อัตลักษณ์ 7 ประการของชีอะฮ์อิมาม 12

อัตลักษณ์ 7 ประการ ของชีอะฮ์อิมาม 12 มีดังต่อไปนี้ :


1. ทรยศหักหลัง

เรื่องราวการทรยศหักหลังในประวัติศาสตร์อิสลาม ล้วนแล้วแต่มีมือทมิฬของกลุ่มชีอะฮ์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น ตั้งแต่การทรยศท่านอะลี บินอะบีฎอลิบ ท่านหะซันบินอะลีหรือแม้กระทั่งท่านหุเซ็นบินอะลี رضي الله عنهم  กลุ่มชีอะฮ์ยังทรยศต่อราชวงศ์บะนีอุมัยยะฮ์ เป็นหนอนบ่อนไส้ให้แก่กองทัพมองโกลบุกถล่มราชวงศ์บะนีอับบาสิยะฮ์ที่กรุงแบกแดด ชีอะฮ์อุบัยดียะฮ์(ฟาฏิมียะฮ์)ได้ร่วมมือกับกองทัพครูเสดเพื่อทำสงครามกับกองทัพศอลาฮุดดีน ชีอะฮ์เกาะรอมิเฏาะฮ์ได้ปล้นหินดำที่กะอฺบะฮ์ในปีฮ.ศ. 294 และยึดอยู่ในครอบครองนานกว่า 20 ปี พร้อมสังหารผู้ประกอบพิธีฮัจญ์อย่างโหดเหี้ยม กษัตริย์อิสมาอีล เศาะฟะวีย์ได้ร่วมมือกับแม่ทัพโปรตุเกส ในความพยายามขุดทำลายสุสานนบี แต่ไม่สำเร็จ พวกเขายังได้ประสานความร่วมมือกับกองทัพออสเตรียเพื่อประกาศสงครามกับกองทัพอุษมานียะฮ์ พวกเขาคือหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงประชาชาติอิสลามทุกครั้งยามที่มีโอกาส หรือไม่ก็เป็นเม็ดกรวดในรองเท้าที่คอยสร้างอุปสรรคในการเดินทางของประชาขาติอิสลามตลอดเวลา

แม้กระทั่งโคมัยนีผู้เคยประกาศว่าสหรัฐอเมริกาคือซาตานที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อปีค.ศ. 1985 โคมัยนีได้สร้างข่าวฉาวระดับโลกในคดี Iran – Contra Affair  ที่จับได้ว่าสหรัฐอเมริกาแอบส่งขีปนาวุธอันทันสมัยผ่านอิสราเอลให้เเก่อิหร่าน เพื่อสนับสนุนอิหร่านทำสงครามกับอิรัก ปีค.ศ. 1982 กลุ่มก่อการร้ายชีอะฮ์”อะมัล “(ความหวัง) แห่งเลบานอน ได้ร่วมมือกับกองทัพคริสเตียนสุดโต่ง ด้วยการสนับสนุนจากยิวสังหารชาวปาเลสไตน์ที่ค่ายอพยพศ็อบรอและชาติลลา เลบานอน หลังจากที่พวกเขาโอบล้อม ปิดตายค่ายนี้เพื่อสังหารชาวมุสลิมเป็นเวลานานถึง 3 วัน

ในปีค.ศ. 2003 กองทัพชีอะฮ์ได้กรีธาทัพบุกอิรักและเข่นฆ่าชาวสุนนะฮ์อิรักร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาออกมาขื่นชมว่า หากไม่มีกองหนุนจากอิหร่าน สหรัฐฯคงไม่มีโอกาสรับชัยชนะในสมรภูมิอิรัก

ในปีค.ศ. 2013 กองทัพชีอะฮ์บดขยี้กรุงดามัสกัสและเมืองต่างๆทั่วซีเรียจนแหลกลาญ แม้กระทั่งที่เยเมน กบฏชีอะฮ์ฮูซีย์ได้สร้างวีรกรรมเถื่อน จนเยเมนทั้งประเทศกลายเป็นรัฐแห่งความหวาดกลัวและสยดสยอง

ที่กล่าวมา เป็นเพียงแค่บางเสี้ยวบางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่รายงานทั้งหมด

2. เบี่ยงเบนทางเพศที่รุนแรง

ภายใต้กรอบศาสนาที่บิดเบี้ยว พวกเขาสามารถเป่าหูบรรดาสาวกให้เชื่อว่าการผิดประเวณีคือหนึ่งในการเคารพภักดีอันสุดประเสริฐ ภายใต้วาทกรรม”มุตอะฮ์” ชีอะฮ์สามารถประดิษฐ์ชุดความเชื่อที่โน้มน้าวให้บรรดาสาวกจมปลักในทะเลอารมณ์ทางเพศอย่างเบิกบานสบายอุรา

“น้ำแต่ละหยดที่ชาวมุตอะฮ์ใช้เพื่ออาบน้ำญะนาบะฮ์ จะกลายเป็น 1 มะลาอิกะฮ์ที่กล่าวขออภัยโทษแก่ผู้ทำมุตอะฮ์จนกระทั่งวันกิยามะฮ์ “ มีในตำราชีอะฮ์ที่อุปโลกน์คำพูดของนบีที่กล่าวความว่า “ผู้ใดทำมุตอะฮ์ 1 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฮุเซ็น ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 2 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าหะซัน ผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 3 ครั้งเขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าอะลี และผู้ใดที่ทำมุตอะฮ์ 4 ครั้ง เขาจะได้รับฐานะเทียบเท่าฉัน”

ถามว่า แล้วหากมีคนทำมุตอะฮ์มากกว่า 5 ครั้ง เขาจะประเสริฐยิ่งกว่านบีเชียวหรือ (ขอให้อัลลอฮ์ทรงคุ้มครองจากความเชื่ออันพิเรนท์นี้ด้วยเถิด)

https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=ymvJ-CAFcTs

(อ่าน http://www.alkalema.net/sharaf/sharaf4.htm)

นี่คือข้ออ้างบางส่วนที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำอันผิดจรรยาบรรณของความเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศาสนาไหนสั่งสอน ยกเว้นลัทธิโซโรเอสตอร์ที่มีอิทธิพลยุคเปอร์เซียในอดีตเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ปัญหาโสเภณีและเรื่องการนอกใจระหว่างสามีภรรยา จึงเป็นเหตุการณ์ปกติในสังคมชีอะฮ์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาได้จาบจ้วงและใส่ร้ายครอบครัวของนบีว่า มีภรรยาใจคดและไม่ซื่อสัตย์ต่อนบี ดังนั้นอัลลอฮ์จึงลงโทษให้ครอบครัวของพวกเขาเป็นผู้แบกรับการใส่ร้ายนี้ไว้บนบ่าของพวกเขาเอง ซึ่งถือเป็นการลงโทษอันสาสมแล้ว เพราะการตอบแทนจะคู่ควรกับผลการกระทำเสมอ والجزاء من جنس العمل

3. อาฆาตแค้นต่อชาวอาหรับ

พวกเขาถือว่าชาวอาหรับเป็นสาเหตุที่ทำให้อาณาจักรเปอร์เซียอันยิ่งใหญ่ในอดีตต้องล่มสลาย เริ่มต้นตั้งแต่นบีฯ บรรดาเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน ราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ และราชวงศ์บนีอับบาสิยะฮ์ล้วนแล้วแต่เป็นชาวอาหรับที่ลบล้างอดีตอันรุ่งโรจน์ของอาณาจักรเปอร์เซีย ความอาฆาตเเค้นนี้เปรียบเสมือนไฟที่ไม่เคยดับมอด จนกระทั่งกลายเป็นกองเพลิงที่พร้อมเผาไหม้ชาวอาหรับทุกคนให้แหลกเป็นจุณ ในตำราของพวกเขาระบุว่า ภารกิจแรกของอิมามมะฮ์ดี เมื่อฟื้นคืนชีพจากหลุมสิรดาบที่อิรักแล้ว เขาจะนำทัพไปหลั่งเลือดชาวอาหรับจำนวน 100 เผ่าพันธุ์ทันที อิมามมะฮ์ดีของพวกเขาจะไปขุดหลุมสุสานของนางอาอิชะฮ์ และทำให้นางฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพื่อให้โอกาสแก่อิมามมะฮ์ดี เฆี่ยนโบยนางจำนวน 100 ครั้ง ในข้อหาลอบมีชู้สมัยนบีโดยที่นบีไม่ทันลงโทษนาง (ขออัลลอฮ์คุ้มครองจากคำอุปโลกน์นี้ด้วยเถิด)

แม้กระทั่งอ่าวอาหรับ ชาวอิหร่านปฏิเสธและขยะแขยงใช้ชื่อนี้ แต่เลือกเรียกใช้ชื่ออ่าวเปอร์เซียแทน ถึงแม้จะเสนอให้เรียกอ่าวอิสลามก็ตาม ผลพวงของการเกลียดชังชาวอาหรับเข้ากระดูกดำเช่นนี้ อัลลอฮ์จึงประทับตราบนลิ้นและหัวใจของพวกเขาด้วยความรู้สึกเกลียดชังอัลกุรอาน ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่า บรรดาผู้รู้ระดับอะยาโตลาฮ์ อ่านอัลกุรอานด้วยน้ำเสียงที่ผิดเพี้ยนและติดสำนวนเปอร์เซียมากกว่า

ชีอะฮ์จึงไม่ค่อยเน้นการเปิดและพัฒนาสถาบันท่องจำอัลกุรอาน และไม่ค่อยมีนักท่องจำอัลกุรอานเหมือนในสังคมชาวสุนนะฮ์ ซึ่งมีนักท่องจำอัลกุรอานทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งในกลุ่มคนตาบอดหรือคนพิการ หากมีบ้าง ก็จะมุ่งแต่การอ่านอัลกุรอานด้วยท่วงทำนองที่ฟังไพเราะเสนาะหู เพื่อตบตาชาวสุนนะฮ์ ทั้งๆที่การอ่านอัลกุรอานของพวกเขา ไม่เคยข้ามผ่านลูกกระเดือกของตนเอง

4. ใช้อารมณ์เหนือปัญญา

พวกเขาใช้น้ำตาของพี่น้องนบียูซุฟ มากลบเกลื่อนความบิดเบือนความเชื่อที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมา เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนโกหกเจ้าเล่ห์ ที่มักใช้น้ำตาเป็นอาวุธ เพื่อปกปิดความปลิ้นปล้อนมดเท็จของตนเอง แทบไม่น่าเชื่อว่าในรอบปี ชีอะฮ์มีพิธีกรรมมากกว่า 30 ประเภทที่สามารถบีบน้ำตาสาวกได้อย่างแนบเนียนชนิดดาราเจ้าน้ำตายังต้องชิดซ้าย

บรรดาผู้รู้จึงจำเป็นต้องควบคุมสมองของชาวชีอะฮ์ทั่วไป มิให้ถูกขับเคลื่อนอย่างปกติ เพราะหากพวกเขาคิดได้ แม้เพียงเสี้ยววินาที พวกเขาจะรู้ได้ทันทีว่าแท้จริง พวกเขาถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เพื่อปกป้องระบบคุมุส (20%) นั่นเอง

5. โกหกปลิ้นปล้อน (ตะกียะฮ์)

ชีอะฮ์ไม่เชื่อว่าโกหกแล้วได้โล่อย่างเดียว แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาศรัทธาว่า โกหกยังได้บุญอันมหาศาลและเป็นหลักสำคัญทางศาสนาอีกด้วย

พวกเขาใส่ร้ายอิมามญะอฺฟัรโดยระบุว่าอิมามญะอฺฟัรเคยกล่าวว่า “9ใน10 ของศาสนานี้อยู่ในการตะกียะฮ์ และไม่มีศาสนาสำหรับผู้ที่ไม่ตะกียะฮ์”

ตะกียะฮ์คือการอำพรางตัวตนที่แท้จริงและแสดงออกพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งก็คือการโกหกปลิ้นปล้อนนั่นเอง แต่พวกเขาเลี่ยงใช้คำนี้ เหมือนเลี่ยงใช้คำว่า ซินา โดยเรียกมุตอะฮ์แทน

พวกเขาแสดงตัวตนว่าจะปกป้องพิทักษ์อัลกุดส์และปาเลสไตน์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาด่าทอและสาปแช่งบรรพชนที่พิชิตปาเลสไตน์ โดยเฉพาะท่านอุมัร อัลค็อฏฏอบ อัมร์บินอ้าศ และมุอาวิยะฮ์บินอะบูสุฟยาน رضي الله عنهم และในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยทำสงครามกับกองทัพครูเสดหรือชาติตะวันตกเพื่อกอบกู้อัลอักศอ แม้เพียงครั้งเดียว

พวกเขาแอบอ้างภราดรภาพแห่งอิสลามและต่อต้านการเชิญชวนสู่ความคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์และความเชื่อ ทั้งๆที่พวกเขาคือแกนหลักที่ทำให้เกิดไฟฟิตนะฮ์และสงครามยืดเยื้อระหว่างมุสลิมด้วยกัน ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน

