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้สมรสกับนาง

หลังจากนั้นท่านหะซัน บันนาก็ได้พบข้าพเจ้า และถามว่า “เรื่องราวกับว่าที่พ่อตาของท่านไปถึงไหนแล้ว”

ข้าพเจ้าตอบว่า “สมรสเรียบร้อยแล้วครับ”

ท่านก็ว่า “ทำไมไม่บอกกันบ้าง ได้เรือก็ลืมแพ ได้ดีแล้วก็ลืมกันเลยนะ”

ท่านหัวหน้ากล่าวยิ้มๆ

ข้าพเจ้าตอบว่า “เราไม่ได้จัดงานเลี้ยงใดๆเลยครับ เพียงเลี้ยงน้ำหวานให้แก่เพื่อนๆไม่กี่คน แล้วพ่อตาก็ขยับขยายห้องให้กับข้าพเจ้ากับลูกสาวของเขาให้พออยู่กันได้นิดหน่อยครับ”

ว่าแล้วท่านหัวหน้าหะซัน บันนา จึงขอดุอาอ์ให้ข้าพเจ้าได้รับความเจริญจากอัลลอฮ์

ข้าพเจ้าอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับคู่ชีวิตของข้าพเจ้าร่วม 30 ปี อย่างคู่สมรสที่มีความสุขที่สุดในโลกคู่หนึ่ง

ข้าพเจ้าตอบแทนที่นางยอมรับในความอัตคัดขัดสนของข้าพเจ้า ด้วยการให้ได้อาศัยในบ้านหลังใหญ่ในภายหลัง ให้นางได้ลิ้มรสความหรูหรา ได้เหยียบย่ำไปบนผ้าไหมกำมะหยี่และกองเงินกองทอง

นางมีบุตรให้ข้าพเจ้า 9 คน ฝากไว้กับอัลลอฮ์เสีย 2 คน คงเหลือเพียง 7 คน แล้วนางก็ได้พรากจากข้าพเจ้าไปก่อนโดยไม่รอ

ข้าพเจ้าร่ำไห้จากส่วนลึกแห่งหัวใจ

ขอให้อัลลอฮ์เมตตาต่อนาง และให้นางได้พำนักอยู่ในสวนสวรรค์อันกว้างใหญ่ของพระองค์”

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี
ในหนังสือ ประวัติชีวิต
«قصة حياة/مذكرات الشيخ محمد الغزالي»

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย Ghazali Benmad

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี รักษาโรคด้วยการบริจาค

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี เล่าไว้ในหนังสือบันทึกชีวประวัติ قصة الحياة ของท่านว่า

ขณะที่เรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนศาสนาของสถาบันอัลอัซฮัร กรุงอเล็กซานเดรีย มีโทรเลขฉบับหนึ่งมาจากบ้านเกิด ขอให้รีบกลับบ้านด่วน

ข้าพเจ้าทราบทันทีว่าจะต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัว ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น

ข้าพเจ้ายิ่งเกิดความไม่สบายใจเมื่อเห็นจากระยะไกลว่าร้านบิดาของข้าพเจ้านั้นปิดอยู่

สองเท้าก้าวไปอย่างไร้ความรู้สึก ถึงบ้านก็เห็นบิดาร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจากนิ่วในไตอันเป็นโรคประจำตัวของท่าน โดยที่ลูกๆ นั่งอยู่รายล้อม ไม่รู้จะทำอย่างไร แพทย์ได้ให้ยาระงับประสาทบางตัว แต่ความปวดของบิดาก็ยิ่งทวีมากขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ญาติๆ บอกว่าคงจำเป็นต้องผ่าตัดเอานิ่วออก

ข้าพเจ้าเดินไปเปิดร้านทำหน้าที่ในร้านแทนบิดา ข้าพเจ้ารู้เรื่องการทำงานในร้านเป็นอย่างดี เพราะในช่วงปิดเทอมได้ช่วยบิดาทำงานอยู่เสมอ

วันเวลาผ่านไปหลายวัน เราครุ่นคิดพิจารณาว่าจะทำอย่างไรดี

ในการรักษานั้น ค่ารักษาพยาบาลเกินกำลังความสามารถ ถึงกระนั้น แม้ว่าจะมีเงินค่ารักษา แต่การผ่าตัดในยุคนั้นไม่สามารถประกันความปลอดภัยได้ ลุงของข้าพเจ้าเสียชีวิตเนื่องจากการผ่าตัดในลักษณะนี้แหละ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี

ข้าพเจ้าครุ่นคิดจนเบลอ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวข้าพเจ้าค่อยๆ เล็กลง ข้าพเจ้าจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร มีที่เดียวที่ข้าพเจ้าจะพึ่งพิง อัลลอฮ์เท่านั้นจริงๆ

ข้าพเจ้าคุยกับผู้คนเหมือนอยู่ในภวังค์

ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งมาขอซื้ออาหารบางอย่าง ข้าพเจ้ามอบของให้ไป เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า ตอนนี้ผมไม่มีเงินเลย และสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าพูดความจริง และว่า พรุ่งนี้จะนำเงินค่าอาหารมาให้

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขามีความจำเป็นจริงๆ จึงบอกไปว่า เอาของไปเถอะ ฉันให้

แล้วชายคนนั้นก็เดินจากไป เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

พอเขาออกไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน พลางขอดุอาอ์ “โอ้องค์อภิบาลของข้า ศาสดาของพระองค์ได้กล่าวว่า “จงรักษาผู้ป่วยของพวกท่านด้วยการบริจาค” โปรดรักษาบิดาของข้าพเจ้าด้วยการบริจาคอันนี้เถิด”

ข้าพเจ้านั่งลงบนพื้นร้านแล้วร้องไห้ หลังจากนั้นราวๆ ชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ข้าพเจ้ารีบกลับไปในทันที ทั้งๆ ที่มีความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง

ถึงบ้าน ข้าพเจ้าตกใจที่เห็นบิดายืนอยู่ข้างประตู กล่าวว่า “ก้อนนิ่วหลุดออกมาแล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดถั่วขาวเสียอีก พ่อไม่รู้ว่ามันออกมาได้อย่างไร พ่อหายปวดแล้วละ”

และแล้ว เช้าวันต่อมาข้าพเจ้าก็กลับมายังมหาวิทยาลัย มาเรียนร่วมกับเพื่อนๆ ตามปกติ”

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

#คมคิดชัยมุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย ‎Ghazali Benmad

ความทรงจำในวัยเด็ก ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี

ในวัยเด็ก ชีวิตข้าพเจ้าไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ถ้าจะมีก็เพียงนิสัยรักการอ่านเป็นพิเศษแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ข้าพเจ้าอ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยไม่มุ่งเน้นวิชาใดเป็นการเฉพาะ ข้าพเจ้าอ่านแม้ในยามเดิน และอ่านแม้ในยามกิน

การอ่านมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้เรียกร้องสู่ศาสนาของอัลลอฮ์ และยังเป็นผนังทองแดงที่ทรงคุณค่าสำหรับนักฟิกฮ์และนักดะวะฮ์ทุกคน

การอ่านน้อยและความไม่รู้เรื่องราวรอบตัวที่เกิดขึ้น เป็นความผิดมหันต์สำหรับผู้พูดเกี่ยวกับศาสนา มาตรแม้นว่าจะเป็นคนดีก็ตามแต่

การอ่านความรู้ทั่วไปถือเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสังคม สถานการณ์และเรื่องราวต่างๆได้

นอกจากนั้น การอ่านยังสร้างมาตรวัดที่ถูกต้องสำหรับความคิดต่างๆ

หลายต่อหลายครั้งที่นักฟิกฮ์และนักดะวะฮ์บกพร่องอันเนื่องมาจากความด้อยข้อมูลในด้านความรู้ทั่วไป

การขาดความรู้ทั่วไปของนักวิชาการศาสนาอันตรายยิ่งกว่าการขาดเลือดของผู้ป่วยอาการโคม่า

ผู้เรียกร้องสู่ศาสนาของอัลลอฮ์ต้องอ่านทุกอย่าง

จะต้องอ่านตำราว่าด้วยศรัทธา
จะต้องอ่านตำราว่าด้วยการปฏิเสธศรัทธา
จะต้องอ่านหนังสือสุนนะฮ์และหนังสือปรัชญา

โดยสรุปแล้ว ดาอีย์ต้องอ่านวิชาการด้านต่างๆ ที่ทำให้ความคิดของคนแตกต่างกัน เพื่อทำความรู้จักกับสังคม ตลอดจนสิ่งต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อสังคม