ส่วนการโกหกในเรื่องศาสนา โดยเฉพาะหะดีษนบี ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของชีอะฮ์ที่คนอื่นเลียนแบบได้ยากมาก บรรดาอุละมาอฺชาวสุนนะฮ์ต่างตักเตือนให้ประชาขาติมุสลิมระมัดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อของความบิดเบือนของชีอะฮ์ มาโดยตลอด (ดู https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436 )

6. ฝังใจเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

จากอัตลักษณ์ข้อ 4. ทำให้ชีอะฮ์กลายเป็นชนที่หมกมุ่นในเรื่องอภินิหารและสิ่งงมงาย

ฐานความเชื่อสำคัญที่สุดของชีอะฮ์ คืออิมามมะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย โดยชีอะฮ์เชื่อว่ามีทารกน้อยชื่อมูฮัมมัด อัลอัสการีย์ ซึ่งมีบิดาเป็นอิมามคนที่ 11 เกิดจากมารดาคริสเตียน ได้หลบซ่อนในถ้ำสิรด้าบที่อิรัก ตั้งแต่ปี ฮ.ศ. 260 จนกระทั่งปัจจุบันเป็นระยะเวลานานกว่า 1,182 ปีแล้ว พวกเขาสร้างนิยายอันแปลกพิสดาร ที่เชื่อว่าทารกคนนี้ได้หลบซ่อนเร้นกาย เพราะหนีจากการไล่ล่าของทหารราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ในขณะนั้น ทั้งๆที่ในความเชื่อของพวกเขาถือว่าทารกคนนี้มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารมากมายเหนือมนุษย์มนายิ่งกว่าในละครจักร์ๆวงศ์ๆ แต่ทำไมต้องหลบซ่อนยาวนานถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ก็ได้ล่มสลายไปตามกาลเวลาแล้ว ประกอบด้วยปัจจุบันชีอะฮ์มีศักยภาพที่เข้มแข็งที่เสริมด้วยอาวุธปรมาณูและนิวเคลียร์ที่สร้างความหวาดกลัวทั่วคาบสมุทรอาหรับในขณะนี้ แต่แปลกใจ อิมามมะฮ์ดียังไม่ปรากฏตัวซะที

ละครอิมามมะฮ์ดี จึงกลายเป็นละครซีรีย์ที่ถูกแสดงยืดเยื้อยาวนานหลายศตวรรษด้วยประการฉะนี้แล

ยังไม่รวมชุดอภินิหารและสิ่งงมงายมากมายที่มาพร้อมกับความเชื่อของผลไม้และสิงสาราสัตว์ที่ยอมรับการเป็นอิมามและที่ปฏิเสธอิมาม เช่นแตงโมที่มีเนื้อสีแดงคือแตงโมที่ยอมรับการเป็นอิมาม ส่วนแตงโมที่มีเนื้อสีอื่นนั้นคือแตงโมที่ปฏิเสธการเป็นอิมาม แม้กระทั่งฆาตกรที่ลอบสังหารท่านอุมัรที่มะดีนะฮ์ แต่กลับมีสุสานที่ได้รับการบูชาเป็นวีรบุรุษที่อิหร่าน มีคนตั้งประเด็นว่า ในสมัยนั้นฆาตกรถูกส่งตัวไปที่อิหร่านได้อย่างไร เพราะในช่วงนั้นที่อิหร่านยังไม่มีผู้นับถือลัทธิชีอะฮ์ พวกเขาจึงอุปโลกน์เรื่องราวว่า หลังจากที่อะบูลุลุอะฮ์ ได้สังหารท่านอุมัร์สำเร็จแล้ว เขาจึงรีบไปขอความช่วยเหลือจากท่านอะลี ซึ่งท่านอะลีจึงรีบตบอะบูลุลุอะฮ์จนปลิวว่อนไปตกในเมืองแห่งหนึ่งที่อิหร่านในปัจจุบัน บางรายงานระบุว่าท่านอะลีจึงกระทืบอะบูลุลุอะฮ์ แรงกระทืบของท่านอะลีทำให้อะบูลุลุอะฮ์จมหายในดินจนกระทั่งไปโผล่ที่เมืองแห่งหนึ่งในอิหร่าน ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิต

หากท่านผู้อ่านยังสงสัยว่า ชาวชีอะฮ์เขื่อเรื่องงมงายนี้ได้อย่างไร ก็ลองไปอ่านอัตลักษณ์ข้อ 4. อีกครั้ง

7. จอมซาดิสม์กระหายเลือด

มีบางคนเชื่อว่า การที่ชีอะฮ์ทรมานร่างกายตัวเองจนถึงขั้นเลือดอาบอย่างน่าหวาดเสียว เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาที่สื่อถึงความเศร้าอกเสียใจที่พวกเขาทรยศหักหลังท่านหุเซ็น ซึ่งถือเป็นความเชื่อที่ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะที่อันตรายมากกว่านั้นคือผลวิจัยของนักจิตวิทยาที่ค้นพบว่า ผู้ใดที่มีความคุ้นชินกับการหลั่งเลือดตัวเองด้วยวิธีสยดสยองแล้ว จะเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขาที่จะหลั่งเลือดคนอื่นเพราะมันเป็นการสะสมพฤติกรรมซาดิสม์ที่สนุกสนานกับเชือดเฉือนเลือดเนื้อ ดั่งสุนัขที่ดมคาวเลือดอยู่ตลอดเวลา มันจะกลายเป็นสุนัขที่ดุร้าย ที่พร้อมขย้ำผู้คนได้ทุกเมื่อ เราจึงไม่แปลกที่เกิดเหตุการณ์ชวนให้ขนลุกที่เกิดขึ้นกับพี่น้องสุนนะฮ์ชาวซีเรีย อิรัก เลบานอนและเยเมนที่เกิดจากพฤติกรรมซาดิสม์ของกองกำลังชีอะฮ์

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่า อิมามมะฮ์ดีจะปรากฏตัว ท่ามกลางทะเลเลือดของชาวสุนนะฮ์ ดังนั้น ยิ่งเลือดชาวสุนนะฮ์ถูกไหลหลั่งมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้อิมามมะฮ์ดีปรากฏตัวเร็วมากขึ้นเท่านั้น

นี่คือคุณสมบัติ 7 ประการที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชีอะฮ์เท่านั้น

วิธีเดียวที่จะทำให้อัตลักษณ์ทั้ง 7 ประการนี้ถูกคลุกเคล้า จนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับชีอะฮ์ คือการด่าทอเศาะฮาบะฮ์ โดยเฉพาะเหล่ามารดาผู้ศรัทธาตลอดจนบิดเบือนอัลกุรอานและสุนนะฮ์

ด้วยกรรมวิธีนี้เท่านั้น ที่จะดึงให้คนๆหนึ่งกลายเป็นชีอะฮ์โดยบริบูรณ์

https://www.anasalafy.com/play.php?catsmktba=56436&fbclid=IwAR2mN8q7Fuo983KrxV77pggb_bBB2lpvVrc5W0q0XhxCFdZXPshzrAlWgsU


โดย ทีมงานวิชาการ

เรื่องสยองบนแผ่นดินอันดาลูเซีย

เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวอันดาลูเซียนาม Muhammad Saghir ซึ่งใช้ชีวิตภายใต้กฎเหล็กของศาลศาสนาที่บีบบังคับชาวกรานาดาละทิ้งอิสลามและหันกลับนับถือศาสนาคริสต์ตามคำบัญชาของกษัตริย์เจ้าปกครอง

ชัยค์อาลี ฏอนฏอวีย์ เราะฮิมะฮุลลอฮ์ (เสียชีวิตปีค.ศ.1999) ได้จรดปลายปากกาเขียนเรื่องนี้ ผ่านตัวละครเอก Muhammad Saghir ซึ่งได้เล่าประสบการณ์ชีวิตของตนเองในวัยเด็กว่า

ขณะนั้น ฉันยังเด็กอยู่ จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายนัก เพียงแต่ฉันสังเกตว่า ทุกครั้งที่ฉันกลับจากโรงเรียน คุณพ่อจะกระวนกระวายคล้ายคนอมทุกข์ ทุกครั้งที่ฉันอ่านบทสวดที่ได้ท่องจำมาจากคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์และอ่านเนื้อหาที่ฉันได้เรียนมา แววตาของท่านจะเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด

พ่อรีบผละออกจากฉัน แล้วเดินไปยังห้องลึกลับในบ้าน พ่อไม่อนุญาตใครผู้ใดเข้าไปในห้องนี้โดยเด็ดขาด ทุกๆวันพ่อจะใช้เวลาอยู่ในห้องนี้นานพอสมควร

ฉันไม่รู้ว่าพ่อทำอะไรในห้องนั้น แต่ทุกครั้งที่พ่อออกจากห้อง ฉันเห็นดวงตาของท่านแดงก่ำ เหมือนคนเพิ่งร้องไห้หนัก พ่อมองฉันด้วยสายตาที่เอ็นดู พร้อมขมิบริมฝีปากเหมือนพูดอะไรบางอย่าง แต่ทุกครั้งที่ฉันตั้งใจเงี่ยหูฟัง พ่อจะหันหลังและเดินไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ส่วนคุณแม่ ทุกครั้งที่ส่งฉันไปโรงเรียนหน้าบ้าน แม่จะโผกอดฉันแน่นครั้งแล้วครั้งเล่าและร้องไห้สะอีกสะอื้น จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า น้ำตาคุณแม่ที่ไหลอาบบนแก้มฉัน ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นตลอดทั้งวัน

ฉันได้แต่แปลกใจ แต่ก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเพราะสาเหตุใด

เมื่อฉันกลับจากโรงเรียน คุณแม่จะโผวิ่งมาหาฉันและกอดฉันราวกับว่า ฉันพรากจากบ้านนานนับสิบๆวัน บ่อยครั้งที่ฉันสังเกตพ่อแม่ถอยห่างจากตัวฉันและกระซิบเสียงด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษาสเปน ซึ่งฉันไม่เข้าใจเลย เมื่อฉันเข้าใกล้ ทั้งสองก็หยุดสนทนาดื้อๆ แล้วเริ่มพูดด้วยภาษาสเปน จนทำให้ฉันรู้สึกน้อยอกน้อยใจและคิดเรื่อยเปื่อยว่า บางทีฉันคงไม่ใช่ลูกแท้ๆของทั้งสองก็ได้ บางครั้ง ฉันแอบร้องไห้คนเดียวในบ้าน จนกระทั่งฉันกลายเป็นเด็กเก็บกด ไม่ค่อยสุงสิงร่าเริงกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ฉันจึงชอบอยู่คนเดียว จนกระทั่งพี่เลี้ยงมาดึงเสื้อฉันให้ไปละหมาดที่โบสถ์

ต่อมา แม่คลอดลูกชายอีกคน เมื่อพ่อทราบข่าวว่าฉันได้น้องชายคนใหม่แทนที่จะดีใจ ฉันเห็นใบหน้าพ่อหมองเศร้าและสายตาเหม่อลอย สมองของฉันจึงเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบ ฉันรู้สึกเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

จนกระทั่งเทศกาลเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์ได้เวียนบรรจบอีกครั้ง เมืองกรานาดาถูกประดับประดาด้วยแสงสีตระการตาพร้อมด้วยน้ำหอม โดยเฉพาะโบสถ์และหอสวด

ในค่ำคืนอันเงียบสงัดที่ผู้คนได้หลับสนิท พ่อเรียกฉันและจูงมือฉันไปที่ห้องลับ หัวใจฉันเต้นระทึกระคนหวาดกลัว เมื่อฉันอยู่กลางห้อง พ่อรีบปิดประตูแน่นหนา และหาตะเกียง ฉันรู้สึกว่า ช่วงเวลาที่อยู่ในความมืด ณ วินาทีนั้น ช่างยืดเยื้อยาวนานเหมือนแรมปี เมื่อห้องเริ่มสว่างมัวๆ ฉันเริ่มกวาดสายตาไปยังห้อง ฉันพบแต่ความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากพรมผืนหนึ่งกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นและดาบเล่มหนึ่งที่แขวนติดผนัง

พ่อบอกให้ฉันนั่งบนพรมและเพ่งมองฉันด้วยสายตาที่เปล่งประกาย จนกระทั่งฉันรู้สึกว่า ฉันกำลังอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด วังเวงและลึกลับ ณ สถานที่แห่งนี้

ฉันไม่รู้จะอธิบายความรู้สึก ณ ตอนนั้นได้อย่างไร พ่อจับมือฉันอย่างอ่อนโยนและกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“ลูกรัก บัดนี้เจ้าอายุ 10 ขวบแล้ว เจ้าเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว พ่อจะบอกความลับที่พ่อปิดบังเจ้ามาตลอด เจ้าสัญญาไหมว่าจะปิดความลับนี้ และไม่บอกให้ใครรู้เด็ดขาดถึงแม้จะเป็นคุณแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทหรือใครคนไหนก็ตาม”

“หากความลับนี้แตกเมื่อไหร่ ความหายนะของครอบครัวเรา จะต้องมาเยือนแน่นอน เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาต้องลงโทษพวกเราอย่างทารุณ”

พลันที่ได้ยินคำว่าศาลศาสนา หัวใจของฉันเต้นระทึกด้วยความหวาดกลัว ความสยดสยองพรั่งพรูเข้ามาในความรู้สึก ถึงแม้ฉันอายุยังน้อย แต่ก็พอรู้ถึงกิตติศัพท์ความโหดร้ายคนกลุ่มนี้ เพราะในระหว่างที่ฉันเดินทางไปกลับจากโรงเรียน ฉันเห็นผู้คนถูกทรมานเเทบทุกวัน บ้างก็โดนเผาตายทั้งเป็น บ้างก็โดนตรึงที่ไม้กางเขน บ้างก็ถูกคว้านท้อง ผู้หญิงบางคนถูกแขวนด้วยผมศีรษะของนางแล้วถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทรมานก็ชวนทำให้ขนลุกขนพอง

ภาพอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ เข้ามาหลอนในความรู้สึกของฉัน จนกระทั่ง เนื้อตัวเย็นชา ฉันแน่นิ่งชั่วขณะ

พ่อ : ทำไมลูกเงียบ สัญญากับพ่อไหมลูก

ลูก : ครับพ่อ ฉันสัญญา

พ่อ : เจ้าจะไม่บอกให้ใครทราบ ไม่ว่าจะเป็นแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนหรือใครก็ตาม

ลูก : ครับพ่อ

พ่อ : ขยับเข้ามาใกล้หาพ่อซิลูกรัก

“ พ่อต้องกระซิบบอกเจ้า เพราะเกรงว่าผนังห้องจะแอบได้ยิน แล้วมันจะไปฟ้องที่ศาลศาสนา”

ลูก : ฉันพร้อมครับพ่อ

พ่อ : เจ้ารู้ไหมว่า นี่คือหนังสืออะไร

ลูก : ไม่ทราบครับ

พ่อ : นี่คือคัมภีร์ของพระเจ้า

ลูก : อ้อ คัมภีร์ของอีซา บุตรพระเจ้า ที่ฉันท่องที่โรงเรียนทุกวันใช่ไหมครับพ่อ

พ่อ : ไม่ใช่ลูก แต่เป็นคัมภีร์อัลกุรอาน ที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงเอกา พระองค์ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด พระองค์ไม่มีบุตรและพระองค์ไม่ใช่เป็นบุตรของใคร ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์เล่มนี้ให้แก่ศาสนทูตคนสุดท้ายผู้ประเสริฐสุด นบีมูฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์ صلى الله عليه وسلم

ฉันเปิดตาดูหนังสือเล่มนั้น แต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย

พ่อ : ลูกรัก นี่คือคัมภีร์ของอิสลาม ศาสนาที่อัลลอฮ์ทรงประทานนบีมูฮัมมัดมายังมนุษยชาติ ก่อกำเนิดแรกเริ่มท่ามกลางทะเลทรายอันไกลโพ้น ณ นครมักกะฮ์ ท่ามกลางชาวอาหรับเบดูอินที่งมงาย ป่าเถื่อนและบูชาเจว็ด อัลลอฮ์ให้ทางนำแก่พวกเขา พระองค์ประทานความเข้มแข็ง ความรู้และอารยธรรมอันสูงส่ง ทำให้พวกเขาได้เผยแพร่สัจธรรมทั่วคาบสมุทรอาหรับและทั่วแว่นแคว้น ทั้งทางภาคตะวันออกและตะวันตก จนกระทั่งอรุณแห่งอิสลามได้ขจรขจายมายังบริเวณนี้ ณ ประเทศสเปน

ในอดีตราว 800 ปีที่แล้ว ดินแดนแห่งนี้ถูกปกครองโดยกษัตริย์ทรราช กดขี่ประชาชน สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จนกระทั่งกองทัพอิสลามเข้ามาพิชิตดินแดนแห่งนี้และปกครองยาวนานกว่า 8 ศตวรรษ ด้วยความยุติธรรม พร้อมสร้างความเจริญและอารยธรรมอันสูงส่งประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขมาอย่างยาวนาน

ลูกรัก เราคืออาหรับมุสลิมที่สร้างความเจริญมากมายบนแผ่นดินนี้

ลูก : อาหรับมุสลิมคือใครครับคุณพ่อ

พ่อ : เราคือเจ้าของแผ่นดินนี้ เราได้สร้างพระราชวังอัลฮัมบราอันยิ่งใหญ่ ที่ปัจจุบันกลายเป็นที่พักอาศัยของศัตรู โบสถ์ที่ใหญ่โตคือมัสยิดอันสวยงามของกรานาดาในอดีต หอสวดที่สูงตระหง่านนั่นคือหออะซานที่ก้องกังวาลในอดีต เราได้สร้างถนนหนทาง ไฟถนน สะพานเชื่อม ระบบน้ำประปาและพัฒนาด้านเกษตรกรรมจนกลายเป็นเรือกสวนไร่นาอันเจียวขจี

แต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ( ค.ศ. 1492) กษัตริย์ผู้น่าสงสารชื่อ อับดุลลอฮ์ ศอฆีร ซึ่งเป็นกษัตริย์อันดาลูเซียองค์สุดท้ายของมุสลิมได้หลงกลกับคำมั่นสัญญาของกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 5 และเจ้าหญิงอิสซาเบลล่า พระองค์จึงมอบกุญแจเมืองให้แก่กษัตริย์แห่งสเปนในสภาพที่น่าสมเพชเวทนายิ่ง จากนั้น พระองค์ได้อพยพไปยังดินแดนฝั่งตะวันตก และเสียชีวิตที่นั่นอย่างโดดเดี่ยวและน่าสงสารที่สุด กรานาดาซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของอันดาลูเซียจึงตกในกำมือของศัตรู ก่อนที่พระองค์จะมอบกุญแจเมือง พระองค์ได้ทำสัญญากับกษัตริย์สเปนว่า ขอให้ปกครองประชาชนด้วยความยุติธรรม เสมอภาค และให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่เมื่อพวกเขามีอำนาจ พวกเขาบิดพลิ้วสัญญาและได้ก่อตั้งศาลศาสนาเพื่อบังคับมุสลิมให้นับถือศาสนาคริสต์ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกทรมานแล้วฆ่าอย่างทารุณ นี่คือเหตุผลที่ทำให้พ่อต้องแอบทำอิบาดะฮ์อย่างหลบๆซ่อนๆ

พวกเขาบีบบังคับให้ลูกหลานเราตกศาสนาและบังคับให้เราสนทนาด้วยภาษาสเปน ทั้งๆที่ภาษาของเราคือภาษาอาหรับ 40 ปีแล้วที่เรายอมอดทนเราศรัทธาว่า สักวัน อัลลอฮ์จะช่วยเหลือเรา อิสลามสอนเราอย่าเป็นคนที่สิ้นหวังเด็ดขาด

ลูกรัก เจ้าต้องปิดปากเงียบ ชีวิตของพ่อขึ้นอยู่กับริมฝีปากของเจ้า พ่อไม่กลัวตายหรอก แต่ความตั้งใจของพ่อ คือจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ สอนศาสนาและภาษาให้แก่เจ้า พ่อจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความมืดมิดของการตั้งภาคี สู่แสงสว่างแห่งการศรัทธาให้ได้ ลุกขึ้นเถิดโอ้ลูกรัก

นับตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ฉันเห็นพระราชวังอัลฮัมบราและหออะซานกรานาดา หัวใจฉันเต้นระทึก มันคือช่วงเวลาที่ฉันดื่มกินความโศกเศร้า คลุกเคล้าความหดหู่ จิตใจถูกรุมเร้าด้วยเรื่องราวของความผิดหวังและเศร้าหมอง ฉันขังตัวเองอยู่ในวังวนของความทุกข์อาลัยอาวรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน หัวใจฉันชุ่มฉ่ำเบิกบานด้วยความรักและภาคภูมิใจเมื่อนึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของกลุ่มชนที่ได้สร้างอารยธรรมอันสูงส่งเหล่านี้

พวกเขาคือหยาดฝนแห่งความสมัครสมาน  เมล็ดพันธุ์แห่งความดีงาม คาราวานแห่งความรู้และสายธารแห่งสันติภาพที่ไหลเวียนและงอกเงยบนแผ่นดินอันดาลูเซียนานกว่า 8 ศตวรรษ

แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงความโหดเหี้ยมของศาลศาสนา ทำให้ฉันรีบวิ่งกลับบ้าน เพื่อท่องตำราที่ฉันเรียนกับคุณพ่อฉันเริ่มหัดเขียนอักขระอาหรับ เรียนรู้วิธีอาบน้ำละหมาด และเริ่มละหมาดตามหลังคุณพ่อในห้องลับนั้น

ช่วงนี้ คุณพ่อมักทดสอบฉันอยู่เนืองๆ คุณแม่มักจะถามฉันตลอดว่า พ่อสอนอะไรบ้าง แม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรลับๆกับพ่อ เจ้ามีอะไรปิดบังแม่หรือ ทุกครั้งที่แม่ถามเรื่องนี้ ฉันตอบว่าไม่ ไม่รู้ ไม่ทราบ ถึงแม้คุณแม่จะคะยั้นคะยอแค่ไหนก็ตาม

จนกระทั่งฉันเริ่มแตกฉานภาษาอาหรับ อ่านอัลกุรอานได้อย่างคล่องแคล่ว และเข้าใจหลักการอิสลามเบื้องต้นเป็นอย่างดี พ่อได้แนะนำให้ฉันรู้จักกับลุงคนหนึ่ง เราทั้ง 3 ได้นัดแนะเพื่อทบทวนบทเรียนและทำอิบาดะฮ์ร่วมกันเสมอ

ศาลศาสนาได้เพิ่มดีกรีความโหดร้ายเป็นทวีคูณ ทุกๆวันฉันเห็นคนทั้งชายหญิงถูกทรมานมากมายนับสิบๆคน บางคนถูกตรึงที่ไม้กางเขน บางคนถูกเผาทั้งเป็น บางคนถูกถอดเล็บมือเล็บเท้า บางคนถูกตัดนิ้วมือแล้วนำไปเผา ก่อนที่จะจ่อใส่ปากนักโทษ บางคนถูกเฆี่ยนตีจนเนื้อหนังแตกกระจุย

วันเวลาผ่านไปหลายปี เช้าวันหนึ่ง คุณพ่อบอกฉันว่า โอ้ลูกรัก พ่อรู้สึกว่าวันเวลาใกล้มาทุกขณะแล้ว พ่อเฝ้าฝันถึงชะฮีดทุกเมื่อยาม บางทีอัลลอฮ์จะประทานสวนสวรรค์ให้พ่ออีกในไม่ช้า หลังจากที่พ่อช่วยพยุงเจ้าให้ออกจากมุมมืดของการตั้งภาคี พ่อไม่ได้หวังอะไรในชีวิตนี้อีกแล้ว ลูกรัก เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจงเชื่อฟังลุงคนนั้น อย่าขัดขืนคำสั่งของเขาโดยเด็ดขาด

วันเวลาผันผ่าน ในค่ำคืนอันมืดมิด ลุงมาหาฉันและสั่งให้ตามเขา ด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์ เราสามารถลัดเลาะเส้นทางที่แสนอันตราย เพื่อมุ่งสู่ทิศตะวันตก

เมื่อฉันมั่นใจว่าปลอดภัย ฉันถามลุงว่าพ่อและแม่ฉันอยู่ที่ไหน ลุงกำมือฉันแน่น พร้อมตอบว่า พ่อของเจ้าเคยสั่งให้เชื่อฟังฉันไม่ใช่หรือ ฉันเงียบและเดินตามลุงโดยดี

ลุงบอกฉันว่า จงอดทนเถิดหนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าคงสุขสบายในสวรรค์ฟิรเดาส์ด้วยน้ำมือของศาลศาสนาแล้วกระมัง

ทั้งสองมุ่งเดินทางไปยังชายฝั่งตะวันตกและได้ถึงที่ตูนิเซีย เมืองมุสลิมโดยสวัสดิภาพ และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น

หลายปีหลังจากนั้น ณ ดินแดนตูนิเซีย ได้ปรากฏผู้รู้ผู้ยิ่งใหญ่นามว่า มูฮัมมัด บินอับดุลรอฟีอฺ ท่านใช้ชีวิตที่ตูนิเซียและเป็นอุละมาอฺผู้ยิ่งใหญ่ที่เผยแพร่อิสลามและแต่งตำราทางศาสนามากมาย ท่านเสียชีวิตปี ฮ.ศ. 1052

رحم الله العالم الرباني الشيخ محمد بن عبد الرفيع بن محمد الشريف الحسيني المرسي الأندلسي وغفر له ولوالديه وأسكنهم فسيح جناته وجمعنا معهم في الفردوس الأعلى من الجنة آمين يا رب العالمين


โดย Mazlan Muhammad

อ้างอิงจาก

https://3.bp.blogspot.com/-GQr37gxI8wQ/UeCAHapp62I/AAAAAAAAASs/JySu-Ed-K2w/s1600/Screenshot_2013-07-12-20-02-38.png