แนวคิดที่ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้นำหรืออาจเป็นผู้กรุยทาง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้ประโยชน์จากทุกแนวความคิดและมัซฮับทางฟิกฮ์ในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามอย่างเต็มประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์จากข้อค้นพบทางการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยา สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ตลอดจนการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด กับความความเข้าใจที่ถูกต้องต่ออัลกุรอานและสุนนะฮ์

ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อบทบัญญัติทางศาสนาอิสลาม หรือข้อบัญญัติที่ถูกต้องที่ควรค่าต่อการเชื่อมั่นยึดถือ จะเกิดขึ้นไม่ได้ นอกจากด้วยความรู้ที่กว้างขวาง มีพื้นฐานทางวิชาการทั้งที่เป็นความรู้ในอดีตและความรู้ร่วมสมัยอย่างเท่าทันและทัดเทียม

บางที อัลลอฮ์อาจบันดาลให้บรรพชนของเรามีสามัญสำนึกที่บริสุทธิ์และความเป็นอัจฉริยภาพที่สูงส่ง จนทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจและตีความได้ถูกต้องเหมาะเจาะ

สำหรับพวกเราในยุคนี้ คงไม่อาจไปถึงระดับของพวกเขาได้ เว้นแต่ด้วยการร่ำเรียนอย่างหนัก เสมือนคนสายตาสั้น ที่จะต้องอาศัยแว่นตาเพื่อให้สามารถมองเห็นสิ่งที่จะอ่าน หรือใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อให้สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ห่างออกไปจนไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี
ในหนังสือประวัติชีวิต قصة حياة

#ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด_ฆอซาลี

เขียนโดย Ghazali Benmad

นักสู้ผู้ทรหดได้เวลาพักผ่อน ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี

ประวัติชีวิตชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี ตอน…นักสู้ผู้ทรหดได้เวลาพักผ่อน

“วันหนึ่ง ขณะที่กำลังทำงานอยู่ที่มัสยิดอะตาบะฮ์ในกรุงไคโร และที่สำนักงานใหญ่ของกลุ่มอิควานที่หิลมียะฮ์ ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งขอให้กลับบ้านด่วน
ข้าพเจ้าทราบดีว่าบิดาป่วย แต่ก็ไม่คิดว่าจะป่วยหนัก

เมื่อข้าพเจ้าถึงไปยังหมู่บ้าน ด้วยความรู้สึกสงสัย จึงสังเกตดูใบหน้าของทุกคนเพื่อหาคำตอบ

ข้าพเจ้าเห็นร้านของเราแต่ไกล
เห็นน้องชายยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็รู้ดีว่าบิดาไม่สบาย จึงรีบตรงดิ่งไปที่บ้านในทันที

ที่บ้าน ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่กำลังร้องไห้ ในขณะที่บิดานอนอยู่บนเตียงใกล้ๆ กับนาง

ข้าพเจ้าจับมือบิดาแล้วบรรจงจูบด้วยความรัก

พอเห็นหน้าข้าพเจ้า บิดาก็แสดงออกถึงความดีอกดีใจ

ข้าพเจ้าเห็นขวดยาวางอยู่ข้างๆ ก็รู้ว่า หมอมาแล้วและเขียนใบสั่งยาให้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้อาการของบิดาดีขึ้นก็ตาม

ข้าพเจ้าไปตามหมอมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะอาการของบิดาทรุดลงอีก เมื่อหมอมาถึงก็ไม่ได้พยายามปิดบังอะไรอีก ข้าพเจ้าจึงทราบว่าบิดาเป็นโรคทางเดินปัสสาวะหลายโรค จนถึงขั้นไม่อาจจะรักษาเยียวยาได้อีก รวมทั้งเป็นโรคนิ่วจนไม่อาจปัสสาวะได้ อีกทั้งร่างกายก็ไม่พร้อมที่จะผ่าตัดได้

เราได้ผลัดเปลี่ยนกันดูแลบิดา
ในขณะที่คุณแม่ได้แต่พยายามรบเร้าให้เราไปหาหมอ เพื่อรักษาอาการบิดาที่ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง แต่คุณหมอปฏิเสธไม่ยอมมา เพราะเขาหมดหวังที่จะรักษา

หลังจากเที่ยงวัน ข้าพเจ้านอนหลับยาว เนื่องจากเมื่อคืนไม่ได้นอนหลับ และเฝ้าบิดาทั้งคืน