ระหว่างอุศูล(แกนศาสนา)กับฟุรูอฺ(ข้อปลีกย่อยทางศาสนา)

ละหมาดฟัรฎูเป็นเรื่องอุศูลของชะรีอะฮ์

เรื่องกล่าว أصلي

การกระดิกนิ้วขณะตะชะฮฮูด

การวางมือขณะกิยาม

อ่านบิสมิลลาฮดังในฟาติหะฮ์

กุนูตศุบฮิ

การลูบหน้าหลังสะลาม

ฯลฯ

ถือเป็นเรื่องฟุรูอฺในชะรีอะฮ์

อิสรออ์และมิอฺร็อจนบี เป็นเรื่องอุศูลของอะกีดะฮ์

แต่ประเด็น

นบีอิสรออฺและมิอฺร็อจด้วยร่างและวิญญาณหรือวิญญาณเท่านั้น

การที่นบีมองเห็นอัลลอฮในคืนมิอฺร็อจหรือไม่

ถือเป็นประเด็นฟุรูอฺในอะกีดะฮ์

การดื่มน้ำหรือทานด้วยมือซ้ายถือเป็นฟุรูอฺ

แต่หากดื่มด้วยมือซ้าย โดยตั้งใจฝ่าฝืนคำสั่งนบีและดูถูกสุนนะฮ์นบี ก็ถือเป็นบาปใหญ่ถึงขั้นตกศาสนาทีเดียว

นรกสวรรค์เป็นเรื่องอุศูลของอะกีดะฮ์

แต่ประเด็นว่านรกจะสิ้นสลายหรือไม่

เป็นเรื่องฟุรูอฺ

การนินทาจาบจ้วง การใส่ร้ายป้ายสี การพูดโกหก  การจองหองเย่อหยิ่ง และนิสัยเชิงลบต่างๆ เป็นเรื่องอุศูลในอัคล้าค ถึงแม้ไม่ใช่เป็นเรื่องอะกีดะฮ์หรือชะรีอะฮ์แต่อย่างใด แต่เป็นอุศูลที่มุสลิมทุกคนต้องห่างไกล

หะดีษ 73 จำพวกเป็นเรื่องอะกีดะฮ์ล้วนๆ

แต่ไม่ใข่อุศูลของอะกีดะฮ์ ที่มุสลิมทุกคนจะต้องเจาะลึกรายละเอียดอย่างเอาเป็นเอาตาย

ครั้งหนึ่ง มีชายชาวอิรัก ถามอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัร ในประเด็น คนที่ครองเอี้ยะห์รอม แล้วไปฆ่าแมลงวัน เขาจะต้องชดใช้อะไรหรือไม่ อิบนุอุมัร์จึงตอบว่า ชาวอิรักได้สังหารหลานนบี แต่พวกเขาถามเรื่องแมลงวัน (นัยหะดีษอัลบุคอรีย์/3753)

สังคมเรายังต้องเรียนรู้อีกมากมายว่า อะไรคืออุศุล อะไรคือฟุรูออฺ

อะไรคือชะรีอะฮ์ อะไรคืออะกีดะฮ์

หาไม่แล้ว เราจะเป็นสังคมที่ใส่ใจแต่เรื่องปลีกย่อย แต่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่เป็นแกนหลัก หมกมุ่นจับจองแต่เรื่องเปลือกกระพี้ แต่เมินเฉยในเรื่องเนื้อในที่เป็นแก่นแกน


โดย Mazlan Muhammad

Machiavellian …. วงจรอุบาทว์ในวิถีการเมือง

นิคโคโล มาเคียเวลลี่ (เสียชีวิตปี 1527) นักปรัชญาและนักรัฐศาสตร์ชาวอิตาลียุคเรเนซองส์ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์สมัยใหม่  และเป็นศาสดาสำหรับเจ้าผู้ปกครอง มีชื่อเสียงจากงานเขียนเรื่องสั้นการเมืองเรื่อง”เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ซึ่งต่อมานามสกุลของเขาได้กลายเป็นคำศัพท์ในทางการเมืองว่า “มาเคียเวลลี่” (ผู้เฉียบแหลมมีปฏิภาณ) และ “มาเคียเวลเลี่ยน” (การใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายในการเมือง)

The Prince คือ ชุดคุณธรรมที่เป็นสายธารนักคิดจากตะวันตกที่ว่ากันว่าเป็นตำราที่ชนชั้นปกครองทั่วโลกต้องอ่านเสมือนคัมภีร์และดูเหมือนว่ายังทรงอิทธิพลอยู่ไม่เสื่อมคลาย ตลอดจนยังคงแทรกซึมอยู่กับทุกสังคม บางคนเชื่อว่านี่เป็นการอธิบายมนุษย์ด้วยสายตาที่เป็นจริง เพราะนี่คือสันดานที่แท้จริงของมนุษย์ เมเคียเวลลี่เพียงแค่อธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือที่กระจ่างชัดเท่านั้น

หนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่หลังจากผู้เขียนเสียชีวิตแล้ว เป็นหนังสือที่ถูกมองว่าเป็นต้นน้ำของความโหดร้ายอำมหิต ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย สายธารทางความคิดของหนังสือเล่มนี้ สามารถตกผลึกประยุกต์ใช้ในวิถีการเมืองส่วนหนึ่งได้แก่

                ⁃              ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องเอื้อเฟื้อหากไม่นำไปสู่การรักษารัฐ

                ⁃              ผู้นำสามารถผิดสัจจะหรือผิดคุณธรรมได้ทันที หากเป็นเรื่องประโยชน์ของรัฐชาติ

                ⁃              เป้าหมายสามารถทำให้วิธีการที่สกปรกมีความชอบธรรมได้

                ⁃              บุคคลสามารถใช้วิธีการไหนก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งการรักษารัฐชาติ

                ⁃              ผู้ปกครองสามารถใช้ความโหดร้ายอำมหิตเข้าตำรา “ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” โดยไม่ต้องใช้หลักคุณธรรมและจริยธรรม

ผลจากการแทรกซึมอุดมการณ์ก่อการร้ายดังกล่าว ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ในวิถีการเมือง ส่วนหนึ่งได้แก่

– การซื้อสิทธิ์ขายเสียง

– คอร์รัปชั่น

– ไร้ธรรมาภิบาล

– คดโกง หักหลัง ทรยศ

– มุ่งแต่เป้าหมายแห่งชัยชนะ โดยไม่คำนึงวิธีการที่ถูกต้อง

– เสนอ(หน้า) ตัวเอง เพื่อได้รับตำแหน่ง ทั้งๆที่ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ

– วัฒนธรรมการโจมตี ใส่ร้าย และสร้างข่าวลวงเพื่อทำลายคู่ต่อสู้ หรือแม้กระทั่งสังหารคู่ต่อสู้

– ผลิตวาทกรรมสวยหรู แต่ไร้น้ำหนักในภาคปฏิบัติ

-ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพเหนือกว่าสร้างบุญ

-ไม่สนใจด้านคุณธรรม จริยธรรม

-สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและพวกพ้อง

ทฤษฎีการเมืองชุดนี้คือ”วาทกรรมแห่งซาตาน”ที่แท้จริง เป็นต้นตำรับของลัทธิก่อการร้ายที่ปฏิบัติการโดยเจ้าผู้ปกครองโดยใช้ข้ออ้าง”รักชาติ” และมองชีวิตประชาชนเป็นผักเป็นปลา เป็นทฤษฎีที่อธิบายมนุษย์ในมิติของความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ละโมบโลภมาก คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ ชอบสร้างศัตรู โหดร้ายอำมหิต ใช้กำลังตัดสินความเห็นต่างและเห็นแก่ตัวที่สุด เสี้ยมสอนผู้คนให้ทำตัวเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าเล่ห์และสิงโตที่โหดร้ายในเวลาเดียวกัน

ทั้งๆที่มนุษย์โดยสัญชาติญาณดั้งเดิมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรักทั้งต่อตนเองและพวกพ้อง มีความเอื้ออาทร ใฝ่หาสันติและสร้างสรรค์ความเจริญ มนุษย์มีส่วนที่เป็นวิญญาณที่ถวิลหาสวนสวรรค์ อันเป็นที่อยู่ครั้งแรกของอาดัมและฮาวา บรรพบุรุษคู่แรกของมนุษย์

ชาติตะวันตกกรอกหูชาวโลกว่า อิสลามคือศาสนาก่อการร้าย อัลกุรอานคือวาทกรรมแห่งซาตาน นบีมูฮัมมัดคือผู้นำจอมเผด็จการ คลั่งสงคราม ทั้งๆที่โลกได้ประจักษ์พยานว่า อิสลามได้นำความเจริญรุ่งเรืองให้กับชาวโลกมากน้อยแค่ไหน นบีมูฮัมมัดกลายเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้ชาวโลกสร้างอารยธรรมสูงสุดของมนุษยชาติ มากน้อยเพียงใด ในขณะที่อัลกุรอานได้นำพามนุษย์พบกับสันติสุขอันแท้จริง

ที่สำคัญ นบีมูฮัมมัดได้ลงมือปฏิบัติคำสอนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ในทุกแง่มุมชีวิต เป็นเวลานานกว่า 23 ปี และได้นำพาชาวเบดูอีนที่อาศัยในทะเลทราย ให้กลายเป็นผู้นำโลก พร้อมสร้างอารยธรรมที่สูงส่งให้แก่มนุษยชาติมาแล้ว

ในขณะเดียวกัน ขาติตะวันตกสร้างบิดารัฐศาสตร์ยุคใหม่อย่าง”มาเคียเวลลี่ “ จนกระทั่งเรียกชื่อนามสกุลเขาเคียงคู่กับผู้เฉียบแหลมมีปฏิภาณ แถมบัญญัติคำว่า “มาเคียเวลเลี่ยน” คือการใช้เล่ห์เหลี่ยมอุบายทางการเมือง พร้อมยกย่องเชิดชู The Prince ถึงขนาดยกเป็นคัมภีร์สำหรับเจ้าผู้ปกครองทุกคนต้องอ่าน ทั้งๆที่ในความเป็นจริง หนังสือดังกล่าว หาใช่อื่นใดนอกจากเสียงกระซิบของซาตานที่ต้องการปลูกฝังความเป็นสัตว์เดรัจฉานในตัวมนุษย์เรืองปัญญา เชิญชวนผู้คนสลัดทิ้งคุณธรรมจริยธรรมที่เป็นสัญชาติญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ปลุกเร้าอารมณ์มนุษย์ให้เสน่หากับอำนาจ เสวยสุขในอารมณ์ใฝ่ต่ำ ใช้ความโหดร้ายอำมหิตเพื่อบังคับขู่เข็ญผู้อ่อนแอ พร้อมพ่นพิษแห่งความเจ้าเล่ห์เพทุบายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และตัดขาดเยื่อใยแห่งจริยธรรมอันดีงามเพื่อรักษาและปกป้องอำนาจ

และที่สำคัญ มาเคียเวลลี่ ได้เสียชีวิต ก่อนที่หนังสือของตัวเองถูกเผยแพร่ด้วยซ้ำ ประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยบันทึกว่า เขาเคยปกครองอิตาลีจนประสบผลสำเร็จมากมาย จนกลายเป็นต้นแบบของการปกครองประเทศยุคนั้น นอกจาก หนังสือเล่มนี้แล้ว เขาแทบไม่มีผลงานอะไรที่โลกควรแก่จดจำ

น่าแปลก ด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียว ชาติตะวันตกยกย่องเขาเป็นบิดาทางรัฐศาสร์ยุคใหม่ถึงขั้นศาสดา

ในศตวรรษที่ผ่านมา โลกได้เป็นพยานของการปฏิบัติใช้ลัทธินี้ ที่ได้ทำให้ผู้คนล้มตายนับร้อยล้านคนในนามรักขาติของเจ้าผู้ปกครอง ประเทศต้องล่มสลายกลายเป็นบ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนทั้งทวีปต้องใช้ชีวิตที่ศูนย์อพยพ หาใช่เป็นเพราะเจ้าผู้ปกครองแทรกซึมคำสอนแห่งซาตานที่ปรากฏใน The Prince ดอกหรือ

จงไตร่ตรองเถิด โอ้มนุษย์เรืองปัญญา


โดย Mazlan Muhammad

แหล่งอ้างอิง

https://www.the101.world/the-prince-2019/

https://th.m.wikipedia.org/wiki/นิกโกเลาะ_มาเกียเวลลี

นิทานชวนคิด “ให้…คือสุขที่ไม่สิ้นสุด”

สองคนศิษย์อาจารย์เดินทางผ่านไร่สวนแห่งหนึ่ง ระหว่างทาง ทั้งสองพบรองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นของคนสวนที่ลืมทิ้งไว้

ศิษย์จึงเสนออาจารย์ว่า หากเราแกล้งเจ้าของรองเท้า ด้วยการซ่อนรองเท้าคู่นั้น แล้วเราคอยดูว่า เจ้าของรองเท้าจะมีท่าทีอย่างไร ทำได้ไหมครับ