ข้าพเจ้าไปนั่งข้างๆบิดา และละหมาดอยู่ใกล้ๆ

หลังจากละหมาดอีชา
ข้าพเจ้าได้เฝ้าสังเกต
คืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ
ทุกคนในบ้านล้วนนอนหลับสนิทเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย

คงเหลือเพียงข้าพเจ้าคนเดียวที่ยังตื่นอยู่

บิดากล่าวเบาๆ กับข้าพเจ้าว่า “พ่อกำลังจะตายแล้วนะ”

ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบ

ตะเกียงน้ำมันถูกวางไว้ที่ข้างผนังบ้าน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเปลวตะเกียงกำลังสั่นไหว
ข้าพเจ้าพูดกับตัวเอง “ยมทูตได้เข้ามาแล้วกระพือปีก จนกระทั่งเปลวตะเกียงสั่นไหว”

ข้าพเจ้าเงี่ยหูฟัง ได้ยินบิดากำลังขอดุอาให้แก่ข้าพเจ้า ก่อนที่็จะเงียบหายไป อย่างถาวร

ในตอนเช้า ผู้ชายหลายคนได้หามศพของบิดา ข้าพเจ้าเห็นคุณแม่จับเกาะอยู่กับเท้าของบิดาผู้จากไป นางจูบแล้วฝังใบหน้าลงในฝ่าเท้าของท่าน เหมือนกับคนใกล้สิ้นสติ

กว่าจะเอาศพบิดาให้พ้นไปจากการเกาะเกี่ยวของนาง ช่างแสนยากลำบาก

ข้าพเจ้าก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ อย่างที่สุด แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ข้าพเจ้าจะต้องอดทน

วันนี้ ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสที่สุดในครอบครัว หากข้าพเจ้าล้มครืน พวกเขาย่อมล้มตาม

ข้าพเจ้าจะต้องทำตัวให้เหมือนกับพ่อ ที่ต้องฝืนแสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดนอกจากความหวังในความมตตาของอัลเลาะห์เท่านั้น

สายใยผูกพันของสมาชิกในครอบครัวช่างยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้ากล่าวกับคุณแม่และพี่น้องทุกคน ในขณะที่กำลังจะเดินทางไปยังกรุงไคโรเพื่อเริ่มต้นทำงานอีกครั้งหนึ่งว่า บิดายังไม่ตาย พี่จะดูแลทุกคนด้วยกรุณาธิคุณของอัลเลาะห์ จนกว่าน้องชายทุกคนจะสำเร็จการศึกษา และน้องสาวทุกคนได้แต่งงานออกเรือนไป

อัลเลาะห์ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้า ทำให้ทุกคำพูดของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลทุกคำ ตัวอักษร”

ชัยค์มุฮัมมัด ฆอซาลี
ในหนังสือ ประวัติชีวิต
«قصة حياة/مذكرات الشيخ محمد الغزالي»

«قصة حياة/مذكرات الشيخ محمد الغزالي»

เขียนโดย Ghazali Benmad

ความตายทำให้ทุกอย่างดับสูญจริงหรือ

โลกนี้มีเวลาสิ้นสุด

ไม่ว่าคุณจะร่ำรวยหรือยากจน

ความตายจะตัดขาดความร่ำรวยของมหาเศรษฐีและความยากจนของยาจก

ไม่ว่าคุณจะมีอำนาจล้นฟ้า

ไม่ว่าคุณจะมีความสุขมากมายเพียงใด

ความตายจะทำให้ความเกรียงไกรของคนๆหนึ่งกลายเป็นตำนานเล่าขาน

ความตายทำให้ความรันทดหดหู่ของผู้อ่อนแอสิ้นสุดลง

ความตายทำให้ความหล่อเหลาของชายหนุ่ม ต้องหายวับ

ความตายทำให้ความสวยงามของสตรีต้องจบสิ้น

ไม่ว่าคุณจะเสวยสุขหรือระทมทุกข์

ความตายจะทำให้ทุกอย่างดับสูญ

แต่มันจะจบจริงหรือ

ตายแล้วจบจริงหรือไม่

หากเป็นเช่นนี้จริง

จะเหมาะสมกับความเมตตาที่ไม่สิ้นสุดของอัลลอฮ์ได้อย่างไร

เป็นไปได้หรือ ที่ความเมตตาของพระองค์จะสิ้นสุดกับความตายของคนๆหนึ่ง

เพราะความกรุณาปรานีที่สิ้นสุดด้วยความตาย จึงไม่ใช่ความกรุณาปรานีที่เหมาะสมกับความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วยประการทั้งปวง

ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงประทานสิ่งต่างๆบนโลกนี้ให้แก่คนที่พระองค์รักและไม่รัก

พระองค์ประทานความร่ำรวยแก่กอรูน ทั้งๆที่พระองค์ไม่รักเขา

พระองค์ประทานความร่ำรวยแก่ท่านอับดุลเราะห์มานบินเอาฟ ในขณะที่พระองค์รักเขา

พระองค์มอบอำนาจ อันล้นฟ้าแก่ฟาโรห์ ทั้งๆที่พระองค์ไม่รักเขา

และพระองค์มอบอำนาจอันยิ่งใหญ่แก่นบีสุไลมาน ในขณะที่พระองค์รักเขา

โลกนี้จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดของความรักของพระองค์อย่างแท้จริง

หากโลกนี้มีค่า ณ อัลลอฮ์เท่าปีกแมลงวัน บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่มีทางดื่มน้ำได้แม้แต่อึกเดียว

จงตอบฉันว่า ขณะนี้คุณมีความสุขกับอะไร

ฉันจะรู้ทันทีว่า คุณคือใคร

คุณคุยเรื่องอะไรในไลน์ คุยแชทกับใคร เรื่องอะไรบ้าง นั่นแหละคือตัวตนของคุณ

หากมีคนเสนอให้คุณเลือกระหว่างมอเตอร์ไซค์ราคา 5 หมื่นบาท ที่มีคนมอบให้คุณถือกรรมสิทธิ์อย่างถาวร

กับอีกคนที่มอบรถเบนซ์ราคา 5 ล้านบาทให้คุณขับขี่ชั่วคราวเพียง 1 ชั่วโมง แล้วต้องคืนให้เจ้าของกลับ

คุณจะเลือกอะไร

คนฉลาดย่อมเลือกมอเตอร์ไซค์ ถึงแม้มีราคาที่น้อยกว่า และสักวันก็จะเป็นมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่ไร้ค่าก็ตาม

แต่สิ่งที่อัลลอฮ์เตรียมไว้ให้คุณนั้น ย่อมดีกว่าและถาวรนิรันดร์

แล้วคุณไปยื้อแย่งสิ่งไร้ค่า ด้วยเหตุผลอันใดเล่า

มนุษย์มักจะแย่งชิงกอบโกยสิ่งไร้ค่า ณ อัลลอฮ์ ยิ่งกว่าปีกแมลงวัน

แต่กลับหันหลังความดีงามอันจีรังมหาศาลจากอัลลอฮ์ที่เตรียมไว้ในสวนสวรรค์ของพระองค์ โอ้อัลลอฮ์

ขอได้โปรดให้เราทั้งหลายมั่นคงในทางนำของพระองค์

และสิ้นชีวิตด้วยการสิ้นสุดที่ดีด้วยเถิด

เขียนโดย ผศ.มัสลัน มาหะมะ
อ้างอิง แปลสรุปจากคำบรรยายของเชคมูฮัมมัด รอติบ อันนาบุลซีย์ ดาอีย์อาวุโสชาวซีเรีย

Keluhan dan Harapan

Hitam – putih
Gelap – terang
Bengkok – lurus
Miskin – kaya
Lemah – gagah
Adalah realiti hidup serba kontradiksi.
Demikianlah lumrah hidup.

Tapi…
Jika hitam bertambah kelam.
Jika gelap diselubungi gelita.
Jika bengkok berkekal kekok.
Jika miskin dilanda kedana.
Jika sedih diamuk resah.
Jika derita ditimbun sengsara.
Jika luka bertambah duka.
Ianya petanda kebekuan sebuah generasi
Yang pernah berpotensi.

Bumiku tercinta.
Sampai bila kau menghiasi jasadmu dengan darah dan malapetaka.
Sampai bila aku dibuai mimpi ngeri dan nostalgia luka.
Sampai bila peristiwa misteri merajalela.
Air mata duka mengalir dalam sungai riwayat.
Yang sering terusik oleh kerakusan zaman.
Musuh merusuh dalam rumah sendiri.
Saudara kandung menjadi saudara tiri.