อาจารย์จึงตอบว่า เราไม่จำเป็นต้องสนุกสนานบนความโศกเศร้าของคนอื่นเลย เจ้ามาจากครอบครัวที่ร่ำรวย เจ้าควรเนรมิตความสุขให้แก่เขา ด้วยการวางเงินในรองเท้าคู่นั้น แล้วเราคอยแอบดูว่า เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

ศิษย์จึงทำตามข้อเสนอของอาจารย์ สักครู่ ก็มีชายแก่คนหนึ่งมาหารองเท้าของเขา

ชายแก่คนนั้น สวมใส่รองเท้า แต่เขาต้องประหลาดใจที่พบเงินจำนวนหนึ่งในรองเท้า เขาจึงมองรอบๆด้วยความแปลกใจ เขาร้องให้ด้วยความดีใจ เเละก้มสุญูดขอบคุณอัลลอฮ์ในความกรุณาครั้งนี้ พร้อมรำพันว่า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงรับรู้ว่า ขณะนี้ ภรรยาข้ากำลังป่วยหนัก ลูกๆของข้ากำลังร้องให้ด้วยความหิวโหย พระองค์ได้ช่วยเหลือข้าและครอบครัวของข้าแล้ว

ณ ต้นไม้ใหญ่ที่ทั้งสองซ่อนตัว อาจารย์สอนศิษย์ว่า บัดนี้ หัวใจของเจ้าพองโตอย่างเบิกบาน ซึ่งมันจะไม่มีทางเกิดขึ้น หากเจ้าปฏิบัติตามข้อเสนอของเจ้าในครั้งแรก

ศิษย์ก้มศีรษะอย่างยอมรับว่า นี่คือบทเรียนที่ฉันไม่มีวันลืมเลือน  และรู้ซึ้งถึงประโยคที่ฉันไม่เคยรู้เลยว่า “เมื่อท่านให้ ท่านจะเป็นผู้ที่เบิกบานดีใจยิ่งกว่าที่ท่านรับ”

อาจารย์จึงแทรกบทเรียนว่า

ศิษย์รัก พึงรู้ว่า การให้ มีหลายประเภท

            ⁃          อภัยในขณะที่มีความสามารถตอบโต้คือ “ให้”

            ⁃          ดุอาต่อพี่น้องลับหลัง คือ “ให้”

            ⁃          มองโลกในแง่ดีคือ “ให้”

            ⁃          ไม่ซ้ำเติมเพื่อนที่กำลังถูกนินทาคือ “ให้”

            ⁃          ซับน้ำตาและสร้างรอยยิ้มแก่ผู้ที่กำลังเดือดร้อนคือ “ให้”

            ⁃          ช่วยเหลือพี่น้องยามตกทุกข์ได้ยากคือ “ให้”

และ “ให้” ที่ง่ายที่สุด ที่แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยคือ “ปันรอยยิ้มแก่พี่น้อง”

“ให้” คือการรับที่ไม่สิ้นสุด

“ให้” คือการเพิ่มพูนอันนิรันดร์


เล่าโดย Mazlan Muhammad

เอกอัครราชทูตตุรกีคนใหม่ประจำกาตาร์

Dr. Mahmet Mustafa Goksu

เอกอัครราชทูตตุรกีคนใหม่ล่าสุดประจำกาตาร์ ท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่มขณะอายุ 11 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอิสลามมะดีนะฮ์ ปี 1994  จบปริญญาโทและเอกจาก Sakarya University มหาวิทยาลัยทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี เขาเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพื่อศึกษาเพิ่มเติมด้านอิสลามศึกษาและธุรกิจ เคยโลดแล่นในแวดวงธุรกิจที่ประเทศเยอรมันและซาอุดิอาระเบีย เคยรับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันการลงทุนในประเทศอ่าวอาหรับ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่สถานทูตตุรกีประจำซาอุดิอาระเบีย

รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตตุรกีประจำกรุงโดฮา เมื่อเดือนมิถุนายน 2020 และให้สัมภาษณ์แก่อัลจาซีร่าห์ เผยแพร่โดย aljazeera.net เมื่อวันที่ 25/11/2020 ซึ่งได้พูดถึงประเด็นสำคัญต่างๆที่น่าสนใจสรุปได้ดังนี้

            ⁃          การที่ท่านได้รับตำแหน่งนี้ในสถานการณ์เช่นนี้สื่อถึงอะไรบ้าง?

ผมมีประสบการณ์ในภูมิภาคนี้มาค่อนข้างนานพอสมควร ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาและทำงานในภาคธุรกิจ ตลอดจนเคยรับผิดชอบด้านการลงทุนในประเทศอ่าวอาหรับ น่าจะเป็นคุณสมบัติที่เพียงพอที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีไว้วางใจผม ให้รับตำแหน่งนี้

            ⁃          หลายคนมองว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีอันแน่นแฟ้นระหว่างตุรกีกับกาตาร์เป็นความสัมพันธ์ชั่วคราว

ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันยาวนานตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เรามีจุดร่วมทางการเมืองและวิสัยทัศน์ที่เหมือนกัน เราอยู่บนแถวเดียวกันเรื่องการผดุงสัจธรรมแล้วยุติธรรมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชาติ และเราได้ถูกทดสอบมากมายบนเส้นทางนี้ แต่เราสามารถผ่านพ้นอย่างสำเร็จลุล่วงด้วยดีมาโดยตลอด

โดยเฉพาะช่วงเกิดรัฐประหารล้มเหลวที่ตุรกีปี 2016 ซึ่งประเทศกาตาร์ได้แสดงจุดยืนอยู่เคียงข้างกับรัฐบาลตุรกีตั้งแต่วินาทีแรก และช่วงที่กาตาร์เผชิญวิกฤตรุนแรงที่ถูกปิดล้อมโดยชาติเพื่อนบ้านตุรกีเป็นประเทศแรกที่ปฏิเสธการปิดล้อมครั้งนี้ พร้อมยื่นมือคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที

            ⁃          ตุรกีและกาตาร์มีการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง?

ปี 2014 ทั้งสองประเทศร่วมก่อตั้งสถาบันยุทธศาสตร์สูงสุดแห่งกาตาร์และตุรกีซึ่งได้มีการประชุมไปแล้ว 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 6 จะจัดขึ้นในวันที่ 26/11/2020 ที่อังการ่า และมีการประชุมย่อยอีก 28 ครั้ง ได้บรรลุข้อตกลงในด้านต่างๆ กว่า 50 ฉบับ  ในปี 2010 ทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนทางการค้าจาก 340 ล้านดอลล่าร์ เป็น 2 พันล้านดอลล่าร์ ในปี 2019

            ⁃          บรรยากาศทางธุรกิจในกาตาร์สอดคล้องกับการลงทุนในตุรกีหรือไม่?

ปัจจุบันมีบริษัทกาตาร์ที่เข้าไปลงทุนในตุรกีจำนวนกว่า 179 บริษัทและมียอดลงทุนมากกว่า 22 พันล้านดอลล่าร์ ในขณะเดียวกันมีบริษัทตุรกีที่ลงทุนที่กาตาร์มากกว่า 500 บริษัท มียอดการลงทุนตั้งแต่ปี 2002 จำนวนกว่า 18 พันล้านดอลล่าร์ ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงบรรยากาศทางธุรกิจ ของทั้งสองประเทศที่ลงตัวที่สุด

            ⁃          ตุรกีไม่เห็นด้วยกับประเทศอาหรับที่ฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างปกติกับอิสราเอล ในขณะเดียวกันตุรกีมีสถานทูตประจำเทลอาวีฟ

รัฐบาลแอร์โดอานบริหารประเทศหลังจากที่ตุรกีเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับอิสราเอลนานกว่า 8 ทศวรรษแล้ว แต่ยุคนี้เราขอยืนยันว่า เราไม่เคยลดบทบาทและหน้าที่ของเราที่มีต่อพี่น้องปาเลสไตน์ ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกี-อิสราเอลไม่ได้หมายความว่า เราเพิกเฉยกับอธรรมที่เกิดขึ้นที่แผ่นดินปาเลสไตน์ ชาวปาเลสไตน์เป็นพยานในเรื่องนี้ดี ชาวตุรกีเคยสังเวยเลือดและชีวิตบนเรือมาร์มาร่า เพื่อช่วยเหลือพี่น้องปาเลสไตน์มาแล้ว เราต้อนรับกลุ่มฟาตะฮ์และฮามาส เพื่อทำข้อตกลงร่วมกันที่อิสตันบูล จุดยืนของตุรกีสอดคล้องกับประเทศสมาชิกสันนิบาตอาหรับที่ไม่เห็นด้วยกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างปกติกับอิสราเอล เพราะเราเขื่อมั่นว่า สิทธิของชาวปาเลสไตน์จะต้องได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์ และไม่มีใครมีสิทธิ์ผ่อนปรนในเรื่องนี้

            ⁃          ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับซาอุดิอาระเบียเป็นอย่างไรบ้าง?

รัฐบาลตุรกีมีเอกอัครราชทูตประจำที่กรุงริยาด ท่านเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์และเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่จะตอบในประเด็นนี้ แต่ผมขออนุญาตพูดในฐานะประชาชนและสมาชิกหนึ่งในสังคมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผมใช้ชีวิตในซาอุดิอาระเบียทั้งในฐานะนักศึกษาและผู้ทำงาน ผมได้ซึมซับธาตุแท้ของชาวซาอุดิอาระเบีย ที่ทำให้ผมมั่นใจว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถผ่านพ้นวิกฤติปัญหาต่างๆที่ประสบร่วมกัน เพราะความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนานความร่วมมือระหว่างสองประเทศจึงมีความจำเป็นต่อการพัฒนาของประชาชาติและเป็นสิ่งที่ประชาชาติมุสลิมทั่วโลกรอคอยด้วยความหวังดีเสมอมา

            ⁃          ตุรกีปัจจุบันแตกต่างกับตุรกีเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างไรบ้าง?

เทียบกันไม่ได้เลยครับ เมื่อ 20 ปีที่แล้วรัฐบาลจัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาเพียง 8.7 พันล้านดอลล่าร์ แต่ปัจจุบันเป็น 131 พันล้านดอลล่าร์ ปัจจุบันตุรกีสร้างเมืองศูนย์กลางทางการแพทย์ 15 เเห่ง สร้างศูนย์เยาวชนจาก 9 แห่งเป็น 336 แห่งทั่วประเทศ สร้างศูนย์กีฬาจาก 1,575 แห่งเป็น 4,000 แห่ง ในปี 2013 ตุรกีสามารถจ่ายหนี้ IMF มูลค่า 22.5 พันล้านดอลล่าร์  เพิ่มมูลค่า GDP จาก 236 พันล้านดอลล่าร์เป็น 754 พันล้านดอลล่าร์ ในขณะที่รายได้ประชากรต่อหัวเพิ่มจาก 3,500 ดอลล่าร์ต่อปี เป็น 9,000 ดอลล่าร์ต่อปี ปัจจุบันตุรกีกลายเป็นประเทศที่มีศักยภาพผลิตอาวุธ รถยนต์และผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศมากมาย จากประเทศที่ถูกรุมเร้าด้วยปัญหาภายในมากมาย แต่ปัจจุบันตุรกีก้าวขึ้นมีบทบาทในเวทีโลกอย่างเต็มภาคภูมิ

บทสัมภาษณ์ยังได้แตะประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจในระดับภูมิภาคและนานาชาติ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับอียิปต์ ตุรกีกับปัญหาซีเรียและอิรัก ตุรกีกับสหภาพยุโรป ตุรกีกับสหรัฐอเมริกา และตุรกีกับรัสเซีย ซึ่งบอกได้เลยว่า ชายคนนี้ไม่ธรรมดาและขอย้ำทิ้งท้ายว่าขอให้จำชื่อคนนี้ให้ดี

ไม่แน่ ในอนาคตอันใกล้ ตุรกีอาจมีประธานาธิบดีที่เคยศึกษาที่เมืองรอซูลุลลอฮ์ที่ท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่มก็ได้

إن شاء الله


โดย Mazlan Muhammad

อ้างจาก

https://www.aljazeera.net/news/2020/11/25/%d8%ad%d8%a7%d9%81%d8%b8-%d9%84%d9%84%d9%82%d8%b1%d8%a2%d9%86-%d9%88%d8%aa%d8%ad%d8%af%d8%ab-%d8%b9%d9%86-%d8%a7%d9%84%d8%b3%d8%b9%d9%88%d8%af%d8%a8%d8%a9-%d9%88%d9%85%d8%b5%d8%b1

เบื้องลึกความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียกับกลุ่มอิควาน

เปิดตำนานรักซ่อนแค้น เบื้องลึกความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและกลุ่มอิควาน

● สัมพันธภาพระหว่างซาอุดีอาระเบียและกลุ่มอิควานเริ่มต้นจากการเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นในช่วงทศวรรษ 1930 จนมาสู่การเผชิญหน้าเต็มรูปแบบในปัจจุบัน

คำฟัตวาขององค์กรอุลามาอ์อาวุโสล่าสุด เกี่ยวกับกลุ่มอิควาน ไม่ใช่เป็นครั้งแรก และคาดว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ที่ภาพรวมส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางที่ดี

จุดเริ่มต้น กษัตริย์อับดุลอาซิซ ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซะอูด ได้พบปะเจรจากับหะซัน อัลบันนา ผู้สถาปนากลุ่มอิควานมุสลิมีนเป็นครั้งแรก ในปี 1936 และความใกล้ชิดก็ได้งอกเงยเพิ่มขึ้นตามลำดับ ในระยะนี้กลุ่มอิควานได้พึ่งพาอาศัยซาอุดิอาระเบียในการหลบหนีจากความโหดร้ายของนัสเซอร์  ในขณะที่ซาอุดิอาระเบียที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกได้อาศัยอิควานเป็นตัวหลักของกลุ่มอัฟกันอาหรับในการเผชิญหน้ากับการยึดครองอัฟกานิสถานของโซเวียต รวมถึงลัทธิชาตินิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอียิปต์ ที่ได้แรงสนับสนุนจากโซเวียต

ในระยะนี้ สื่อหลักพาดหัวข้อข่าว “เจ้าชายฟัยศอล(ยศก่อนเป็นกษัตริย์) กล่าวว่า “กลุ่มอิควานมุสลิมีน เป็นวีรบุรุษ ที่ต่อสู้แบบถวายชีวิตและทรัพย์สินเพื่ออัลลอฮ์…”

การสถาปนาอาณาจักรใหม่ของราชวงศ์ซาอูดบนกองเงินกองทองในระยะนี้ ต้องอาศัยแรงงานและวิสัยทัศน์ในการเผชิญหน้ากับโลกใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านยุทธศาสตร์การศึกษา และการปฏิรูปคำสอนทางศาสนา กลุ่มอิควานจากประเทศต่างๆในช่วงนี้ได้เข้าไปมีบทบาทในหน่วยงานต่างๆของซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะอย่างในด้านการศึกษา ที่จุดยืนของกลุ่มอิควานสอดรับกับแนวคิดของสะละฟีย์  ทั้งสองฝ่ายจึงร่วมมือกันอย่างลงตัว ตลอดช่วงการปกครองของนัสเซอร์และซาดัตที่อิยิปต์

หลังสิ้นสุดยุคนัสเซอร์ ซาอุดิอาระเบียมีส่วนทำให้ผู้นำกลุ่มอิควานพ้นคุกอียิปต์และให้แกนนำบางคนได้เข้ามาอาศัยในประเทศอย่างมีเกียรติเป็นอย่างสูง

ในช่วงสงครามอัฟกัน ซาอุดิอาระเบีย ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกาได้ร่วมก่อตั้งอัฟกันอาหรับ ด้วยเป้าหมายที่สอดคล้องกันในการช่วยเหลือพี่น้องมุสลิม กลุ่มอิควานจึงเข้าไปมีบทบาทที่โดดเด่นในการจัดกองกำลัง การจัดองค์กร การฝึกทางการทหาร และการรวบรวมเงินบริจาค

ปัจจัยความขัดแย้งเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล [ รวมถึงสถานการณ์การต่อสู้การยึดครองอัฟกานิสถานที่ความสำคัญของกลุ่มอิควานเริ่มลดลง – ผู้แปล ] ภายหลังการเสียชีวิตของกษัตริย์ฟัยศอล  ผู้ปกครองคนต่อมา ได้ตั้งข้อสงสัยต่อเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนที่จัดทำโดยกลุ่มอิควาน เนื่องจากเล็งเห็นแนวโน้มของฝ่ายค้านรัฐที่เข้มแข็งขึ้นในประเทศที่แนวการเมืองต้องจงรักภักดีต่อราชวงศ์โดยดุษณี รวมถึงรูปแบบความขัดแย้งในลักษณะอื่นๆ เช่น  ท่าทีที่สวนทางกันในกรณีสงครามอ่าวครั้งแรก ระหว่างอิรัก-อิหร่าน รวมทั้งอิควานปฏิเสธแนวทางการพึ่งพากองทัพตะวันตกในการกอบกู้เอกราชของคูเวตจากการยึดครองของอิรัก

วิกฤติความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายถึงขีดสุด ได้ก่อตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อมีคณะหนึ่งเรียกกันว่า มะชายีคเศาะฮ์วะฮ์ (คณะชัยค์ฝ่ายฟื้นฟู) นำโดย ชัยค์สะฟัร หะวาลีย์ ซึ่งได้ส่งเอกสารเรียกว่า  مذكرة النصيحة  (เอกสารให้คำแนะนำ)แก่กษัตริย์  ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดเพี้ยนไปจากจารีตทางการเมืองในซาอุดิอาระเบียที่ต้องภักดีต่อราโชบายโดยดุษณีแบบเดิมๆ และเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงอิทธิพลของกลุ่มอิควานในซาอุดิอาระเบีย

รวมถึงปัจจัยการกลับคืนมาตุภูมิของกลุ่มอาหรับอัฟกัน ที่พกพาอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยแนวทางที่คุ้นเคยในอัฟกานิสถาน นั่นคือการจัดตั้งกลุ่มคนและการใช้กำลังอาวุธ  รวมถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ที่นำโดยอุซามะฮ์ บินลาเด็น ชาวซาอุดีอาระเบีย ตามมาด้วยเหตุการณ์วางระเบิด  และการจับกุมเครือข่ายญิฮาดในเมืองต่างๆของซาอุดิอาระเบีย  ปัจจัยต่างๆดังกล่าวมีส่วนในการสร้างความบาดหมางระหว่างรัฐบาลซาอุดิอาระเบียกับกลุ่มอิสลามการเมืองที่นำโดยอิควานมุสลิมีน

● การปะทะแบบไม่โจ่งแจ้ง

เหตุการณ์ 11 กันยาฝุ่นยังไม่ทันจาง  แต่ในซาอุดิอาระเบียได้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่อกลุ่มอิควานแล้ว ด้วยการกดดันอย่างหนักจากสหรัฐอเมริกา รัฐบาลซาอุดิอาระเบียงดสนับสนุนการเงินต่อองค์กรอิสลามต่างๆที่ถูกจัดเป็นเครือข่ายกลุ่มอิควาน รวมถึงการเปิดฉากสงครามสื่ออย่างรุนแรง

นายิบ บินอับดุลอาซิซ รมต.มหาดไทยกล่าวกับวารสารการเมืองของคูเวต  ในปี 2002 ว่า อิควานถือเป็นต้นตอของความวุ่นวายต่างๆ ในโลกอาหรับและโลกมุสลิม

● การปะทะเต็มรูปแบบ

หนึ่งทศวรรษกับความอึมครึมผ่านไป ก้าวสู่ยุคอาหรับสปริงที่เปลวไฟยิ่งเพิ่มดีกรีองศาเดือด ที่ซาอุดิอาระเบียแสดงจุดยืนชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอาหรับสปริง ตลอดจนความพยายามช่วยเหลือยับยั้งการล้มของรัฐบาลอียิปต์และเยเมน  รวมทั้งการแสดงจุดยืนเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลังจากยุคปฏิวัติอาหรับ รวมถึงการสนับสนุนการโค่นรัฐบาลมุรซีย์ในอียิปต์ และสถานการณ์ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนพัฒนาไปสู่การขึ้นบัญชีกลุ่มอิควานเป็นกลุ่มก่อการร้ายพร้อมๆกับอีกบางกลุ่มในที่สุด

ความจริงก่อนหน้านี้ซาอุดิอาระเบีย ไม่ค่อยปลื้มกับการเข้าสู่อำนาจของกลุ่มเครือข่ายอิควานในซูดาน ตุรกีและปาเลสไตน์มาแล้ว

ภายหลังการขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ๆ ของกษัตริย์ซัลมาน ทั้งสองฝ่ายเริ่มมีท่าทีที่ดีต่อกัน  สะอูด อัลฟัยซอล อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวว่า ซาอุดิอาระเบียไม่มีปัญหากับกลุ่มอิควาน เพียงแต่มีปัญหากับบางส่วนของสมาชิกกลุ่มเท่านั้น  และรัฐบาลซาอุดิอาระเบียก็ได้ต้อนรับการมาเยือนของบุคคลสำคัญที่รู้กันว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม ได้แก่ ดร.ยูซุฟ  อัลเกาะเราะฎอวีย์ ชัยค์รอชิด ฆอนนูชีย์ และคอลิด  มิชอัล

นอกจากนั้น องค์การอุลามาอ์อาวุโสแห่งซาอุดิอาระเบียหรือฮัยอะฮ์กิบารอุลามาอ์ ก็กล่าวถึงกลุ่มอิควานไปในทางบวก โดยกล่าวว่า กลุ่มอิควานเป็นนักกิจกรรม

รัฐบาลซาอุดิอาระเบียยังมีความสัมพันธ์ไมตรีอันแน่นแฟ้นกับพรรคอิศลาห์ของเยเมน อันเป็นกลุ่มอิควานสาขาเยเมน แม้ว่าจะเป็นความสัมพันธ์พิเศษที่ไม่เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ก็ตาม

● อิควานกับองค์การอุลามาอ์อาวุโส – ฮัยอะฮ์กิบารอุลามาอ์- ของซาอุดิอาระเบีย

องค์การอุลามาอ์อาวุโส – ฮัยอะฮ์กิบารอุลามาอ์-  เป็นหน่วยงานศาสนาอย่างเป็นทางการของซาอุดิอาระเบีย เคยมีคำฟัตวาจัดให้กลุ่มอิควานเป็นกลุ่มหนึ่งที่ใกล้ชิดกับกลุ่มที่ถูกต้อง แต่ยามเมื่อสายลมการเมืองเปลี่ยนทิศ องค์การอุลามาอ์อาวุโส ก็มีคำฟัตวาใหม่ ระบุว่า อิควานไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่เป็นกลุ่มที่ใช้แนวทางก่อกบฏต่อผู้นำ แม้ว่าจะไม่ทำในตอนแรกเริ่ม แต่ก็ทำในตอนหลังๆ


อ้างอิง

[http://www.aljazeera.net/news/reportsandinterviews/2018/4/4/الإخوان-والسعودية-احتضنهم-الأجداد-وانقلب-عليهم-ابن-سلمان](http://www.aljazeera.net/news/reportsandinterviews/2018/4/4/%D8%A7%D9%84%D8%A5%D8%AE%D9%88%D8%A7%D9%86-%D9%88%D8%A7%D9%84%D8%B3%D8%B9%D9%88%D8%AF%D9%8A%D8%A9-%D8%A7%D8%AD%D8%AA%D8%B6%D9%86%D9%87%D9%85-%D8%A7%D9%84%D8%A3%D8%AC%D8%AF%D8%A7%D8%AF-%D9%88%D8%A7%D9%86%D9%82%D9%84%D8%A8-%D8%B9%D9%84%D9%8A%D9%87%D9%85-%D8%A7%D8%A8%D9%86-%D8%B3%D9%84%D9%85%D8%A7%D9%86?fbclid=IwAR36iwOgCmpPJcqbER9IVIltXBwfy13KjHoUX7NAoYwgehEPKJhuzYPeoNw)

แปลสรุปโดย Ghazali benmad

Catacombs of Paris สุสานกะโหลกใต้เมืองปารีส [ตอนที่ 2]

มหานครปารีสเมืองที่ผสมผสานระหว่างเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้หลงใหลกลิ่นน้ำหอม และผู้นำแฟชั่น แต่ในขณะเดียวกัน คือเมืองแห่งความสยดสยองที่ชวนขนลุก ซึ่งใต้เมืองน้ำหอมอันแสนโรแมนติกนี้ กลับเป็นสุสานที่อัดแน่นไปด้วยกระดูกและหัวกะโหลกหลายล้านชิ้นจากร่างไร้วิญญาณกว่า 6 ล้านชีวิตที่ถูกเรียงพะเนินเต็มผนังใต้ดินที่ลึกกว่า 20 เมตรและมีความคดเคี้ยว เวิ้งว้างและมืดมนชวนหลอนที่ยาวกว่า 300 กิโลเมตรทีเดียว ซึ่งครั้งหนึ่ง กลิ่นเน่าเหม็นของซากศพได้โชยไปทั่วเมืองจนสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณนั้น นอกเหนือจากเป็นแหล่งเชื้อโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย

มหานครปารีสคือภาพที่สะท้อนถึงโลกแห่งความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เหินห่างราวฟ้ากับก้นเหว ระหว่างกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่เดินเหินบนหน้าแผ่นดินอย่างหยิ่งทรนงและสุขสำราญสนุกสนาน กับอีกกลุ่มชนที่ใช้ชีวิตบนคราบน้ำตาและหยาดเลือดที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ยอมเป็นทาสรับใช้ตลอดชีวิต