Sampai aku terfikir.
Apakah hidup ini hanya untuk menikmati sebuah peperangan.
Yang tidak berdalang.
Apakah hidup ini hanya untuk menyapu air mata duka.
Hanya untuk mendengar dodoian peluru tembakan.
Dan hanya menyaksi mayat-mayat yang bergelimpangan.

Dalam gelora hidup yang dilanda ribut taufan.
Ku lihat sebarisan remaja sedang berfoya-foya.
Tenggelam dalam lautan maksiat.
Dan gejala dadah durjana.
Kaum bapa asyik berjenaka di warong kopi.
Bersama sang ciak jambul dibawa sana sini.
Semua gelanggang pertandingan telah sertai.
Namun masih setia menadah tangan kepada isteri.
Mencari semangat tuah dan keramat tok wali.
Berbuahlah pisang tiga kali

Dalam gelora hidup yang dilanda ribut taufan.
Ku lihat manusia alpa pada Maha Pencipta.
Barisan pemimpin asyik berpesta.
Para ilmuan membisu seribu bahasa.
Memenuhi hidup yang tersisa.
Melihat anak didik yang jauh tersimpang jalan.

Umatku harus tenang.
Mengekang pesta laknat ini.
Merculah al-quran dan Sunnah nabi.
Terbanglah,
Walau ke pohon yang terbelit onak dan duri.
Kendati ke rumput yang tersembunyi ular dan semut api.
Terbanglah.
Kerana maruah dan harga diri.
Kerana ilmu dan jati diri.
Kerana taqwa dan iman murni.
Akan menghantarmu ke destinasi unggul dan ternama.
Tunduklah kepala .
Angkatlah kedua telapak kita.
Dan panjatkan doa bersama.
—————
Nukilan : Ibnu Desa
Nad Kubur, Patani
18 Jamadussani 1430
1 Mei 2010

#pray_for_Patani

อะมัลทางจิตใจ

อะมัลทางจิตใจมีความสำคัญมาก เพราะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้อะมัลทางกายมีความถูกต้องและได้รับการยอมรับ อะมัลทางจิตใจมีมากมายหลายชนิด เช่น อีมาน อิคลาศ ตักวา ตะวักกัล ความหวัง(الرجاء) ความกลัว (الخوف) ความรู้สึกคล้อยตาม (الانقياد) ความรู้สึกเกรงขาม (الرهبة) โกรธ (البغض) รัก (المحبة) ฯลฯ

หากอะมัลทางใจมีความถูกต้องเพียงใด อะมัลทางกายก็ยิ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น แต่หากอะมัลทางจิตใจบกพร่องหรือเสียศูนย์ อะมัลทางกายก็จะบกพร่องและเสียศูนย์ตามไปด้วย ถึงแม้จะมีจำนวนมากมายเพียงใดก็ตาม “และเรามุ่งสู่ส่วนหนึ่งของการงานที่พวกเขาได้ปฏิบัติไป แล้วเราจะทำให้มันไร้คุณค่ากลายเป็นละอองฝุ่นที่ปลิวว่อน”(อัลฟุรกอน:23)


อะมัลทางจิตใจมีเงื่อนไข 2 ประการ คือ ความรัก (المحبة)และความสัจจริง (الصدق) ความรักทำให้เราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย หรือเกียจคร้าน ความสัจจริงทำให้เรามีความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทนใดๆ คนที่เกียจคร้านกระทำสิ่งใดแสดงว่าเขายังไม่รักสิ่งนั้นจริง และคนที่หวังการตอบแทนแสดงว่ายังไม่มีความจริงใจพอ ดังกรณีคนนอนหลับหลังจากตรากตรำกับงานหนัก ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนเพลียเพียงใด แต่เมื่อมีคนที่เขารักมาปลุกถึงบ้าน เขาจะต้องรีบลุกมาต้อนรับอย่างแน่นอน ยามนั้น ความเกียจคร้านจะหายไปเหมือนปลิดทิ้ง ความสุขและความจริงใจจะเข้ามาแทนที่


เช่นเดียวกันกับความรักในอัลลอฮฺและเราะซูลของบรรดาเศาะฮาบะฮฺ ซึ่งพวกเขามีความรักและสัจจริงต่ออัลลอฮฺและเราะซูล ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์มากมายที่แสดงถึงความรักที่แท้จริงและความสัจจริงที่เที่ยงแท้

(สรุปจาก http://www.alhawali.com/index.cfm?method=home.SubContent&ContentId=5034)