ฝรั่งเศสหนึ่งในประเทศล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 ที่เคยนำเอาคนพื้นถิ่นในแอฟริกาและที่อื่นๆซึ่งกองทัพเรือของฝรั่งเศสเดินทางไปถึง มาจัดแสดงให้ชาวยุโรปผิวขาวได้ชมในสวนสัตว์มนุษย์ ราวกับคนเหล่านั้นเป็น “สัตว์ประหลาด” ชนิดหนึ่งมาแล้วเมื่อราว 200 ปีก่อน  (ดู https://news.goosiam.com/html/0005067.html ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับในปี 1786 ที่เจ้าของเหมืองหินปูนผู้ศรัทธาในคริสต์ศาสนาในกรุงปารีสได้อุทิศเหมืองให้ใช้เป็นสุสานแห่งใหม่ เนื่องจากกำแพงของสุสาน Les Innocents ได้ถล่มลงในปี 1780 ด้วยสาเหตุฝนตกหนักอย่างยาวนาน การขุดเคลื่อนย้ายศพจากสุสานต่างๆทั่วปารีสมาไว้ที่เหมืองนี้ จึงเริ่มขึ้น จนกระทั่งเสร็จสิ้นในปี 1860  ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การเคลื่อนย้ายศพ ต้องใช้เวลานานถึง 80 ปีทีเดียว ( ดู https://travel.kapook.com/view225119.html)

ท่านผู้อ่านไม่เคยฉุกคิดเลยหรือว่า ชายใจบุญคนนั้นสร้างเหมืองที่ลึกลงใต้ดินกว่า 20 เมตรได้อย่างไร เขาใช้กรรมวิธีไหนที่สามารถขุดเจาะอุโมงค์อันคดเคี้ยวลึกลับยาว 300 กิโลเมตร ฝรั่งเศสในยุคนั้นมีเครื่องมือและเทคโนโลยีการขุดเจาะอันทันสมัยแล้วหรือ รีว่ากระดูกและหัวกะโหลกนับล้านชิ้นเหล่านั้นคือคำตอบอันแสนลึกลับนี้

ระหว่างปี 1789-1799 ได้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยุคสมัยแห่งกลียุคทางสังคมและการเมืองที่เปลี่ยนถึงรากฐานในฝรั่งเศสอย่างรุนแรงที่สุด ถือเป็นยุคสมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัวของฝรั่งเศสโดยแท้จริง (ดู https://th.m.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติฝรั่งเศส)

หากพี่น้องสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าการริเริ่มใช้เหมืองหินปูนเป็นสุสานระหว่างปี 1780- 1860 คือช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ปะทุขึ้นระหว่าง 1789-1799 และเป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับงานเวิลด์แฟร์ ที่แสดงนิทรรศการสวนสัตว์มนุษย์ ซึ่งถูกจัดขึ้นในกรุงปารีสในปี 1889 โดยเป็นที่ทราบว่า สวนสัตว์มนุษย์เป็นที่นิยมอย่างมากในยุโรปในระหว่างปลายศตวรรษที่ 1800 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 1900

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ที่คลุมทวีปแอฟริกาซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศอิสลาม ส่วนหนึ่งได้แก่ ยึดครองแอลจีเรียตั้งแต่ 1830 -1962 (332ปี) ยึดครองตูนิเซียตั้งแต่ 1881 – 1956 (75ปี) ยึดครองมอร็อกโกตั้งแต่ 1912 -1956 (44ปี) ยึดครองจิบูตีตั้งแต่ 1884 – 1997 (117ปี) รวมทั้งยึดครองทั้งซีเรียและเลบานอน

ตลอดระยะเวลาของการยึดครองแอลจีเรีย ทหารฝรั่งเศสได้สังหารประชาชนชาวแอลจีเรียกว่า 7 ล้านคน พวกเขาได้ตัดศีรษะบรรดาแกนนำนักต่อสู้โดยทิ้งส่วนร่างกายลงในทะเลและนำศีรษะกลับไปยังกรุงปารีส เพื่อเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์คนในกรุงปารีส ทั้งนี้เพื่อทิ้งร่องรอยไม่ให้ชาวแอลจีเรียรำลึกถึงบรรดานักต่อสู้เหล่านั้น อีกทั้งเพื่อเป็นการข่มขู่ผู้ที่คิดจะต่อสู้ให้ชนรุ่นหลังว่า จะประสบชะตากรรมเช่นไร

ส่วนหนึ่งความป่าเถื่อนของฝรั่งเศสต่อชาวแอลจีเรีย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2020 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประกาศเอกราชของแอลจีเรีย รัฐบาลแอลจีเรียได้เรียกคืนหัวกะโหลกบรรดาแกนนำนักต่อสู้เพื่อเอกราชจำนวน 24 ชิ้นกลับสู่ประเทศหลังจากถูกแสดงในพิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศสนานกว่า 170 ปี ในขณะที่สื่อฝรั่งเศสระบุในปี 2016 ว่า ยังมีหัวกะโหลกกว่า 18,000 ชิ้นที่ยังถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์คนในกรุงปารีส (ดู https://www.aljazeera.net/news/politics/2020/7/2/الجزائر-تستعيد-من-فرنسا-رفات-24-من-قادة)

รัฐบาลแอลจีเรียทำพิธีต้อนรับหัวกะโหลกของนักต่อสู้เพื่อเอกราช
จำนวน 24 ชิ้น ที่ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสนำไปเก็บที่พิพิธภัณฑ์คนที่กรุงปารีส

ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า ชนชาติที่มีทัศนคติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเช่นนี้ สามารถยึดครองหัวใจของชาวโลกได้หรือไม่ และพวกเขาต้องสะสมชุดความคิดอันเลวร้ายนี้นานเท่าไหร่ กว่าที่พวกเขาสามารถตกผลึกจนสามารถปฏิบัติได้ในนามรัฐชาติได้

ณ ที่นี่ ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาเหมารวมชาวฝรั่งเศสทั้งชาติ แต่เสียงส่วนน้อยที่เป็นพลังความดี เป็นเพียงแสงหิ่งห้อยท่ามกลางความมืดมิดในป่าทึบ ยังไม่สามารถเป็นแสงสว่างให้แก่ผู้คนได้ เเม้กระทั่งสถาบันทางศาสนา แทบไม่มีบทบาทชี้นำสังคมที่ทุพพลภาพนี้เลย

ในอดีต ดาร์วินเคยหลอกคนทั้งโลกว่ามนุษย์มาจากลิงตามทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ในขณะที่มัลทัส สำทับว่ามนุษย์จะล้นโลกตามทฤษฎีประชากรศาสตร์ของเขาเช่นกัน

แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้คนค่อนโลก แม้กระทั่งดีกรีนักเรียนนอก ก็ยังเชื่อทฤษฎีดังกล่าวชนิดหัวปักหัวปำ จนกระทั่งสโลแกน “ลูกมากยากจน” กลายเป็นวาระสากลทีเดียว

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ในปัจจุบัน มีบุคคลที่ยังคงหลงเหลือเชื่อทฤษฎีนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่า คนค่อนโลก เริ่มรู้ว่าเป็นทฤษฎีแหกตาชาวโลกเท่านั้น

แต่สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจที่ยุคนี้ คนค่อนโลกยังโดนฝรั่งเศสหลอกให้เชื่ออย่างสนิทใจเรื่องสุสานกะโหลกใต้กรุงปารีสตามคำบันทึกของฝรั่งเศส แถมยังต้องชื่อตั๋วเข้าชมเป็นเงินหลายยูโรอีกด้วย

ฝรั่งเศสยังคงสามารถสร้างความมั่งคั่งของประเทศจากกลุ่มชนที่น่าสงสารและถูกอธรรมจำนวน 6 ล้านคนนี้ ไม่ว่าในขณะที่พวกเขาเป็นคนหรือกลายเป็นกะโหลกและกระดูกก็ตาม

นครปารีสยังคงเป็นเมืองแฟชั่นอันดับ 1 ของโลกที่เป็นจุดศูนย์รวมของสไตลิสต์ ดีไซเนอร์และผู้นำแฟชั่นทั้งหลายทั่วโลก แถมยังมีแบรนด์ชั้นนำเกิดขึ้นมากมาย จนกลบมิดภาพหลอนอันโหดร้ายใต้ดินที่ถูกสะสมมานานนับร้อยปี


เขียนโดย Mazlan Muhammad

Catacombs of Paris สุสานกะโหลกใต้เมืองปารีส [ตอนที่ 1]

ลึกลงไปกว่า 20 เมตร ใต้เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นพื้นที่ของสุสาน Catacombs of Paris หรือ l’Ossuaire Municipal สุสานขนาดใหญ่ความยาวหลายร้อยกิโลเมตร เต็มไปด้วยซากโครงกระดูกกว่า 6 ล้านศพ

เดิมทีสุสานแห่งนี้เป็นอุโมงค์เหมืองหินปูนและเส้นทางขนสินค้าเข้าไปในเหมือง โดยการขุดหินปูนเพื่อก่อสร้างอาคารและสถาปัตยกรรมนั้นได้กินคืบเข้ามาใต้เมืองเรื่อยๆ ทำให้เมืองมีการเจริญเติบโตและมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าเมื่อคนเยอะ คนตายก็เยอะขึ้นเช่นเดียวกัน

โดยเมื่อราวศตวรรษที่ 18 สุสานหลายแห่งในปารีส รวมถึง Les Innocents สุสานที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น เริ่มประสบปัญหาพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับศพใหม่ อาทิ การฝังศพที่ไม่ถูกต้อง การเปิดฝาหลุมศพทิ้งไว้ หรือแม้แต่ศพที่ไม่ได้ฝัง ล้วนเป็นปัญหา เมื่อศพเน่าเปื่อยเริ่มส่งกลิ่นเหม็น รวมถึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคจนชาวบ้านต้องออกมาร้องเรียน

หลังจากนั้นในปี 1780 ได้เกิดเหตุฝนตกหนักจนกำแพงสุสาน Les Innocents ถล่มลงมา ส่งผลศพที่เน่าเปื่อยไหลออกมาบริเวณข้างเคียง ทางรัฐบาลจึงต้องหาพื้นที่เพิ่มให้กับสุสานใหญ่ๆ จนกระทั่งใน ค.ศ.1786 เจ้าของเหมืองได้อุทิศเหมืองให้ใช้เป็นสุสานแห่งใหม่ จึงมีการขนย้ายศพจากสุสานต่างๆเข้ามา เรียงต่อกันเป็นชั้นสูงจนมีลักษณะคล้ายกำแพง

สุสานแห่งนี้ถูกใช้ต่อเนื่องยาวนานจนถึงปี 1860 จึงปิดรับศพ รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 6 ล้านศพที่ถูกขนย้ายมาที่แห่งนี้ หลังจากนั้นมันได้ถูกปิดลงนานถึง 7 ปี ก่อนที่รัฐบาลจะกลับมาปรับปรุงให้กลายเป็นสุสานแบบเปิดเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชม

แม้ภายในมีทางเดินยาวลึกกว่า 300 กิโลเมตร แต่ทางการเปิดให้เข้าชมเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น โดยระบุว่า สุสานมีอยู่เพียงนิดเดียว อย่างไรก็ตามมีผู้คนแอบเข้าไปในพื้นที่ลึกกว่านั้น โดยมีกลุ่มที่เรียกว่า Cataphiles เข้าไปสำรวจท้าทายพื้นที่ บ้างก็อยู่อาศัย หรือมีการจัดกิจกรรมร่วมกัน แม้จะมีการออกกฏหมายห้ามบุกรุกพื้นที่ก็ตาม

โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกลุ่มนักเรียนและวัยรุ่น ซึ่งมีการเริ่มต้นทำแบบนี้กันตั้งแต่ช่วงปี 1970 – 1980 ในยุคเด็กพังค์ ผู้ชอบเรื่องแปลกแหวกแนว เมื่อพวกเขาจัดกิจกรรมที่ไม่ได้รับการยอมรับ พวกเขาจึงคิดไปจัดกิจกรรมที่อื่น ซึ่งสุสานใต้ดินนั้นก็เป็นที่ที่เหมาะทีเดียว เนื่องจากไม่มีใครอยู่และมีประตูลับอยู่มากมาย

ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่ง สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเสพบรรยากาศหลอนๆ รวมถึงเป็นที่ลองของสำหรับพวกคนชอบความท้าทายและเหล่าคนชอบมนต์ดำ โดยมีการพบเครื่องหมายประหลาดซึ่งไม่เคยมีมาแต่ดั้งเดิม และโครงกระดูกที่ใหม่เกินกว่าจะเป็นศพซึ่งถูกฝังมานานหลายสิบปี

นี่คือบทความที่ถูกถ่ายทอดผ่านทุกภาษาทั่วโลกมายาวนานนับศตวรรษ เพื่อให้ชาวโลกคล้อยตามเชื่ออย่างสนิทใจว่า ในศตวรรษที่ 18 กรุงปารีสเกิดภาวะวิกฤตหลุมฝังศพที่ไม่สามารถรองรับยอดคนตายจำนวนมากมายถึง 6 ล้านคนในช่วงเวลาหนึ่ง

โลกไม่เคยตั้งคำถามว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชาวปารีสเสียชีวิตจำนวนมากมายถึงขนาดนั้น มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสบ้างไหมว่า ในช่วงนั้น เกิดโรคระบาดอะไรหรือมีสงครามกลางเมืองคร่าชีวิตผู้คนมากมายจนล้นสุสานกรุงปารีส

หากเสียชีวิตตามธรรมชาติ ก็ต้องถามต่อว่า เมื่อ 300 ปีที่แล้ว ประชากรในกรุงปารีสมีจำนวนเท่าไหร่ ในโลกนี้มีประเทศไหนบ้างที่ประชากรเสียชีวิตตามธรรมชาติมากมายถึงระดับนี้

ปัจจุบัน เขตมหานครปารีสรวมปริมณฑล มีประชากรกว่า 12 ล้านคน ถามว่ากรุงปารีสมีปัญหาเรื่องสุสานไม่เพียงพอกับจำนวนผู้เสียชีวิตอีกหรือไม่

ที่แย่ไปกว่านั้น แทนที่จะสงสัยในประเด็นนี้ ชาวโลกกลับยกย่องสุสานมรณะแห่งนี้จนกลายเป็นเเหล่งท่องเที่ยว ส่วนนักโบราณคดีก็สนุกสนานกับการถ่ายทำสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ต่อไป โดยหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของสุสานกะโหลกแห่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร

เรามาค้นหาคำตอบในภาค 2 ต่อไปครับ


โดย Mazlan Muhammad

ขอบคุณข้อมูล

http://www.nextsteptv.com/catacombs-of-paris-สุสานกะโหลกใต้เมืองป/ o

อาณาจักรมด อัศจรรย์แห่งอัลกุรอาน (ตอนจบ)

อัลลอฮฺตรัสว่า

وَحُشِرَ لِسُلَیۡمَـٰنَ جُنُودُهُۥ مِنَ ٱلۡجِنِّ وَٱلۡإِنسِ وَٱلطَّیۡرِ فَهُمۡ یُوزَعُونَ ، حَتَّىٰۤ إِذَاۤ أَتَوۡا۟ عَلَىٰ وَادِ ٱلنَّمۡلِ قَالَتۡ نَمۡلَةࣱ یَـٰۤأَیُّهَا ٱلنَّمۡلُ ٱدۡخُلُوا۟ مَسَـٰكِنَكُمۡ لَا یَحۡطِمَنَّكُمۡ سُلَیۡمَـٰنُ وَجُنُودُهُۥ وَهُمۡ لَا یَشۡعُرُونَ ، فَتَبَسَّمَ ضَاحِكࣰا مِّن قَوۡلِهَا وَقَالَ رَبِّ أَوۡزِعۡنِیۤ أَنۡ أَشۡكُرَ نِعۡمَتَكَ ٱلَّتِیۤ أَنۡعَمۡتَ عَلَیَّ وَعَلَىٰ وَ ٰ⁠لِدَیَّ وَأَنۡ أَعۡمَلَ صَـٰلِحࣰا تَرۡضَىٰهُ وَأَدۡخِلۡنِی بِرَحۡمَتِكَ فِی عِبَادِكَ ٱلصَّـٰلِحِینَ

ความว่า

 “และไพร่พลของเขา(นบีสุลัยมาน)ที่เป็นญิน มนุษย์และนก ได้ถูกให้มาชุมนุมต่อหน้าสุลัยมาน และพวกเขาถูกจัดให้เป็นระเบียบ จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึงทุ่งที่มีมดมาก (ณ เมืองชาม) มดตัวหนึ่งได้พูดว่า “โอ้พวกมดเอ๋ย! พวกเจ้าจงเข้าไปในรังของพวกเจ้าเถิด เผื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว เขา (สุลัยมาน) ยิ้มแกมหัวเราะต่อคำพูดของมันและกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์กระทำความดีเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยมัน และทรงให้ข้าพระองค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ดีทั้งหลาย”(อันนัมลุ 27,17-19)

อายัตข้างต้นได้อธิบายบทหนึ่งในซูเราะฮฺอันนัมลุ (มด) ที่ได้ระบุว่า ไพร่พลของนบีสุลัยมานซึ่งประกอบด้วยมนุษย์ ญินและสิงสาราสัตว์รวมทั้งนกชนิดต่างๆ ได้ถูกเกณฑ์เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญ เหล่าทหารจึงเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบและเดินทางตามคำสั่งของนบีสุลัยมาน จนกระทั่งพวกเขาได้เดินทางถึงบริเวณทุ่งที่มีมดมากมายอาศัยอยู่ หัวหน้ามดจึงรู้อันตรายที่จะเกิดขึ้น เลยออกคำสั่งให้ประชากรมดหลบเข้าไปในรัง เพื่อความปลอดภัยและไม่ถูกนบีสุลัยมานและไพร่พลของเขาบดขยี้โดยที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว ซึ่งหัวหน้ามดทราบดีว่า กองทัพนี้มีมารยาทอันสูงส่ง และไม่เคยสร้างความเดือดร้อนใดๆ แม้ต่อมดตัวเดียวก็ไม่เคยทำร้าย แต่กลัวว่า พวกเขาไม่รู้ตัวว่าอยู่ในบริเวณทุ่งมด เลยอาจเหยียบมดโดยไม่ตั้งใจก็ได้ นบีสุลัยมานได้ฟังคำสนทนาของหัวหน้ามดนี้ก็อมยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมขอดุอาต่ออัลลอฮฺให้พระองค์ชี้นำเขาสู่เส้นทางอันเที่ยงตรง อย่าให้อำนาจอันล้นฟ้าที่อัลลอฮฺประทานให้เป็นสาเหตุให้เขาเหิมเกริม เย่อหยิ่งลำพองตนไปเลย

การตั้งชื่อซูเราะฮฺอันนัมลุ ซึ่งมีความหมายว่ามดนี้ ทำให้เราทราบว่า อัลกุรอานให้ความสำคัญต่อสัตว์ตัวเล็กๆนี้ได้เป็นอย่างดี และเป็นการส่งสัญญาณแก่ศรัทธาชนให้ศึกษาสัตว์ประเภทนี้ เพื่อนำเป็นอุทาหรณ์เตือนใจสำหรับการดำเนินชีวิตที่ประสบผลสำเร็จต่อไป

มดเป็นหนึ่งในสัญญาณของอัลลอฮฺที่เป็นปรากฏการณ์ (آيات الله الكونية) ในขณะที่อัลกุรอานคือสัญญาณของอัลลอฮฺที่เป็นลายลักษณ์ (آيات الله المقروءة) ดังนั้นทั้ง 2 สัญญาณนี้ไม่มีทางขัดแย้งกัน เพราะล้วนมาจากแหล่งอันเดียวกันคืออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

เราลองมาดูความมหัศจรรย์ของ 2 สัญญาณนี้ว่ามีความสอดคล้องกันอย่างไรบ้าง

1. อัลกุรอานได้ฟันธงว่า หัวหน้ามดที่ออกคำสั่งให้ประชากรมดหลบเข้ารังนั้นเป็นเพศเมีย (قالت نملة) ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาปัจจุบันพบว่า มดนางพญาเป็นมดที่มีอิทธิพลที่สุดเป็นเสมือนราชินีที่มีหน้าที่คอยบงการประชากรมดทั้งหมดตามที่ได้เขียนในบทความก่อนหน้านี้

2. มดมีภาษาเฉพาะที่ใช้สื่อสารระหว่างกัน (قالت نملة) หมายถึง “หัวหน้ามดกล่าวว่า” ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบในปัจจุบันว่า สัตว์แต่ละประเภทมีภาษาเฉพาะของมัน โดยเฉพาะมดที่มีระบบสื่อสารอันยอดเยี่ยมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

3. ประชากรมดมีบ้านประจำของมัน (مساكنكم)หมายถึง “บ้านอันมากมายของเจ้า” ซึ่งการศึกษาปัจจุบันพบว่า ประชากรมดจะอาศัยเป็นอาณาจักรใหญ่ บางชนิดมีรังต่างๆที่เชื่อมโยงติดต่อกันถึง45,000 รังทีเดียว

4. อาณาจักรมดมีอาณาบริเวณที่กว้างมาก บางชนิดคลุมเนื้อที่กว่า 2.7 ตร.กม. ซึ่งศัพท์

อัลกุรอานใช้คำว่า(وادي النمل) อันหมายถึงทุ่งหรือลานกว้างภายในอาณาจักรนี้มีห้องหับมากมายแยกเป็นสัดส่วน อาทิ ประตูเข้าชั้นนอก ประตูเข้าชั้นใน โรงเก็บอาหาร ห้องกินอาหาร ศูนย์ยามรักษาความปลอดภัย ห้องประทับราชินี ห้องวางไข่ ห้องปฐมพยาบาลลูกอ่อน ห้องฝังศพมด ห้องพักผ่อน และอื่นๆอีกมากมาย

5. อัลกุรอานยังบอกถึงความเฉลียวฉลาดของมดที่สามารถพยากรณ์เหตุการณ์ร้ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำโดยในอายัตนี้นางพญามดได้แจ้งให้ประชากรมดทราบถึงภยันตรายของกองทัพนบีสุลัยมานที่อาจเหยียบพวกมันโดยไม่รู้ตัว แสดงว่ามดสามารถคาดเดาเส้นทางของกองทัพนบีสุลัยมานว่า จะผ่านเส้นทางที่เป็นที่สร้างของอาณาจักรของมันได้อย่างถูกต้อง มดจึงเป็นหนึ่งในจำนวนสัตว์ที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ธรรมชาติได้อย่างแม่นยำ และพวกมันสามารถหามาตรการในการรับมือกับเหตุร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

6.คำว่า لا يحطمنكم سليمان وجنوده หมายถึง เผื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า

คำว่า “ไม่บดขยี้” ฟังอย่างผิวเผินแล้วเหมือนกับมดแตกเป็นเสี่ยงๆ คล้ายกับการแตกของวัสดุประเภทคริสตัลหรือกระจก ทั้งๆที่มดก็เป็นสัตว์ธรรมดา ซึ่งตามความเข้าใจเบื้องต้นอาจพูดได้ว่า อัลกุรอานน่าจะใช้คำที่มีความหมายว่า “ไม่ถูกเหยียบ” มากกว่า “ไม่บดขยี้” แต่ผลจากการวิจัยพบว่า องค์ประกอบส่วนใหญ่ของมดเป็นส่วนผสมของสารเคมีที่มีลักษณะคล้ายคริสตัลหรือกระจก ดังนั้นคำที่เหมาะสมในที่นี้คือ “ไม่บดขยี้” มากกว่า

นี่คือ 6 ประการสำคัญที่อัลลอฮฺพูดถึงเกี่ยวกับมดในอายัตเดียว คืออายัตที่ 18 ของซูเราะฮฺอันนัมลุ ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นการกล่าวที่น้อยไปหากเปรียบเทียบกับชื่อซูเราะฮฺ แต่ในเมื่ออายัตนี้เป็นของผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณ นั่นหมายถึงทุกถ้อยคำที่บรรจงเลือกให้เป็นส่วนประกอบของอายัตนี้จึงเต็มสะพรั่งไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งที่ยิ่งค้นไปเท่าไหร่ก็ยิ่งพบเจอองค์ความรู้อันมากมายมหาศาล

สำหรับผู้ศรัทธาและผู้ถวิลหาสัจธรรม อายัตเดียวก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับใช้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ

ก่อนจากกัน ขอตั้งคำถามที่ไม่จำเป็นต้องตอบดังนี้ครับ

– พี่น้องเคยอ่านชีวประวัติของนบีมูฮัมมัดว่า นบีเคยศึกษาเรื่องมดจากใครที่ไหนมาบ้าง หากตอบว่านบีไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อน แล้วท่านสามารถอธิบายความลี้ลับเหล่านี้ได้อย่างไร

– ชาร์ล ดาร์วิน เคยพูดถึงมดบ้างไหม คาร์ล มาร์กซ์ เลนิน หรือ เพลโต โซเครติส หรือแม้กระทั่ง เหมา เจ๋อ ตุง เคยเขียนตำราว่าด้วยมดบ้างหรือเปล่า หากมีตำรา เนื้อหาเป็นอย่างไรบ้าง หากไม่มี แล้วบังอาจมาจัดระเบียบให้กับมนุษย์และสร้างทฤษฎีสังคมอันจอมปลอมให้มนุษย์ปฏิบัติได้อย่างไรทั้งๆที่ตนเองไม่มีความรู้แม้กระทั่งเรื่องมด

– สุดท้าย อ่านเรื่องมดแล้ว พี่น้องได้บทเรียนอะไรบ้างและมีแนวทางพัฒนาตนเองโดยใช้หลักปรัชญามดได้อย่างไร วัสสลาม

والله أعلم وهو الموفق والهادي إلى سواء السبيل


เขียนโดย Mazlan Muhammad

แหล่งอ้างอิง

http://midad.com/article/197775/الإعجاز-العلمي-للقرآن-في-النمل

https://www.masrawy.com/islameyat/others-e3gaz/details/2014/10/7/361535/معجزة-النمل-في-القرآن-الكريم